ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Elven Spirit

    ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 12

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 51


    ในช่วงแรกหลังผ่านพ้นทางเข้าหมู่บ้านแล้ว ธาเนียเริ่มออกวิ่ง วิ่ง วิ่ง และวิ่งไม่หยุด จนคนที่แอบวิ่งตามอย่างเคลแทบอึ้ง...ที่หมู่บ้านเขาฝึกนักรบเอลฟ์กันยังไงเนี่ย! ขนาดผู้หญิงยังอึดขนาดนี้...อ้อ แต่นางเป็นนายหญิงนี่เนอะ อาจจะถูกฝึกหนักกว่าคนอื่นเขา

    เกือบสามชั่วโมงที่นางตะบี้ตะบันวิ่ง นางก็เริ่มลดฝีเท้า และทั้งๆที่นางวิ่งติดต่อกันนานขนาดนั้น แต่เขายังไม่เห็นท่าทางเหนื่อยหอบจนตัวโยนของนางอยู่ดี หญิงสาวเพียงหยิบถุงหนังใส่น้ำขึ้นดื่มเล็กน้อย แล้วเริ่มเดินเร็วๆต่อ

    เขาพอจะเข้าใจว่านางต้องการห่างออกจากหมู่บ้านมากที่สุด เผื่อในกรณีที่นักรบของนางอาจจะออกตรวจตราแถวนั้นและบังเอิญเจอนาง แน่นอนว่ามันมีปัญหาแน่ เพราะแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่านางต้องการให้การเดินทางครั้งนี้เป็นความลับมากเพียงใด แต่ก็โชคดีนักที่นางไม่ได้ใช้มนตร์เคลื่อนย้าย ทั้งๆที่นางเองก็น่าจะใช้ได้..แปลกจัง

    แทบไม่มีหยุดพักระหว่างการเดินทางนอกจากช่วงทานอาหารกระทั่งตกช่วงค่ำที่เคลลำบากใจมากที่สุด...

    ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะเฝ้ามองดูนางเดินไปยังลำธารใกล้ๆพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่...เขารู้ว่านางไม่ได้หอบเสื้อผ้าไปเดินเล่นแถวนั้นแล้วเดินกลับแน่

    แน่นอนว่าสัญชาติญาณเพศผู้สั่งให้เขาย่องตามนางไป...

    โอ...ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน แม่ทัพอันทรงเกียรติอย่างเคล อันเซมเนีย ตกต่ำถึงขนาดต้องแอบดูผู้หญิงอาบน้ำ

    ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าด้วยเสียงของคุณธรรม (ในส่วนลึกก้นบึ้งของหัวใจ) ประชดประชัน...นั่นสิ ทำไมเขาถึงตกต่ำขนาดนี้นะ...โคลงศีรษะเอือมระอาตัวเองแล้วหมุนกายเดินกลับ

    หากอีกเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาทันควัน...

    นางอาบน้ำมืดๆค่ำๆอันตรายนา ถึงแม้นางจะมองเห็นในความมืดก็ตามเถอะ แต่นางก็ไม่ได้มีตาหลังนะ ไปเถอะน่า...ดูแต่ตา นางไม่สึกหรออะไรหรอก

    ฝีเท้าชะงักงันอีกครั้ง...คำพูดนี้ก็ถูกนะ นางต้องการคนดูแลหลัง... ว่าแล้ว เคลก็หันกลับ กระตุกยิ้มมุมปากแล้วออกก้าวเดินอีกครั้ง

    ถ้านางรู้ละก็ นางเกลียดเจ้าจนวันตายแน่เคล เสียงคุณธรรมพยายามร้องเตือน แต่เสียงจากฝ่ายอธรรมก็แย้งอย่างมีเหตุผล (?)

    เฮ้ย ไม่ไปเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายนะ ไอ้เจ้าเคล

    ไปไม่ได้นะ

    ไปสิๆๆ

    สองเสียงแข่งกันถกเถียงจนเคลเริ่มประสาทเสีย ให้ตายเซ่!!” เขาสบถเสียงต่ำให้กับเสียงในใจงี่เง่าพวกนั้น ศักดิ์ศงศักดิ์ศรีอะไรข้าก็ไม่เหลือแล้วโว้ยย! เพราะฉะนั้นข้าจะนั่งดูต้นทางให้นางและไม่หันไปมอง!!”

    ชายหนุ่มยืนยันปณิธานเสียงแข็ง ด้วยการกระแทกตัวลงนั่งในพุ่มไม้ใกล้ๆแถวนั้นที่ไม่ห่างจากธาเนียจนเกินไป และพิงต้นไม้หันหลังให้กับนาง

    เสียงของปณิธาณที่หนักแน่น เกิดอาการสั่นไหวไปหลายครั้งอยู่เหมือน เมื่อแว่วๆเสียงน้ำกระทบผิวกาย...โอ้ พระเจ้า ลูกไม่ต้องการการถูกทดสอบเลย...

    ฮ่าฮ่า ข้าบอกแล้ว...เสียเชิงชายจริงๆ

    มือใหญ่ตบหน้าผากตัวเองหลายๆครั้งเงียบได้แล้วน่า...หลังจากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างจนใจ สุดท้ายก็ได้แต่ปลอบตัวเอง ของดีมันต้องอดใจรอ...

     

    ธาเนียออกเดินทางต่ออีกครั้งเมื่อหัวรุ่งของวันถัดมา ท่าทางของนางดูสดใสสดชื่น ต่างจากเคลที่ใต้ตาดำคล้ำเพราะนั่งคิดมากทั้งคืนจนหลับไม่ลง...ให้ตายสิ

    ชายหนุ่มยังคงไม่แน่ใจว่าธาเนียจะเดินทางไปถึงไหน แต่อย่างน้อยก็ดีที่นางไม่ได้วิ่งอีกแล้ว แต่ฝีเท้ายังคงเป็นก้าวเดินไวๆ

    กระทั่งย่างเข้าสู่ช่วงเย็น...จากการสังเกต เคลพบว่าธาเนียเข้าป่าลึกมากขึ้นทุกทีๆ จากที่เคยเป็นป่าโปร่ง สุดท้ายก็กลายเป็นป่าทึบแม้ไม่รักชัฏมากก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้าธาเนียในตอนนี้...เสาสีแดงสดบ่งบอกอาณาเขต...

    ดูเหมือนว่านางจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำตอนที่ก้าวเดินผ่านเสานั่นไปว่าตัวนางอาจจะไม่ปลอดภัยอีกเมื่อไม่อยู่ในเขตมนตราป้องกันแล้ว

    ผ่านพ้นเขตป้องกัน ธาเนียเริ่มก้มๆเงยๆมองสำรวจบางสิ่ง และถ้าเขาเดาไม่ผิด สิ่งที่นางหาคงไม่แคล้วร่องรอยของพวกคิไมร่าแน่ๆ...

     

    นางสัมผัสได้ถึงไอเวทมนตร์เจือจางแถวนี้...

    ธาเนียเหลียวมองรอบกายอย่างระแวดระวัง...จอมเวทของเผ่าคิไมร่าต้องเคยผ่านมาแถวนี้แน่ๆและไม่ต่ำกว่าหนึ่งวันที่ผ่าน

    ฝีเท้าค่อยๆก้าวช้าๆ ดวงตามองหาสิ่งที่คาดว่าจะเป็นหลักฐานของพวกมัน กระทั่งนางเห็นรอยอุ้งเท้าที่กดลึกลงชั้นดิน ดุจจงใจทิ้งรอยไว้...ธาเนียคุกเข่าลงข้างๆรอยนั้น มือเรียวแตะลงไปในรอยเท้า...หน้าดินแม้ไม่อ่อนมากนัก หากก็ไม่น่าที่จะทำรอยไว้ขนาดนี้ได้ ราวกับพวกมันตัวใดตัวหนึ่งมีน้ำหนักเป็นสองเท่าของเดิม...?

    แกร๊ก!

    ...?”

    นายหญิงละสายตาจากสิ่งที่นางเพ่งสังเกต เงยหน้าขึ้นและกราดมองรอบกายอย่างสงสัย

    เสียงกิ่งไม้เสียดสีกับบางสิ่งดังชัดเจนในความเงียบของผืนป่ารอบกาย ดวงตาสามสีตวัดมองสงบนิ่ง หากประสาททั้งกายตื่นตัวพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิด

    .........

    บางสิ่งบางอย่างหลังพุ่มไม้หยุดขยับ แต่นางไม่คิดจะเข้าไปหามัน ร่างบางจึงหันกลับและไม่สนใจ... อาจเป็นเพียงสัตว์ป่า

    แต่ในวินาทีนั้นเอง...

    แฮ่!!!”

    เสียงคำรามก้องป่าดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสีเงินดึงดาบออกจากฝัก พร้อมๆกับที่หมุนกายหลบกรงเล็บใหญ่ยักษ์อย่างงดงาม ดาบบทเพลงแห่งสายลมตวัดเพียงคราเดียว ศีรษะที่พึ่งทิ้งเสียงคำรามก้องป่ากระเด็นลอยสูงขึ้น และตกลงสู่พื้นพร้อมกับร่างเทอะทะ

    ตึง!...

    ไม่แม้แต่จะปรายตาไปมอง นายหญิงแห่งเผ่าเอลฟ์สะบัดดาบไล่คราบเลือด หากคิไมร่าอีกสองตัวที่พึ่งกระโจนออกจากแนวพุ่มไม้มาก็ทำให้ดาบของนางต้องเปื้อนโลหิตอีกครา

    โฮก!!!”

    ดวงตาคู่งามหรี่มองการโจมตีรูปแบบเดียวไร้การพลิกแพลง

    ง่ายดายนิ่งนัก...ดาบในมือแทงทะลุหัวใจคิไมร่าตัวแรก และตัดคอคิไมร่าตัวที่สองในเสี้ยววินาทีต่อเนื่อง... สองร่างล้มตึง ธารเลือดหลั่งรินชโลมผืนดิน แต่นายหญิงแห่งเผ่าเอลฟ์ไร้แม้แต่หยาดเหงื่อสักหยด

    แซ่กก

    ...

    ธาเนียเบือนสายตาไปมองยังตำแหน่งเดิมที่นางเคยเอะใจ เสียงปริศนามาจากตำแหน่งนั้นและต้นเสียงก็หนีไปแล้ว

    ช่างเถอะ...

    หญิงสีเงินคิดในใจ ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับสัตว์ที่หนีหัวซุกหัวซุนไปเช่นนั้น... มันคงจะเป็นสัตว์ธรรมดา แต่หากเป็นคิไมร่า มันคงจะเป็นคิไมร่าที่ขลาดที่สุด... สิ้นความคิดนั้น นางก็หันเหความสนใจไปยังรอยเท้าเดิมที่เคยสนใจ

    เกือบไปแล้วไหมล่ะ...

    เคลทิ้งร่างลงนั่งพิงต้นไม้... ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่น่าเลย...ไม่น่าเผลอไปเหยียบกิ่งไม้เฮงซวยนั่นเลย... ตอนที่ธาเนียเดินมาเขาก็ใจหายใจคว่ำ ด้วยแถวนั้นค่อนข้างโล่งไร้สุมทุมพุ่มไม้ให้หนีไปซ่อนนอกจากต้นไม้ใหญ่ๆที่พอจะแอบได้ แต่ธาเนียก็คงจะตามมาและในที่สุดนางก็จะเจอเขา แต่พระเจ้าก็ยังเข้าข้างด้วยการดลใจให้คิไมร่าที่น่าสงสารสามตัววิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปดึงความสนใจจากนาง...โชคดีไป

    ร่างสูงค่อยๆเอี้ยวตัวไปมองหญิงสาวอีกครั้ง นางกลับไปให้ความสนใจกับรอยเท้านั่นอีก..ดีแล้วๆ อย่ามาสนใจเขาเลย

     

    กลิ่นอะไร?

    ธาเนียขมวดคิ้วเหลียวหาที่มาของกลิ่นแปลกๆเช่นนั้น... หอม... หากหอมแบบแปลกๆอย่างที่นางก็อธิบายไม่ถูก มันหอมเย็นๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายแต่ในขณะเดียวกัน มันก็ให้ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวชอบกล...ทั้งๆที่แถวนี้ก็ไม่มีดอกไม้นี่?

    ตึง ตึง ตึง...

    ร่างบางผุดลุกขึ้นโดยเร็ว ดึงดาบบทเพลงแห่งสายลมออกมาตั้งรับ เงาบางสิ่งค่อยๆปรากฏชัดเจนในคลองจักษุ กระทั่งเห็นเป็นตัวตนชัดเจน นัยน์ตาสามสีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ

    คิไมร่ามากมายโผล่รายล้อมจากทุกด้าน คำรามเสียงต่ำข่มขู่ศัตรูของพวกมัน

    ธาเนียกระชับดาบในมือ หันไปรอบกายเพื่อคาดคะเนจำนวนของพวกมันและหาทางหนีทีไล่

    ไม่ต่ำกว่าสามสิบ...

    แฮ่...

    เสียงคำรามดังชัดกว่าก่อน เมื่อพวกมันเริ่มตีวงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ มันคงจะคิดว่านางจะกลัว...แต่ไม่เลย ไม่หลงเหลือความรู้สึกกลัวในหัวใจของนาง เมื่อทั้งร่างร้อนรนด้วยไฟแห่งการต่อสู้

    มือซ้ายตวัดมือเบื้องหน้า ร่ายบทมนตราสายลมหนึ่งในหลายร้อยบทที่เคยร่ำเรียนลื่นไหลราวกับเป็นคำทักทายยามเช้า... คลื่นลมประหนึ่งกลับกลายคมมีด พุ่งออกไป และตัดร่างคิไมร่าตัวแรกเป็นสองส่วน โดยที่มันไม่ทันแม้จะขยับตัว...

    ฝีเท้าของพวกมันแทบทุกตัวหยุดชะงัก เมื่อ หมู ตัวแรกถูกเชือดสดๆ หากวินาทีต่อมา พวกมันทุกตัวก็กระโจนเข้าหาเหยื่อ รวดเร็ว

    สงครามเริ่มแล้ว...

    ธาเนียกระโดดหลบว่องไว นางไม่บ้าพอจะอยู่ให้พวกมันรุมแม้ว่านางจะสู้ไหวก็ตาม ร่างบางผลักให้พวกมันถอยหนีด้วยเวทลูกบอลไฟนับสิบลูกที่ปล่อยออก พวกคิไมร่าที่เริ่มรู้ซึ้งถึงความอันตรายของเวทมนตร์กระจายตัวแยกกันแล้วผลัดกันรุกเข้าอย่างมีแบบแผน

    และมันก็ทำให้นางรู้ว่าคิไมร่าพวกนี้ต่างจากสามตัวที่นางเคยจัดการ...พวกนี้เป็นนักรบเต็มตัว!

    ดาบในมือปัดกรงเล็บหนักหน่วงออก ฉากถอยหลังและหมุนกายเพื่อสร้างแรงเหวี่ยง ตามด้วยการกระแทกลูกเตะเต็มคอหนาตันจนร่างที่ว่าใหญ่นักล้มกระแทกพื้นเสียงดัง ซ้ำด้วยการปักดาบทะลุหัวคิไมร่า...ตายไปหนึ่งหากยังเหลือมากกว่านั้นอีกหลายสิบเท่า!

    มือเรียวเล็กทว่าแข็งแรงยิ่งดึงดาบขึ้นจากพื้น เป็นเวลาเดียวกันกับที่คิไมร่าอีกสามตัวกระโจนเข้ามา หนึ่งในนั้นเข้าใกล้เอลฟ์สาวมากที่สุด ง้างกรงเล็บแหลมคมขึ้นสุดมือและฟาดลงมาเต็มๆ

    มันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าที่นางจะหลบทัน แต่แม้หลบไม่ทัน นางก็ไม่ไร้ทางสู้!

    ธาเนียเสือกดาบทะลุอุ้งมือใหญ่และผ่อนแรงปะทะหนักหน่วงเกินจะต้านไหวด้วยการกระโดดไปในทิศทางเดียวกับแรงปะทะนั่น

    กรรร!!!”

    แผดเผา!”

    เสียงคำรามร้องลั่นดังจนกลบเสียงหวานมิด... ร่างบางกระเด็นออกไปไกล แต่สัญชาติญาณที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีก็ทำให้นางกลับตัวเหยียบพื้นอย่างมั่นคง ดวงตาคู่งามสะท้อนภาพของคิไมร่าที่ถูกพระเพลิงแผดเผาทั่วทั้งร่าง...

    อีกห้าตัววิ่งมายังนาง คำรามร้องก้องเกรี้ยวกราดเหมือนกันทุกตัว

    สองมือเรียวหยัดไปเบื้องหน้า บทมนตราแห่งไฟถูกเรียกใช้ หากเพียงคำแรกหลุดผ่านริมฝีปาก...

    ...!!?

    ดวงตาคู่เดิมเบลอวูบจนมองเห็นพวกมันแยกออกอีกเป็นสอง...เกิดอะไรขึ้น!?

    หากนางยังคงดึงดันและไม่ใส่ใจอาการแปลกๆนั่น ขยับริมฝีปากร่ายเวท

    พื้นดินเบื้องหน้าระเบิดออกด้วยมนตร์ไฟ เศษร่างคิไมร่ากระเด็นไปคนละทิศละทาง แต่ธาเนียทรุดฮวบลงกับพื้น

    เกิดอะไรขึ้นกับนาง!?

    ความสับสนและไม่เข้าใจรบกวนนางอย่างหนัก แต่ไม่เท่าร่างกายที่สิ้นเรี่ยวแรงเช่นนี้

    ตึง! ตึง! ตึง!

    เสียงฝีเท้ามากมายกระแทกย่ำลงบนพื้นใกล้เข้ามาช้าๆ ประหนึ่งมันแน่ใจเหลือเกินว่าศัตรูในตอนนี้ไม่ผิดกับลูกไก่ในกำมือ...ธาเนียลืมดวงตาที่ปิดสนิทจากความมึนงงและมองไปยังเบื้องหน้า คิไมร่าเพียงสองตัวเท่านั้นที่เดินมาหานางด้วยท่าทางของผู้เหนือกว่า ส่วนตัวที่เหลือยืนคุมอยู่ห่างๆ

    หญิงสาวสะบัดหน้าแรงๆจนดวงตาเริ่มหมดอาการเบลอ...ราวกับโลกทั้งใบหมุนคว้างโดยเร็ว...ร่างบางจึงหยัดกายขึ้นและกระชับดาบอีกครั้ง เฝ้ามองคิไมร่าที่ยังคงย่างก้าวช้าๆแต่หนักแน่นเข้าหานาง

    เอาเท้าไปกินซะ!!”

    เสียงร้องตะโกนนั้นดังขึ้นพร้อมๆกับร่างของคิไมร่าหนึ่งในสองตัวนั้นกระเด็นไปตามแรงกระโดดเตะ ร่างของผู้ช่วยเหยียบพื้นอย่างสวยงาม... ในขณะที่คิไมร่าอีกตัวคำรามลั่นง้างกรงเล็บสูง แต่ดาบเล่มงามก็ตัดแขนของมันออก ตามด้วยศีรษะที่มีสมองเพียงน้อยนิดกระเด็นลอยละลิ่ว

    เจ้าของเสียงทุ้มหันหน้ามายังนางผู้งุนงงพร้อมรอยยิ้ม

    ข้ามาช่วยท่านแล้ว ท่านธาเนีย!”

    ดวงตาคู่งามเบิกกว้างไม่เชื่อสายตา

    เคล...?”

    ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง ก่อนรีบหันไปกวัดแกว่งดาบรับมือกับพวกคิไมร่าที่เริ่มกระจายจู่โจมอีกครั้ง

    ใช่! ข้าเอง ขอโทษที่มาช่วยช้านะครับ ไอ้พวกนี่มันบังเอิญมาเห็นข้าตอนกำลังจะออกมาช่วยท่านพอดี ข้าเลยต้องจัดการพวกมันก่อน... บังอาจคิดทำร้ายท่านธาเนียของข้างั้นรึ!? ไปสำนึกผิดในปรโลกซะไป!!”

    ธาเนียนิ่งงันยิ่งกว่าเก่า นางมองภาพเคลที่รับมือกับคิไมร่าหกตัวด้วยความอึ้งหน่อยๆ นางไม่คิดว่าเขาจะแอบตามมาในเมื่อนางไม่บอก...งั้นแสดงว่าความรู้สึกตงิดๆที่เหมือนกับมีคนมองมาตลอดนี่ก็คลงั้นหรือ!?

    เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!!!

    เหวอ!!”

    เคลร้องเสียงหลง เมื่ออยู่ๆสายฟ้าก็ฟาดลงมาใกล้ตัวเขาจนชายหนุ่มกระโดดหลบแทบไม่ทัน  ฟ้าผ่า!? อะไรกันเนี่ย!”

    นายหญิงแห่งเผ่าเอลฟ์ตวัดตามองยังเงามืดที่ค่อยๆปรากฏชัดจนพร้อมๆกับไอเวทมนตร์รุนแรง นัยน์ตาสามสีแปรเปลี่ยนเป็นอำพันเรืองวาว

    เจ้า! คิไมร่า!”

    ร่างที่ปรากฏออกมานั่งบนเก้าอี้ไม้ที่วางเหนือคิไมร่าตัวใหญ่กว่าปกติตัวหนึ่ง รอยยิ้มเยาะปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของมันซึ่งมีวิวัฒนาการจนสามารถยืนสองขาได้

    ธาเนียขยับดาบเดินเข้าไปหามัน... คิไมร่าตัวหนึ่งวิ่งเข้าขวาง ทว่าคมดาบวาววับที่แทงทะลุคอหอยของมันก็ทำให้ร่างนั้นหยุดเคลื่อนไหวก่อนมีการโจมตีใดๆเกิดขึ้น

    ร่างที่ล้มลงทำให้เห็นเคลซึ่งเปรอะเปื้อนเลือดสกปรกยืนอยู่ตรงหน้า ท่านไปจัดการมันเถอะครับ พวกที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ข้าจะจัดการมันเอง

    ดวงตาของนางมองเขาอย่างขอบคุณ เคลกระตุกยิ้มเล็กน้อย ก่อนเขาจะวิ่งเข้าไปยั่วยุให้คิไมร่าที่เหลือตามเขาออกห่างจากธาเนีย

    นายหญิงขยับเข้าไปจนได้ระยะห่างของนางกับคิไมร่านักเวท... มันลุกขึ้นจากเก้าอี้ เหยียดไม้เท้าหัวกะโหลกมายังนางแล้วเริ่มร่ายเวท ดวงตาเป็นเส้นสีดำรับพู่แดงห้อยเหนือศีรษะหรี่จ้อง

    นางกำลังโดนท้าทายด้วยมนตรา...

    หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน... ในเมื่อมันท้าทายนางด้วยสิ่งที่มันถนัดที่สุด นางก็จะทำให้มันพ่ายแพ้เพราะสิ่งที่มันถนัดที่สุดเช่นกัน!

    บทเพลงแห่งสายลมหยัดไปเบื้องหน้า จิตใจรวบรวมสมาธิรวดเร็ว บทมนตราสายฟ้าบทเดียวกันกับที่มันกำลังร่ายเอื้อนเอ่ยผ่านริมฝีปากบางด้วยความเร็วที่สูงกว่า ทว่าทันใดนั้นเอง...ดวงตาของนางก็เริ่มพร่ามัวอีกครั้ง

    อีกแล้ว...?

    ธาเนียสะบัดหน้าขับไล่ความมึนงง ท่องมนตราที่หยุดชะงักไปชั่วครู่ต่อ หากคราวนี้หนักกว่าก่อน... ในหัวหมุนติ้วราวกับนางถูกจับเหวี่ยงแรงไปรอบๆ จนร่างของนางไม่สามารถทรงตัวอยู่

    นี่มัน...อะไร...กัน...?”

     ร่างบางทรุดฮวบลงกับพื้น นางรู้สึกราวกับในหัวราวกับมีอะไรมาบีบรัด แรงกดดันมากมาย กด...จนกระทั่งไม่อาจฝืนกายให้ลุกขึ้นได้... จิตใจฝืนสู้ หากสิ่งที่ร่างกายทำได้มากที่สุดก็มีเพียงการปักดาบลงกับพื้นพยุงกายไว้ไม่ให้นางต้องล้มลงไปนอน

    นางได้ยินเสียงฝีเท้าหนักเดินเข้ามาหานาง และย่อมไม่มีทางเป็นอื่นได้นอกจากคิไมร่านักเวท

    ท่านธาเนีย!!”

    เสียงตะโกนตื่นตระหนกของเคลทำให้นางใจหาย หญิงสาวพยายามยิ่งยวดที่จะเบือนหน้าไปหาเขา ร้องเตือนให้หนีไป อย่า...เข้า มา...หนี...ไป...

    แต่เคลก็ยังคงเป็นเคลวันยังค่ำ ดวงตาของเขาตื่นตระหนกและขวัญเสียอย่างยิ่ง ชายหนุ่มตกใจที่นางทรุดลงกับพื้นและใบหน้าซีดเผือดเช่นนั้น

    ความตกใจทำให้เขาลืมป้องกันตัวเอง...

    แต่มนุษย์ธรรมดาที่ไหน จะสามารถปกป้องตัวเองจากเวทมนตร์ได้

    ปึง!

    เสียงกระแทกไม้เท้าลงกับพื้นแทงเข้าไปในใจของนาง เคล ระวัง!!!”

    สุดเสียงที่นางทำได้คือเสียงที่ดังเท่าการกระซิบ... ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ในวินาทีที่นางเห็นร่างสูงเหลียวไปมองทิศทางของอันตรายที่พุ่งเข้าใส่

    เวทสายลมอย่างเดียวกับที่นางเคยใช้ใส่คิไมร่ากระแทกชายหนุ่มที่ยกดาบขึ้นป้องกันตามสัญชาติญาณเต็มๆ แต่วัตถุหรือจะต้านมนตรา... ร่างสูงกระเด็นไกลเกือบห้าเมตรกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่!

    ตึง!!!

    กร๊อบ!

    เสียงนั้นดังหนักแน่นจนน่ากลัว ลมหายใจของนางสะดุดหายไปเมื่อร่างของเคลทรุดลงไปนั่งกับพื้น กระอักลิ่มเลือดออกมา แต่ชายหนุ่มก็ฝืนอดทนกัดฟันข่มเสียงร้องไว้

    ธาเนียพยายามฝืนกายยืนขึ้น ยิ่งเมื่อคิไมร่าตัวหนึ่งก้าวเข้าไปหาเคลและหยุดยืนหน้าเขา

    ไม่!!”

    คิไมร่าคงเข้าใจความหมายคำพูดของของนาง เมื่อมันหันมาแยกเขี้ยวยิ้มสยดสยอง ก่อนหันกลับไปก้มลงมองร่างที่อยู่เบื้องล่าง...ขาหน้าตะปบลงบนมือขวาที่กำดาบแน่นเต็มแรง!

    “!!!”

    สีหน้าของเคลเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขายังคงไม่ส่งเสียงร้องและไม่ยอมปล่อยดาบ... คิไมร่าคำรามเสียงต่ำดุจไม่พอใจ มันเดินวนกลับไปมา และคราวนี้กระแทกขาหลังลงน้ำหนักตัวมากมายของมันลงที่ข้อมือของเขา

    อึก!!!” เสียงร้องนั้นแผ่วเบาเหลือเกิน หากมือขวาที่กระดูกคงแทบแหลกละเอียดก็คลายออก และคิไมร่าปัดดาบของเขาออกไปไกล

    เคลแหงนใบหน้าขึ้นฟ้า กัดฟันกรอดจนรู้สึกถึงรสคาวขมในริมฝีปาก...เขารู้ มือของเขาคงใช้การไม่ได้อีกหรืออาจจะใช้ไม่ได้อีกนาน...

    ลำพังตัวเขาไม่เท่าไหร่...แต่ธาเนียล่ะ

    ใบหน้าคมสันหากบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเบือนไปหาสตรีที่รักยิ่ง ใบหน้าของนางราวกับจะร้องไห้... นางกำลังจะร้องไห้เพื่อเขา...

    ข้า...ไม่เป็นไร... เคลพยายามเค้นเสียงรอดไรฟัน ริมฝีปากพยายามแย้มยิ้มสดใสแต่มันคงเป็นรอยยิ้มที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่เขาเคยให้นาง แต่มันไม่เท่าไหร่หรอก แค่ขอให้นางปลอดภัย... หนีไป...!!” คำพูดสะดุดกึก เมื่อคิไมร่าตวัดกรงเล็บเข้าที่สีข้างจนร่างสูงกระเด็นลงไปกองกับพื้นใกล้ๆ

    กร๊อบ!!

    เสียงกระดูกลั่นเสียดแทงในใจนาง เคลกระอักลิ่มเลือดอีกสองสามครั้งแล้วเริ่มแน่นิ่ง...

    ธาเนียกำมือแน่น ร่างที่พยายามขยับทำได้เพียงคลานเข่าไปได้อีกครั้งเดียว...นางในตอนนี้มิอาจใช้มนตราได้ นั่นหมายถึง...นางไม่อาจส่งเขากลับ...นางเกลียดตัวเอง...นายหญิงหรือ...ช่างไร้ค่า...ในเมื่อฐานะนั้นไม่อาจช่วยแม้แต่คนๆเดียว

    กระทั่ง...

    ปึง!!!

    มันดุจภาพช้าตั้งแต่นางได้ยินเสียงเคาะไม้เท้านั่น... ภาพที่นางเห็นคือมนตร์สายฟ้าแทรกผ่านอากาศ และกระทบที่ร่างของเคล

    อ๊ากกกกก!!!!!!!!!”

    ชายหนุ่มแผดเสียงร้องลั่น  ร่างทั้งร่างกระตุกเพราะเวทสายฟ้า และสุดท้าย...เขา...ก็นิ่งสนิท...

    ม่ายยยยยยยย!!!!!!!!!”

    ธาเนียกรีดร้อง ธารน้ำตามากมายไหลทะลักยิ่งกว่าน้ำป่า ร่างทั้งร่างพุ่งออกไปหาเขา แต่เพียงก้าวเดียว...เพียงก้าวเดียวเท่านั้น...ร่างบางก็ถลาล้มคว่ำลงกับพื้น

    บ้าที่สุด...บ้าที่สุด...

    นางครวญคราง ดวงตาภายภาพพร่ามัวของเคลที่แน่นิ่งไปแล้ว น้ำตาที่รินไหลยิ่งทำให้นางปวดหัวยิ่งเป็นทวีคูณ แต่สิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าร่างที่ไร้เรี่ยวแรง...ไร้ค่า...จนไม่อาจช่วยเขาได้...

    เสียงคำรามโห่ร้องของคิไมร่าดังกึกก้องป่า...เสียงของผู้มีชัย...

    ศีรษะของนางยกขึ้นมองภาพของเคลทั้งน้ำตา อุ้งเท้าของคิไมร่าตัวหนึ่งหยุดตรงหน้า และธาเนียพยายามแหงนขึ้นไปมอง แต่อุ้งเท้าของคิไมร่าอีกตัวก็เหยียบหัวนางและกดจนหน้าแนบพื้น

    แต่เศษเสี้ยวหน้าของมันตัวเมื่อกี้ นางก็มองเห็น...จอมเวท...กับรอยยิ้มยะโส

    Saesa omentien lle” (ยินดีเหลือเกินที่ได้เจอท่าน)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×