คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 11
มันเป็นเช้าที่สดใส...
เคลเดินออกจากบ้านอย่างอารมณ์ดี เป้าหมายอยู่ที่หลังบ้าน ที่ซึ่งเอเรียมักจะลากธาเนียออกไปนั่งดื่มน้ำชากับของกินอีกนิดๆหน่อยๆเช่นพวกขนมอบในยามเช้า
หากก่อนหน้าที่เขาจะก้าวพ้นมุมบ้านซึ่งจะพบกับพวกนางพอดี เสียงของสองสาวที่กำลังพูดคุยก็แว่วเข้าหู...ใช่ ถ้ามันเป็นเพียงคำพูดธรรมดาเขาจะเข้าไปร่วมวงกับนาง...หากนี่ ราวกับพวกนางกำลังทุ่มเถียงอะไรสักอย่าง...
ชายหนุ่มตัดสินใจหยุดฝีเท้าและเบี่ยงตัวหลบชิดผนัง
“เจ้าอย่าพูดอย่างนี้สิ!” เริ่มด้วยเสียงของเอเรียก่อน
“หา! เจ้าคิดถึงฐานะของเจ้าก่อนสิธาเนีย ข้าจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าเจ้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา”
เคลเริ่มขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ยินเสียงพูดของธาเนีย แต่เขาพอเดาได้ว่านางคงเก็บอารมณ์อยู่และไม่ได้ขึ้นเสียงอย่างที่เอเรียทำ
“มันจะดีมากเลยล่ะ ถ้าเจ้าจะอยู่นิ่งๆและเฝ้ารอเวลาที่เหมาะสม...เอาล่ะ ข้าจะเลิกพูดกับเจ้าเรื่องนี้แล้ว รอให้ข้าอารมณ์ดีก่อน ข้าจะมาคุยเรื่องนี้ใหม่!”
ชายหนุ่มผงะ รีบวิ่งแต่ลดเสียงฝีเท้าให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ตรงกลับไปที่ประตูบ้าน และทำทีเป็นพึ่งเปิดประตูออกมาและปิด ในช่วงจังหวะที่เอเรียพ้นจากมุมบ้านพอดี
“อ้าว ว่าไงเอเรีย”
เคลโบกมือให้กับนาง ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ได้ยินเรื่องเมื่อครู่ และคงเพราะอารมณ์งุ่นง่านของพวกนางกระมัง จึงทำให้ไม่มีอารมณ์มาสนใจเสียงฝีเท้าแปลกปลอมของ ‘หนู’
เอเรียยังคงขมวดคิ้วตอนที่หันมาหาเขา “อรุณสวัสดิ์เคล เชิญเจ้าอยู่กับธาเนียตามสบายเถอะ ข้าจะไม่กวนล่ะ!” หญิงผมทองกระแทกเสียงหงุดหงิด กระทั่งนางเดินไปอีกประมาณสิบก้าว นางก็ชะงักเท้าหันกลับมาหาเขาอีกรอบ “อ้อ ใช่ บอกธาเนียด้วยว่า เย็นนี้ข้าจะมาอีกรอบ ให้นางไปคิดดูดีๆอีกครั้ง ไปล่ะเจอกันเย็นนี้”
เคลเลิกคิ้วสูง มองตามจนนางไปสุดสายตา เขาเห็นเค้าลางของเรื่องวุ่นวายแล้วล่ะสิ...
“ภูมิประเทศในเขตแดนของเราส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบลุ่ม เหมาะกับการทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ แต่ในช่วงทางใต้ จะมีลักษณะเป็นภูเขาสูง...”
“ช่ายยย ภูเขา เยอะมากด้วย~”
“สภาพภูมิอากาศมี 4 ฤดู ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว”
“ไม่ว่าฤดูไหนก็หนาวเหมือนกันหมดน่า ลองออกไปนอนตากน้ำค้างดูสิ”
“ใช่ และก็ไม่มีใครว่าอะไรด้วย ถ้าเจ้าจะไม่แทรกนะเอเรีย”
เคลเอ่ยลอยๆขึ้นบ้าง หลังจากทนฟังเอเรียแทรกอยู่นานสองนาน...ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ สบตากับลีนที่ยิ้มแหยๆกับเขา
“แหม...งั้นเรอะ” นางลากเสียงยาว ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ “งั้นเจ้าคงไม่อยากรู้หรอกมั้งว่าทางใต้น่ะ มีภูเขาที่เคยเป็นภูเขาไฟลูกหนึ่ง แต่ตอนนี้มันกลายเป็นทะเลสาบที่สวยมากๆๆๆ แล้วล่ะ สวยจนบอกได้ว่า ถ้ามาเมืองเอลฟ์แล้วไม่ไปที่นั่น ก็เหมือนมาไม่ถึง”
ชายหนุ่มหูผึ่ง แทบจะเงี่ยหูฟังคำต่อไป ทว่าหญิงผมทองก็ทำหน้าเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว นั่งจิบชาอ่านหนังสือ (ที่ไม่รู้ว่าอ่านจริงๆหรือเปล่า) ของนาง ส่วนคนรอก็พยายามตีหน้านิ่งเหมือนไม่สนใจทั้งๆที่อยากรู้ใจจะขาด...แต่จนแล้วจนรอดแม่ตัวแสบก็เพียงจิบชา ระบายลมหายใจช้าๆเหมือนคนแก่ แล้วเบือนหน้าออกไปชมนกชมไม้ (นางคงไม่ได้อ่านหนังสือจริงๆ) จนลีนต้องเป็นฝ่ายพูดแทน ก่อนที่เคลจะขาดใจตายเพราะความอยากรู้อยากเห็น
“ค่ะ เดินลงทางใต้ประมาณ 4 วัน จะเจอภูเขาลูกหนึ่งที่เห็นแล้วสะดุดตามากๆ...”
“เหอๆ สวยมากๆๆๆ แต่ก็นั่นล่ะ ทางเดินขึ้นเขามันอันตราย ไม่มีใครเขาไปกันหรอก เฮ้อ...” ว่าแล้วนางก็จิบน้ำชายั่วต่อ
“แต่ท่านเอเรียก็ไปทุกครึ่งปีเลยค่ะ”
พรวด!!
หญิงสาวสำลักน้ำชาพรวดใหญ่ ไอค่อกๆแค่กๆอยู่นาน กระทั่งเงยหน้าขึ้นและเห็นสายตาที่เหล่มองมา
“ฮึ่ย!” นางลุกพรวด “ไปหาธาเนียก็ได้ ชิ!” ก้าวฉับๆเดินขึ้นชั้นบนของตัวบ้านโดยไม่รอใครพูดอะไรอีก
สองสายตามองตามกระทั่งร่างระหงหายลับขึ้นไป ชายหนุ่มก็ถอนใจเฮือก “อะไรของนางน่ะ”
ลีนส่ายหน้าพรืดใหญ่ ยังคงเลิกคิ้วน้อยๆฉงนกับนิสัยที่ไม่เคยชินของเอเรีย “เอ...ไม่รู้สิคะ...”
เพียงไม่นานนักหลังจากนางหายขึ้นไปข้างบน หลังจากลีนกลับบ้านไปแล้ว เอเรียที่วันนี้ดูท่าทางจะอยู่ในโหมดหงุดหงิดทั้งวันก็กลับลงมาด้วยท่าทางงุ่นง่านเช่นเดิม ดวงตาคู่สวยขุ่นขวาง ประมาณว่าอยากจะกัดใครสักคน...และนางก็หันขวับมาทางเขา!
“มีอะไร...ครับ?” ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง เขาตกใจจริงๆนะเนี่ย...
“ให้ตายสิ!” นางกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด “ดูสุดที่รักของเจ้าสิ! งี่เง่าไม่เลิก!”
เคลขมวดคิ้วกับสิ่งที่นางพูด แต่เอเรียก็ไม่ยอมอธิบายอะไรมากไปกว่าก้าวฉับๆเป็นพายุบุแคมออกจากบ้านไปหลังจากได้บ่นแล้ว
มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ...
เคลถอนใจเฮือก แต่ถึงอย่างไรก็เปล่าประโยชน์จะรั้งและถามอะไรในตอนนี้ บางทีคงต้องรออีกสักพักจนนางเริ่มใจเย็นแล้ว เขาค่อยถามนางก็ได้ล่ะมั้ง...
หลังมื้อเย็นที่เดียวดาย ธาเนียยังคงไม่ลงมาข้างล่าง ส่วนมื้อเย็นที่เขาทำเผื่อนาง นางเพียงให้วางไว้หน้าห้องทำงาน...ทำอย่างกับมีความลับอะไรที่ให้เขารู้ไม่ได้อย่างนั้นล่ะ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วนั่งครุ่นคิดอยู่ไม่นานนัก เขาก็เลยตัดสินใจลองขึ้นไปหานาง บางทีถ้ามันไม่ใช่ความลับนางก็คงให้เขาเข้าไป แต่เขาก็ไม่แน่ใจอยู่ดีนั่นล่ะ...ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร นางก็ไม่น่าจะโหมงานหนักขนาดนี้ เขาเห็นนางครั้งสุดท้ายหลังมื้อเช้าเงียบกริบที่หลังบ้าน และจากนั้นนางก็ไม่ลงมาจากชั้นบนอีกเลย
เคลหยุดยืนที่หน้าห้องทำงาน เคาะประตูสองสามครั้งแล้วเฝ้ารอ...
“เข้ามา...”
เขาเปิดประตูเข้าไป และในห้องที่กว้างแต่มีตะเกียงเพียงอันเดียว แสงไฟริบหรี่ก็ทำให้ทั้งห้องดูสลัวๆน่ากลัวชอบกล
ร่างสูงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวซึ่งน่าจะเป็นมุมสำหรับประชุมสบายๆไม่ก็นั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ...จากเหลือบมองก็กลายเป็นหันมองตรงๆเมื่อเห็นนางมุ่งมั่นกับการทำงานจนไม่สนใจเขา
“ข้าเห็นท่านนั่งทำอยู่นานแล้ว งานด่วนหรอครับ?”
“ไม่เชิง...ข้าทำมันมาสองสามวันแล้ว และมันใกล้เสร็จสมบูรณ์ เลยอยากทำให้เสร็จไวๆ”
เคลพยักหน้า มองดูกองตำราห้าหกเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะ เฝ้ามองนางเปิดตำราเล่มหนึ่ง อ่านหรือพูดให้ถูกคือมองผ่านๆและลอกใส่ตำราอีกเล่มที่ท่าทางจะเป็นงานของนาง เขามองเห็นเค้าความสำเร็จของนางเมื่อตำราเล่มหนาที่นางกำลังเขียนเหลือกระดาษอีกประมาณ 1 ใน 8 ให้เขียนเท่านั้น
แต่มันก็คงอีกนานจึงจะเสร็จ เคลจึงเลือกที่จะใช้เวลาว่างที่นั่งเป็นเพื่อนนางเดินไปเลือกหยิบตำราเล่มหนึ่ง...และสะดุดตากับตำราที่ชื่อ ตำนานแห่งพงศ์พันธุ์...
...เนิ่นนานนักเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ยามเมื่อพระผู้เป็นเจ้าสร้างสรรค์โลกใบนี้ขึ้น...อากาศ น้ำ ป่าไม้ ใบหญ้าและลำธาร ทุกอย่างเพียบพร้อมบนโลก พระองค์จึงลองสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา...สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ มากมายหลายชนิดเท่าที่พระองค์ต้องการ หากสัตว์เหล่านั้นก็ดำรงชีวิตเพียงตามสัญชาติญาณ พวกมันมีจิตใจบริสุทธิ์ หากก็ด้อยปัญญาเกินกว่าที่จะสามารถพูดคุยสื่อสารเป็นภาษาได้นอกจากการส่งเสียงร้องตามเผ่าพันธุ์ แต่นั่นมิใช่ปัญหา เมื่อพระองค์ผู้ประเสริฐสามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพวกมันได้แม้ไม่ต้องพูดสิ่งใด
แต่พระองค์ก็ทรงเล็งเห็นว่า สิ่งมีชีวิตที่พระองค์สร้างขึ้นล้วนเป็นสัตว์ที่อยู่ด้วยกรงเล็บและคมเขี้ยว...พระองค์ผู้ประเสริฐจึงลองสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งขึ้นมา...สิ่งมีชีวิตที่มีเรือนผมสีเงินยวงเป็นตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ ดวงตาสีฟ้างดงามแทนสีของฟากฟ้าที่ไพศาล งามสง่าและสามารถยืนด้วยสองเท้า สติปัญญาล้ำเลิศยิ่งกว่าสัตว์ใด ‘เขา’ จึงไม่จำเป็นต้องมีคมเขี้ยวและกรงเล็บอีกต่อไป...
พระองค์ประทานความรู้ ประทานวิชา ประทานทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่สิ่งมีชีวิตที่พระองค์เรียกว่า ‘เอลฟ์’ สามารถมีได้โดยไม่ทำลายกฎเกณฑ์แห่งความสมดุล
สิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงจะสมบูรณ์แบบเช่นนี้ นำความอภิรมย์มาให้พระองค์นัก...‘เขา’ มีรูปร่างสูงใหญ่ งดงามด้วยกล้ามเนื้อสมส่วน มีสติปัญญาในการพลิกแพลงสิ่งต่างๆ มีความเป็นผู้นำสูง ลักษณะแข็งกร้าว กล้าหาญ และมั่นคงอย่างสัตว์เพศผู้ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ...และด้วยธรรมชาติของสัตว์โลกที่ต้องมีการขยายเผ่าพันธุ์ พระองค์จึงสร้าง ‘คู่’ ของเขาขึ้นมา
‘นาง’ เกือบจะตรงข้ามกับเขาแทบทุกอย่าง...นางร่างกายเล็ก บอบบาง ดวงตากลมโตหวานซึ้งผิดกับเขาที่คมคายดุดัน นางเรียบร้อยและว่างาย สงสารแม้แต่สัตว์เล็กๆที่เรียกว่า ‘กระต่าย’ ที่เขากำลังจะนำมันมาเป็นอาหาร นางรักความสะอาด ช่างจู้จี้เวลาที่เขา ‘เลอะ’ กลับมา นางมีความอดทนสูง นางเข้าใจเขาแทบทุกอย่าง ความขัดแย้งอาจมีบ้างแต่ไม่นานนักนางก็จะเป็นฝ่ายยอม...ทุกอย่างจึงเป็นความลงตัวอย่างที่สุด
วันเวลาผันผ่านไปช้าๆ หลายสิ่งค่อยๆถือกำเนิดจากทั้งตามธรรมชาติ และอุ้งหัตถ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ กระทั่งสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดพลาดถือกำเนิด...
‘มัน’ เกิดจากการรวบรวมเอาจุดเด่นของสัตว์หลายชนิดมารวมกัน มันอาจสมบูรณ์แบบ หากว่ามันจะไม่มีนิสัยดุดันโหดร้ายจากสัตว์ทุกชนิดเหล่านั้นมากจนเกินไป
สัตว์ร้ายเล็ดลอดหลุดจากสายพระเนตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า ลงสู่พื้นโลก ซ่อนตัวเพื่อรอเวลา...
ไม่นานนักหลังจากการหลบหนี ช่วงเวลาเกือบยี่สิบปีเพียงพอต่อการขยายเผ่าพันธุ์ของพวกมัน...เหล่าคิไมร่าที่ต้องการยึดครองทุกสิ่งเริ่มออกทำลายทุกอย่างรอบกาย
ความเสียหายเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าที่มันเหยียบ...
การรุกรานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตีวงกว้าง สร้างความเดือดร้อนให้กับทุกสิ่ง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดหยุดมันได้...และไม่นานนัก...พวกมันก็เจอกับบุตรอันเป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า...ศัตรูที่อันตรายที่สุด
การปะทะเกิดหลังจากนั้นระหว่าง ‘เขา’ กับ ‘มัน’ กว่าสิบตัว...กระทั่งการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดครั้งแรกในชีวิตจบลง คิไมร่าตัวสุดท้ายที่เหลือถอยหนี... ‘เขา’ ชนะ หากก็ไม่ประมาท...เพราะเขารู้...มัน...จะกลับมาอีกแน่
แม้เงียบหายไปหลายสิบปี สุดท้ายสิ่งที่เขาคาดหมายก็เป็นจริง...คิไมร่ากลับมาด้วยจำนวนไพร่พลที่มากกว่าเดิม...
ยามนั้นพระองค์ผู้ประเสริฐได้แลเห็นความวุ่นวายจากสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น พระองค์ไม่อาจกำจัดคิไมร่าได้ แต่พระองค์สามารถสร้าง ‘เอลฟ์’ เพิ่มขึ้นมาได้
เอลฟ์ชีวิตใหม่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้สายพันธุ์เดิมถูกทำลาย หากเอลฟ์ใหม่ๆนั้นแตกต่างจากสายเลือดเดิมเล็กน้อยตรงที่พวกเขามีเรือนผมสีทองคำอร่าม และยกย่องให้บุรุษคนแรกที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นผู้ปกครองพวกเขา...
“เคล...”
ชายหนุ่มละสายตาจากตำราประวัติศาสตร์ที่เขาเพลิดเพลินกับมันอยู่แสนนาน เงยหน้าขึ้นมองวงหน้างามเจ้าของดวงตามนตร์เสน่ห์ซึ่งมองเขามาก่อนอยู่แล้ว
“ครับ? ทำงานเสร็จแล้วหรอครับ?”
นางพยักหน้าตอบรับ “เจ้าจะอ่านต่อไหม? ข้าจะได้ไม่ดับไฟ” ไฟที่ว่าของนางคือไฟจากมนตรา
“ไม่ล่ะครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธ...ก็เป้าหมายหลักที่เข้ามาก็เพื่อนั่งเป็นเพื่อนนางนี่ ตำราค่อยอ่านเมื่อไหร่ก็ได้...หยิบที่คั่นหนังสือมาคั่นหน้าไว้เผื่อว่าคราวหน้าได้เข้ามาอ่านต่อ แล้วเดินตามธาเนียออกไป เงามืดไล่หลังเพราะดวงไฟเวทมนตร์สิบกว่าดวงที่กระจายอยู่เต็มห้องค่อยๆดับไปทีละดวง...บางทีนางคงกลัวเขาตาเสียล่ะมั้ง ถึงได้เสกบอลไฟมากขนาดนี้
ชายหนุ่มผลักประตูปิด หันไปหาธาเนียซึ่งยืนรอเขาอยู่ใกล้ๆ เคลยิ้ม อวยพรให้นาง “ฝันดีนะครับ” ก่อนตัวเขาจะหมุนกายกลับหลังเพื่อเดินลงไปข้างล่าง
“เดี๋ยวก่อน...”
เขาหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองนางอีกครั้ง ร่างบางสาวเท้ามายังเขาและยื่นตำราเล่มหนาในมือให้ “อ่านซะนะ ทดแทนที่ข้าไม่ได้สอนให้”
เคลรับมันมาอย่างงงๆ แต่พอเขาเห็นหน้าปกที่เขียนว่า ‘ภาษาโบราณเบื้องต้น’ เขาก็เข้าใจมันในทันที...นางเขียนตำรานี่เพื่อเขา!
ธาเนียมองดวงตาสีสนิมที่เต็มไปด้วยความตื้นตันอย่างประหม่าหน่อยๆ ไม่เคยมีใครแสดงความรู้สึกชัดเจนขนาดนี้กับนาง มันก็เลยเกิดอาการประหม่าอย่างอดไม่ได้
“ขอบคุณมากๆเลยนะครับ”
เพราะฉะนั้น นางจึงพยักหน้าไวๆแล้วรีบเดินกลับเข้าห้อง “ไม่เป็นไร...ราตรีสวัสดิ์”
เคลมองตามจนนางเดินหายเข้าห้อง เขาก็แทบจะยกตำราเล่มนั้นขึ้นจูบหลายๆหน...นางน่ารักเป็นบ้า!!
นางออกจากบ้านไปแล้ว...
ร่างสูงค่อยๆขยับลุกขึ้นปิดประตูห้องที่แง้มออกเล็กน้อยให้สนิท แล้วรีบเดินไปบนเตียง ที่ซึ่งกระเป๋าเดินทางของเขาจัดของเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากต้องไม่ให้นางรู้ว่าเขายังตื่นอยู่ เคลจึงต้องดับไฟทุกดวงแล้วจัดกระเป๋าในความมืด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหามากมายนักหลังจากที่สายตาของเขาพอจะปรับเห็นให้มองในความมืดได้รางๆ
เขาคิดไม่ผิดจริงๆว่านางมีพิรุธ...
เคลสะพายกระเป๋าของเขา ค่อยๆย่องเดินออกจากบ้านไป ไกลออกไปนั้นเขายังเห็นเงาของธาเนียเลือนราง นางไม่ได้เดินไปตามทางแต่อาศัยลัดเลาะตามแนวต้นไม้ไป
นางกลัวโดนสังเกตเห็น?
ใช่...การที่นายหญิงออกจากบ้านตั้งแต่พึ่งข้ามวันใหม่มาไม่ถึงชั่วโมงพร้อมสัมภาระเดินทางนั้นก็แปลกอยู่แล้ว นางจึงต้องซ่อนกายตามแนวไพรไปเรื่อยๆ
และเขาก็กำลังทำแบบเดียวกับนาง...
เคลตามธาเนียไปกระทั่งนางหยุดหน้าเรือนพยาบาลและรีบสอดกระดาษแผ่นหนึ่งไปใต้ร่องประตู จากนั้นนางก็รีบกลับไปซ่อนตัวในป่าตามเดิม
เช่นกัน...ชายหนุ่มหยิบเศษกระดาษที่เตรียมมาสอดไปใต้บานประตูนั้นแล้วรีบเดินตามต่อไป
จวบจนถึงทางเข้าหมู่บ้าน ยามสองคนยืนเฝ้าทางเข้า และอีกสองคนเดินวนไปวนมา...แต่ธาเนียก็ยังคงหาจังหวะหลบออกไปได้อย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มโคลงศีรษะกับสภาพนั้น...ยามสี่คนปล่อยให้นายหญิงเล็ดลอดจากสายตาไปได้อย่างไร...เฮ้อ...
อ้อ...นายหญิงกับเขานะ...
เคลเหลียวหลังกลับมาดูอีกครั้งเมื่อเขาผ่านพ้นทางเข้าไป ยามยังคงไม่รู้ตัวเช่นเดิม
...ไม่รู้จะบอกว่ายามทำหน้าที่บกพร่องหรือนายหญิงเก่งเกินไปดีนะ...
อีกด้านหนึ่ง...
ร่างระหงก้มลงหยิบเศษกระดาษสองแผ่นที่สงบนิ่งบนพื้นใต้ประตูอย่างระอา แผ่นหนึ่งบอกว่า “ข้าจะไม่อยู่สักพัก ฝากดูแลเคลด้วย และอย่าบอกเขาว่าข้าไปไหน” และอีกแผ่นหนึ่งที่เขียนว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะตามธาเนียไปเอง”
“เฮ้อ...เอาเข้าไปๆ จะทำอะไรก็ตามใจพวกเจ้าเถอะ...”
หญิงผมทองถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เดินกลับไปยังชั้นบนของตัวบ้าน ทิ้งตัวลงบนเตียง และ ‘นอน’ อย่างที่นางสมควรได้ทำมาตั้งหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว...
ความคิดเห็น