คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1
The Elven Spirit
ข้า...เป็นเพียงคนคุมคาราวานธรรมดา...เมื่อครั้งอายุ 30 ปี ข้านำกองคาราวานของข้าไปทุกหนทุกแห่ง ทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าตั้งแต่กับบุคคลทั่วไปจนถึงกษัตริย์แทบทุกเขตการปกครอง
ไม่มีที่ไหนที่ข้าไม่เคยเหยียบ...
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสูงที่ว่างดงามที่สุด ลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิต ป่าแห่งมนตรา หรือไม่ว่าที่ไหนๆก็ตาม
ข้ากล้าเอาหัวของข้าเป็นประกัน!
แต่ในตอนนั้นเอง ขณะที่กองคาราวานของข้ากำลังพักผ่อนอยู่ที่ป่าแห่งหนึ่ง อันเป็นเส้นทางไปสู่เมืองหลวงของอาณาจักรแห่งสายลม
ยามดึกของวันนั้น ขณะที่ข้าออกไปตรวจตรารอบนอกของแค้มป์ ข้าก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงของหมาป่า และสาปสัตว์กับกลิ่นคาวเลือด...
และนั่นก็มาจากกองคาราวานของข้า!
ข้ากับพวกพ้องวิ่งกลับอย่างเร่งรีบ และพบกับฝูงหมาป่าใหญ่ นับ 100 ตัว!
ย่อมไม่มีทางที่พวกสัตว์ดุร้ายอย่างหมาป่าจะรวมตัวกันได้มากขนาดนี้...
ข้าคิดว่าข้าตาฝาด หากเสียงกรีดร้องนั่นบาดแก้วหูข้าเหลือเกิน ข้ายืนนิ่งเหมือนต้องมนตร์ เมื่อเห็นพวกพ้องข้าที่กำลังโดนทำร้าย เด็ก สตรี และคนแก่ที่ไม่มีทางสู้ กลายเป็นอาหารของมันในชั่วพริบตา
ทันทีที่หนึ่งในพวกมันตะครุบพวกพ้องข้าได้ หมาป่าตัวอื่นอีกนับสิบก็จะวิ่งเข้ามาหาและฉีกทึ้งพวกพ้องข้าทั้งเป็น
ชีวิตนับ 40 กว่าของพวกพ้องข้า...เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด...น้ำตาและเลือดที่สาดกระเซ็น...
ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อสังเวยสัตว์หน้าขน...
ข้าจำไม่ได้ว่า ตอนนั้นข้าเข้าไปฟันพวกสัตว์นรกนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ว่า พวกมันล้มตายเป็นเบือใต้คมดาบของข้า
เลือดคาวขมของพวกมันไม่ว่าอีกกี่หยาดอีกกี่ชีวิตที่แลก ก็ไม่อาจทดแทนสหายของข้าได้
ข้าได้แต่เฝ้ามองสหายที่ข้าไม่อาจช่วยได้ ค่อยๆตายไป
หูของข้าได้ยินเสียงร้องโหยหวน และข้าพบว่ามันเป็นเสียงของข้าเอง...เสียงจากความเจ็บปวดของข้า...
กระทั่งข้าล่อพวกมันออกมายังริมหน้าผา เสียงดังของสายน้ำเกรี้ยวกราดกระทบขอบผา และข้ารู้ว่าหากพวกมันตกลงไป มันต้องไม่รอดแน่ และเช่นเดียวกัน หาก...ข้าพลาด ข้าขอเลือกที่จะหายไปกับสายน้ำ ดีกว่าต้องให้เลือดเนื้อของข้ากับพวกมัน...
แต่ตอนนั้นเอง หมาป่าตัวหนึ่ง ก้าวอย่างสง่างามออกจาก ตัวของมันใหญ่กว่าหมาป่าอื่น สูงเทียมเอวข้า หมาป่าขนสีเงินวาววับและดวงตาสีอำพันอมเขียวทั้งยังมีสีฟ้าผสมด้วย หมาป่าที่มีสีของดวงตาประหลาดที่สุดทว่าก็งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น และข้าคาดว่ามันจะต้องเป็นจ่าฝูงแน่
ในยามนั้นข้าไม่ได้เอะใจกับดวงตาสามสีของมัน นอกจากกระโจนเข้าหาจ่าฝูงอย่างไม่คิดชีวิต กระหน่ำเพลงดาบเข้าใส่ แต่มันก็ปราดเปรียวเกินกว่าข้าจะฝากรอยแผลแม้ซักรอยให้มันได้ ข้าที่กำลังบ้าคลั่งไม่สนใจหมาป่าตัวอื่นที่เข้ามาขวาง แต่นั่นเอง
ความโกรธทำให้ข้าประมาท!!
หมาป่าสวะตัวหนึ่งกระโจนมาบังข้าไว้ ข้าก็ไม่รอช้าที่จะมอบความตายให้แก่มัน
ดาบอาบเลือดของข้าฟันมันที่กระโดดเข้าหา จนหัวของมันขาดเป็นสองส่วน เลือดสดๆกระเซ็นเข้าตาข้าอย่างไม่คาดคิด และข้าก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่าง กระแทกเข้าที่ท้องของข้าจนกระเด็น แต่ก่อนที่ข้าจะล้มลงสู่พื้นนั้น ขาของข้าก็สัมผัสถึงขอบดิน...วินาทีนั้น...ตัวของข้าก็หล่นวูบลงสู่พื้นน้ำเชี่ยว
ในขณะที่ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายนั้นแล้วนั้น สติสุดท้ายของข้าก่อนดับไป ข้าเห็นเพื่อนๆ เห็นครอบครัว เห็นหญิงที่เป็นรักแรก เห็นกระทั่งเพื่อนสมัยเด็กที่ลืมเลือนไปนานแล้ว เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นความทรงอันแสนมีค่า
ข้าคิดว่านั่นเป็นความทรงจำเก่าๆดีๆ ก่อนที่เคียวของยมทูตจะพาข้าไปยังยมโลก หลังของข้ารู้สึกถึงแผ่นน้ำที่กระแทกอย่างแรง เจ็บปวดเกินกว่าจะบรรยายได้ และทุกอย่างก็ดับไป
ข้าไม่คิดว่า สวรรค์จะโหดร้ายได้ขนาดนี้...
เมื่อข้าลืมตาขึ้นมาอีกที ข้าก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ข้างลำธารแห่งหนึ่ง รายล้อมด้วยสัตว์ป่าตัวเล็กๆซึ่งพอข้าขยับตัว พวกมันก็หนีไป
ทำไมสวรรค์ถึงไม่ให้ข้าตาย!?
เหตุใดจึงต้องให้ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อแบกรับความเจ็บปวดของการสูญเสีย!?
แต่ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้าอยู่ ข้าก็จะอยู่!
ข้าสาบานกับตัวเอง ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ตามล่าพวกหมาป่าระยำนั่น!
สองขาของข้าพาเดินไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ในกระเป๋าเป้ที่ข้าสะพายติดตัว มีเพียงสิ่งของไม่กี่อย่างที่เปียกชื้นจนใช้ไม่ได้ ดาบและมีดสั้นก็หลุดมือและหายไปแล้ว
บางทีสวรรค์อาจให้ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นก็ได้...
ข้าทั้งท้อแท้และโกรธจัดในเวลาเดียวกัน
แต่สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เท่าที่เรี่ยวแรงของข้าก็จะมีเหลือ...
ป่ารอบกาย ข้าไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน สายน้ำพาข้ามาไกลมาก หากมันเป็นป่าที่เคยเหยียบย่างข้าก็สามารถจดจำเส้นทางได้ทุกที่
แต่ทั้งๆอย่างนั้น ที่นี่ ข้ากลับไม่รู้เลยว่ามันคือส่วนไหนของอาณาจักรแห่งสายลม
ข้าถูกน้ำพัดจนลอยไปเขตอื่นเลยนั้นหรือ?
ข้าเดินเรื่อยๆ จนอาทิตย์ลับขอบฟ้า รอบตัวเหลือแต่ความมืดที่ปกคลุม จนข้ามิอาจมองเห็นเส้นทางอื่นใดที่แสงจันทร์ไม่เอื้ออำนวย
ข้าที่ไร้ความหวังก็พานพบกับสิ่งหนึ่ง...
ที่นั่น ใต้เงามืดที่ปกคลุมโดยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่คาดคะเนว่าอายุหลายพันปี หมาป่าสีเงินยวงขนาดใหญ่นั่งหันหลังให้ข้า ข้างกายของมันมีร่างร่างหนึ่ง ร่างที่แสงจันทร์สาดส่องแสงผ่านใบไม้ ร่างที่บอบบางอย่างสตรีเพศ
นางคุกเข่าลงกับพื้นหน้าต้นไม้นั่น โน้มศีรษะนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจสัตว์หน้าขนที่นั่งอยู่ข้างกาย
ข้าขยับตัว สองมือกำแน่นเมื่อเห็นหมาป่านรกนั่นอีกครั้ง!
แต่ตอนนั้นเอง นางก็ยืนขึ้น เส้นผมสีเงินสะท้อนแสงจันทร์จนวาววับนั้นยาวจนเลยบั้นเอวลงไปอีก แล้วนางก็หันมา
ชั่วชีวิตที่ผ่านโลกมาอย่างพอควร ข้าสาบานว่าไม่เคยเห็นหญิงใดที่งามเท่านางตรงหน้ามาก่อน...
โครงหน้ารีเรียวของนางมีเส้นผมสีเงินซึ่งกำลังพลิ้วสะบัดเป็นกรอบ บนดวงหน้านวลนั้นคือส่วนประกอบที่เป็นยิ่งกว่าประติมากรรมชิ้นเอกของจิตรกรชื่อก้องโลก เป็นยิ่งกว่าภาพวาดโดยฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า
โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าอมเหลืองและเขียวคู่นั้น
ดวงตาที่เหมือนมองทะลุผ่านไปถึงเบื้องลึกของจิตใจที่เก็บซ่อนเอาไว้ ดวงตาที่ดูลึกลับและมีอำนาจซ่อนเร้น
ดึงดูดยิ่งกว่านางไซคี งามยิ่งกว่าเทพีอโฟรไดท์...
ชั่วครู่ที่ข้ามองนางอย่างเผลอไผล ร่างของนางก็มาอยู่หน้าข้า และพริบตาต่อมา ดาบที่ใสจนสามารถมองทะลุผ่านได้ก็จ่อคอของข้าไว้ แล้วข้าก็เคลิ้มราวต้องมนตร์จากเสียงของนาง
“เจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด...” ข้าพึมพำตอบนามและที่มาของข้าจนเสร็จสรรพโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ข้านึกว่าข้าลืมชื่อตัวเองไปแล้วด้วยซ้ำ
เสียงของนางเพราะยิ่งกว่าเสียงของนกไนติงเกล ยิ่งกว่าบทเพลงของคนธรรพ์แห่งสรวงสวรรค์ ดึงดูดทุกสติสัมปชัญญะของข้าไป
“เจ้ามาจากที่ใด...จงกลับไปที่นั่น จำไว้ อย่าบอกเรื่องราวของที่นี่ให้ผู้ใดล่วงรู้” เสียงของนางดังก้องขึ้นในหัวของข้าอีกครั้ง จากนั้นสติของข้าก็หลุดหายไป โดยที่ข้าไม่อาจต้านทานบางอย่างที่เข้าควบคุมจิตสำนึกของข้าได้เลย
ครั้นข้าลืมตาขึ้นอีกหน ก็พบว่าข้าอยู่ชายป่าข้างบ้านเกิดของข้า ข้างุนงงยิ่งนัก แต่ข้าก็ออกเดินทางอีกครั้ง เป้าหมายคือเพื่อตามหาหญิงคนนั้น...เป้าหมายของข้าเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
ลืมสิ้นทั้งเพื่อนพ้อง...ลืมสิ้นทั้งนางที่รัก...ลืมสิ้นทั้งสายเลือดเดียวกัน...ทุกอย่าง เกิดขึ้นเมื่อพบกับนาง...
‘หญิงสีเงิน’
ครั้งแรกที่ได้ฟังเรื่องจากลุงขี้เมาแก่ๆอายุ 60 กว่าปี ข้าก็ไม่เคยเชื่อมัน จะมีที่ไหนหญิงสีเงินอย่างที่ลุงคนนั้นบอก หญิงที่งามกว่าหญิงใดๆในโลก บางทีลุงแกอาจจะกุเรื่องขึ้น หรือสติฟั่นเฟืองที่เห็นเพื่อนๆโดนฆ่า
แต่ตอนนี้ ข้าเชื่อเรื่องนั้นแล้ว...
เบื้องหน้าของข้าใต้ต้นไม้ใหญ่ ในคืนที่จันทร์เพ็ญสาดแสงลงยังพื้นปฐพี ยังคงมีร่างๆหนึ่งนั่งคุกเข่าใต้ร่มไม้ใหญ่ ร่างของนางเด่นขึ้นด้วยแสงจันทร์ที่เฉพาะเจาะจงส่องผ่านพุ่มไม้หนายังนาง
ข้างกายของนางคือหมาป่าสีเงินยวงตัวใหญ่...ใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปนัก มันนั่งหันหลังให้ข้า
นางผู้มีเส้นผมสีเงินคุกเข่าอยู่กับพื้น โน้มตัวลงเหมือนกำลังภาวนาอะไรสักอย่าง แต่ชั่วครู่นางก็ยืนขึ้นและหันมาทางข้า...
...หญิงสีเงิน...
นั่นคือความคิดแรกที่ข้าคิดออก นางผิดเพี้ยนจากคำบอกเล่าของลุงขี้เมาส่วนหนึ่ง นั่นคือ
นางสวยยิ่งกว่าที่เรื่องเล่านั้น...
ท่าทีการเยื้องย่างทำให้นางดูเหมือนนางพญาผู้หยิ่งทะนง ทรงอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันนางก็ดูอ่อนโยน และบอบบางจนแทบจะหักได้ในเวลาที่ลมแรง...ความเหมือนที่แตกต่าง
นางหยุดตรงหน้าข้า และข้าก็มีโอกาสได้เพ่งพิจารณาทุกส่วนสัดของนาง
อาภรณ์ที่นางสวมเป็นสีขาวล้วน ชุดกระโปรงแขนกุด ยาวถึงเข่า มีผ้าสีเดียวกันคาดตรงช่วงเอวไว้ ส่วนเส้นผมประดุจไหมนั้นทิ้งตัวลงคลอดเคลียแผ่นหลัง ไม่มีสิ่งใดพันธนาการไว้
และข้าก็พบว่า นางสามารถกระตุ้นทุกอารมณ์ของข้าได้ แม้เพียงแค่มอง!
แต่ทันใดนั้น ข้าก็รู้สึกถึงคมโลหะที่จ่อคอของข้าไว้ ข้าลอบสังเกตมัน มันเป็นดาบที่แปลกที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น ตัวดาบใสจนมองเห็นพื้นหญ้าเบื้องล่าง มีอักขระสีฟ้าวาดเป็นลวดลายโอบรอบคมดาบ ประกบดาบเป็นโลหะสีเขียวเป็นรูปคลื่นน้ำ และด้ามของดาบที่ใสเช่นเดียวกับคม และมีลวดลายสีเขียววนรอบถี่กว่าจนเห็นเป็นตัวด้ามได้ชัดเจน
“เจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด...” ข้าเคยได้ยินประโยคนี้มาจากไหนนะ อย่าว่าเลย แม้แต่ข้าชื่ออะไรก็ยังเกือบลืมไปเลย แต่โดยสัญชาติญาณ สองมือของข้ายกขึ้นในลักษณะยินยอม และข้าก็ตอบชื่อไปโดยอัตโนมัติ
“ข้านามว่าเคล อันเซม เป็นนักเดินทาง ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ...กระทั่งเจอที่นี่” ข้าตอบตามจริงทุกอย่าง และข้าก็เห็นนางพยักหน้า หางตาของข้าก็เหลือบไปเห็น หมาป่าสีเงินยวงตัวนั้น...
พระเจ้า! หมาป่านี่ตัวใหญ่เท่าเอวข้า!?
“มันไม่กัด” นางคงเห็นว่าข้ากำลังตกใจ นางจึงบอกต่อข้าแล้วหันกลับ นางเก็บดาบของตัวเองเข้าฝักที่ข้างเอวบาง ซึ่งเหน็บไว้กับผ้าคาดเอวที่เป็นเหมือนเข็มขัด
คำพูดนี้ไม่มีในเรื่องเล่าของลุงคนนั้นนี่!? ข้าโชคดีชะมัด!
“เจ้ามาจากที่ใด...จงกลับไปที่นั่น” เสียงของนางดังก้องขึ้นในหัว และข้ารู้ตัวว่า อีกครู่เดียวข้าก็จะถูกส่งออกไปจากที่นี่แล้ว เหมือนที่ชายแก่คนนั้นเล่า
เสียดายจัง...
เสียงใสกังวานเบาๆ ดังขึ้นเป็นภาษาโบราณ ด้วยท่วงทำนองขึ้นๆลงๆ ราวกับเสียงดนตรี เหมือนนางกำลังร่ายเวทย์อะไรสักอย่าง ข้าก็ยืนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น เอียงคอมองนาง
พอเสียงร่ายเวทย์นั้นจบลงนางก็หันมา คิ้วเรียวของนางก็ขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงนางพึมพำว่า ‘เป็นไปได้ไง’ แล้วนางก็เดินกลับมาหาข้าอีกหน
“มีอะไรเกิดขึ้น...หรอครับ” ข้าถามอย่างพาซื่อ นึกแปลกใจว่า จะมีสตรีซักกี่คนที่มีสีหน้าแปลกใจได้งามเช่นนี้...
นางไม่ตอบนอกจากหันไปมองหมาป่าตัวใหญ่ข้างนาง แล้วหันกลับมามองข้า
“อยู่นิ่งๆนะ” นางกล่าว และเดินเข้ามาใกล้ข้า จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของนาง สมองข้าก็เหมือนจะเบลอไปอีกหน
สองตาเห็นมือของนางที่ยื่นมาหาและทาบทับลงบนหน้าผาก และข้าก็พบว่า มือของนางนุ่มอย่างที่คิดไว้
และอย่างน้อยข้าก็มีเรื่องเล่ามากกว่าลุงคนนั้นแล้ว...
ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเหลืองมองสบตาข้านิ่ง แม้ว่าหัวคิ้วเรียวยังขมวดน้อยๆพองามอย่างลำบากใจก็ตาม แต่นางก็กล่าวกับข้าว่า “นึกถึงที่ที่จากมา...”
ข้าพยักหน้ารับแต่สมองของข้าก็กำลังเบลอจนนึกถึงแต่หน้าของนาง ริมฝีปากเรียวบางเริ่มขยับเอื้อนเอ่ย เป็นภาษาโบราณที่แสนไพเราะอีกครั้ง
ข้าเฝ้ามองริมฝีปากของนาง เฝ้ามองจนกระทั่งข้าเห็นมันเข้ามาใกล้เหลือเกิน
ความอ่อนนุ่มทาบทับลงบนริมฝีปากของข้า แต่หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำจนสิ้น.........
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น