ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Endless Phantasia (spin-off)

    ลำดับตอนที่ #5 : The Prisoned Monster – Ch01 ~ 80%

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 56


    The Prisoned Monster – Ch01

     

    ในห้องมืดทึบแห่งหนึ่ง ขนาดกว้างยาวไม่เกินสามเมตร มีเพียงโต๊ะที่จวนจะพังอีกตัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับประตูเหล็กหนา และเตียงสองชั้นเก่าๆ อีกสองหลังวางตรงข้ามกัน อีกสองด้านของห้องมืดๆ สลัวๆแห่งนี้

    สภาพของผู้อาศัยทั้งสี่คนเองก็ทรุดโทรมไม่ต่างจากสภาพห้องเท่าใดนัก

    ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ สิ่งที่พอจะนำมาคุยกันได้ก็หมดไปหลายปีแล้ว อดีตที่เคยรุ่งเรือง ความยิ่งใหญ่ที่เคยมี นิ่งคิด ยิ่งพูดถึง ก็ยิ่งโหยหา และเมื่อมีสภาพเช่นปัจจุบัน ยิ่งโหยหาอดีตมากเท่าไหร่ ความสิ้นหวังก็เกาะกินจิตใจมากเท่่านั้น เมื่ออยู่ในสภาพนี้ แม้แต่ชายหนุ่มที่แข็งแรงที่สุด ก็ยังกลายเป็นคนอ่อนแอไปได้โดยง่าย

    แกร็ก...

    เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น และไม่ใช่แค่บานเดียวแต่เป็นหลายสิบหลายร้อยบานเปิดออกมาพร้อมกัน ทั้งสี่คนก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกนับพันที่เดินออกมาจากประตูห้องบานอื่น

    ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีใครคิดจะคุย ไม่ได้คิดอะไรเลย ต่างคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ให้พ้นไปวันๆ

    แค่มีชีวิตอยู่ แต่ก็ไร้ชีวิต

    คนนับพันคน เดินมารวมกันที่ลานกว้างตรงกลาง รอคอยให้ปะตูใหญ่ตรงหน้าเปิดออก

    คนที่อยู่ด้านหน้าเดินเข้าไป หลังประตูใหญ่เป็นห้องโถงกว้าง มีโต๊ะยาววางเรียงเป็นระเบียบ ต่างคนต่างก็เข้าไปนั่งยังที่ของตนเอง

    อาหารค่อยๆ ถูกลำเลียงผ่านมาทางสายพานและหยุดอยู่ตรงหน้า

    อ็อด...

    เสียงสัญญานดัังขึ้น ทุกคนก็เริ่มทานอาหารตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน คนพันกว่าคนทานอาหร แต่มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบจานเท่านั้น

     

    ด้านบนเหนือห้องทานอาหาร ชายสองคนมองผ่านกระจกใสลงมายังภาพเบื้องล่าง คนหนึ่เป็นชายหนุ่ม รูปร่างผอมบาง อายุไม่เกินสามสิบ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเรียบๆ กับกางเกงสเล็คสีดำรีบเรียบจนกลีบโง้ง ส่วนอีกคนเป็นเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ ใส่ชุดสีเขียวเข้มเหมือนทหาร

    "คุณคิดจะใช้เจ้าพวกเศษเดนพวกนี้จริงๆ น่ะเหรอ" ชายกลางคนเอ่ยขึ้นมาก่อน ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ก็เคยคุยเรื่องนี้กันก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้ว ชายหนุ่มได้ยินก็ยิ้มตอบกลับไปว่า

    "แน่นอนครับ ทางเบื้องบนเองก็อนุมัติมาแล้ว"

    "คุณคิดว่าจะคุมเจ้าพวกเวรตะไลนี้อยู่รึไง ผมว่ามันคงทำเอาคุณหัวหมุนเลยหละ ผมว่ามันไม่คุ้มเท่าไหร่เลยนะ" ชายกลางคนเอ่ยต่อ

    "ผมว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ เท่าที่เห็นก็ดูเรียบร้อยดี"

    "ที่เรียบร้อยก็เพราะยากดพฤติกรรมกับปลอกคอกดประสาทน่ะสิ"

    "โครงการนี้ตั้งชึ้นมาก็เพื่อลดการใช้ของพวกนี้อยู่แล้วนี่ครับเพราะทางรัฐบาลเองก็เริ่มรับภาระนี้ไม่ไหวแล้ว แทนที่จะต้องเสียค่ายาค่าอาหารนักโทษเดือนละหลายร้อยล้าน สู้เอามาลงทุนสร้างระบบนี้พันกว่าล้าน และเสียค่าบำรุงรักษาปีละไม่กี่ล้าน คิดยังไงระยะยาวก็คุ้มกว่าอยู่แล้วครับ" ชายวัยกลางคนได้ฟังแล้วก็ต้องถอนใจออกมา

    คิดจะเอาเข้าพวกเวรนี่ไปแทนเอไอมอนสเตอร์ในเกมนี่นะ ไม่รู้พวกนั้นเอาอะไรมาคิดกัน แค่พวกมันไม่รวมหัวกันป่วนเกมก็บุญแล้ว

    "แล้วคุณจะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ" ชายวัยกลางคนถามต่อ ชายหนุ่มก็ยิ้มตอบกลับไปว่า

    "วันนี้เลยครับ" พอพูดจบ นักโทษที่ทานอาหารอยู่ก็ฟุบลงกับโต๊ะตามกันเป็นแถวๆ แล้วก็มีคนในชุดช่างกับชุดแพทย์หลายร้อยคนเข้ามาทางประตูหน้า

    คนในชุดช่างกลุ่มหนึ่งเข้าไปตามห้องขัง รื้อเตียงและข้าวของในห้องออกมา และอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปติดตั้งตู้แค็ปซูลและระบบที่จำเป็นในห้องนั้น

    ส่วนคนทีี่ใส่ชุดแพทย์เข้าไปหานักโทษแต่ละคน ถอดชุดนักโทษออกและผ่าตัดใส่ท่อบางอย่างเข้ากับร่างกายขอนักโทษแต่ละคน ก่อนที่ชุดแพทย์อีกกลุ่มหนึ่งจะนำคนที่ผ่าตัดเสร็จแล้วไปเข้าตู้แค็ปซูลที่ติดตั้งเสร็จแล้ว ต่อสายเข้ากับท่อที่อยู่บนร่างของนักโทษก่อนจะเอาตัวนักโทษเข้าตู้แค็ปซูลไป

    ทั้งหมดทำงานอย่างรวดเร็ว นักโทษพันกว่าคน ใช้เวลาเพียงสองสามชั่วโมงก็เข้าไปนอนในตู้แค็ปซูลจนหมด

    "ตอนนี้ระบบก็พร้อมแล้ว ผมขอฝากที่เหลือด้วยนะครับ"ชายหนุ่มเอ่ยบิกเมื่อทีมแพทย์คนสุดท้ายออกจากเรือนจำนี้ไป ชายวัยกลางคนก็พยักหน้ารับ ตอบกลับไปว่า

    "ไม่ต้องห่วง ถึงผมจะแก่แล้ว แต่ของพวกนี้ผมก็ยังใช้งานเป็นอยู่" พลางเดินไปที่โต๊ะทำงานของตนที่มีแผงควบคุมการทำงานของระบบแค็ปซูลจำศิลเพิ่มขึ้นมา ด้านหลังก็มีตู้แค็ปซูลอีกหลังตั้งอยู่ด้วย

    "ถ้าเช่นนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ" ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินออกไป ทิ้ให้ชายวัยกลางคนยืนใช้ความคิดอยู่เงียบๆ คนเดียว

    ....................................................

     

    เหมือนกับอยู่ท่ามกลางความฝันอันพร่าเลือน

    เป็นเพราะยากับปลอกคอนั่น ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเลือนลาง

    ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่ที่ผมต้องมาอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยความผิดที่ผมไม่ได้ก่อ

    หรืออย่างน้อย ผมก็คิดว่าผมไม่ได้ทำผิด

    ที่ผมทำก็คิอ เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับระบบการปกครองในปัจจุบัน ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและจุดบกพร่องของระบบ แนะแนวทางที่จะทำให้ระบบดีขึ้นกว่าเดิม

    หลายคนเห็นด้วย

    หลายคนคัดค้าน

    หลายคนว่าผมเป็นผู้นำการปฏิวัติ

    หลายคนว่าผมเป็นกบฎ

    ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันเริ่มต้นและจบลงอย่างไร แต่สิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้ก่อนเข้ามายังที่แห่งนี่ก็คือ ภาพของแม่ที่ยืนร้องไห้ส่งผมเข้าเรือนจำ

    ด้วยข้อหาที่ผมไม่เคยได้ยิน

    ด้วยความผิดที่ผมไม่เคยได้ก่อ

    ด้วยหลักฐานแน่นหนาที่ถูกสร้างขึ้นมา

    ความเหงา ความเศร้า ความเจ็บปวด ตอนนี้มันเลือนลางราวกับความฝันอันแสนไกลในอดีตที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว

    และแล้ว ผมก็ตื่นขึ้นมา หรือบางที มันอาจเป็นความฝันในความฝันอีกทีหนึ่งก็ได้ แต่ว่ามันเป็นความฝันที่ชัดเจนยิ่งกว่าความจริงที่ผ่านมาแล้วเสียอีก

    'ยืนยัน นักโทษชาย หมายเลข 44-1-774-0983' เสียงหญิงสาวสังเคราะห์ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด แล้วหน้าจอสีขาวก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า แต่ตัวผมยังถูกปกคลุมด้วยความมืดที่มองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง

    'ต่อไป จะอธิบายสถานะในปัจจุบัน ขอให้รับฟังด้วยความสงบ' เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง หน้าจอก็ปรากฎภาพเหมือนกับการแถลงการของรัฐบาล มีคนหลายคนอยู่ในหน้าจอ เหมือนจะจำได้ แต่ก็นึกไม่ออก

    แถลงการความยาวกว่าเก้าสิบนาที ตามเวลาที่วิ่งอยู่ด้านล่าง ทำให้ผมเข้าใจว่าตนเองคงเป็นหนึ่งในหนูทดลองขอรัฐบาลแล้ว

    โครงการจำศิลนักโทษเพิ่อลดภาระค่าใช่จ่ายของรัฐบาล

    แต่สำหรับผมแล้ว จะให้อยุู่ในความจริงที่เลื่อนลอยเหมือนความฝัน หรือจะให้หลับไปเลยก็คงไม่ต่างกันนักหรอก

    แล้วหน้าจอตรงหน้าก็หายไป ภาพรอบตัวก็ปรากฎชัดเจนขึ้น

    รอบตัวผมมีลูกไฟหลากสีสันลอยอยู่กลางอากาศสุดลูกหูลูกตา ทั้งสีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง สีขาว มีสีม่วงกับสีดำด้วย

    ขณะที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็มีนางฟ้าองค์หนึ่ปรากฎขึ้นที่ขอบฟ้า ที่ผมเรียกเธอว่านางฟ้า ไม่ใช่เพราะว่าเธอสวยมาก เพราะแสงที่ย้อนมาจากทางด้านหลังของเธอผมมองเห็นหน้าขอเธอได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เพราะปีกสีขวาสองข้างที่อยู่ด้านหลังนั่นต่างหาก

    "เหล่าวิญญาณบาปทั้งหลาย" เธอพูดขึ้นน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ก็เย็นชาอยู่ในที คงเพราะเธอต้องทำหน้าที่นี้อย่างไม่รู้จักจบสิ้นก็ได้

    วิญญาณบาปงั้นเหรอ ผมคิดใจใจอย่างเย้ยหยัน นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้

    "พวกเจ้าทั้งหลายจะถูกส่งไปเกิดใหม่ เพื่อชดใช้บาปกรรมที่พวกเจ้าเคยก่อ ตามแต่กรรมที่พวกเจ้าเคย ไม่มีใครช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้นอกจากตัวของเจ้าเอง เราจะเหลือความทรงจำในอดีต เพื่อให้พวกเจ้าได้เรียนรู้และสำนึกในผลกรรมของตน นี่คือสิ่งเดียวที่เราช่วยพวกเจ้าได้ ขอให้พวกเจ้าสั่งสมควมดี ชดใช้กรรมที่เคยก่อ เพื่อให้สามารถพ้นทุกข์ได้โดยเร็ว"

    เมื่อเธอพูดจบ ภาพรอบตัวผมก็มืดลงไปอีกครั้ง

    อา...คราวนี้ผมคงได้ตายไปจริงๆ แล้ว

    ..............................................................

     

    สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้ก็คือความอบอุ่นที่ห่อหุ้มอยู่รอบตัว และเสียงที่ดังเป็นจังหวะเหมือนกับเสียงหัวใจเต้น ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่ยังมีเสียงที่ดังเบาๆ อยู่รอบตัวผมอีกห้าเสียง ความสบายที่ได้รับทำให้ผมเผลอหลับไปอีกรอบ

    ผมรู้สึกตัวและหลับไปหลายครั้งก็ยังคงพบความอบอุ่นสบายเช่นเดิม ถ้านี่เป็นนรก ก็คงเป็นนรกที่สบายที่สุดเป็นแน่

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดผมก็ขยับตัวได้ อันที่จริงต้องบอกว่าผมนอนในนี้มานานจนรู้สึกอยากบิดขี้เกียจขึ้นมาเท่านั้นเอง

    หลังจากนั้นไม่นาน ความสบายที่เคยมีก็หายไป เกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแทน ผมพยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากความรู้สึกบีบรัดที่เกิดขึ้นจนในที่สุด ผมก็หลุดออกมาได้

    ความอบอุ่นที่เคยมีหายไป มีความเย็นเข้ามาห่อหุ้ม ผมพยายามขยับตัวเพื่อหาความอบอุ่น แต่ดูเหมือนแรงดึงดูดจะมากเกินกว่าที่ผมจะทนได้ จนต้องล้มลงไปหลายครั้ง แต่แล้วความอบอุ่นอย่างใหม่ก็เข้ามา

    มีอะไรบางอย่างที่เปียกและลื่นมาลูบหน้าผมก่อนจะไล่ไปตามลำตัว ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากจุดที่สิ่งนั้นได้ลูบผ่านไป และผมก็รู้สึกถึงไออุ่นที่อยู่ออกไปไม่ห่าง

    ผมพยายามเดินเข้าไปหาไออุ่นนั้น แรงดึงดูดที่มากเกินไป ทำให้ผมต้องเดินสี่ขาเข้าหาไออุ่นนั้น ในที่สุด ผมก็ชนกับอะไรบางอย่างที่อุ่นและนิ่ม ผมจึงนอนพิงสิ่งนั้นอย่างหมดแรง

    พอได้พักสบายๆ ผมก็เริ่มคิดถึสภาพของตัวเอง ในตอนนี้ ถ้าที่นางฟ้าองค์นั้นพูดเป็นจริง ผมคงมาเกิดเป็นตัวอะไรบางอย่าง ที่มองไม่เห็นคงเพราะตายังไม่ลืม และจากที่มือ หรือขาหน้าสัมผัสได้ น่าจะเป็นพวกหมาแมวอะไรสักอย่าง แต่ผมอยากเป็นหมามากกว่า เพราะแม่ผมชอบให้อาหารหมาจรจัดที่อยู่แถวบ้านเสมอ แต่ไม่ชอบแมวเท่าไร่นัก

    พอเริ่มสบายใจ ท้องก็เริ่มหิว ก็ผมยังเป็นลูกหมาลูกแมวนี่นะ คงต้อกินนมแม่ไปสักพัก

    ผมเริ่มควานหานมแม่พอเจอก็เข้าไปงับทันที แต่นมแม่ตัวนี้ทำไมมันเล็กจัง หรือว่าผมเป็นลูกครอกแรกก็ไม่รู้

    แต่แล้วจู่ๆ นมในปากผมก็หลุดออก ดูเหมือนแม่จะลุกขึ้น แล้วผมก็ถูกคาบหลังคอไปวางลงอีกที่หนึ่ง ผมสัมผัสได้ว่ามีร่างที่ขนาดพอๆ กับผมอยู่หลายร่างพร้อมกับไออุ่นอีกแห่งหนึ่ง

    แล้วผมก็ได้ยินเสียง ไม่สิ เหมือนกับเข้าใจความหมายมากกว่า เพราะที่ได้ยินเป็นเพียงเสียงร้อง หงิงๆ หงืดๆ เท่านั้นเอง

    'ไอ้ลูกงี้เง่า แม่เจ้าอยู่ทางนี้ต่างหาก' เสียงแรกดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม ฟังดูฉุนเฉียวไม่น้อย

    'โธ่ พี่ก็ ลูกพึ่งเกิดยังมองไม่เห็น จะไปรู้ได้ยังไง' อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมา ฟังดูแล้วผู้พูดคงรู้สึกขบขันไม่น้อย

    'แต่ข้าเป็นพ่อมันนะ แค่นี้ก็น่าจะรู้บ้างสิ' เสียงแรกโวยวายกลับมา แต่ก็เป็นการเรียกเสียงหัวเราะจากอีกเสียงหนึ่งเท่านั้น ทำเอาเสียงแรกส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างไม่พอใจ

    'เจ้าตัวยุ่ง เจ้าทำพ่อเจ้าโกรธแล้วเห็นไหม' เสียงของแม่ดังขึ้นพร้อมกับลิ้น (มั๊ง?) มาลูบผ่านตั้งแต่ศีรษะจนถึงแผ่นหลังอย่าอ่นโยนหลายครั้ง

    ผมไม่เห็นสักหน่อยจะรู้ได้ไงล่ะ แล้วที่ทำให้พ่อโกรธน่าจะเป็นแม่มากกว่านะ ผมคิดในใจพลางส่งเสียงเหมือนจะประท้วงข้อกล่าวหา แล้วลิ้นที่เลียอยู่ก็หยุดทันที

    'พี่ พี่ได้ยินเหมือนกันไหม' เสียงแม่ดังขึ้นน้ำเสียงฟังดูตกใจไม่น้อย

    'ข้าก็ได้ยิน ไม่น่าเชื่อ เจ้าลูกงี่เง่าตัวนี้จะพูดได้ตั้งแต่ยังไม่ลืมตาเลย' เสียงพ่อดังออกมาต่อ น้ำเสียงประหลาดใจไม่แพ้กัน แล้วก็มีอะไรบาอย่างมาทับตัวผมไว้

    'พี่...' เสียงแม่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงขู่ดัง แฮ่

    'ก็ได้ ก็ได้ ข้าไม่แกล้งลูกแล้ว ข้าไปหาอะไรมาให้เจ้ากินดีกว่า' แล้วผมก็รู้สึกเหมือนมีลมพัดวูบหนึ่งผ่านไป พ่อคงออกไปแล้ว แล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตาทานนมของแม่ต่อ

    เท่าที่ฟังดู จากเสียงของพ่อแม่ ผมคงเกิดเป็นลูกหมาละมั๊ง แต่ก็ดี พอโตขึ้น ผมจะได้ไปหาแม่ของผมได้

    …………………………………………………………………..

    ผ่านไปสองวัน ในที่สุดพี่น้องตัวของผมอีกห้าตัวก็ลืมตาจนครบ สามตัวเมื่อวาน และอีกสองตัวเมื่อเช้านี้ ทำให้แม่หมาไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าตลอดเวลาอีก

    ทุกเช้า หลังจากที่ลูกๆ ทุกตัวกินนมอิ่มแล้ว แม่หมาก็จะออกจากหลุมไปกินอาหารที่ฝูงช่วยกันล่ามาได้ ระหว่างนั้น ก็จะมีตัวเมียตัวอื่นในฝูงมาช่วยดูแลพวกผมแทน

    ตัวเมียที่มาช่วยดูแลพวกผมมักไม่ได้มาตัวเดียว แต่จะมีเพื่อนอีกหนึ่งหรือสองตัวมาด้วยเสมอ และไม่รู้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะของเพศเมียรึเปล่า ตัวเมียที่มาช่วยดูแลพวกผมชอบพูดคุยกันโดยไม่สนใจว่าจะมีเด็กฟังอยู่ด้วยแแต่นั่นก็ทำให้ผมรู้เรื่องในฝูงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

    เรื่องแรก คำเรียกของพ่อกับแม่

    ตัวเมียที่แก่กว่ามักจะเรียกแม่ว่า อีสวย ไม่ก็นางสวย ส่วนที่อ่อนกว่าหรือพอๆ กันก็จะเรียกนางสวย หรือว่าพี่สวยแทน ซึ่งผมก็ว่าเหมาะดี เพราะเท่าที่เห็น แม่มีขนสวยกว่าตัวเมียตัวอื่นเยอะเลย

    ส่วนพ่อนั้น จะถูกเรียกว่านายหัว เพราะว่าพ่อเป็นถึงจ่าฝูง แต่ผมมักจะแอบเรียกในใจว่า นายหัวโต เพราะเทียบกับตัวอื่น (เท่าที่ผมเห็น) หัวพ่อโตกว่าตัวอื่นจริงๆ

    อีกเรื่องก็คือ หมาป่าในฝูงนี้จะจับคู่กันปีละหน และก็จะจับคู่ทีละคู่เท่านั้น จะเปลี่ยนคู่ก็ต่อเมื่อเมื่อถึงปีต่อไป และทั้งตัวผู้กับตัวเมียจะช่วยกันเลี้ยงลูกจนกว่าจะหย่านม ตอนแรกเมื่อลูกยังไม่ลืมตา ตัวผู้จะคอยเอาอาหารมาให้ตัวเมีย พอลูกลืมตาและพอรู้เรื่องแล้วก็จะสลับกันออกล่ากับฝูง ตัวที่ไปล่าก็จะเอาอาหารมาให้ตัวที่เฝ้าลูก แต่ว่า พ่อเป็นจ่าฝูง จะต้องร่วมล่ากับฝูงทุกครั้ง แม่ก็เลยต้องอยู่เฝ้าลูกตลอด และพ่อก็ต้องคอยอยู่แบ่งอาหารที่ล่ามาได้ ทำให้แม่ต้องออกไปรับส่วนแบ่งเอง และให้ตัวเมียตัวอื่นที่ร่วมล่ามาเฝ้าแทน ก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อกินเสร็จแล้ว และให้ตัวเมียที่มาเฝ้าไปกินต่อ ส่วนพ่อจะกินเป็นตัวสุดท้ายในฝูงเสมอ ซึ่งทั้งหมดนี้ แปลกไปจากหมาจรจัดแถวบ้านชนิดหน้ามือเป็นหลังตีนเลยทีเดียว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×