คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 คนพิเศษ
สวนสีเขียวแซมด้วยดอกไม้หลากสีเคล้าบรรยากาศสบายๆ ยามบ่าย ต้นไม้พุ่มถูกตัดแต่งทรงเป็นรูปหยดน้ำระหว่างทางเดินปูอิฐสีน้ำตาลเข้ม
พร้อมทั้งโรยด้วยกรวดตามรอยแยกของแผ่นอิฐให้ทางเดินแข็งแรงขึ้น
ซุ้มไม้เลื้อยขนาดย่อมตั้งอยู่ที่สุดทางเดิน
โต๊ะและเก้าอี้สีขาวกลางซุ้มมีชุดน้ำชาและถาดวางขนมจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยโดยมีผู้ครอบครองอาหารว่างยามบ่ายจับจองอยู่แล้ว
หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวประดับด้วยลูกไม้บนผืนผ้ากำมะหยี่สีขาว
เส้นผมสีทองสว่างยาวเหยียดตรงถึงกลางหลัง
มือขาวเรียวบางยกแก้วน้ำชาขึ้นจรดริมฝีปากสีโอลด์โรส
ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนหวานหลุบลงเมื่อวางแก้วชาลงบนจานรองพร้อมกับแย้มรอยยิ้มแสดงความพอใจในรสชาติที่ได้รับ
“คุณนี่ตั้งใจทำงานไม่เปลี่ยนเลยนะคะ
ลอเรนซ์” ดวงตาคู่งามปรายขึ้นมองสบเลนส์กล้องที่ปรับระยะอยู่ไม่ห่างก่อนกดชัตเตอร์
ชายหนุ่มหลังเลนส์กล้องแย้มยิ้มรับคำพลางขยับตัวปรับโฟกัสภาพแล้วกดชัตเตอร์อีกครั้ง
“ชวนตากล้องคุยระหว่างกดชัตเตอร์แบบนี้ท่าทางคุณคงจะมือโปรขึ้นแล้วนะครับ”
คำพูดของลอเรนซ์เรียกเสียงหัวเราะหวานใสจากหญิงสาวเล็กน้อย
ท่วงท่าที่งดงามและแสนสง่าเหล่านี้สำหรับลอเรนซ์แล้วเขาไม่ปล่อยให้มันผ่านไปอย่างสูญเปล่าเป็นแน่
“คิกๆ...เพราะใครกันคะ
ที่เป็นคนบอกว่าวันนี้จะทำงานกันแบบสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง
ดิฉันเห็นว่าคุณตากล้องคนนั้นแนะนำมาแบบนี้ก็ต้องทำให้เต็มที่ไม่อย่างนั้นก็เสียน้ำใจแย่สิคะ”
“อย่าแซวน่ามาแชล...”
ยิ่งได้ยินคำพูดโอดครวญที่มาพร้อมรอยยิ้มหน่ายใจแบบนั้นแล้วหญิงสาวกลับยิ่งรู้สึกสนุก
หากไม่ติดว่าตอนนี้เป็นเวลางานเธอคงจะหาคำพูดมาหยอกล้อตากล้องหนุ่มทรงเสน่ห์ผู้นี้อีกหลายประโยค
บรรยากาศการทำงานที่เรียกได้ว่าผ่อนคลายเสียจนไม่เหมือนการถ่ายภาพสำหรับปกนิตยสารฉบับต่อไป
เหล่าทีมงานที่ทำหน้าที่ของตนอยู่รอบๆ ต่างเคลิบเคลิ้มไปกับเหตุการณ์ตรงหน้า
มาแชลที่ได้ชื่อว่าเป็นนางแบบสร้างชื่อของนิตยสาร ‘Will’ อีกทั้งยังมีหน้ามีตาในวงการสังคมชั้นสูง
ด้วยความใกล้ชิดและความสนิทสนมของมาแชลและลอเรนซ์ทำให้หลายคนอดรู้สึกไม่ได้ว่าสองคนนี้ต่างมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในการทำงานจนเกิดข่าวลือหนาหูอยู่บ่อยครั้ง
ทว่าไม่ว่าจะกี่ครั้งเหล่าปาปารัซซี่ที่คอยตามทำข่าวนางแบบชื่อดังผู้นี้เป็นต้องคว้าน้ำเหลวอยู่ร่ำไปเพราะการวางตัวที่ไร้ที่ติของคนทั้งคู่
“เอาล่ะ
ผมว่าคุณไปพักก่อนดีกว่า ภาพที่ผมอยากได้ก็มีมากพอสมควรแล้ว
คุณไปนั่งรอคิวถ่ายชุดต่อไปแล้วกันครับ”
ลอเรนซ์พูดพร้อมรอยยิ้มหลังจากตรวจเช็คภาพถ่ายจนเป็นที่พอใจแล้ว หญิงสาววางถ้วยชาพลางพยักหน้ารับ
เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเลือกที่จะเดินเล่นในบริเวณใกล้ๆ
มากกว่าที่จะนั่งต่อเพราะการถ่ายภาพเมื่อครู่สำหรับเธอเป็นการนั่งที่ยาวนานพอแล้ว
การได้เหยียดขาคลายกล้ามเนื้อในสวนที่น่ารื่นรมย์แบบนี้มีไม่บ่อยนักมาแชลจึงอดแย้มยิ้มพอใจออกมาไม่ได้
“ของว่างครับคุณมาแชล”
มอร์แกนวิ่งเหยาะๆ ผ่านสนามหญ้าแล้วยื่นกล่องแซนวิชครัวซองกับกาแฟกระป๋องให้
นางแบบสาวยิ้มรับพลางเอ่ยคำขอบคุณ
“ช่วงนี้งานเยอะหรือเปล่าคะคุณมอร์แกน
?” มาแชลหยิบแซนวิชครัวซองกัดทีละคำหลังส่งคำถามให้ช่างภาพคุ้นหน้าอีกคน
มอร์แกนยิ้มเขินเล็กน้อยเพราะน้อยครั้งนักที่นางแบบผู้นี้จะเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน
“ถ้าไม่นับงานใหญ่ๆ
ก็พอมีงานถ่ายแบบแฟชั่นทั่วไปอยู่ครับ
แต่เห็นหัวหน้าบ่นอยู่เหมือนกันว่าไม่ค่อยมีนางแบบหรือนายแบบหน้าใหม่สำหรับนิตยสารนี้เท่าไหร่
เพราะลอเรนซ์ไม่ค่อยออกไปถ่ายภาพตามสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเคยน่ะครับ”
“ตายจริง
เป็นเรื่องน่าแปลกใจนะคะที่ลอเรนซ์ไม่ทำแบบนั้น
ทั้งที่ออกจะชอบการถ่ายภาพอิสระอยู่แล้วน่ะ” มาแชลพูดกลั้วหัวเราะ
อาจด้วยเพราะเติบโตจนมีชื่อเสียงมาด้วยกันกับลอเรนซ์ทำให้เธอรู้จักลอเรนซ์ดีกว่าใครๆ
งานอดิเรกที่ช่างภาพคนสนิทควรจะทำทุกสัปดาห์กลับงดเว้นไปนั้นสร้างความแปลกใจให้มาแชลอยู่โข
“คงเพราะอะไรหลายๆ
อย่างทำให้ลอเรนซ์ไม่ทำแบบนั้นแล้วล่ะครับ...”
มอร์แกนที่เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังจะหลุดความลับของเพื่อนสนิทจึงรีบเบี่ยงคำตอบเสียดื้อๆ
คนฟังจึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ
“อะไรหลายๆ
อย่าง ? ลอเรนซ์มีแฟนแล้วหรือคะ ?”
ถ้ามีแฟนจริงๆ
ผมก็อยากจะตอบแบบนั้นล่ะครับคุณมาแชล...
มอร์แกนลอบถอนหายใจยาวจนในคำตอบ
เรื่องที่ลอเรนซ์แอบไปถ่ายภาพชายหนุ่มผู้ดีปริศนานาม เซธ จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด
แม้ว่าลอเรนซ์จะไม่ได้กำชับเรื่องนี้กับเขา แต่จากสถานการณ์แล้วพูดไปคงไม่ดีแน่
เพราะขนาดตัวเขาเองยังมองว่าหากภาพของเซธได้รับความยินยอมลงนิตยสารจริงๆ
เขาจะกลายเป็นนายแบบชื่อดังชั่วข้ามคืนชนิดที่ว่านายแบบชื่อดังในตอนนี้คงเทียบไม่ติด
ทว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นหากภาพถ่ายของเจ้าตัวไม่ได้รับความยินยอมเสียก่อน
...แม้ชีวิตเราก็จะไม่ละเว้น...
ไม่ว่าจะนึกอย่างไรคำพูดนั้นก็ไม่เหมือนคำขู่เลยให้ตายสิ
!
หญิงสาวคู่สนทนาเอียงคอมองอีกฝ่ายที่จู่ๆ
ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบคนใช้ความคิดหนัก
คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัยใคร่รู้ แต่สีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของมอร์แกนทำให้เธอเลิกล้มความคิดที่จะรบเร้าจนได้คำตอบ
บางเรื่องที่เธออยากรู้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขอเพียงแค่มีเวลาจับสังเกตสักนิดคาดว่าคำตอบนั้นเธอคงจะได้มาอย่างไม่ยากเย็น
“เฮ่อ...อย่าใส่ใจเลยครับคุณมาแชล
ผมว่าตรงนี้แดดเริ่มแรงแล้วล่ะครับ คุณเข้าไปพักข้างในร่มก่อนดีกว่า”
มอร์แกนผายมือเดินนำหญิงสาวเข้าไปดื่มกาแฟในร่มที่จัดเตรียมไว้ให้
ช่างแต่งหน้าต่างกรูกันเข้ามาแต่งเติมเครื่องสำอางพร้อมจัดแต่งทรงผมให้อย่างรวดเร็ว
ระหว่างนั้นลอเรนซ์ที่แยกไปคุยงานบางอย่างกับหัวหน้าก็เดินกลับมาหามอร์แกนแล้วส่งกล้องให้
ท่าทางลอเรนซ์จะมีเรื่องที่ต้องทำอีกอย่างเขาจึงทิ้งกล้องไว้กับมอร์แกนแล้วเดินหายไปอีกทาง
มาแชลที่แต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินไปหามอร์แกน
“ดิฉันขอดูรูปที่ถ่ายวันนี้ได้หรือเปล่าคะคุณมอร์แกน
?” คำถามมาพร้อมรอยยิ้มหวานสร้างความตื่นตะลึงให้กับมอร์แกน ทว่าในรอยยิ้มนั้นเขากลับรู้สึกหนาวสันหลังแปลกๆ
เขาก้มมองกล้องของลอเรนซ์ในมืออย่างชั่งใจ
โดยปกติแล้วช่างภาพส่วนใหญ่เวลาหมดงานงานหนึ่งจะต้องนำไฟล์ภาพออกจากเม็มโมรี่การ์ดอยู่เสมอเพื่อการถ่ายภาพอย่างเต็มที่ในครั้งต่อไป
ซึ่งมอร์แกนนั้นไม่แน่ใจว่าลอเรนซ์เป็นช่างภาพประเภทนั้นหรือเปล่า
แต่จะให้เปิดกล้องเพื่อเช็คภาพในเม็มโมรี่ต่อหน้าหญิงสาวผู้นี้แล้วดูจะเป็นเรื่องแปลกเกินไป
อีกทั้งเท่าที่เขาจำได้การขอดูภาพถ่ายของมาแชลกับลอเรนซ์ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก
จากเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้มอร์แกนต้องยอมส่งกล้องให้หญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ”
มาแชลยิ้มขอบคุณสำทับคำพูดก่อนย้ายไปยืนอีกมุมหนึ่งที่แสงไม่ส่องกระทบกับจอมอนิเตอร์
เธอกดไล่ดูภาพถ่ายแต่ละภาพไปเรื่อยๆ ด้วยรอยยิ้มพอใจ
การถ่ายภาพของลอเรนซ์เรียกได้ว่าไร้ที่ติ ทั้งยังมีการพัฒนาฝีมือไปอีกขั้น
ช่วงที่มาแชลกำลังอิ่มเอิบใจกับรูปที่เห็นเธอก็กดไปเจอรูปแปลกๆ ในกล้อง
คิ้วเรียวสวยขมวดเล็กน้อยเพราะรูปที่เธอเห็นนั้นเป็นสถานที่ที่เธอไม่คุ้นเอาเสียเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่อยู่ในรูป
ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อตัวหลวมประดับระบายน้อยๆ เรือนผมสีดำสนิทยาวระต้นคอ
ผิวขาวจัดเกือบซีดรับแสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟจนดูมีน้ำมีนวลขึ้น
ดวงตาสีดำสนิทเสมองไปอีกทาง มองเผินๆ แล้วรูปนี้คล้ายกับรูปแอบถ่าย
ทว่าเมื่อลองกดไล่ดูภาพต่อไปแม้จะเปลี่ยนมุมและระยะภาพก็ทำให้เธอรู้ว่าบุคคลในภาพนี้ถูกตั้งใจถ่าย
หรือว่าที่ไม่ไปถ่ายภาพตามสถานที่ท่องเที่ยวเพราะมัวแต่ถ่ายคนคนนี้อยู่
?
หญิงสาวตั้งข้อสันนิษฐานในใจ
หากเป็นเช่นนั้นจริงเธอไม่แปลกใจเลยที่ว่าทำไมคนรักอิสระอย่างลอเรนซ์ถึงยอมเสียเวลาถ่ายภาพของคนคนนี้
ชีวิตการทำงานเป็นช่างภาพที่ผ่านมาของลอเรนซ์มีบุคคลมากหน้าหลายตาจับจ้องเขาอยู่เป็นนิจ
เลนส์กล้องเปรียบเสมือนระยะห่างระหว่างความสัมพันธ์เป็นกำแพงหนึ่งที่นางแบบหรือนายแบบหลายคนพยายามที่จะข้ามไป
ทว่าพวกเขากลับต้องยอมพ่ายเมื่อได้สบตาตรงๆ กับชายหนุ่มผู้นี้
แต่ชายหนุ่มปริศนาในภาพนั้นต่างออกไป...
ชายหนุ่มที่มาแชลไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ
แต่เธอก็รับรู้ได้ว่าสายตาของเขานั้นไม่มีลอเรนซ์อยู่ในความสนใจ
ดวงตาสีดำสนิทนั้นเพียงแค่มองไปจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น ไร้ซึ่งความประหม่า
เสมือนว่าการจับจ้องของลอเรนซ์ไม่ส่งผลใดๆ ต่ออีกฝ่าย
อิสระที่เหนือกว่าการคุกคามของโฟกัสภาพอาจสร้างความท้าทายให้กับลอเรนซ์จนเจ้าตัวพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ดวงตาคู่นั้นหันมามองตัวเองให้ได้
เป็นผู้ชายที่ร้อนแรงกว่าที่เห็นหรือนี่...?
“คุณมาแชลคะ
เชิญมาเปลี่ยนชุดเซ็ตต่อไปด้วยค่ะ !”
เสียงเรียกของฝ่ายเสื้อผ้าปลุกสติการรับรู้โลกภายนอกของหญิงสาว
เธอพยายามกลั้นขำอย่างยิ่งยวดกับข้อสรุปเมื่อครู่ของตน
มาแชลกดเลื่อนภาพกลับไปที่รูปของตนก่อนปิดกล้องส่งคืนให้มอร์แกนที่ยืนรอรับอย่างกระสับกระส่าย
ทันทีที่ได้รับกล้องมาเขาก็รีบเปิดสวิตช์เลื่อนดูรูปในเม็มโมรี่อย่างรวดเร็ว
มอร์แกนถึงกับอ้าปากค้างรีบเงยหน้ามองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินห่างออกไปเสียแล้ว
สีหน้าของชายหนุ่มถึงกับซีดเผือด ถึงจะรู้ว่ามาแชลไม่ใช่ผู้หญิงปากสว่างโพนทะนาเรื่องอะไรต่อมิอะไรง่ายๆ
แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่มาแชลได้รับรู้จะไม่ส่งผลใดๆ กับลอเรนซ์ในอนาคต
“ไม่สบายหรือครับมอร์แกน
? สีหน้านายดูไม่ดีเลยนะ” ลอเรนซ์ที่โผล่มายืนขนาบข้างทำเอามอร์แกนถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่
เขาอ้ำอึ้งอยู่นานเพื่อหาคำตอบโดยมีลอเรนซ์เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย
“มะ...ไม่เป็นไรหรอกน่า
ฉันก็แค่รู้สึกว่าอากาศมันเปลี่ยนแปลงบ่อย ร้อนๆ หนาวๆ น่ะ ฮ่ะๆ...”
ข้อแก้ต่างและเสียงหัวเราะแหบแห้งไม่ช่วยให้ลอเรนซ์กระจ่างเท่าใดนัก แต่เพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายเขาจึงยิ้มรับรู้และไม่คิดถามต่อ
หากมีเรื่องอะไรมอร์แกนคงจะเล่าให้เขาฟังเอง
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้คงยังไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะพูดคุย
ลอเรนซ์จึงรับกล้องที่ฝากไว้กับมอร์แกนเพื่อกลับไปถ่ายภาพเซ็ตต่อไปตามตารางเวลา
มอร์แกนได้แต่มองตามหลังของลอเรนซ์ก่อนยกมือขึ้นทึ้งผมตัวเองอย่างอดไม่ได้
ถึงจะไม่แน่ใจก็เถอะ
แต่จะให้อธิบายอย่างไรเล่า !!!
ภายในห้องโถงของคฤหาสน์หลังใหญ่มีเพียงโต๊ะรับแขกขนาดเล็กและโซฟารับแขกขนาดกลางเพียงหนึ่งชุดเท่านั้น
บนโซฟากำมะหยี่สีแดงมีชายหนุ่มผมดำจับจองอยู่ก่อนแล้ว เส้นผมสีดำสนิทระแว่นตากันแดดสีดำเล็กน้อยเมื่อใบหน้าเรียวก้มลงเพื่อเพ่งมองหน้าจอโน้ตบุคตรงหน้า
นิ้วมือเรียววางอยู่บนแป้นพิมพ์นิ่งๆ ราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง
จำนวนตัวเลขที่ขยับปรับค่าขึ้นลงรวมไปถึงสีอักษรสีเขียวแดงสลับกันไปมา การใส่แว่นกันแดดเล่นโน้ตบุคและความมีสมาธิจดจ่อกับบางสิ่งบางอย่างจนไม่สนใจบุคคลรอบข้างเรียกได้ว่าสร้างความแปลกใจให้กับอาคันตุกะทั้งสอง
มอร์แกนยืนมองอีกฝ่ายอึ้งๆ
เพราะความมีสมาธินั้นแผ่บรรยากาศกดดันบางอย่างจนเขาไม่สามารถหายใจเสียดังได้
ต่างกับคนข้างตัวที่เพียงแค่มองอย่างประหลาดใจเท่านั้นก่อนเปิดกระเป๋ากล้องแล้วหยิบสายกล้องคล้องคอเดินตรงไปหาเซธเงียบๆ
ตลาดหุ้น
?...
ลอเรนซ์ที่แอบขยับตัวไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังโซฟาชำเลืองมองหน้าจอโน้ตบุคสร้างข้อสรุปในใจ
การเล่นหุ้นในแวดวงคนมีเงินหาใช่เรื่องแปลก
เพียงแต่เขาอดคิดไม่ได้ว่าการเล่นหุ้นของชายหนุ่มตรงหน้านี้เป็นการเล่นเพื่อหารายได้หลัก
ถ้ามีมรดกของตระกูลแล้วเล่นอย่างมีสมองเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก...
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองยิ้มขำติดมุมปาก
เมื่อเหลือบไปเห็นพ่อบ้านซิลเวสเตอร์ที่ยืนโค้งให้อยู่ไม่ไกลนักเขาก็ค้อมศีรษะทักทายกลับ
ลอเรนซ์ค่อยๆ เคลื่อนกายไปอีกด้านพร้อมกับยกตัวกล้องขึ้นปรับระยะเลนส์ให้พอดีกับขอบเฟรมก่อนเลื่อนโฟกัสอย่างที่ต้องการ
ทันทีที่เขากดชัตเตอร์เสียงนิ้วเคาะกับแป้นพิมพ์ก็ดังขึ้นพร้อมกันพอดี
“วันนี้คุณโชคดีไปนะ...”
คำพูดปริศนาของเซธสร้างความงุนงงให้กับลอเรนซ์เพียงครู่ แต่เมื่อได้พิจารณาดีๆ แล้วเขาก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ
ไม่ได้
“ครั้งหน้าผมจะพยายามไม่ให้รบกวนการซื้อขายหุ้นของคุณแล้วกันครับ”
ลอเรนซ์เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม เซธปิดหน้าจอโน้ตบุคลงพร้อมกับถอดแว่นกันแดดออกแล้วส่งให้ซิลเวสเตอร์ที่ยืนรอรับอยู่แล้ว
มอร์แกนค่อยๆ หลบฉากไปยืนอีกมุมหนึ่งที่ไม่รบกวนการถ่ายภาพของลอเรนซ์และอยู่ในจุดที่พร้อมจะช่วยส่งอุปกรณ์ให้
มือเรียวขาวซีดเลื่อนไปหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นจิบอย่างเคย
โดยที่มืออีกข้างกลับเลื่อนไปหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งมากางบนหน้าขา
ลอเรนซ์ที่ยกตัวกล้องขึ้นแนบหน้ามองผ่านวิวไฟน์เดอร์ถึงกับชะงักแล้วลดกล้องลง
“คุณเซธอ่านนิตยสารเล่มนั้นด้วยเหรอครับ
?”
ลอเรนซ์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้อ่านที่ติดตามนิตยสาร
‘Will’ ที่เขาทำงานให้อยู่
ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมายิ่งสร้างความประหลาดใจยิ่งกว่า
“เรากำลังศึกษาผลงานศิลปะของคุณน่ะ”
“ผลงานศิลปะ
? หมายถึงภาพถ่ายของผมเหรอครับ...” ลอเรนซ์ถามย้ำให้แน่ใจ
เซธพยักหน้ารับแทนคำตอบพลางเปิดหน้านิตยสารไปเรื่อยๆ
คำตอบที่มีเพียงแค่ความเงียบนั้นทำเอาลอเรนซ์พูดอะไรไม่ออก
เหตุการณ์เหนือความคาดหมายครั้งนี้สร้างความลำบากในการปั้นสีหน้าให้ดูปกติยากเสียจนเขาต้องยกมือขึ้นปิดหน้าครึ่งหนึ่งแล้วเบือนใบหน้าไปทางอื่น
ลอเรนซ์อาจจะไม่รู้ตัวว่าใบหน้าของเขากำลังขึ้นสีเลือดฝาดก่อนจะแดงก่ำไปถึงใบหู
พระเจ้า
! คนอย่างลอเรนซ์อายเป็นด้วย !
มอร์แกนถลึงตามองบุคคลทั้งสองตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึงถึงขีดสุด
เขามองลอเรนซ์สลับกับเซธที่ยังคงมองหน้านิตยสารพลางจิบไวน์แดงไปด้วยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ทว่าหากสายตาของมอร์แกนไม่เพี้ยนไป
เขารู้สึกว่ามองเห็นรอยยิ้มบางเบาติดมุมปากของเซธที่กำลังยกแก้วไวน์จรดริมฝีปาก
ลอเรนซ์ที่ยืนสงบสติอารมณ์อยู่นานเริ่มถอนหายใจยาว
เขาเดินถือกล้องไปยืนข้างโซฟาที่เซธนั่งอยู่ก่อนทรุดตัวลงนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งบนพื้น
“อาห์...ให้ตายสิ
คุณทำผมถ่ายภาพต่อไม่ได้เลย...นี่คุณเอาคืนที่ผมไปขัดเวลาเล่นหุ้นของคุณหรือเปล่า
?” ลอเรนซ์พูดเสียงอ่อยอย่างคนอารมณ์ไม่คงที่นัก
เซธวางนิตยสารไว้ข้างตัวเมื่อดูจนหมดเล่มแล้วหยิบอีกเล่มวางบนหน้าขาเปิดดูต่อ
“หากผลการเดิมพันตัวเลขเมื่อครู่ของเราออกมาไม่น่าพอใจนัก
เราคงไม่กระทำสิ่งที่คุณกล่าวหาด้วยวิธีเช่นนี้หรอก...”
ยิ่งได้ฟังคำพูดไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเซธยิ่งทำให้ลอเรนซ์ปั้นสีหน้าได้ยากขึ้น
ตลอดมาเซธจับสังเกตช่างภาพผู้นี้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขามักจะแก้ปัญหาหรือบ่ายเบี่ยงด้วยรอยยิ้มมากไมตรีนั้น
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีแต่ไม่สบอารมณ์ของเซธเสียเท่าไหร่
ดังนั้นเขาจึงมองหาช่องว่างที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ด้วยรอยยิ้มได้
นับว่าเรื่องนิตยสารช่างเป็นเรื่องบังเอิญเพราะเจตนาของเซธมีเพียงแค่มองดูผลงานที่บุรุษผู้นี้สร้างขึ้นมาเท่านั้น
แต่คงด้วยเหตุผลบางอย่างเรื่องนี้กลับกลายเป็นชนวนที่สร้างความกระอักกระอ่วนให้กับเจ้าตัว
“เราสงสัยอย่างหนึ่ง... ‘เอาคืน’
ที่คุณบอกนั้นหมายความเช่นไร ?”
คำถามที่ไม่นึกว่าจะโดนถามในเวลานี้คนถูกถามจึงต้องรีบตั้งสติเพื่อหาคำตอบที่เซธจะเข้าใจ
แต่ไม่ว่าจะนึกอย่างไรเขากลับหาถ้อยคำเหมาะๆ
ที่จะนำมาเป็นความหมายของคำที่กล่าวมาได้
“เอ่อ...ก็...หมายถึง...แบบว่า...เหมือนกับว่าเราถูกทำอะไรแล้ว
เราก็จะต้องทำกลับ...อาห์...ผมจะพูดให้คุณเซธเข้าใจอย่างไรดีนะ...”
ระหว่างที่ลอเรนซ์กำลังงุ่นง่านหาคำตอบอยู่นั้น ใช่ว่าเซธจะรอคำตอบอยู่เฉยๆ แม้เขาจะแฝงตัวอยู่ในสังคมมนุษย์มาเป็นร้อยปี
แต่การแฝงตัวของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการแยกตัวออกจากสังคม ไม่ออกไปไหนหากไม่จำเป็น
อีกทั้งยังสร้างอาณาเขตของคฤหาสน์เป็นสัญลักษณ์ขอบเขตที่มนุษย์ไม่ควรเข้าใกล้
ดังนั้นถ้อยคำที่ยุคสมัยนี้ใช้กันมีไม่น้อยทีเดียวที่เซธไม่อาจเข้าใจได้
เพื่อให้การอยู่ร่วมกันอย่างไม่น่าสงสัยเกินไปเขาจึงต้องพัฒนาการใช้คำพูดของตัวเองให้แนบเนียนยิ่งขึ้น
และการมาของลอเรนซ์ก็คือทางออกหนึ่งที่ถูกสร้างไว้ตรงหน้า
โอกาสมาถึงขนาดนี้แล้วไม่คว้าไว้ก็ใช่ที่...
“ถูกกระทำแล้วกระทำกลับ...คุณลอเรนซ์กำลังหมายถึง
การแก้แค้น ใช่หรือไม่ ?”
เซธเสนอคำจำกัดความที่สั้นที่สุดและเข้าใจง่ายที่สุดขึ้นมา
คนที่นั่งปวดหัวอยู่นานก็ดีดนิ้วพร้อมกับพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น
“ใช่แล้วครับ
! การแก้แค้นนั่นล่ะ
อาห์...ทำไมผมถึงนึกไม่ออกกันนะ...” แล้วลอเรนซ์ก็ถอนหายใจยาวพลางบ่นพึมพำเบาๆ
เซธเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าการกระทำของตนก่อนหน้านั้นเหล่ามนุษย์เรียกมันว่า
การแก้แค้น
มนุษย์นี่คิดแก้แค้นกับเรื่องเพียงแค่นี้เชียวหรือ...ทั้งที่ข้าแค่
‘หยอกเอิน’
เท่านั้นเอง...
“มนุษย์นี่เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง...”
เซธพึมพำเบาๆ ก่อนยกแก้วไวน์แดงขึ้นจิบต่อพลางเปิดหน้านิตยสาร
ลอเรนซ์ที่สงบสติอารมณ์ลงได้เรียบร้อยแล้วเขาก็ถอนหายใจแผ่ว
ร่างสูงหยัดกายขึ้นเต็มความสูง
มือทั้งสองจับประคองกล้องอีกครั้งเพื่อใช้งานอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าการถ่ายภาพครั้งนี้ไม่ค่อยเป็นที่พอใจสำหรับลอเรนซ์นัก
เพราะการถ่ายภาพในอิริยาบถซ้ำๆ มันทำให้ภาพของเขาไร้ความหลากหลายเกินไป
เป็นไปได้เขาต้องการให้อีกฝ่ายละสายตาจากหน้านิตยสารแล้วจดจ่อกับการละเลียดรสชาติของไวน์แดงชั้นดีเสียมากกว่า
“เอ่อ...คุณเซธครับ
ผมคิดว่าคุณควรจะหยุดดูนิตยสารก่อนดีกว่าครับ” ลอเรนซ์ลองเสนอความเห็น
ทว่านอกจากจะไม่ได้รับความสนใจแล้ว ประโยคแสบๆ คันๆ
ที่เหนือความคาดหมายของเขาก็ออกมาอีกประโยค
“คุณอายที่ต้องถ่ายภาพเราระหว่างชมผลงานของคุณอยู่อย่างนั้นหรือ...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ...ผมก็แค่...”
“เท่าที่ดูเราว่าภาพถ่ายของคุณสวยนะ
อีกอย่าง...” ยังไม่ทันที่เซธจะได้พูดจบประโยค
นิตยสารที่วางอยู่บนหน้าขาก็ถูกดึงกลับ
ความเผลอตัวเพราะไม่นึกว่าบุคคลตรงหน้าจะกระทำการล่วงเกินเช่นนี้ทำให้ไวน์แดงในแก้วที่ถือไว้อีกมือกระฉ่อกออกรดเสื้อตัวเองและพื้นพรม
ทว่าผู้กระทำกลับรู้ตัวไม่เพราะลอเรนซ์ยังคงจับจ้องคนนั่งอยู่แล้วเอ่ยต่อเสียงเรียบ
“ผมแค่อยากได้ความร่วมมือจากคุณครับ...คุณเซธ...”
แทนที่ประโยคเมื่อครู่จะอยู่ในความสนใจของเซธ
เขากลับเลือกที่จะจ้องดวงตาสีบลูสกายที่หลุบต่ำลงมา ตำแหน่งการมองที่ไม่น่าพิสมัย
อีกทั้งการกระทำหยาบคายอย่างไร้มารยาททำให้ความไม่ชอบใจยากจะควบคุม
มือเรียวยกขึ้นกระชากคอเสื้อเชิ้ตดึงอีกฝ่ายลงมาให้ใบหน้าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปลายคางตน
ดูเหมือนว่าลอเรนซ์จะได้สติกลับมาอีกครั้งแต่สายไปเสียแล้ว...
“จงชดใช้ความหยาบคายของเจ้าด้วยการเลียพื้นพรมให้สะอาดเสีย”
ดวงตาสีดำสนิทที่จับจ้องทอประกายสีแดงเล็กน้อย
มอร์แกนที่ยืนมองอยู่ถึงกับเบิกตากว้าง
จะให้ผลีผลามเข้าไปห้ามก็ไม่กล้าเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้
แต่จะปล่อยเพื่อนสนิทตัวเองทำเรื่องน่าอายตามคำสั่งนั้นก็คงไม่ดี
ระหว่างที่มอร์แกนกำลังสับสนทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นเอง
พ่อบ้านคนสนิทเป็นฝ่ายเข้ามาปรามผู้เป็นนายเสียก่อน
“นายท่านขอรับ...การลงโทษเพื่อชดใช้ความผิดนั้นกระผมเกรงว่าจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่
หากไม่เป็นการขัดใจนายท่านจนเกินไป กระผมขอให้ละเว้นความผิดนี้เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการได้หรือไม่ขอรับ...”
ถ้อยคำอ่อนน้อมมาพร้อมกับการค้อมกายลงของซิลเวสเตอร์
แม้จะหงุดหงิดสักแค่ไหนแต่ด้วยเหตุผลที่คนรับใช้คนสนิทแจงมาแล้วจะให้ปฏิเสธก็ดูไม่สมควร
แท้จริงแล้วความเมตตาไม่เคยมีอยู่ในความคิดของเซธสักครั้ง
แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและสภาพแวดล้อมรอบข้าง จะให้เอาการกระทำของพวกขุนนางชั้นสูงแสนว่างงานที่เขาเคยเห็นมาใช้ในเวลานี้เกรงว่าจะกลายเป็นการลดค่าความน่าเกรงขามของตนเสียมากกว่า
“เห็นแก่คำร้องขอของซิลเวสเตอร์
เราจะยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
ขอให้คุณรู้ไว้ว่าการขัดช่วงเวลารื่นรมย์ของเราจะส่งผลเช่นไร...”
ว่าแล้วเซธก็ปล่อยลอเรนซ์ให้เป็นอิสระก่อนลุกขึ้นปลดเสื้อที่เลอะคราบไวน์แดงออกจากกาย
ช่างภาพหนุ่มยืนก้มหน้าทบทวนตัวเองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ...คุณเซธ”
“คำขอโทษนั่นไม่จำเป็น
เพราะการขอขมานั้นซิลเวสเตอร์ได้กล่าวแทนคุณไปแล้ว...” ซิลเวสเตอร์รับเสื้อจากเซธก่อนค้อมกายลงเดินออกไปอีกห้อง
ลอเรนซ์ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองขึ้นเล็กน้อยพลางเม้มปากแน่น
เขาพยักหน้ารับคำพูดอย่างหาข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้
...นายเคยใจเย็นกว่านี้นี่ลอเรนซ์...
ลอเรนซ์ย้ำเตือนตัวเองในใจขณะที่เก็บอุปกรณ์ในกระเป๋าเงียบๆ
มอร์แกนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างหลายครั้งแต่ก็ไม่มีคำใดหลุดออกมา
เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วลอเรนซ์ก็สะพายกระเป๋ากล้อง
เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องก่อนค้อมหัวลงเล็กน้อยแทนคำบอกลาเงียบๆ
โดยที่เซธเพียงแค่เหยียดกายลงนอนบนโซฟาอย่างไม่คิดจะสนใจ
บรรยากาศอึมครึมภายในห้องโดยสารของรถแท็กซี่
ความรู้สึกอึดอัดแผ่กระจายจากเบาะนั่งด้านหลังมาถึงคนขับรถด้านหน้า
ถึงแม้ว่าจะมีกระจกกั้นระหว่างผู้โดยสารและคนขับก็ตามที
ดวงตาสีเขียวใสเหลือบมองกระจกหลังเป็นระยะเพื่อจับสังเกตที่มาของความอึดอัดที่ยังคงนั่งมองนอกหน้าต่าง
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองเสยจัดเป็นทรงชี้ไปมาเล็กน้อยอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตหลวมสบาย
ใบหน้าคร้ามคมวางอยู่บนฝ่ามือที่เท้าแขนขึ้นกับที่วางแขนข้างประตูรถ
ดวงตาสีบลูสกายมองทิวทัศน์ด้านนอก โดยมีชายหนุ่มอีกคนนั่งกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ
จะเริ่มบทสนทนาอย่างไรดีล่ะ...
มอร์แกนกลอกตาไปมาอย่างจนใจ
น้อยครั้งนักที่เขาจะได้เห็นลอเรนซ์ในสภาพแบบนี้
และการรับมือของเขาก็ได้ผลน้อยเสียยิ่งกว่าสภาพอารมณ์ตกต่ำของลอเรนซ์เสียอีก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มอร์แกนจะรู้สึกนั่งไม่ติด
แอร์ในรถที่คิดว่าเย็นกลับยิ่งเรียกเหงื่อของเขาให้มากขึ้น ตั้งแต่ออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นลอเรนซ์ก็ไม่เปิดปากพูดอะไรออกมา
ตลอดทางเขานั่งเงียบและมองทิวทัศน์ข้างถนนอยู่แบบนั้น
มอร์แกนเหลือบมองคนข้างตัวอย่างจนใจก่อนถอนหายใจยาว
“เฮ่อ...”
“ขอโทษด้วย
เดี๋ยวผมลงตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้านี่ล่ะครับ...” ยังไม่ทันที่มอร์แกนจะได้หันมองคนพูด
คนขับรถก็เปิดไฟเลี้ยวขยับพวงมาลัยเทียบจอดข้างทางเท้า
ลอเรนซ์หยิบกระเป๋าสะพายพร้อมกับเปิดประตูรถ
ก่อนที่มอร์แกนจะได้ขยับตัวประตูข้างก็ถูกปิดกลับมาเสียก่อนโดยที่คนปิดหมุนตัวเดินไปอีกทางไร้ซึ่งคำลา
“จะลงด้วยหรือเปล่าครับ
?” เสียงจากลำโพงห้องโดยสารทำเอามอร์แกนสะดุ้งเฮือก
เขาหันมองลอเรนซ์สลับกับคนขับรถครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจอีกครั้งแล้วเอนตัวพิงพนักที่นั่งอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไม่เป็นไรครับ...ไปต่อเถอะ”
ช่วงขายาวก้าวไปตามทางเดินที่เริ่มร้างราผู้คน
จากถนนสายใหญ่กลายเป็นถนนสายเล็กที่ไร้ความพลุกพล่าน ย่านที่อยู่อาศัยมีบ้านหลักเล็กใหญ่สลับกันไปตามฐานะ
ลอเรนซ์เดินไปตามทางเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนนักราวกับขบคิดอะไรบางอย่าง
ความว้าวุ่นใจที่เหลือคณาทำให้เขาไม่สามารถกลับไปพักผ่อนเฉยๆ ได้
การที่ได้ถ่ายภาพบุคคลที่เขาต้องการจากเบื้องลึกมีทั้งความรู้สึกที่เข้าใจในอารมณ์ศิลปินที่อยากสร้างสรรค์งาน
ไปจนถึงความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
หลายสิ่งหลายอย่างที่รุมเร้าทั้งด้วยบรรยากาศโดยรอบแสนลึกลับ
ความใกล้ชิดที่ไม่อาจเอื้อม และความประทับใจแรกที่ได้เจอ
ทำให้ความรู้สึกบางอย่างถูกบ่มเพาะโดยไม่รู้ตัว
ความไม่พอใจของตัวแบบที่ถูกถ่ายเขาควรจะใส่ใจแค่ในงานเท่านั้น
แต่กับคนคนนี้เขาไม่อาจปล่อยไปได้
ไร้เหตุผลจริงๆ...
หลังจากที่เดินเท้ามาได้พักใหญ่
ลอเรนซ์ก็มาหยุดตรงหน้ารั้วเหล็กสูงที่ปิดกั้นคฤหาสน์หลังใหญ่กับโลกภายนอกเอาไว้
เขตแดนที่ประกาศความเป็นเอกเทศประกอบกับหมอกสีขาวบางชวนขนลุกทำให้น้อยคนนักที่จะเฉียดกรายเข้าใกล้
ดวงตาสีบลูสกายมองผ่านช่องว่างของรั้วเหล็กเงียบๆ ก่อนถอนหายใจยาว
เขาเอนตัวพิงประตูรั้วเหล็กนั่นพลางคิดทบทวนในใจเพื่อหาเหตุผลที่ย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง
“ต้องให้เจ้าบ้านอย่างเราออกมาพบ
เพราะบรรยากาศปั่นป่วนรบกวนเวลาพักผ่อนเช่นนี้ คุณมีเหตุผลสมควรอันใด...”
น้ำเสียงเรียบนิ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตูรั้วเหล็ก
ลอเรนซ์เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนขยับยิ้มบางเบาที่มุมปาก
“ขอโทษด้วยครับ
ผมยังหาเหตุผลที่ว่านั่นไม่เจอเลยล่ะ...”
“หรือคุณคิดจะมาขอผ่อนโทษจากเราอีกครา...”
“ถ้าคุณยังรับคำขอโทษจากผมนะครับ...”
“เราบอกว่าโทษนั้นถูกละไว้เพราะคำขอของซิลเวสเตอร์แล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ
เรื่องเช่นนี้เราไม่เก็บมาคิดผูกใจเจ็บอย่างไร้เหตุผลหรอก...ถึงแม้ว่าการกระทำที่เกิดขึ้นจะเป็นการเสียมารยาทกับเราอย่างยิ่งก็ตามที”
“แย่จัง...ยิ่งฟังคุณพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอายนะ
เพราะผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองยังไม่โตเลย...”
ลอเรนซ์หัวเราะเสียงแผ่วก่อนหมุนตัวหันไปสบตากับบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ดวงตาสีดำสนิทยากจะคาดเดาความรู้สึกประกอบกับใบหน้าที่เฉยชาทำให้บรรยากาศรอบกายของชายหนุ่มตรงหน้าไม่น่าเข้าใกล้
ทว่าลอเรนซ์กลับรู้สึกว่าโล่ล่องหนนั้นเป็นเพียงแค่ปราการอย่างหนึ่งทางสังคมเท่านั้น
ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเซธคงไม่ใช่ชีวิตของมนุษย์สามัญชนเช่นตน
แต่อาจเป็นสังคมชั้นสูงที่สวมหน้ากากหัวเราะใส่กันด้วยไมตรีจอมปลอมทำให้เซธต้องสร้างเกราะคุ้มกันให้ตัวเองแบบนั้น
ยิ่งชิดใกล้...ยิ่งอยากสัมผัส...
“แน่นอนล่ะ...เทียบกันจริงๆ
แล้วเราอายุมากกว่าคุณ เพียงแค่คุณไม่ทราบเท่านั้นเอง”
คำพูดของเซธยิ่งทำให้ลอเรนซ์รู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
พร้อมกับหันหน้าไปอีกทางเพื่อรักษามารยาท ทว่าคงสายไปเสียแล้ว...
“คุณกำลังเสียมารยาทต่อหน้าเราอีกครั้ง
คุณลอเรนซ์...คุณกำลังทำให้คำขอขมาของซิลเวสเตอร์สูญเปล่า”
เซธมองคนหัวเราะด้วยสายตานิ่งสนิท
ขณะที่ช่างภาพหนุ่มรีบกลั้นลมกลืนเสียงหัวเราะกลับเข้าไปแล้วค้อมศีรษะให้เล็กน้อยแม้ว่ามุมปากจะติดยิ้มอยู่ก็ตามที
น่าหงุดหงิดเสียยิ่งกว่าคราแรกเสียอีก...
“อาห์...ขอโทษครับ
ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริงๆ ครับที่เสียมารยาท”
ลอเรนซ์รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของเซธ
ถึงจะแปลกใจอยู่บ้างที่ไม่ได้คิดไปเองว่าเซธเปลี่ยนสีหน้า
แต่เขาก็ยังต้องพยายามรักษาสภาพอารมณ์ของอีกฝ่ายให้คงที่อยู่เสมอ
มิฉะนั้นแล้วอาจส่งผลเสียอย่างไม่เคยนึกภาพมาก่อนเลยก็เป็นได้
“ครานี้เรามิอาจให้อภัย”
น้ำเสียงเย็นเยียบทำเอาลอเรนซ์หนาวสันหลังเยือก
เขามองหน้าคนพูดด้วยแววตาตื่นตระหนก ทว่าเซธกลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้
ลอเรนซ์รับมันอย่างงุนงง เมื่ออ่านข้อความในกระดาษแล้วความรู้สึกแปลกใจก็เข้ามาแทนที่
“วันศุกร์นี้ตอนบ่ายสาม
? เวลานัดถ่ายภาพครั้งต่อไปเหรอครับ ?”
“หากคุณต้องการให้เรายกโทษให้
แค่มาตามเวลานั้นก็พอ แล้วคุณจะทราบเอง” คำพูดที่ไม่ไขข้อข้องใจของเซธยิ่งทำให้ลอเรนซ์งงหนัก
แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามสิ่งใดต่อ
เพราะหากยิ่งถามอาจยิ่งกลายเป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้กับอีกฝ่ายมากขึ้น
ลอเรนซ์จึงเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจแล้วรอคอยวันที่นัดพบมาถึง
ความคิดเห็น