คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Chapter 16
การตามเหล่าแม่ทัพนั้นไม่ใช่เรื่องยากนัก เนื่องจากพวกเขาคงรีบมากจนกระทั่งไม่สนใจที่จะกลบร่องรอยใดๆเลย ฉะนั้นเพียงสังเกตเอาจากรอยเท้าตามทาง ธาเนียก็สามารถแกะรอยพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว หากเมฆฝนที่เคยปรากฏชัดเจนไม่ได้เลยผ่านฟากฟ้าบริเวณนี้ ทุกอย่างก็คงไม่ง่ายขนาดนี้
ร่องรอยของเหล่าแม่ทัพบอกว่าพวกเขาข้ามผ่านเสาแบ่งเขต ตรงดิ่งสู่ป่าเบื้องลึก นางสังเกตได้ว่าตามต้นไม้ข้างทางนั้นมักจะมีรอยเล็บใหญ่เกินสัตว์ป่าทั่วไปอยู่...กรงเล็บของคิไมร่า
หัวใจที่เต้นแรงเกินเพราะความตื่นตระหนกทำให้นางเหนื่อยเร็วกว่าปกติ เพราะเมื่อนางลองปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดมันก็ทำให้นางชาวาบไปทั้งตัว...ใช่...ครั้งสุดท้ายนางอยู่ที่ทุ่งดอกไม้ของคิไมร่า จากนั้นนางก็โดนมันฟาดที่ท้ายทอยจนสลบ และเมื่อตื่นมาอีกทีนางก็กลับมาอยู่ที่ค่าย ในขณะที่ท่านพ่อกับท่านแม่หายตัวไป ท่าทีของราเดียสที่เคร่งเครียดผิดวิสัยกับอาการแปลกๆของเขา...ไม่ผิดแน่ๆ
แลกตัวประกัน!
พระเจ้าทรงโปรด ขออย่าพึ่งเกิดอะไรขึ้นเลย!!
เสียงโห่ร้องคำรามของคิไมร่าแว่วชัดเจนขึ้นทุกขณะ มันเป็นเสียงของความยินดีเกินปกติ ธาเนียยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งกว่าก่อน
ในเงาของพุ่มไม้ไม่ไกลนัก นางเห็นแม่ทัพทั้งห้าซุ่มนิ่ง นางรู้ว่านางไม่ควรเข้าไปหา แต่บางอย่าง...บางอย่างที่ดูคุ้นเคยกลางลานที่มีคิไมร่านั่งล้อมวงก็ทำให้นางตัดสินใจที่จะเดินเข้าไป...
แสงไฟจากกองไฟใหญ่ซัดสาดกระทบสองร่างกลางลาน...ร่างที่ดูทรุดโทรมทั้งสองคุกเข่าอยู่กับพื้น อาภรณ์ตัวงามแปดเปื้อนธารโลหิตชุ่มโชก...สองร่างที่มีใบหูเรียวยาว...
เสียงตะโกนของบุรุษผู้มีเรือนผมสีเงินยวงแผดลั่น แต่ไม่อาจกลบเสียงหัวเราะคำรามของคิไมร่า ร่างของเขาถูกมัดไพล่มือไปเบื้องหลังจองจำด้วยคิไมร่าสี่ตัวที่ช่วยกันกดตัวเขาไว้ เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล และทั้งกายดุจถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด ร่างนั้นพยายามกระชากตัวไปหาสตรีที่นั่งอยู่เคียงข้าง...หากมิอาจเอื้อมถึง
สตรีเคียงข้างผู้มีเรือนผมสีทองคำงดงามนั้นทั้งร่างแทบมีสภาพไม่ผิดกันกับผู้เป็นสามี หากหญิงสาวเช่นนางหรือจะมีเรี่ยวแรงมากพอจะต่อต้าน คิไมร่าเพียงตัวเดียวใช้ขาของมันเหยียบยันแผ่นหลังบางไว้ให้โค้งกายกับพื้น ในขณะที่อีกตัวอยู่ข้างกายนางกดศีรษะหญิงสาวให้ก้มต่ำ มืออีกข้างที่ง้างสูงถือดาบบทเพลงแห่งสายลมของหัวหน้าเผ่าเอลฟ์
คิไมร่าจอมเวทที่โดดเด่นที่สุดในนั้นตะโกนพูดด้วยภาษาบางอย่าง ส่งผลให้คิไมร่าทั้งฝูงแผดร้องก้องป่า ในขณะที่เอลฟ์หนุ่มกระชากกายอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนคำรามลั่น
และในตอนนี้นี่เอง ที่บรรดาแม่ทัพของเผ่าเอลฟ์พุ่งออกจากที่ซ่อน เข้าโจมตีพวกคิไมร่าโดยเร็ว
ธาเนียยืนนิ่งดุจถูกสาป หัวของนางกลายเป็นสีขาวโล่งโพลนจนไม่รู้ว่าในเวลานี้นางสมควรทำอะไร นางรู้ว่าสองมือที่สั่นสะท้านเย็นเฉียบชุ่มเหงื่อ...อาจเป็นเพราะนางยังเด็ก ไม่เคยได้ออกสนามรบจริงๆ และยิ่งไม่เคยต้องเห็นใครต้องบาดเจ็บ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครอบครัวเดียวกับนาง
และนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่นางจำติดตาไปจนวันตาย...
คิไมร่าตัวใหญ่ผู้ถือดาบของอริหันมาแผดเสียงหัวเราะลั่นกับเหล่าแม่ทัพที่ฝ่าวงล้อมคิไมร่าเพื่อช่วยตัวประกัน สารพัดมนตราถูกร่ายออกจากปากพวกเขา เป้าหมายมีเพียงเพชฌฆาตเท่านั้น
หัวหมาป่าของมันหลุดกระเด็นออกจากร่าง เป็นเวลาเดียวกับที่อุ้งมือของมันฟันลงไป...
ฉัวะ!!!
เรือนผมสีทองขาดกระจายปลิวว่อน เฉกเช่นศีรษะของนายหญิงแห่งเผ่าเอลฟ์ล่วงหล่นสู่ผืนปฐพี...
“นาเดียร์!!!!”
ธามแผดเสียงร้องลั่น หยาดน้ำตามากมายพรั่งพรูเป็นครั้งแรกในชีวิต...ทั้งเจ็บแค้น ทั้งเศร้าโศก...
“ไอ้พวกเดนนรกคิไมร่า ข้าจะฆ่าพวกเจ้า ข้าจะสับพวกเจ้าให้เป็นหมื่นๆชิ้น!!!!”
ชายหนุ่มตะโกนกร้าว เรี่ยวแรงที่สูญไปเพราะฝืนใช้เวทมนตร์ทั้งๆที่ได้รับผลกระทบจากสมุนไพรสะกดมนตรากลับคืนมาเพียงน้อยนิด...และมันไม่พอเพียงที่จะทำให้เขาหลุดจากการจับกุม
คิไมร่าจอมเวทย่างก้าวไปกลางลานท่ามกลางคิไมร่านับสิบที่ปกป้องมัน มัน...แสยะยิ้มมุมปากก่อนมือขวาจะสะบั้นศีรษะของนายใหญ่เอลฟ์หลุดจากบ่า...ด้วยดาบเล่มเดิม...ดาบบทเพลงแห่งสายลม...ดาบที่เคยปกป้องเอลฟ์หลายชีวิต...และบัดนี้ มันก็ทำหน้าที่จบชีวิตผู้สืบทอดรุ่นหนึ่งลง...
ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นภาพช้า...
สองตาของธาเนียมองเห็นเหล่าแม่ทัพที่ร้องโหยหวนกับการจบสิ้นของผู้ที่เป็นทั้งหัวหน้าทั้งเพื่อนสนิท อาวุธในมือพวกเขาเหมือนบ้าคลั่ง กระชากชีวิตของคิไมร่าใกล้ตัวดุจเคียวของเทพฮาเดส...ในขณะที่คิไมร่าจอมเวทกระชากหัวทั้งสองของผู้ปกครองเอลฟ์ขึ้นสูง อวดคิไมร่าทุกตัวที่โห่ร้องปลาบปลื้ม...
ช่วงเวลาหนึ่งเต็มๆที่นางไม่มีความรู้สึกใดๆ ได้แต่นิ่งมองสิ่งตรงหน้า หากไม่มีสิ่งใดที่นางจดจำได้ เหมือนทั้งโลกกลายเป็นสีขาว แต่พอช่วงเวลานั้นจบลง ความรู้สึกมากมายก็ท่วมท้นจนนางแทบรับไม่ไหว...เสียใจ โกรธ เคียดแค้น เศร้าโศกและหดหู่ แต่เหนือสิ่งใดนั้น นางเกลียดตัวเอง...เกลียดที่ทะนงตน เกลียดที่โง่เขลา เกลียดที่นางเป็นต้นเหตุให้พ่อกับแม่ต้องเป็นเช่นนี้
นางไม่รู้ว่านางร้องหรือไม่ ไม่รู้แม้ว่าสมควรทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้ตัวแม้ว่าคิไมร่าตัวหนึ่งจะวิ่งก้าวมาหา ง้างกรงเล็บพร้อมตะปบนาง...
...อยากได้อำนาจไหม?...
...อยากได้พลังที่จะแก้แค้นให้พ่อกับแม่เจ้าหรือเปล่า?...
...ถ้าอยากได้มัน จงทำพันธะสัญญากับข้า ปลดปล่อยตัวข้า และด้วยเกียรติของข้าให้สาบานว่าพวกมันต้องย่อยยับ!...
“นั่น...เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเสียงของหมาป่า...”
ธาเนียทอดคำพูดทิ้งช่วงนาน... ดวงตาสามสีที่เบือนเมินไปยังทะเลสาบยามค่ำคืนว่างเปล่าเช่นคนที่ตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย
เคลรู้ว่านางกำลังสะเทือนใจกับเรื่องราวโหดร้ายที่นางฝังมันลงไปเสียนาน...แต่หากนางไม่พูดมันออกมา อีกนานเท่าไหร่กันเล่า? นางจึงจะผ่านพ้นความเจ็บปวดนี้ไปได้ ดังนั้น เขาจึงต้องกระตุ้นนางเช่นคนที่ไม่รู้กาลเทศะและไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น
“แล้ว...เกิดอะไรขึ้น...?”
ดวงหน้างามนิ่งสนิทหากไม่อาจปกปิดรอยร้าวในดวงตาที่ค่อยๆเบือนกลับมาหาเขาช้าๆ ริมฝีปากบางเม้มแน่นและไม่นานก็ขยับคลายออกเอ่ยเล่าเรื่องราวในอดีตต่อไป
“พันธะสัญญานั้นคือการสืบทอดอำนาจอย่างไม่เป็นทางการ มันจะเกิดขึ้นเมื่อ ‘นาย’ คนเก่าเสียชีวิต...แต่ในยามนั้น ข้ายังไม่รู้เรื่องนี้”
“แต่ท่านก็ทำสัญญากับหมาป่า”
“ใช่” คำเพียงสั้นๆแต่รวมทุกคำอธิบาย... ธาเนียก้มมองสองมือของนาง สองมือที่แปดเปื้อนเลือดมาเนิ่นนาน “ข้าทำสัญญา และสัญลักษณ์ของพันธะสัญญารอยเดียวกับที่เจ้าเห็นก็ประทับติดตัวข้านับแต่นั้นมา...แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด...”
...ร่างบางดุจล่องลอยอยู่ในอากาศ หลังจากคำตอบรับพันธะสัญญาชั่วชีวิตถูกเอ่ยจากปากของนาง ร่างกายร้อนรุ่มราวกับมีกองเพลิงโชติช่วงในร่าง ควมารู้สึกของเรี่ยวแรงและกำลังมากมายแทบจะเอ่อล้นออกมาจากทุกรูขุมขน จนนางรู้สึกถึงร่างกายที่ค่อยๆแปรเปลี่ยน...สองมือที่ทอดยาวเหยียดปกคุลมด้วยขนสีเงินยวง ร่างกายก้มลงขนานไปกับพื้น แลเห็นสันจมูกยื่นยาวออกไป ความรู้สึกของ ‘หาง’ ที่ขยับตามแรงอารมณ์บางอย่างแถวๆบั้นท้าย กับสองหูที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงนกร้องแผ่วเบาท่ามกลางเสียงคำรามของคิไมร่า...
นางมองเห็นอุ้งเท้าของหมาป่าที่ย่างขยับแช่มช้า แต่นางมิอาจควบคุมมัน ดวงตาคมกริบกราดมองรอบกาย เสียงคำราม...ผ่านพ้นริมฝีปากที่แยกคมเขี้ยวขู่
“กรรร...”
เสียงเพียงเสียงเดียวกลับทำให้คิไมร่าทั้งหมดในที่นั้นหันมามองดุจต้องมนตร์ หลายตัวเริ่มแสดงอาการเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่น้อยที่เริ่มถอยหนีอย่างหวาดหวั่น
อุ้งเท้าข้างขวา ขยับเหยียบลงบนผืนพสุธาเบื้องหน้าอีกก้าว ในขณะที่ลำตัวช่วงหน้าลู่ลงต่ำ สองหูตั้งเหยียด...
“แฮ่!!!”
พลันนั้นร่างทั้งร่างก็ทะยานไปเบื้องหน้า! ธาเนียมองเห็นทุกอย่าง ใช่! นางมองเห็น แต่กลับไม่อาจควบคุมร่างกายได้!
หมาป่าโผนทะยาน สองกรงเล็บเปี่ยมด้วยกำลังตะปบคิไมร่าตัวแล้วตัวเล่าลงบนผืนดิน เขี้ยวขาววาววับขย้ำกระชากร่างของพวกมันออก ชิ้นเนื้อโชกเลือดปลิดปลิวจากร่าง เฉกเช่นธารโลหิตที่ไหลบ่า และเสียงคำรามลั่นปวดร้าวแผดก้อง
ธาเนียอยากจะเอ่ยปากให้หมาป่าหยุดเหลือเกิน หากเสียงของมันที่ดังเข้ามาในหัวก็ดุจศรแทงใจดำ...ฝังลึก
‘เจ้าเองมิใช่หรือ? ที่อยากให้ข้าทำลายพวกมันให้สิ้น’
นางได้แต่ปิดปาก อดทนต่อกลิ่นคาวเลือดสะอิดสะเอียน อดกลั้นต่อความอยากจะอาเจียนเมื่อเห็นภาพร่างคิไมร่าถูกหมาป่ากระชากกินต่อหน้าต่อตา อดทนต่อสิ่งที่นางเคยปรารถนา...
หมาป่าทำตามคำสาบานของมันทุกประการ...
ดวงตาสีอำพันเรืองวาวหากยังคงมีประกายสีฟ้าและมรกตเจือจางฉายภาพร่างไร้วิญญาณของคิไมร่านับไม่ถ้วนเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ธารเลือดโชกชุ่มใบหญ้าดุจหยาดน้ำฝนค้างคาหลังพายุ...
มันจบแล้วสินะ...
ธาเนียทอดถอนใจเหนื่อยล้า นางนึกอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีดำมืด ไม่ใช่จะเปิดตาหรือปิดตาก็เห็นภาพพวกนี้ มันคงเป็นเพราะอำนาจของหมาป่า อำนาจที่ดี...หากในยามนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
“ท่านธาเนีย...ไม่สิ นายหญิง...”
เสียงของใครคนหนึ่งทะลุผ่านใบหูเรียวยาว...
ความคิดคำนึงบางอย่างของนางเฉกเช่นเดียวกับหมาป่า ดังนั้นร่างใหญ่สีเงินงามจึงหมุนกายกลับไป มองแม่ทัพทั้งห้าที่อาบเลือดคิไมร่าคุกเข่ากับพื้นทำความเคารพ
หากหมาป่ามิได้เพียงแค่มอง...
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อหมาป่ากระโจนเข้าหาแม่ทัพคนหนึ่ง กระแทกร่างใหญ่จนล้มหงายหลังกับพื้นก่อนขย้ำช่วงคอฝังเขี้ยวยาวจนมิด!
ธาเนียสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางแผดเสียงร้องตะโกนใส่หมาป่า
‘หยุด!! หมาป่าเจ้าทำอะไรของเจ้า! เขาเป็นเอลฟ์เหมือนเรานะ!!’
เด็กสาวพยายามฝืนกาย รวบรวมสมาธิหรืออะไรก็ตาม ที่จะทำให้หมาป่าหยุดการกระทำบ้าเลือดของมัน แต่เสียงคำรามแกมหัวเราะเย้ยหยันที่ดังในสมองของนาง...เสียงของหมาป่า...ทำให้นางแทบกรีดร้อง
‘เจ้าเองมิใช่หรือ? ที่คิดว่า หากพวกเขาออกไปเร็วกว่านี้ ท่านแม่และท่านพ่อของเจ้าก็คงไม่ตายน่ะ?’
‘!!!’
‘อย่าคิดเถียงข้าเลยเด็กน้อย ในเมื่อข้ากับเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันใจเจ้าคิดอะไรข้าย่อมรู้ดีที่สุด ใจเจ้าปรารถนาสิ่งใด...ตัวข้า ย่อมตอบสนองสิ่งนั้น!!’
ธาเนียส่ายหน้าหวาดหวั่น ภาพของแม่ทัพคนแรกที่ตายไปเพราะความคิดด้านมืดของนางฝังแน่นติดตา ยิ่งยามสุดท้ายของชีวิตที่เขาเบิกตากว้าง ริมฝีปากสั่นระริกเหมือนต้องการถามเหตุผล แต่สุดท้ายเขาก็สิ้นใจ...ตายทั้งๆที่ยังไม่รู้เหตุผลใดๆเลย
‘หมาป่า หยุด!! ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!’
หมาป่าแผดเสียงคำรามกึกก้องประกาศศักดิ์ดา เหล่าแม่ทัพที่เหลือแม้ตื่นตระหนกแต่ยังคงคุมสติตัวเองได้ พวกเขาถอยหลังเพื่อตั้งตัว กระชับอาวุธในมือแน่นแม้จะยังสับสนและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“นายหญิง ท่านทำอะไรน่ะขอรับ!?”
ดวงตาสีมรกตที่มองมายังนางทำให้เด็กสาวใจหาย พวกเขาหวาดระแวง สับสน ความเชื่อถือในตัวนางกำลังสั่นคลอน
หมาป่าย่างก้าว และวินาทีต่อมา ฝนเลือดมากมายก็สาดกระหน่ำลงสู่ผืนปฐพีอีกครั้ง...
...พอได้แล้ว!!ได้โปรดหมาป่าหยุด!!! พอแล้ว! อย่าทำพวกเขา ข้าอภัยให้พวกเขา มันเป็นอุบัติเหตุ พอสักที พอสักที!!!...
“เพียงคืนเดียว...หมาป่าเซ่นสังเวยคิไมร่าเกือบร้อยตัวกับชนเผ่าเอลฟ์อีกห้าเพื่อการทำพันธะสัญญา...”
ดวงตาของธาเนียสงบนิ่งพอๆกับสีหน้าราบเรียบดุจผู้ที่ไร้ความรู้สึก แสงจากกองไฟที่กระทบดวงหน้างามยิ่งขับให้นางดูไร้หัวใจยิ่งกว่าเก่า... แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกในหัวใจ ภายใต้หน้ากากเย็นชามีสิ่งใดซ่อนเร้น
เคลประสานมือที่กุมแน่นของตัวเอง...เจ็บปวดแทนธาเนีย...นางสูญเสียทั้งบิดาและมารดาในเวลาเดียวกัน นางฆ่าคิไมร่าเป็นครั้งแรกแม้จะไม่ใช่ด้วยมือของนางเอง และสุดท้าย นางฆ่าชนเผ่าเดียวกัน...ผู้คนที่บรรพบุรุษของนางทุกรุ่นทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้อง...
“ท่านธาเนีย...”
“มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นหรอก...คืนวันถัดมา หมาป่า...ยังฆ่ามนุษย์ในกองเกวียนอีกเกือบ 50 ชีวิต...”
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง...นี่หรือเปล่า เรื่องเล่าที่เขาได้ยินจากปากลุงขี้เมานั่น!
ไม่อยากเชื่อ! หมาป่าตัวนั้นเป็นธาเนียหรือ!?
ธาเนียเดาความหมายของท่าทางนั้นต่างไป ความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นในใจ น่าประหลาดนักที่นางถึงกับกลัวว่าเคลจะเกลียดนาง หญิงสาวหลุบตาต่ำ นางไม่กล้าสบตากับเขาอีก กลัวว่าจะได้เห็นแววชิงชังหรือผิดหวังในดวงตาของเขา ถ้าเป็นแบบนั้น...นางคงแย่
นางปิดตาแน่น เมื่อนึกภาพย้อนไปคืนวันนั้น ภาพหมาป่าที่กู่หอนบัญชาหมาป่าธรรมดาอีกนับไม่ถ้วนให้เข้าโจมตีคณะกองเกวียนนั้น นางไม่เข้าใจเหตุผล แต่ในตอนนั้นนางรู้สึกถึงความเกลียดชังที่พลุกพล่านในกาย มันไม่ใช่ความรู้สึกของนาง ราวกับหมาป่าโกรธแค้นและชิงชังทุกสิ่งจนต้องระบายมันออกมา...และนั่นทำให้นางเริ่มลังเลว่าหมาป่านั้น เป็นผู้พิทักษ์หรือผู้ทำลายกันแน่
เคลเงียบไปนานแสนนาน ทิ้งให้ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบที่มีเพียงเสียงธรรมชาติ ธาเนียอาจชอบความเงียบก็จริง แต่ในยามนี้ นางอยากให้เคลพูดอะไรบ้างสักคำ...แต่มันก็ไม่ผิดถ้าเขาจะเกลียดนางไม่อยากพูดกับนางเพราะเคยฆ่ามนุษย์ตั้งมากมาย มันเป็นธรรมดาที่สิ่งมีชีวิตเดียวกันจะเกลียดชังคนที่มาทำร้ายเผ่าพันธุ์ของตน
แต่เคลเป็นคนบอกว่าจะรับฟังเรื่องของนางทุกอย่างไม่ใช่หรือ? ถ้านางเล่าออกไปแล้วเขามาโกรธนาง
“แล้ว...ท่านบอกว่าใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไม่ใช่หรอ ทำไมถึงรักษาข้าได้ล่ะ?”
“หมาป่าบอกข้าว่า ขณะที่กลายร่างกลับ พลังเวทของหมาป่าจะยังไม่หายไปในทันที แต่จะค่อยๆลดลงกระทั่งเท่าพลังเวทเดิมที่มี ให้ข้ารีบใช้พลังเวทในส่วนนั้นรักษาเจ้าก่อนที่มันจะหมดไป...” น้ำเสียงของนางติดจะแข็งๆ แม้แต่ตัวเองยังรู้สึก...นางไม่เคยใช้เสียงแบบนี้กับใครเลย ทำไมนะ?
“ฮ่า! อย่างน้อยหมาป่าก็ช่วยชีวิตข้านะ ท่านธาเนีย!”
น้ำเสียงรื่นเริงของเคลทำให้นางต้องเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาหน่อยๆ ขณะเริ่มอธิบายให้นางฟัง
“จริงๆหมาป่าจะไม่ช่วยข้าก็ได้นะในเมื่อข้าไม่เกี่ยวอะไรกับมันเลย แต่มันก็ไม่ทำอย่างนั้น จริงไหม? และเพราะมัน ข้าก็เลยรอดตาย (แบบหวุดหวิด) จริงไหมครับ?”
ธาเนียอึ้งไปหน่อยเหมือนกันกับความคิดนั้นของเคล แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่า หมาป่าได้ช่วยชีวิตเคลไว้
ความหม่นหมองในดวงตาคู่งามเริ่มจางหาย แม้จะยังไม่หมดไป แต่มันก็ทำให้เคลพอใจขึ้นมาหน่อย...เขาไม่อยากเห็นนางเศร้าโศกแบบนี้...
“มันเป็นความจริงที่ว่า ทุกคนย่อมมีความคิดด้านลบในใจ เพียงแต่จะแสดงมันออกมาไหม? หรือมาน้อยเพียงใด แต่ในตอนนั้นสำหรับท่านแล้ว หมาป่าดึงเอาความคิดนั้นออกมาและใช้เป็นเป้าหมายของมัน มันไม่แปลกถ้าท่านจะเกลียดคิไมร่าที่ทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ของท่านเสียชีวิต เอ่อ...และถ้าคิดเข้าข้างท่านอีกหน่อย ถ้าหากบรรดาแม่ทัพนั้นออกไปเร็วกว่านี้ ท่านแม่ของท่านก็จะไม่เสียชีวิต และการฆ่าคนของหมาป่าย่อมมีเหตุผล เพียงแต่ท่านไม่รู้ แต่ที่สำคัญคือ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว และท่านก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขมันได้ อดีตมีค่าให้ท่านจดจำเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ แต่อย่ายึดติดกับมัน...ข้ารู้ ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเพียงลมปากของคนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้น แต่ข้าเชื่อว่า ท่านจะต้องเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดออกไปแน่ๆ”
เคลคลี่ยิ้มอบอุ่นให้นาง เขารู้ว่านางจะต้องเข้าใจคำพูดยาวเหยียดนี้ นางอาจจะเคยคิดแบบนี้มาก่อน...อาจจะเคยหรือไม่เคยมีใครบอกนางเช่นนี้ก็ได้ แต่เคลก็หวังว่าคำพูดของเขาจะช่วยปลอบโยนนางได้สักหน่อยก็ยังดี
แต่รอยยิ้มของเขาก็เริ่มกร่อย เมื่อแทนที่ธาเนียจะเงยหน้าสบตากับเขาแล้วพูดอะไรสักอย่าง นางกลับก้มหน้านิ่งงันและไม่ยอมพูดอะไรเลย ชายหนุ่มได้แต่ทอดถอนใจปล่อยให้นางจมอยู่ในความคิดของนางเอง... บางครั้งความเงียบก็เป็นสิ่งที่ดีแต่ในขณะเดียวกันมันกลับทำให้คนยิ่งคิดมากกว่าเก่า
“ขอบคุณนะ...”
เคลแหงนหน้าจากกองผลไม้ที่เขาหามา มองตรงไปยังร่างบางที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าพูดเสียงอู้อี้ หยาดน้ำใสๆตกลงบนท่อนแขนเรียว...ไม่มีเสียงร่ำไห้ใดๆ นอกจากไหล่บางที่สั่นสะท้าน...
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...”
รอยยิ้มบางเบามอบให้กับนางที่ไม่มีทางจะมองเห็น...รอยยิ้มที่บอกว่าเขารักนางมากเพียงใด...
ธาเนียเช็ดน้ำตาออกหมดแล้ว ก่อนที่นางจะเริ่มกินผลไม้ที่เคลหามาให้อย่างหิวโหยแต่แน่ว่านางยังคงรักษาความสุภาพไว้ได้ ที่เขารู้ว่านางหิวก็เพราะตอนนี้นางจัดการกับผลไม้ลูกที่สามที่ใหญ่พอๆกับกำปั้นของเขาหมดไปและกำลังมองหาลูกที่สี่
“ให้ข้าหาผลไม้มาเพิ่มไหม?” น้ำเสียงขำขันปนเอ็นดูทำให้ธาเนียชะงักมือจากการเอื้อมไปหยิบผลไม้ลูกใหม่ ดวงหน้างามแดงระเรื่อ และกลายเป็นแดงจัดเมื่อรู้ว่าเคลกำลังหัวเราะนาง
“อ้าวๆ ข้าไม่ได้ว่าอะไรนะครับ อยากทานก็ทานต่อเถอะ ข้าแค่ถามเฉยๆเอง” เคลรีบบอกเช่นนั้น ก็เพราะอยู่ๆธาเนียก็วางหดมือกลับ ก้มหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเขิน
“ไม่ต้อง...ข้าอิ่มแล้ว...”
“ว้า~ งั้นผลไม้ที่เหลือนี่ก็น่าเสียดายจังเลย ข้าเองก็อิ่มแล้ว สงสัยคงต้องทิ้งล่ะ”
ชายหนุ่มแสร้งถอนใจเหมือนแสนจะเสียดายผลไม้ลูกสุดท้าย ทำท่าจะเอื้อมไปหยิบมัน และนั่นก็ทำให้ปลาตัวน้อยก็ติดเบ็ดที่เขาวางไว้
“เดี๋ยว...เจ้าจะเอาไปทิ้งหรือ?” เอ่ยปากออกไปแล้ว นางก็แทบอยากจะคืนคำของนางเองเมื่อเห็นว่าเคลทำหน้าเช่นไร นางก็เลยทำได้แค่ก้มหน้างุดแล้วอ้ำอึ้ง “อ่า ข้าเสียดาย...ถ้ายังไง ข้ากินเองก็ได้...เอ่อ...อย่าหัวเราะข้าสิ!” แล้วสุดท้ายนางก็อดไม่ได้ที่จะแหวออกไป เพราะเคลเริ่มกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ใบหน้าคมสันแดงจัด ทั้งพยายามเม้มริมฝีปากแน่นไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดออกมา
หญิงสาวเม้มปาก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผลไม้ลูกสุดท้ายมาแล้วเบือนหน้าไปกินทางอื่น
“ถ้าอยากหัวเราะนักก็เชิญเลย!”
ธาเนียหารู้ไม่ว่าท่าทางนั้น น่ารักมากกกกกในสายตาของเคล ไม่ว่าจะท่าทางสะบัดหน้าไปทางอื่น กระแทกเสียงใส่นิดๆ นางงอนเขา...นางงอนเขาด้วย!! มันเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้เขารู้ว่านางเริ่มสนิทกับเขามากขึ้นจนแสดงอารมณ์ต่างๆออกมาได้
และเคลก็ไม่รู้หรอกว่า นางไม่เคยทำท่าทางเช่นนี้กับใครแม้แต่กับเอเรีย!
“โถ่ๆ ท่านอย่างอนข้าสิ” ร่างสูงลุกขึ้นคลานเข่าไปหานาง โบกไม้โบกมือเรียกร้องความสนใจจากนางด้วยรอยยิ้ม “อะอะ! ข้าไม่หัวเราะแล้วเห็นมั้ย อย่างอนข้าสิคนสวย”
ธาเนียปรายหางตามองเขาหน่อยหนึ่ง แล้วรีบตวัดกลับโดยเร็ว นางยังคงไม่ยอมพูดกับเขา อาการงอนหน่อยๆยังคงอยู่ แต่ที่แน่ๆคือนางกำลังหน้าแดงระเรื่อ...
จวบจนนาง
“ท่านน่าจะนอนได้แล้วนะ วันนี้ท่านเหนื่อยมากแล้ว” ชายหนุ่มบอกกับนาง เดินตรงไปจัดผ้าปูนอนให้มันคลี่ออกดีๆ แล้วหยิบเสื้อของเขามาคลุมไหล่ให้กับนาง “อากาศเย็น เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ธาเนียว่าง่ายกว่าที่คิด อาจเป็นเพราะนางเหนื่อยและเพลีย หญิงสาวจึงกลับไปยังที่นอนของนางโดยดี
“จริงๆแล้วมันเป็นของเจ้า เจ้าสมควรจะได้นอนบนมัน” มันของนางหมายถึงผ้าที่เขาใช้ปูนอน
หญิงสาวเหลียวมองไปยังร่างสูงที่ทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆกับนาง เคลนั่งชันเข่า สายตายังไม่ห่างจากดวงหน้างาม
“ข้ายังไม่ง่วงเลย เดี๋ยวจะนั่งเฝ้าให้ก่อน”
“เจ้าตอบไม่ตรงคำถามนะ”
แล้วเคลก็หัวเราะเบาๆขณะตอบคำถามนั้น “ผู้ชายที่ไหนนอนบนผ้าปูรองบ้างล่ะครับ ยิ่งต้องแย่งผู้หญิงล่ะก็ ขายหน้าแย่”
ธาเนียเอียงคอมองเขาอีกครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเข้าใจเหตุผล แต่พอมองกระเป๋าของเคลที่เขา (บังคับ) ให้ใช้ต่างหมอน นางก็รู้สึกว่ากำลังเบียดเบียนเขาชอบกล
“ถ้าเช่นนั้น คราวหน้า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เจ้าต้องนอนบ้างแล้วข้าจะเป็นฝ่ายอยู่ยามให้”
นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขายิ่งรักนางเข้าไปใหญ่ ธาเนียเป็นคนมีน้ำใจ...
“ทราบแล้วคร๊าบ” ชายหนุ่มลากเสียงยานคางหยอกนางเล่น เฝ้ามองนางที่กำลังจัดที่จัดทางให้เรียบร้อยจากเบื้องหลัง
“ท่านธาเนีย...”
“หืม?” อีกฝ่ายหันมารับคำ ต่างจากเมื่อก่อนที่นางจะทำเพียงหันมาแล้วเงียบ
เคลเงียบไปครู่หนึ่ง ไตร่ตรองสิ่งที่เขาอยากจะเอ่ยปากอีกรอบ...เขารู้ว่ามันไม่ควร แต่ก็ยังดึงดันจะพูดออกไป
“ข้า...ขอกอดท่านหน่อยได้ไหม?”
ธาเนียนิ่งงัน และเคลรู้ว่าเขาพลาดไปแล้ว... เขาหัวเราะแก้เก้อ ก้มหน้าลงยกมือลูบท้ายทอยตัวเอง
“ขอโทษครับ ขอโทษ ข้ารู้ว่ามันไม่ได้อยู่แล้ว ลืมๆไปซะเถอะครับ”
กระทั่งเขาเห็นขาของนางตรงหน้า ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้น มองร่างบางที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าในระยะที่เขาเองก็เอื้อมถึง
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะอดทนนิ่งเฉย เคลรวบร่างบางกอดแนบอก กอดแน่นอย่างสุขใจ
...น่าประหลาดนักที่นางลืมเลือนกฎของหมู่บ้านที่นางเฝ้ารักษามันอย่างดีมาตลอด... ธาเนียหลับตาลง ความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยท่วมท้นในใจของนาง แม้ว่าอ้อมแขนนั้นจะรัดนางแน่นจนแทบขยับตัวไม่ได้ก็ตาม
ความรู้สึกของทั้งคู่ตรงกันที่ว่า อยากให้เวลาหยุดลงแค่เพียงตรงนี้ แค่ให้มีกันและกัน แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยในโลกที่บูดเบี้ยวและเวลายังคงพัดผ่าน...
อ้อมแขนค่อยๆคลายออกช้าๆ ปลดปล่อยพันธนาการร่างกาย แต่พันธนาการของหัวใจ...ยิ่งรัดแน่น
เคลลูบไล้แก้มนวลด้วยมือหยาบ...ตาสบตา...มิอาจละได้
มันทำให้เขารู้ว่าเขารักนางมากเท่าไหร่ เขายิ่งหลงใหลนางมากเท่านั้น...ผู้หญิงแข็งๆเย็นชาคนหนึ่ง กลับมีบางอย่างที่น่าลุ่มหลง...มากกว่าเรือนร่าง มากกว่าหน้าตา มันคงเป็นจิตใจของนางกระมัง...จิตใจที่ดูเหมือนแข็งกร้าวดุจหินผา เย็นชาดุจธารน้ำแข็ง แต่อีกด้านหนึ่งของภูผาสูงใหญ่ที่ปิดกลั้นทุกสิ่งกลับกลายเป็น ความอบอุ่นที่เหมือนแสงแดดยามคิมหันต์ อ่อนโยนเหมือนดอกไม้ที่ไหวเอนลู่ลม
“ข้า...รักท่าน”
คำคำเดียวจากทั้งหัวใจ ก่อนริมฝีปากจะแนบกลีบปากบางนุ่มนวลอ่อนโยน... ไม่หลงเหลือความคิดใดๆในสมองอีก นอกจากการปลดปล่อยให้สัมผัสของร่างกาย และหัวใจสองดวงที่เชื่อมถึงกัน...
วันนี้...เจ้าอาจไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘รัก’ ... หาก...ข้ารู้...จิตวิญญาณของเจ้าจะต้องเข้าใจมันดี...
ความคิดเห็น