คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 15
เนิ่นนานกว่าหยดน้ำตาจะแห้งเหือด...ร่างบางในอ้อมกอดเริ่มขืนกายออกอย่างพึ่งรู้สึกตัว หากเคลยังคงรัดอ้อมแขนนิ่งทำทีเป็นไม่เข้าใจต่อสัญญาณของนาง...ก็ทำไมล่ะ กว่าจะได้กอดแบบนี้คงอีกนาน เพราะฉะนั้นจะรีบปล่อยไปทำไม จริงไหม?
แต่คนในอ้อมกอดเริ่มไม่เล่นด้วย นางขยับกายอย่างอึดอัดและกังวลต่อสิ่งที่กำลังกระทำ นางพึ่งรู้สึกว่านางอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ไม่ใช่ทั้งสามีและบิดา!?
“เคล...”
มีเพียงชื่อที่ผ่านปาก เพราะหากจะให้พูดมากกว่านั้น มันก็กระดากใจชอบกล
สมองของชายหนุ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว แล้วความคิดชั่วร้ายก็ทำให้เขาเลือกที่จะชวนนางคุยเปลี่ยนประเด็น ถึงแม้ว่านางจะหันเหไปแค่แปบเดียวก็ตาม แต่มันก็คุ้มล่ะ
“อา...ท่านบอกว่าท่านไม่สามารถใช้เวทมนตร์ไม่ใช่หรอครับ แล้วทำไมถึงรักษาข้าได้ล่ะ...อ้อ ใช่ และตอนที่ข้าสลึมสลือ ข้าก็เห็นหมาป่าสีเงินตัวใหญ่กำลังแบกข้า แล้วที่สำคัญ ท่านสักด้วยหรอครับ? ข้าเห็นมันแวบๆแถวๆหลังไหล่ แต่ตอนนี้ก็ไม่เห็นแล้ว...”
ร่างบางในอ้อมกอดหยุดนิ่ง...และเงียบกริบ จนเคลเริ่มกังวลว่าเขาถามอะไรผิดไปหรือป่าว
“เอ้อ ข้า...”
“หมาป่าตัวนั้น...ข้าเอง แล้วรอยสักนั่น มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของหมาป่า ข้ารักษาเจ้าได้ก็เพราะผลพวงจากหมาป่า”
และคราวนี้กลับกลายเป็นเคลแทนที่ดึงธาเนียออกจากอก เบิกตากว้างตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาได้ยิน
“ท่านแปลงเป็นหมาป่าได้งั้นหรือ เจ๋งจริงๆ!”
หญิงสาวขมวดคิ้วกับประโยคหลังของเขา ...อะไรคือเจ๋ง?... หากนางก็ไม่ติดใจกับคำพูดนั้นมากนักเมื่อเดาจากสีหน้าของเคลแล้ว นางก็คิดว่ามันน่าจะหมายถึงสุดยอด หรืออะไรประมาณนั้น...แต่สำหรับรางแล้ว มันตรงข้ามเลย...
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?”
หญิงสาวหลับตาลง นึกย้อนไปถึงวันที่นางแปลงกายเป็นครั้งแรก...วันที่นางสืบทอดตำแหน่งโดยไม่เป็นทางการครั้งแรก
“สำหรับข้า...มันเป็นเหมือนตราบาป...”
รอยยิ้มตื่นเต้นในคราแรกสลายวับกับสิ่งที่ผ่านริมฝีปากบางออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
ดวงตาสามสีคู่งามลืมขึ้น...มันไม่เป็นสีฟ้าสดใสอีกแล้ว กลับกลายเป็นสีเขียวหม่นหดหู่...
ธาเนียระบายลมหายใจหนักอึ้ง ภาพความหลังหมุนย้อนวนกลับมาทำร้ายความรู้สึกดุจมีมีดเล่มใหญ่ค่อยๆกรีดเฉือนที่หัวใจ...เจ็บปวด โหยหา เสียใจ...
แต่นางจำต้องเก็บความรู้สึกนั้นมาตลอด เพราะตำแหน่ง...เพราะสิ่งที่ค้ำคอ คอยบังคับให้นางกล้ำกลืน... วันเวลาค่อยๆผ่านผัน จนสิ่งที่นางฝืนบังคับมาตลอด กลับกลายเป็นหน้ากากเย็นชา เก็บซ่อนทุกความนึกคิดทุกความรู้สึกไว้ภายใน
“ท่านไม่เหนื่อยหรือ?” ธาเนียขมวดคิ้วน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่เคลถอนใจหนักๆออกมา “ท่านต้องฝืนเก็บความรู้สึกไว้ตลอด ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”
เหนื่อยสิ...เหนื่อยเหลือเกิน...
“ไม่หรอก...มันไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ข้าต้องแบกรับหรอก” ศีรษะโคลงช้าๆปฏิเสธออกไป ทั้งๆที่อยากจะยอมรับมันเหลือเกิน... แต่หากนางยอมรับมันออกไป นอกจากศักดิ์ศรีของนางแล้ว นางกลัวว่าเหลือเกินว่าจะไม่อาจทนรับมันต่อไปได้หรือไม่...
“หรือเพราะว่าข้าไม่สำคัญพอที่ท่านจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้?”
ร่างบางชะงักกับสิ่งที่เคลพูด... พอเงยหน้าก็พบกับดวงตาคู่คมที่จับจ้องแน่วนิ่ง...จนนางหวั่นไหว...
“ข้ารู้ว่าฐานะทำให้ท่านต้องกล้ำกลืนมัน แต่ในความจริงแล้ว ข้าเป็นคนนอกไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นท่านไม่จำเป็นเลยที่จะต้องปิดบังมันกับคนนอกอย่างข้า จริงไหม? อย่างน้อย...หากท่านอยากจะเอามันลงจากบ่า ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ข้าก็พร้อมจะรับฟังท่านนะ”
เคลระบายรอยยิ้มอ่อนโยน ค่อยๆมือใหญ่เอื้อมไปกุมสองมือเล็กบีบกระชับไว้ในอุ้งมือเบาๆ ...ให้นางรู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้เสมอ ทุกเวลาที่นางต้องการ...
เสียงนุ่มของคลื่นยามกระทบฝั่งยังคงเป็นจังหวะเชื่องช้าสม่ำเสมอ ปักษายามค่ำคืนขับร้องบทเพลงแว่วหวานดุจมารดาขับกล่อมบุตรที่รักยิ่งให้หลับใหลอย่างเป็นสุข มีมวลพฤกษาขยับเอนกายกระทบกันเป็นเครื่องดนตรีประกอบ
เสียงนั้นลอยกระทบโสต เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิเสธไม่สนใจ...หากในยามนี้ บรรดาเสียงเหล่านั้นกลับไม่มีเสียงใดเลยที่จะไพเราะเท่าเสียงหวานจากหญิงสาวตรงหน้า...
“เจ้า...อยากฟังเรื่องของข้าไหม?...”
“เนิ่นนาน...ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบหกปีก่อน วันสุดท้ายที่ข้าเป็นเพียง ‘ท่านธาเนีย’...”
ความคิดของเคลชะงักไปหน่อยหนึ่งเมื่อได้ยินคำว่า ‘สามสิบหกปีก่อน’ ...แล้วงั้นตอนนี้นางอายุเท่าไหร่แล้วนี่?
“มีอะไรหรือ?”
ชายหนุ่มแทบสะดุ้ง ก่อนจะปฏิเสธอย่างไม่แน่ใจตัวเอง “ไม่นี่ครับ...” แต่พอคิดๆดูแล้ว เขาก็อยากรู้อายุนางเหมือนกันแฮะ... “เอ้อ...” เคลขัดขึ้นอีกหน ลูบท้ายทอยตัวเองพลางยิ้มแห้งๆขณะถามธาเนีย “เอ่อ ตอนนี้ท่านอายุเท่าไหร่แล้วหรอครับ?”
หญิงสาวเลิกคิ้วกับคำถามนั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแล้วทำท่านับนิ้วตัวเอง
“น่าจะหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดปีนะ มีอะไรหรือ?”
คราวนี้นางย้ำคำถามเดิมเพราะเห็นเคลเบิกตากว้าง แต่แปบเดียวหลังจากนั้นเขาก็เก็บท่าทางตัวเองไว้ แล้วบอกให้นางเล่าต่อไป
“หนึ่งร้อยเก้าสิบแปดปีนับว่ายังเด็ก เพราะเผ่าเอลฟ์ของเราจะถือว่าผู้มีบรรลุนิติภาวะแล้วนั้นต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสองร้อยปี หรือหากนับตามเกณฑ์การศึกษา ก็จะประมาณสองร้อยห้าสิบปี”
นางเริ่มต้นอธิบายเรื่องการบรรลุนิตาภาวะของเผ่าให้เคลฟัง เพราะคิดว่าเคลอาจจะตกใจที่นางอายุมากแต่ยังนับเป็นเด็ก...แน่นอนว่าเคลตกใจเรื่องอายุแต่มันไม่ใช่เพราะว่านางยังเด็ก แต่เพราะอายุที่มากกว่าเขาถึงตั้งเจ็ดเท่าต่างหาก
หญิงสาวพ่นลมหายใจยาวแล้วย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกครั้ง...
“หมู่บ้านของเรา จะมีการออกตรวจตราของเหล่านักรบเพื่อตรวจดูว่าเสาเขตมนตรานั้นยังมีสภาพดีอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งถ้าหากมันเสียหาย เราก็จะได้ซ่อมแซมให้ทัน ก่อนที่พวกคิไมร่าจะทำลายเสาต้นนั้นซึ่งจะทำให้เขตมนตราบริเวณนั้นหายไป เปิดโอกาสให้พวกมันบุกเข้ามาในหมู่บ้านของเราได้”
“ในฐานะของหัวหน้าเผ่าแล้ว จะมีการออกตรวจตราประจำปีเพียงหนเดียวซึ่งบังคับให้หัวหน้าเผ่าออกตรวจตรา ในครั้งนั้น บิดาและมารดาของข้า...นายเหนือธามและนายหญิงนาเดียร์...ออกตรวจตราประจำปี และตัวข้าซึ่งยังเด็กนักขอติดตามออกไปด้วย...”
“วันแรกของการออกตรวจตรา นายเหนือนายหญิงและแม่ทัพใหญ่อีกหกท่านรวมถึงตัวข้า เลือกที่จะตั้งค่ายเร็วกว่าปกติเพราะมีเค้าของเมฆฝน...ทุกอย่างมันเริ่มที่ตอนนั้น...”
สายลมค่อนข้างรุนแรงกว่าเดิมเล็กน้อย เมฆฝนที่ตั้งเค้ามาแต่ไกลก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นนายแห่งเผ่าพันธุ์เอลฟ์กังวลมากเท่าไหร่นัก
ร่างสูงขยับกายลุกขึ้นยืน เหลียวไปมองบรรดาแม่ทัพที่เป็นสหายสนิททั้งหกจัดการตั้งที่พักของพวกเขาซึ่งก็เสร็จพอดี ก่อนจะหันไปหาสองร่างที่นั่งบนขอนไม้ใต้ต้นไม้...
หนึ่งในนั้นคือภรรยาที่รักยิ่งชีพ และอีกหนึ่งคือบุตรีคนโตผู้ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าคนต่อไปกำลังหัวเราะคิกคักกับมารดาอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาพวกนาง พลางส่งเสียงทักทาย “รอนานไหมเดียร์ ธาเนีย”
สิ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งคาดหวังจะได้จากครอบครัวที่เขารักยิ่ง ก็คือรอยยิ้มอันอบอุ่นจากภรรยาและเสียงหัวเราะเริงร่าของบุตรที่เป็นประหนึ่งโซ่คล้องใจ...มันคือสิ่งที่เขาไม่เคยขาดแม้สักวัน
“ท่านพ่อคะ~”
เด็กสาวผู้มีเรือนผมสีเงินยวงยาวสยายถึงบั้นเอวเดินเข้ามากอดเขาแน่นออดอ้อนอย่างที่คนเป็นพ่อรู้ความหมาย
ธามลูบศีรษะของลูกสาวอย่างรักใคร่ รอจนแม่ตัวน้อยปล่อยมือจากเอวเขาแล้วเอ่ยปากเปรยลองเชิง
“กลิ่นดอกไม้หอมจัง...”
คนเป็นลูกตาวาวรีบพยักหน้าเสริมโดยเร็ว “ใช่ค่ะๆ” นาง
“เฮ้อ...เจ้าก็รู้ว่าแม่เป็นห่วง ถ้าข้ามลำธารไปก็หมายถึงเป็นเขตของพวกคิไมร่า มันอันตรายนะ”
“ข้ารู้ค่ะท่านพ่อ แต่ว่าข้าได้รับการสั่งสอนจากท่านราชสีห์อย่างดีจนจบทุกอย่าง ท่านราชสีห์ยังเอ่ยปากชมข้าเลย ฉะนั้น ข้าคิดว่าข้าดูแลตัวเองได้ค่ะ และที่สำคัญ ถ้าข้าร่ำเรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ วันหนึ่งก็ต้องลืมจริงไหมคะ?”
เจอไม้นี้เข้าธามเลยได้แต่หัวเราะดังๆกับความหัวใสของลูกสาวคนนี้...ร้ายจริงๆ
“ได้ๆ พ่อเข้าใจแล้ว เดี๋ยวพ่อจะไปอ้อนแม่ของเจ้าให้ จะไปไหนก็ไปเถอะ ดูแลตัวเองด้วยนะ” เขากอดลูกสาวแน่นๆอีกครั้ง ก่อนจะคลายมือออกเป็นการปล่อยให้นางได้ทำตามใจ...ใช่...และนั่นคือการปล่อยมือจากลูกสาวคนนี้ตลอดกาล...
“ข้ารักท่านพ่อที่สุดในโลกเลยค่ะ!! ฮะฮะฮะ ข้าไปล่ะค่ะ” ร่างบางโปร่งระหงวิ่งฉิวไปโดยเร็ว แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาโบกมือให้
ธามโบกมือให้ลูกสาว แต่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาภรรยาสุดที่รักซึ่งตอนนี้ทำหน้ามุ่ยที่เขาตามใจลูกสาวมากเกินไป ธาเนียก็ส่งเสียงตะโกนกลับ
“อ้อ ข้าก็รักท่านแม่นะคะ!! ไปล่ะค่ะ ไปจริงๆแล้ว~”
ธามโคลงศีรษะระอา พอหันกลับมาอีกที นาเดียร์ก็มายืนตรงหน้าเขาแล้ว คิ้วสวยขมวดมุ่น ดวงหน้างามทำหน้ามุ่ยบ่งบอกอารมณ์ในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี
“ท่านตามใจลูกอีกแล้วนะคะ แถวนั้นมันอันตรายนะ ท่านคิดอย่างไรถึงปล่อยลูกไปเนี่ย ข้าไม่เข้าใจเลย”
สตรีอันดับหนึ่งของหมู่บ้านกอดอกท่าทางเอาเรื่องน่าดู...แต่ธามก็เข้าใจ เพราะนางเป็นแม่ นางเลยห่วงลูกเป็นธรรมดา
“ไม่เอาน่าที่รัก” ชายหนุ่มดึงร่างบางมากอดแนบอกลงมือ ‘อ้อน’ ตามที่สัญญากับลูกสาวไว้ (ซึ่งแน่นอนว่าเขามีแต่ได้กับได้ หึหึ) “ลูกเราเขาเก่งแล้ว เขาดูแลตัวเองได้น่า ทุ่งดอกไม้นั่นก็ไม่ไกลนักถ้าเกิดอะไรเราก็ไปช่วยได้ทันอยู่แล้วนะ อย่าห่วงเลยคนดี อ้อ ธาเนียฝากบอกว่า ‘ข้าก็รักท่านแม่นะคะ’ ด้วยนะ”
นาเดียร์ถอนใจเฮือกใหญ่ในอ้อมกอดของสามี “ใช่ค่ะ ข้ารู้ว่าธาเนียเก่ง แต่นางยังเด็ก...ข้า...สังหรณ์ไม่ดีเลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายแลดูสำอางค่อยๆจางหาย...ใช่ ตัวเขาก็รู้สึกถึงสังหรณ์นั่นเหมือนกัน... แต่จะให้พูดได้อย่างไรเล่า
“ไม่เอาน่า เจ้าคิดมากไปนะ เชื่อข้าเถอะว่าภูตพรายแถวนี้จะคุ้มครองลูกของเรา...”
ขออย่าให้เป็นอย่างที่สังหรณ์เลยเถอะ...
ไกลออกไปจากที่ตั้งค่าย...
เด็กสาวคลี่ยิ้มน้อยๆเมื่อทุ่งดอกไม้งดงามสุดลูกหูลูกตาเหนือเนินเตี้ยๆปรากฏอยู่ในสายตา...ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นางต้องข้ามฝั่งลำธารค่อนข้างกว้าง แต่ปัญหาคือทุ่งดอกไม้นั้นอยู่หลังเสาเขตแดนเวทมนตร์ต่างหาก
ช่างเถอะ... นางตัดปัญหาง่ายๆ...ยังไงพวกคิไมร่าพวกนั้นนางก็จัดการได้สบายๆอยู่แล้ว...
ธาเนียก้าวลงไปที่ริมลำธาร ใช้มนตร์วารีควบคุมผืนน้ำใต้ฝ่าเท้าให้แข็งตัวพอที่นางจะเดินข้ามลำธารไปได้...มนตร์ง่ายๆแต่ใช้พลังเวทเยอะพอดู
ร่างบางหยุดหน้าเขตมนตรา ตบเบาๆที่หัวเสาสีแดงนั่นแล้วเดินผ่านไป...
“ในยามนั้น เพราะความเป็นเด็ก เพราะความขลาดเขลา เพราะความประมาทและทะนงในความสามารถของข้าเอง เลยทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดกาล...”
เคลเฝ้ามองธาเนียที่บัดนี้ก้มหน้ากอดเข่าบอกเล่าเรื่องราวในอดีตของนาง ใบหน้าดูหมองหม่น ดวงตาที่นานๆครั้งจะเงยขึ้นมาแลดูเจ็บปวด แต่ในยามที่นางพูดถึงพ่อและแม่ ดวงตาของนางจะกลายเป็นความสุขแต่ก็เพียงช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นนางจะยิ่งเจ็บปวด...
“เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นหรอครับ...”
ดวงหน้างามเงยขึ้น สบตากับเขาสักพัก ก่อนนางจะเริ่มต้นเล่าอดีตที่เจ็บปวดอีกครั้ง...
“ดอกไม้หอมจัง” เด็กสาวรำพึงรำพันกับตัวเองขณะทอดกายอยู่บนทุ่งดอกไม้หลากสีสัน จมูกเล็กๆสูดกลิ่นหอมจนเต็มปอด
“ทุ่งดอกไม้สวยๆนี่ไม่น่าอยู่ในถิ่นพวกคิไมร่านี่เลย แย่จัง”
บ่นเสร็จก็ทอดถอนใจเสียอกเสียดาย... ก็มันน่าเสียดายจริงๆนี่
เด็กสาวลุกขึ้นนั่ง เหลียวมองธารน้ำ...ใบไม้ใบหนึ่งค่อยๆลอยไปเรื่อยๆตามสายน้ำจะพา...จากที่ใดที่หนึ่ง แล้วผ่านนางไปสุดลูกหูลูกตา...ชีวิตของนางก็คงไม่ผิดใบไม้นี่แหละ ลอยไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งดอกไม้ ผ่านภูเขา ผ่านใบหญ้า หรือผ่านซากศพ บางครั้งก็เจอเกาะแก่ง บางครั้งกระแสน้ำรุนแรง บางครั้งก็ไหลเอื่อย บางครั้งใบไม้ก็จมลงไปแต่ไม่นานมันก็จะโผล่ขึ้นมาอีก
มันก็ไม่ผิดกับนางที่ต้องพบเจออีกหลายๆสิ่ง มันอาจจะสวยงามหรืออาจจะโหดร้าย อาจจะเจอปัญหารุมเร้าในชีวิต แต่นางก็ต้องผ่านมันไปให้ได้...
“ตุบ...”
เสียงแปลกปลอมจากเบื้องหลังทำให้เด็กสาวกระชากกายหันกลับไปโดยเร็ว ทว่า ช้าไปเสียแล้ว...
บางอย่างกระแทกเต็มท้ายทอยจนมึนวูบไปทั้งหัว ธาเนียทรุดลงไปกองกับพื้น พยายามที่จะเหลียวไปเบื้องหลัง ฉากหลังคือทุ่งดอกไม้งดงามดุจสรวงสวรรค์ แต่สิ่งที่ยืนเด่นอยู่เบื้องหลังกลับเป็นสัตว์ร้ายจากขุมนรก...คิไมร่า...
สติของนางเลือนราง พยายามฝืนทั้งกายทั้งใจให้ฮึดสู้ แต่ดวงตาของนางกลับปรือปิดลงเรื่อยๆ ห้วงความคิดสุดท้ายนึกย้อนถึงบุพการีทั้งสอง
“ท่านพ่อ...ท่าน...แม่......”
“!!!”
ร่างบางถลันลุกพรวดขึ้นมา แต่สิ่งที่แรกที่รู้สึกคือความปวดหนักหน่วงที่ท้ายทอยจนต้องร้องครางออกมา
“โอย...”
“นอนลงไปก่อนเถอะขอรับ ท่านธาเนีย อย่าพึ่งลุกเลย”
น้ำเสียงทุ้มแฝงแววเครียดขรึมบวกกับความปวดทำให้นางนอนลงไปอย่างว่าง่าย หากสายตาก็เหลียวไปมองเจ้าของคำพูดนั้น
ราเดียสนั่งเฝ้านางที่มุมหนึ่งของกระโจม เขากำลังลับดาบเล่มยาวประจำตัวด้วยท่าทางนิ่งจนน่ากลัว
จริงอยู่ที่ราเดียสอายุมากกว่านางไม่กี่สิบปี แต่กลับได้เป็นหนึ่งในแม่ทัพ ส่วนหนึ่งมาจากสายเลือดแม่ทัพจากบิดาของเขาและอีกหนึ่งคือเขาสามารถล้มแม่ทัพคิไมร่าได้ตอนออกศึกครั้งแรกชนิดดวลกันตัวต่อตัวเลยทำให้ได้รับตำแหน่งเร็วขนาดนี้
“ข้าได้ยินเสียงคนปรึกษากัน แว่วๆว่าเกี่ยวกับท่านพ่อกับท่านแม่...เกิดอะไรขึ้นหรือราเดียส” ธาเนียตัดสินใจถามออกไป ทว่าบางอย่างก็ทำให้นางรู้ว่าเขาจะไม่บอก นางเลยทำทีเป็นถามเขา แต่สองหูก็พยายามเงี่ยฟังเสียงข้างนอก
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ท่านธาเนีย นายใหญ่กับนายหญิงออกไปข้างนอก ไม่นานก็กลับขอรับ”
“งั้นหรือ...” ธาเนียพยักหน้าเนิบนาบ ทำทีเป็นหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อกี้นางได้ยินพวกเขากำลังจะออกไปข้างนอกทั้งหมด มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ “ถ้าเช่นนั้น หากท่านพ่อกับท่านแม่กลับมา ช่วยปลุกข้าด้วยนะ”
ราเดียสไม่อาจปกปิดอาการผงะของเขาได้ชัดเจน ชายหนุ่มชะงักแล้วตีสีหน้านิ่งเฉยโดยเร็ว...แค่นั้นนางก็เข้าใจ
ธาเนียปิดตาลง แต่กระตุ้นประสาทหูของนางเต็มที่ เฝ้ารออยู่แสนนานในความรู้สึก กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากห่างออกไป แต่ราเดียสยังคงเฝ้าอยู่ในกระโจม
นางทิ้งช่วงเวลาสักพัก ร่ายมนตร์หลับใหลใส่คนที่นั่งเฝ้า แล้วแอบมองจากหางตา ร่างสูงเริ่มโงนเงนและในที่สุดก็คว่ำลงกับพื้น
หญิงสาวจึงลุกขึ้นค่อยๆย่องออกไปหน้ากระโจม เหลียวมองแถวนั้นจนแน่ใจว่าปลอดภัย นางก็เริ่มการไล่ตามเหล่าแม่ทัพอื่นๆโดยเร็ว...
ความคิดเห็น