ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Elven Spirit

    ลำดับตอนที่ #16 : Chapter 16

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 51


    การตามเหล่าแม่ทัพนั้นไม่ใช่เรื่องยากนัก เนื่องจากพวกเขาคงรีบมากจนกระทั่งไม่สนใจที่จะกลบร่องรอยใดๆเลย ฉะนั้นเพียงสังเกตเอาจากรอยเท้าตามทาง ธาเนียก็สามารถแกะรอยพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว หากเมฆฝนที่เคยปรากฏชัดเจนไม่ได้เลยผ่านฟากฟ้าบริเวณนี้ ทุกอย่างก็คงไม่ง่ายขนาดนี้

    ร่องรอยของเหล่าแม่ทัพบอกว่าพวกเขาข้ามผ่านเสาแบ่งเขต ตรงดิ่งสู่ป่าเบื้องลึก นางสังเกตได้ว่าตามต้นไม้ข้างทางนั้นมักจะมีรอยเล็บใหญ่เกินสัตว์ป่าทั่วไปอยู่...กรงเล็บของคิไมร่า

     หัวใจที่เต้นแรงเกินเพราะความตื่นตระหนกทำให้นางเหนื่อยเร็วกว่าปกติ เพราะเมื่อนางลองปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดมันก็ทำให้นางชาวาบไปทั้งตัว...ใช่...ครั้งสุดท้ายนางอยู่ที่ทุ่งดอกไม้ของคิไมร่า จากนั้นนางก็โดนมันฟาดที่ท้ายทอยจนสลบ และเมื่อตื่นมาอีกทีนางก็กลับมาอยู่ที่ค่าย ในขณะที่ท่านพ่อกับท่านแม่หายตัวไป ท่าทีของราเดียสที่เคร่งเครียดผิดวิสัยกับอาการแปลกๆของเขา...ไม่ผิดแน่ๆ

    แลกตัวประกัน!

    พระเจ้าทรงโปรด ขออย่าพึ่งเกิดอะไรขึ้นเลย!!

     

    เสียงโห่ร้องคำรามของคิไมร่าแว่วชัดเจนขึ้นทุกขณะ มันเป็นเสียงของความยินดีเกินปกติ ธาเนียยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งกว่าก่อน

    ในเงาของพุ่มไม้ไม่ไกลนัก นางเห็นแม่ทัพทั้งห้าซุ่มนิ่ง นางรู้ว่านางไม่ควรเข้าไปหา แต่บางอย่าง...บางอย่างที่ดูคุ้นเคยกลางลานที่มีคิไมร่านั่งล้อมวงก็ทำให้นางตัดสินใจที่จะเดินเข้าไป...

    แสงไฟจากกองไฟใหญ่ซัดสาดกระทบสองร่างกลางลาน...ร่างที่ดูทรุดโทรมทั้งสองคุกเข่าอยู่กับพื้น อาภรณ์ตัวงามแปดเปื้อนธารโลหิตชุ่มโชก...สองร่างที่มีใบหูเรียวยาว...

    เสียงตะโกนของบุรุษผู้มีเรือนผมสีเงินยวงแผดลั่น แต่ไม่อาจกลบเสียงหัวเราะคำรามของคิไมร่า ร่างของเขาถูกมัดไพล่มือไปเบื้องหลังจองจำด้วยคิไมร่าสี่ตัวที่ช่วยกันกดตัวเขาไว้ เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล และทั้งกายดุจถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด ร่างนั้นพยายามกระชากตัวไปหาสตรีที่นั่งอยู่เคียงข้าง...หากมิอาจเอื้อมถึง

    สตรีเคียงข้างผู้มีเรือนผมสีทองคำงดงามนั้นทั้งร่างแทบมีสภาพไม่ผิดกันกับผู้เป็นสามี หากหญิงสาวเช่นนางหรือจะมีเรี่ยวแรงมากพอจะต่อต้าน คิไมร่าเพียงตัวเดียวใช้ขาของมันเหยียบยันแผ่นหลังบางไว้ให้โค้งกายกับพื้น ในขณะที่อีกตัวอยู่ข้างกายนางกดศีรษะหญิงสาวให้ก้มต่ำ มืออีกข้างที่ง้างสูงถือดาบบทเพลงแห่งสายลมของหัวหน้าเผ่าเอลฟ์

    คิไมร่าจอมเวทที่โดดเด่นที่สุดในนั้นตะโกนพูดด้วยภาษาบางอย่าง ส่งผลให้คิไมร่าทั้งฝูงแผดร้องก้องป่า ในขณะที่เอลฟ์หนุ่มกระชากกายอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนคำรามลั่น

    และในตอนนี้นี่เอง ที่บรรดาแม่ทัพของเผ่าเอลฟ์พุ่งออกจากที่ซ่อน เข้าโจมตีพวกคิไมร่าโดยเร็ว

    ธาเนียยืนนิ่งดุจถูกสาป หัวของนางกลายเป็นสีขาวโล่งโพลนจนไม่รู้ว่าในเวลานี้นางสมควรทำอะไร นางรู้ว่าสองมือที่สั่นสะท้านเย็นเฉียบชุ่มเหงื่อ...อาจเป็นเพราะนางยังเด็ก ไม่เคยได้ออกสนามรบจริงๆ และยิ่งไม่เคยต้องเห็นใครต้องบาดเจ็บ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครอบครัวเดียวกับนาง

    และนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่นางจำติดตาไปจนวันตาย...

    คิไมร่าตัวใหญ่ผู้ถือดาบของอริหันมาแผดเสียงหัวเราะลั่นกับเหล่าแม่ทัพที่ฝ่าวงล้อมคิไมร่าเพื่อช่วยตัวประกัน สารพัดมนตราถูกร่ายออกจากปากพวกเขา เป้าหมายมีเพียงเพชฌฆาตเท่านั้น

    หัวหมาป่าของมันหลุดกระเด็นออกจากร่าง เป็นเวลาเดียวกับที่อุ้งมือของมันฟันลงไป...

    ฉัวะ!!!

    เรือนผมสีทองขาดกระจายปลิวว่อน เฉกเช่นศีรษะของนายหญิงแห่งเผ่าเอลฟ์ล่วงหล่นสู่ผืนปฐพี...

    นาเดียร์!!!!”

    ธามแผดเสียงร้องลั่น หยาดน้ำตามากมายพรั่งพรูเป็นครั้งแรกในชีวิต...ทั้งเจ็บแค้น ทั้งเศร้าโศก...

    ไอ้พวกเดนนรกคิไมร่า ข้าจะฆ่าพวกเจ้า ข้าจะสับพวกเจ้าให้เป็นหมื่นๆชิ้น!!!!”

    ชายหนุ่มตะโกนกร้าว เรี่ยวแรงที่สูญไปเพราะฝืนใช้เวทมนตร์ทั้งๆที่ได้รับผลกระทบจากสมุนไพรสะกดมนตรากลับคืนมาเพียงน้อยนิด...และมันไม่พอเพียงที่จะทำให้เขาหลุดจากการจับกุม

    คิไมร่าจอมเวทย่างก้าวไปกลางลานท่ามกลางคิไมร่านับสิบที่ปกป้องมัน มัน...แสยะยิ้มมุมปากก่อนมือขวาจะสะบั้นศีรษะของนายใหญ่เอลฟ์หลุดจากบ่า...ด้วยดาบเล่มเดิม...ดาบบทเพลงแห่งสายลม...ดาบที่เคยปกป้องเอลฟ์หลายชีวิต...และบัดนี้ มันก็ทำหน้าที่จบชีวิตผู้สืบทอดรุ่นหนึ่งลง...

    ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นภาพช้า...

    สองตาของธาเนียมองเห็นเหล่าแม่ทัพที่ร้องโหยหวนกับการจบสิ้นของผู้ที่เป็นทั้งหัวหน้าทั้งเพื่อนสนิท อาวุธในมือพวกเขาเหมือนบ้าคลั่ง กระชากชีวิตของคิไมร่าใกล้ตัวดุจเคียวของเทพฮาเดส...ในขณะที่คิไมร่าจอมเวทกระชากหัวทั้งสองของผู้ปกครองเอลฟ์ขึ้นสูง อวดคิไมร่าทุกตัวที่โห่ร้องปลาบปลื้ม...

    ช่วงเวลาหนึ่งเต็มๆที่นางไม่มีความรู้สึกใดๆ ได้แต่นิ่งมองสิ่งตรงหน้า หากไม่มีสิ่งใดที่นางจดจำได้ เหมือนทั้งโลกกลายเป็นสีขาว แต่พอช่วงเวลานั้นจบลง ความรู้สึกมากมายก็ท่วมท้นจนนางแทบรับไม่ไหว...เสียใจ โกรธ เคียดแค้น เศร้าโศกและหดหู่ แต่เหนือสิ่งใดนั้น นางเกลียดตัวเอง...เกลียดที่ทะนงตน เกลียดที่โง่เขลา เกลียดที่นางเป็นต้นเหตุให้พ่อกับแม่ต้องเป็นเช่นนี้

    นางไม่รู้ว่านางร้องหรือไม่ ไม่รู้แม้ว่าสมควรทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้ตัวแม้ว่าคิไมร่าตัวหนึ่งจะวิ่งก้าวมาหา ง้างกรงเล็บพร้อมตะปบนาง...

     

    ...อยากได้อำนาจไหม?...

    ...อยากได้พลังที่จะแก้แค้นให้พ่อกับแม่เจ้าหรือเปล่า?...

    ...ถ้าอยากได้มัน จงทำพันธะสัญญากับข้า ปลดปล่อยตัวข้า และด้วยเกียรติของข้าให้สาบานว่าพวกมันต้องย่อยยับ!...

     

    นั่น...เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเสียงของหมาป่า...

    ธาเนียทอดคำพูดทิ้งช่วงนาน... ดวงตาสามสีที่เบือนเมินไปยังทะเลสาบยามค่ำคืนว่างเปล่าเช่นคนที่ตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย

    เคลรู้ว่านางกำลังสะเทือนใจกับเรื่องราวโหดร้ายที่นางฝังมันลงไปเสียนาน...แต่หากนางไม่พูดมันออกมา อีกนานเท่าไหร่กันเล่า? นางจึงจะผ่านพ้นความเจ็บปวดนี้ไปได้ ดังนั้น เขาจึงต้องกระตุ้นนางเช่นคนที่ไม่รู้กาลเทศะและไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น

    แล้ว...เกิดอะไรขึ้น...?”

    ดวงหน้างามนิ่งสนิทหากไม่อาจปกปิดรอยร้าวในดวงตาที่ค่อยๆเบือนกลับมาหาเขาช้าๆ ริมฝีปากบางเม้มแน่นและไม่นานก็ขยับคลายออกเอ่ยเล่าเรื่องราวในอดีตต่อไป

    พันธะสัญญานั้นคือการสืบทอดอำนาจอย่างไม่เป็นทางการ มันจะเกิดขึ้นเมื่อ นาย คนเก่าเสียชีวิต...แต่ในยามนั้น ข้ายังไม่รู้เรื่องนี้

    แต่ท่านก็ทำสัญญากับหมาป่า

    ใช่ คำเพียงสั้นๆแต่รวมทุกคำอธิบาย... ธาเนียก้มมองสองมือของนาง สองมือที่แปดเปื้อนเลือดมาเนิ่นนาน ข้าทำสัญญา และสัญลักษณ์ของพันธะสัญญารอยเดียวกับที่เจ้าเห็นก็ประทับติดตัวข้านับแต่นั้นมา...แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด...

     

    ...ร่างบางดุจล่องลอยอยู่ในอากาศ หลังจากคำตอบรับพันธะสัญญาชั่วชีวิตถูกเอ่ยจากปากของนาง ร่างกายร้อนรุ่มราวกับมีกองเพลิงโชติช่วงในร่าง ควมารู้สึกของเรี่ยวแรงและกำลังมากมายแทบจะเอ่อล้นออกมาจากทุกรูขุมขน จนนางรู้สึกถึงร่างกายที่ค่อยๆแปรเปลี่ยน...สองมือที่ทอดยาวเหยียดปกคุลมด้วยขนสีเงินยวง ร่างกายก้มลงขนานไปกับพื้น แลเห็นสันจมูกยื่นยาวออกไป ความรู้สึกของ หาง ที่ขยับตามแรงอารมณ์บางอย่างแถวๆบั้นท้าย กับสองหูที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงนกร้องแผ่วเบาท่ามกลางเสียงคำรามของคิไมร่า...

    นางมองเห็นอุ้งเท้าของหมาป่าที่ย่างขยับแช่มช้า แต่นางมิอาจควบคุมมัน ดวงตาคมกริบกราดมองรอบกาย เสียงคำราม...ผ่านพ้นริมฝีปากที่แยกคมเขี้ยวขู่

    กรรร...

    เสียงเพียงเสียงเดียวกลับทำให้คิไมร่าทั้งหมดในที่นั้นหันมามองดุจต้องมนตร์ หลายตัวเริ่มแสดงอาการเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่น้อยที่เริ่มถอยหนีอย่างหวาดหวั่น

    อุ้งเท้าข้างขวา ขยับเหยียบลงบนผืนพสุธาเบื้องหน้าอีกก้าว ในขณะที่ลำตัวช่วงหน้าลู่ลงต่ำ สองหูตั้งเหยียด...

    แฮ่!!!”

    พลันนั้นร่างทั้งร่างก็ทะยานไปเบื้องหน้า! ธาเนียมองเห็นทุกอย่าง ใช่! นางมองเห็น แต่กลับไม่อาจควบคุมร่างกายได้!

    หมาป่าโผนทะยาน สองกรงเล็บเปี่ยมด้วยกำลังตะปบคิไมร่าตัวแล้วตัวเล่าลงบนผืนดิน เขี้ยวขาววาววับขย้ำกระชากร่างของพวกมันออก ชิ้นเนื้อโชกเลือดปลิดปลิวจากร่าง เฉกเช่นธารโลหิตที่ไหลบ่า และเสียงคำรามลั่นปวดร้าวแผดก้อง

    ธาเนียอยากจะเอ่ยปากให้หมาป่าหยุดเหลือเกิน หากเสียงของมันที่ดังเข้ามาในหัวก็ดุจศรแทงใจดำ...ฝังลึก

    เจ้าเองมิใช่หรือ? ที่อยากให้ข้าทำลายพวกมันให้สิ้น

    นางได้แต่ปิดปาก อดทนต่อกลิ่นคาวเลือดสะอิดสะเอียน อดกลั้นต่อความอยากจะอาเจียนเมื่อเห็นภาพร่างคิไมร่าถูกหมาป่ากระชากกินต่อหน้าต่อตา อดทนต่อสิ่งที่นางเคยปรารถนา...

     

    หมาป่าทำตามคำสาบานของมันทุกประการ...

    ดวงตาสีอำพันเรืองวาวหากยังคงมีประกายสีฟ้าและมรกตเจือจางฉายภาพร่างไร้วิญญาณของคิไมร่านับไม่ถ้วนเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ธารเลือดโชกชุ่มใบหญ้าดุจหยาดน้ำฝนค้างคาหลังพายุ...

    มันจบแล้วสินะ...

    ธาเนียทอดถอนใจเหนื่อยล้า นางนึกอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีดำมืด ไม่ใช่จะเปิดตาหรือปิดตาก็เห็นภาพพวกนี้ มันคงเป็นเพราะอำนาจของหมาป่า อำนาจที่ดี...หากในยามนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

    ท่านธาเนีย...ไม่สิ นายหญิง...

    เสียงของใครคนหนึ่งทะลุผ่านใบหูเรียวยาว...

    ความคิดคำนึงบางอย่างของนางเฉกเช่นเดียวกับหมาป่า ดังนั้นร่างใหญ่สีเงินงามจึงหมุนกายกลับไป มองแม่ทัพทั้งห้าที่อาบเลือดคิไมร่าคุกเข่ากับพื้นทำความเคารพ

    หากหมาป่ามิได้เพียงแค่มอง...

    ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อหมาป่ากระโจนเข้าหาแม่ทัพคนหนึ่ง กระแทกร่างใหญ่จนล้มหงายหลังกับพื้นก่อนขย้ำช่วงคอฝังเขี้ยวยาวจนมิด!

    ธาเนียสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางแผดเสียงร้องตะโกนใส่หมาป่า

    หยุด!! หมาป่าเจ้าทำอะไรของเจ้า! เขาเป็นเอลฟ์เหมือนเรานะ!!’

    เด็กสาวพยายามฝืนกาย รวบรวมสมาธิหรืออะไรก็ตาม ที่จะทำให้หมาป่าหยุดการกระทำบ้าเลือดของมัน แต่เสียงคำรามแกมหัวเราะเย้ยหยันที่ดังในสมองของนาง...เสียงของหมาป่า...ทำให้นางแทบกรีดร้อง

    เจ้าเองมิใช่หรือ? ที่คิดว่า หากพวกเขาออกไปเร็วกว่านี้ ท่านแม่และท่านพ่อของเจ้าก็คงไม่ตายน่ะ?’

    ‘!!!’

    อย่าคิดเถียงข้าเลยเด็กน้อย ในเมื่อข้ากับเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันใจเจ้าคิดอะไรข้าย่อมรู้ดีที่สุด ใจเจ้าปรารถนาสิ่งใด...ตัวข้า ย่อมตอบสนองสิ่งนั้น!!’

    ธาเนียส่ายหน้าหวาดหวั่น ภาพของแม่ทัพคนแรกที่ตายไปเพราะความคิดด้านมืดของนางฝังแน่นติดตา ยิ่งยามสุดท้ายของชีวิตที่เขาเบิกตากว้าง ริมฝีปากสั่นระริกเหมือนต้องการถามเหตุผล แต่สุดท้ายเขาก็สิ้นใจ...ตายทั้งๆที่ยังไม่รู้เหตุผลใดๆเลย

    หมาป่า หยุด!! ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!’

    หมาป่าแผดเสียงคำรามกึกก้องประกาศศักดิ์ดา เหล่าแม่ทัพที่เหลือแม้ตื่นตระหนกแต่ยังคงคุมสติตัวเองได้ พวกเขาถอยหลังเพื่อตั้งตัว กระชับอาวุธในมือแน่นแม้จะยังสับสนและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    นายหญิง ท่านทำอะไรน่ะขอรับ!?”

    ดวงตาสีมรกตที่มองมายังนางทำให้เด็กสาวใจหาย พวกเขาหวาดระแวง สับสน ความเชื่อถือในตัวนางกำลังสั่นคลอน

    หมาป่าย่างก้าว และวินาทีต่อมา ฝนเลือดมากมายก็สาดกระหน่ำลงสู่ผืนปฐพีอีกครั้ง...

    ...พอได้แล้ว!!ได้โปรดหมาป่าหยุด!!! พอแล้ว! อย่าทำพวกเขา ข้าอภัยให้พวกเขา มันเป็นอุบัติเหตุ พอสักที พอสักที!!!...

     

    เพียงคืนเดียว...หมาป่าเซ่นสังเวยคิไมร่าเกือบร้อยตัวกับชนเผ่าเอลฟ์อีกห้าเพื่อการทำพันธะสัญญา...

    ดวงตาของธาเนียสงบนิ่งพอๆกับสีหน้าราบเรียบดุจผู้ที่ไร้ความรู้สึก แสงจากกองไฟที่กระทบดวงหน้างามยิ่งขับให้นางดูไร้หัวใจยิ่งกว่าเก่า... แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกในหัวใจ ภายใต้หน้ากากเย็นชามีสิ่งใดซ่อนเร้น

    เคลประสานมือที่กุมแน่นของตัวเอง...เจ็บปวดแทนธาเนีย...นางสูญเสียทั้งบิดาและมารดาในเวลาเดียวกัน นางฆ่าคิไมร่าเป็นครั้งแรกแม้จะไม่ใช่ด้วยมือของนางเอง และสุดท้าย นางฆ่าชนเผ่าเดียวกัน...ผู้คนที่บรรพบุรุษของนางทุกรุ่นทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้อง...

    ท่านธาเนีย...

    มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นหรอก...คืนวันถัดมา หมาป่า...ยังฆ่ามนุษย์ในกองเกวียนอีกเกือบ 50 ชีวิต...

    ชายหนุ่มเบิกตากว้าง...นี่หรือเปล่า เรื่องเล่าที่เขาได้ยินจากปากลุงขี้เมานั่น!

    ไม่อยากเชื่อ! หมาป่าตัวนั้นเป็นธาเนียหรือ!?

    ธาเนียเดาความหมายของท่าทางนั้นต่างไป ความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นในใจ น่าประหลาดนักที่นางถึงกับกลัวว่าเคลจะเกลียดนาง หญิงสาวหลุบตาต่ำ นางไม่กล้าสบตากับเขาอีก กลัวว่าจะได้เห็นแววชิงชังหรือผิดหวังในดวงตาของเขา ถ้าเป็นแบบนั้น...นางคงแย่

    นางปิดตาแน่น เมื่อนึกภาพย้อนไปคืนวันนั้น ภาพหมาป่าที่กู่หอนบัญชาหมาป่าธรรมดาอีกนับไม่ถ้วนให้เข้าโจมตีคณะกองเกวียนนั้น นางไม่เข้าใจเหตุผล แต่ในตอนนั้นนางรู้สึกถึงความเกลียดชังที่พลุกพล่านในกาย มันไม่ใช่ความรู้สึกของนาง ราวกับหมาป่าโกรธแค้นและชิงชังทุกสิ่งจนต้องระบายมันออกมา...และนั่นทำให้นางเริ่มลังเลว่าหมาป่านั้น เป็นผู้พิทักษ์หรือผู้ทำลายกันแน่

    เคลเงียบไปนานแสนนาน ทิ้งให้ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบที่มีเพียงเสียงธรรมชาติ ธาเนียอาจชอบความเงียบก็จริง แต่ในยามนี้ นางอยากให้เคลพูดอะไรบ้างสักคำ...แต่มันก็ไม่ผิดถ้าเขาจะเกลียดนางไม่อยากพูดกับนางเพราะเคยฆ่ามนุษย์ตั้งมากมาย มันเป็นธรรมดาที่สิ่งมีชีวิตเดียวกันจะเกลียดชังคนที่มาทำร้ายเผ่าพันธุ์ของตน

    แต่เคลเป็นคนบอกว่าจะรับฟังเรื่องของนางทุกอย่างไม่ใช่หรือ? ถ้านางเล่าออกไปแล้วเขามาโกรธนางเช่นนี้ เขาต่างหากที่ผิด ไม่ใช่นางที่ผิดหรอก...หญิงสาวมุ่นคิ้ว วูบหนึ่งที่ความรู้สึก...น้อยใจ? เกาะกุมหัวใจนาง

    แล้ว...ท่านบอกว่าใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไม่ใช่หรอ ทำไมถึงรักษาข้าได้ล่ะ?”

    หมาป่าบอกข้าว่า ขณะที่กลายร่างกลับ พลังเวทของหมาป่าจะยังไม่หายไปในทันที แต่จะค่อยๆลดลงกระทั่งเท่าพลังเวทเดิมที่มี ให้ข้ารีบใช้พลังเวทในส่วนนั้นรักษาเจ้าก่อนที่มันจะหมดไป... น้ำเสียงของนางติดจะแข็งๆ แม้แต่ตัวเองยังรู้สึก...นางไม่เคยใช้เสียงแบบนี้กับใครเลย ทำไมนะ?

    ฮ่า! อย่างน้อยหมาป่าก็ช่วยชีวิตข้านะ ท่านธาเนีย!”

    น้ำเสียงรื่นเริงของเคลทำให้นางต้องเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาหน่อยๆ ขณะเริ่มอธิบายให้นางฟัง

    จริงๆหมาป่าจะไม่ช่วยข้าก็ได้นะในเมื่อข้าไม่เกี่ยวอะไรกับมันเลย แต่มันก็ไม่ทำอย่างนั้น จริงไหม? และเพราะมัน ข้าก็เลยรอดตาย (แบบหวุดหวิด) จริงไหมครับ?”

    ธาเนียอึ้งไปหน่อยเหมือนกันกับความคิดนั้นของเคล แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่า หมาป่าได้ช่วยชีวิตเคลไว้

    ความหม่นหมองในดวงตาคู่งามเริ่มจางหาย แม้จะยังไม่หมดไป แต่มันก็ทำให้เคลพอใจขึ้นมาหน่อย...เขาไม่อยากเห็นนางเศร้าโศกแบบนี้...

    มันเป็นความจริงที่ว่า ทุกคนย่อมมีความคิดด้านลบในใจ เพียงแต่จะแสดงมันออกมาไหม? หรือมาน้อยเพียงใด แต่ในตอนนั้นสำหรับท่านแล้ว หมาป่าดึงเอาความคิดนั้นออกมาและใช้เป็นเป้าหมายของมัน มันไม่แปลกถ้าท่านจะเกลียดคิไมร่าที่ทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ของท่านเสียชีวิต เอ่อ...และถ้าคิดเข้าข้างท่านอีกหน่อย ถ้าหากบรรดาแม่ทัพนั้นออกไปเร็วกว่านี้ ท่านแม่ของท่านก็จะไม่เสียชีวิต และการฆ่าคนของหมาป่าย่อมมีเหตุผล เพียงแต่ท่านไม่รู้ แต่ที่สำคัญคือ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว และท่านก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขมันได้ อดีตมีค่าให้ท่านจดจำเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ แต่อย่ายึดติดกับมัน...ข้ารู้ ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเพียงลมปากของคนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้น แต่ข้าเชื่อว่า ท่านจะต้องเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดออกไปแน่ๆ

    เคลคลี่ยิ้มอบอุ่นให้นาง เขารู้ว่านางจะต้องเข้าใจคำพูดยาวเหยียดนี้ นางอาจจะเคยคิดแบบนี้มาก่อน...อาจจะเคยหรือไม่เคยมีใครบอกนางเช่นนี้ก็ได้ แต่เคลก็หวังว่าคำพูดของเขาจะช่วยปลอบโยนนางได้สักหน่อยก็ยังดี

    แต่รอยยิ้มของเขาก็เริ่มกร่อย เมื่อแทนที่ธาเนียจะเงยหน้าสบตากับเขาแล้วพูดอะไรสักอย่าง นางกลับก้มหน้านิ่งงันและไม่ยอมพูดอะไรเลย ชายหนุ่มได้แต่ทอดถอนใจปล่อยให้นางจมอยู่ในความคิดของนางเอง... บางครั้งความเงียบก็เป็นสิ่งที่ดีแต่ในขณะเดียวกันมันกลับทำให้คนยิ่งคิดมากกว่าเก่า

    ขอบคุณนะ...

    เคลแหงนหน้าจากกองผลไม้ที่เขาหามา มองตรงไปยังร่างบางที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าพูดเสียงอู้อี้ หยาดน้ำใสๆตกลงบนท่อนแขนเรียว...ไม่มีเสียงร่ำไห้ใดๆ นอกจากไหล่บางที่สั่นสะท้าน...

    ไม่เป็นไรหรอกครับ...

    รอยยิ้มบางเบามอบให้กับนางที่ไม่มีทางจะมองเห็น...รอยยิ้มที่บอกว่าเขารักนางมากเพียงใด...

     

    ธาเนียเช็ดน้ำตาออกหมดแล้ว ก่อนที่นางจะเริ่มกินผลไม้ที่เคลหามาให้อย่างหิวโหยแต่แน่ว่านางยังคงรักษาความสุภาพไว้ได้ ที่เขารู้ว่านางหิวก็เพราะตอนนี้นางจัดการกับผลไม้ลูกที่สามที่ใหญ่พอๆกับกำปั้นของเขาหมดไปและกำลังมองหาลูกที่สี่

    ให้ข้าหาผลไม้มาเพิ่มไหม?” น้ำเสียงขำขันปนเอ็นดูทำให้ธาเนียชะงักมือจากการเอื้อมไปหยิบผลไม้ลูกใหม่ ดวงหน้างามแดงระเรื่อ และกลายเป็นแดงจัดเมื่อรู้ว่าเคลกำลังหัวเราะนาง

    อ้าวๆ ข้าไม่ได้ว่าอะไรนะครับ อยากทานก็ทานต่อเถอะ ข้าแค่ถามเฉยๆเอง เคลรีบบอกเช่นนั้น ก็เพราะอยู่ๆธาเนียก็วางหดมือกลับ ก้มหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเขิน

    ไม่ต้อง...ข้าอิ่มแล้ว...

    ว้า~ งั้นผลไม้ที่เหลือนี่ก็น่าเสียดายจังเลย ข้าเองก็อิ่มแล้ว สงสัยคงต้องทิ้งล่ะ

    ชายหนุ่มแสร้งถอนใจเหมือนแสนจะเสียดายผลไม้ลูกสุดท้าย ทำท่าจะเอื้อมไปหยิบมัน และนั่นก็ทำให้ปลาตัวน้อยก็ติดเบ็ดที่เขาวางไว้

    เดี๋ยว...เจ้าจะเอาไปทิ้งหรือ?” เอ่ยปากออกไปแล้ว นางก็แทบอยากจะคืนคำของนางเองเมื่อเห็นว่าเคลทำหน้าเช่นไร นางก็เลยทำได้แค่ก้มหน้างุดแล้วอ้ำอึ้ง อ่า ข้าเสียดาย...ถ้ายังไง ข้ากินเองก็ได้...เอ่อ...อย่าหัวเราะข้าสิ!” แล้วสุดท้ายนางก็อดไม่ได้ที่จะแหวออกไป เพราะเคลเริ่มกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ใบหน้าคมสันแดงจัด ทั้งพยายามเม้มริมฝีปากแน่นไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดออกมา

    หญิงสาวเม้มปาก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผลไม้ลูกสุดท้ายมาแล้วเบือนหน้าไปกินทางอื่น

    ถ้าอยากหัวเราะนักก็เชิญเลย!”

    ธาเนียหารู้ไม่ว่าท่าทางนั้น น่ารักมากกกกกในสายตาของเคล ไม่ว่าจะท่าทางสะบัดหน้าไปทางอื่น กระแทกเสียงใส่นิดๆ นางงอนเขา...นางงอนเขาด้วย!! มันเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้เขารู้ว่านางเริ่มสนิทกับเขามากขึ้นจนแสดงอารมณ์ต่างๆออกมาได้

    และเคลก็ไม่รู้หรอกว่า นางไม่เคยทำท่าทางเช่นนี้กับใครแม้แต่กับเอเรีย!

    โถ่ๆ ท่านอย่างอนข้าสิ ร่างสูงลุกขึ้นคลานเข่าไปหานาง โบกไม้โบกมือเรียกร้องความสนใจจากนางด้วยรอยยิ้ม อะอะ! ข้าไม่หัวเราะแล้วเห็นมั้ย อย่างอนข้าสิคนสวย

    ธาเนียปรายหางตามองเขาหน่อยหนึ่ง แล้วรีบตวัดกลับโดยเร็ว นางยังคงไม่ยอมพูดกับเขา อาการงอนหน่อยๆยังคงอยู่ แต่ที่แน่ๆคือนางกำลังหน้าแดงระเรื่อ...

    จวบจนนางกินเสร็จนั่นแหละ เคลจัดการหยิบ ซาก ผลไม้ที่เหลือไปทิ้งในป่า แล้วกลับมาหาธาเนียที่ย้ายที่นั่งไปใกล้ทะเลสาบแล้วเหม่อมองออกไป

    ท่านน่าจะนอนได้แล้วนะ วันนี้ท่านเหนื่อยมากแล้ว ชายหนุ่มบอกกับนาง เดินตรงไปจัดผ้าปูนอนให้มันคลี่ออกดีๆ แล้วหยิบเสื้อของเขามาคลุมไหล่ให้กับนาง อากาศเย็น เดี๋ยวจะไม่สบาย

    ธาเนียว่าง่ายกว่าที่คิด อาจเป็นเพราะนางเหนื่อยและเพลีย หญิงสาวจึงกลับไปยังที่นอนของนางโดยดี

    จริงๆแล้วมันเป็นของเจ้า เจ้าสมควรจะได้นอนบนมัน มันของนางหมายถึงผ้าที่เขาใช้ปูนอน

    หญิงสาวเหลียวมองไปยังร่างสูงที่ทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆกับนาง เคลนั่งชันเข่า สายตายังไม่ห่างจากดวงหน้างาม

    ข้ายังไม่ง่วงเลย เดี๋ยวจะนั่งเฝ้าให้ก่อน

    เจ้าตอบไม่ตรงคำถามนะ

    แล้วเคลก็หัวเราะเบาๆขณะตอบคำถามนั้น ผู้ชายที่ไหนนอนบนผ้าปูรองบ้างล่ะครับ ยิ่งต้องแย่งผู้หญิงล่ะก็ ขายหน้าแย่

    ธาเนียเอียงคอมองเขาอีกครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเข้าใจเหตุผล แต่พอมองกระเป๋าของเคลที่เขา (บังคับ) ให้ใช้ต่างหมอน นางก็รู้สึกว่ากำลังเบียดเบียนเขาชอบกล

    ถ้าเช่นนั้น คราวหน้า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เจ้าต้องนอนบ้างแล้วข้าจะเป็นฝ่ายอยู่ยามให้

    นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขายิ่งรักนางเข้าไปใหญ่ ธาเนียเป็นคนมีน้ำใจ...

    ทราบแล้วคร๊าบ ชายหนุ่มลากเสียงยานคางหยอกนางเล่น เฝ้ามองนางที่กำลังจัดที่จัดทางให้เรียบร้อยจากเบื้องหลัง

    ท่านธาเนีย...

    หืม?” อีกฝ่ายหันมารับคำ ต่างจากเมื่อก่อนที่นางจะทำเพียงหันมาแล้วเงียบ

    เคลเงียบไปครู่หนึ่ง ไตร่ตรองสิ่งที่เขาอยากจะเอ่ยปากอีกรอบ...เขารู้ว่ามันไม่ควร แต่ก็ยังดึงดันจะพูดออกไป

    ข้า...ขอกอดท่านหน่อยได้ไหม?”

    ธาเนียนิ่งงัน และเคลรู้ว่าเขาพลาดไปแล้ว... เขาหัวเราะแก้เก้อ ก้มหน้าลงยกมือลูบท้ายทอยตัวเอง

    ขอโทษครับ ขอโทษ ข้ารู้ว่ามันไม่ได้อยู่แล้ว ลืมๆไปซะเถอะครับ

     กระทั่งเขาเห็นขาของนางตรงหน้า ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้น มองร่างบางที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าในระยะที่เขาเองก็เอื้อมถึง

    มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะอดทนนิ่งเฉย เคลรวบร่างบางกอดแนบอก กอดแน่นอย่างสุขใจ

    ...น่าประหลาดนักที่นางลืมเลือนกฎของหมู่บ้านที่นางเฝ้ารักษามันอย่างดีมาตลอด... ธาเนียหลับตาลง ความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยท่วมท้นในใจของนาง  แม้ว่าอ้อมแขนนั้นจะรัดนางแน่นจนแทบขยับตัวไม่ได้ก็ตาม

    ความรู้สึกของทั้งคู่ตรงกันที่ว่า อยากให้เวลาหยุดลงแค่เพียงตรงนี้ แค่ให้มีกันและกัน แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยในโลกที่บูดเบี้ยวและเวลายังคงพัดผ่าน...

    อ้อมแขนค่อยๆคลายออกช้าๆ ปลดปล่อยพันธนาการร่างกาย แต่พันธนาการของหัวใจ...ยิ่งรัดแน่น

    เคลลูบไล้แก้มนวลด้วยมือหยาบ...ตาสบตา...มิอาจละได้

    มันทำให้เขารู้ว่าเขารักนางมากเท่าไหร่ เขายิ่งหลงใหลนางมากเท่านั้น...ผู้หญิงแข็งๆเย็นชาคนหนึ่ง กลับมีบางอย่างที่น่าลุ่มหลง...มากกว่าเรือนร่าง มากกว่าหน้าตา มันคงเป็นจิตใจของนางกระมัง...จิตใจที่ดูเหมือนแข็งกร้าวดุจหินผา เย็นชาดุจธารน้ำแข็ง แต่อีกด้านหนึ่งของภูผาสูงใหญ่ที่ปิดกลั้นทุกสิ่งกลับกลายเป็น ความอบอุ่นที่เหมือนแสงแดดยามคิมหันต์ อ่อนโยนเหมือนดอกไม้ที่ไหวเอนลู่ลม

    ข้า...รักท่าน

    คำคำเดียวจากทั้งหัวใจ ก่อนริมฝีปากจะแนบกลีบปากบางนุ่มนวลอ่อนโยน... ไม่หลงเหลือความคิดใดๆในสมองอีก นอกจากการปลดปล่อยให้สัมผัสของร่างกาย และหัวใจสองดวงที่เชื่อมถึงกัน...

    วันนี้...เจ้าอาจไม่เข้าใจความหมายของคำว่า รัก’ ... หาก...ข้ารู้...จิตวิญญาณของเจ้าจะต้องเข้าใจมันดี...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×