คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สหายเก่า
Chapter 2
: สหายเก่า
ตึง!!!
ร่างใหญ่ล้มลงเป็นร่างแรก ตามด้วยลูกน้องที่เหลืออีกทั้งหมดกองลงกับพื้นในสภาพไม่ต่างกัน...
“เฮ้อ...น่าเบื่อจริง” เอเฟียถอนใจเฮือกใหญ่ ผิดหวังเพราะไม่คิดว่าเจ้าพวกนี่จะไร้ฝีมือขนาดนี้ หญิงสาวสะบัดดาบที่เปื้อนเลือดออกพอเป็นพิธีแล้วเดินไปหยุดยืนหน้าหัวโจกตัวใหญ่ มือเรียวเท้าเอว ใช้เท้าเขี่ยๆคนที่นอนร้องโอดครวญอย่างกับเด็กผู้หญิง
“ให้ตายสิ พวกเจ้าเก่งที่สุดในสนามประลองนี่แล้วหรือไงกันฮะ ถ้าเจ๋งจริงก็ลุกขึ้นมาสิ เอาแต่ร้องอย่างกับเด็ก ทุเรศจริงๆเล้ย!”
นางโคลงหน้าระอาใจ เมื่อเห็นว่าไอ้เจ้ายักษ์นี่จะไม่พูดอย่างอื่นนอกจากร้อง “จมูกข้า ดั้งข้า!” เลยเลิกสนใจมันและหันไปหาลูกน้องคนอื่นๆของมันแทน...แต่สภาพของเจ้าพวกที่เหลือก็ไม่ต่างกับหัวหน้ามันนัก
“เวรกรรม เวรกรรม...แล้วทีนี้จะมีใครเป็นคู่มือข้าอีกไหมล่ะเนี่ย!?”
หญิงสาวแผดเสียงลั่นราวกับสัตว์บาดเจ็บ ผิดกับมาดสาวน้อยผู้ไร้เดียงสาเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิงราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้า...
แต่นางก็นึกขึ้นได้ เมื่อเหลียวกลับไปมองด้านหลัง ผู้หญิงกับผู้ชายท่าทางเก่งน่าดูที่เคยเฝ้ามองนางเมื่อกี้ แต่พวกเขาก็หายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว...ช่างเถอะ
และด้วยความหวังที่เหลืออยู่น้อยนิด นางเหลียวมองหาคนอื่นที่ท่าทางน่าจะมีฝีมือจริงๆ...แล้วนางก็คิดไม่ผิด เมื่อชายหนุ่ม (หน้าตาค่อนข้างดี) สามคนที่เฝ้ามองนางต่อสู้เมื่อกี้ยิ้มให้นางอย่างชื่นชมแต่นิ้วชี้ที่กระดิกท้าทายนั่นก็ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มยวนท้าทายกลับไป
วันนี้ท่าทางจะไม่น่าเบื่อแล้ว...
“เฮ้อ ได้ออกแรงแล้วสบายจริงๆๆ”
ไรเด็นน้อยที่บัดนี้ถูกปลดพันธนาการที่ทำให้มันไม่ต่างไปจากหมาบ้านธรรมดาเหลียวมองคนข้างกายแล้วบ่นงึมงำ
“นิสัยกรรมกรจริงๆด้วยแฮะ...”
โป๊ก!!
“ข้าได้ยินนะ ไอ้เตี้ย!”
เอเฟียแยกเขี้ยวใส่เจ้าตัวเล็กที่ต้องสูดปากเพราะพิษมะเหงกอย่างหมั่นไส้ “เดี๋ยวเถอะๆ สักวันเจ้าจะตายเพราะปาก”
“เรื่องของข้าน่า...” ไรเด็นน้อยครางโอย สะบัดหัวไปมาไล่อาการเจ็บ เดินตามเอเฟียที่กำลังจะไปเอาดาบที่ล็อกเกอร์ ทว่า...
“เฮ้ย!!! ดาบของข้าหายไปไหน!?”
ไรเด็นน้อยเงยหน้ามองเจ้าตัวที่โวยวายลั่นอย่างรำคาญ “เบาๆหน่อยสิ มีกันอยู่แค่นี้จะแหกปากทำไมเนี่ย”
“ก็ดาบของข้าหายไป!!”
เอเฟียกวาดสายตาทั่วห้อง วิ่งวุ่นหาดาบอย่างใจหาย
“มันไม่อยู่จริงๆนะ!!”
วูบหนึ่งที่นางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หากมันก็หายวับไปโดยเร็วและกลายเป็นอาการเกรี้ยวกราดเดือดดาลแทบในวินาทีนั้น
หญิงสาววิ่งพรวดออกไปนอกห้องเก็บอุปกรณ์โดยเร็ว และมีเป้าหมายอยู่ที่ทางออกของอารีนา
ปึง!!
พนักงานคุมทางออกสะดุ้งเฮือกด้วยฝ่ามือเล็กๆที่กระแทกลงเต็มแรงกับโต๊ะไม้จนเกิดเสียงดังจนน่าตกใจ
ดวงตาสีน้ำตาลเอาเรื่องจับจ้องที่พนักงานหนุ่มหน้าตาดี แต่นางไม่สนใจมันแล้ว...
“ดาบของข้าหายไป!!!”
เจ้าพนักงานหนุ่มยังคงอึ้งอยู่พักหนึ่ง และเมื่อสติของเขากลับมา ชายหนุ่มก็ทำท่าทางขึงขังเป็นกังวลในทันที
“ท่านหาดีแล้วหรือยังขอรับ?”
“หาดีแล้วสิ! ไม่งั้นคงไม่มาแถวนี้หรอก” สาวผมแดงแทบตะคอกกลับด้วยความหงุดหงิดกลุ้มใจ แต่อุ้งเท้าเล็กๆของไรเด็นที่สะกิดให้นางใจเย็นก็พลอยทำให้หญิงสาวลดอาการลงได้บ้าง เอเฟียสูดลมหายใจลึกสองสามครั้งแล้วเริ่มอธิบายช้าๆ
“ข้าเข้าลานประลองเมื่อหกชั่วโมงที่แล้ว และพอกลับออกมา ดาบข้าก็หายไป เจ้าเห็นใครถือออกมาไหม? ดาบที่ยาวประมาณ
พนักงานหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่เขาก็ส่ายหน้า “ไม่เห็นเลยขอรับ”
“ปัทโธ่!”
เอเฟียพ่นลมหายใจหงุดหงิด ทั้งร้อนใจทั้งตื่นตระหนก
“ทำไงดีละทีนี้...”
พนักงานมองสีหน้าเป็นกังวลของลูกค้าอย่างลำบากใจ
“เอางี้นะขอรับ คุณผู้หญิงช่วยเขียนที่อยู่ติดต่อได้ให้ทางเราด้วย หากเราหาพบหรือเจอเบาะแสจะติดต่อไป”
สาวผมแดงกัดริมฝีปากแน่น อยากจะด่ากับความสะเพร่าของพนักงานที่นี่เหลือเกิน แต่นางก็รู้ว่ามันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแน่ๆ ดีไม่ดีนอกจากจะโดนหมั่นไส้แล้ว พวกพนักงานก็อาจไม่ช่วยหาให้อีกก็ได้
คิดเช่นนั้นแล้ว เอเฟียก็ได้แต่จำใจปั้นยิ้มฝืดเคืองแล้วเขียนที่อยู่ของโรงแรมและเบอร์ห้องของนางไว้ ก่อนเดินออกจากอารีน่าอย่างหดหู่ใจ
ไรเด็นน้อยชำเลืองมองนายสาวกับหางตา เห็นท่าทางห่อเหี่ยวของนางแล้วก็เริ่มสงสารขึ้นมาหน่อยๆ อย่างน้อยเอเฟียก็รักดาบนั่นพอๆกับชีวิต และเหล้า (?) ของนางเลย
แต่ก็เพียงแปบเดียวเท่านั้นล่ะ...
“โอ๊ยยย!!! ไอ้พวกพนักงานเฮงซวย ไม่ดูของของลูกค้าเล้ย!!! แล้วก็ไอ้พวกขี้ขโมยทั้งหลาย อย่าให้เจอนะ แม่จะเอาให้เละเลย!!!”
ไรเด็นน้อยเปลี่ยนความคิดในพริบตา
ไม่น่าสงสารยายนี่เลย...
หากพลัน ดวงตาสีอำพันคู่งามก็เหลือบไปเห็นบางสิ่ง...
ด้ามดาบคุ้นตากับชายผ้าสีแดงแวบๆในห่อผ้าของผู้ชายเถื่อนๆห้าคน แม้จะเป็นข้อสันนิษฐานอันริบหรี่แต่ไรเด็นน้อยก็เลือกที่จะลองมัน
ขาหน้าสะกิดขาของนายสาวโดยไว สาวผมแดงชะงักฝีเท้าก้มมองสหายสัตว์เลี้ยงของนาง และพอเห็นมันเบือนหน้าไปในซอยแคบๆที่มีเด็กหนุ่มห้าคนเดินเอื่อยเฉื่อยพร้อมกับห่อผ้าสีขาว แต่สิ่งที่โผล่พ้นผ้าออกมาก็ทำให้นางเบิกตาโพลง
“ดาบข้า!!”
ร่างบางวิ่งพรวดฝ่าฝูงคนกลางตลาดใหญ่อย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก แต่ไม่เกินความสามารถของเจ้าไรเด็นน้อยที่ต้องวิ่งไล่ตามอย่างนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดาบดีว่ะ แบบนี้น่าจะขายได้แพงโขหน่อย”
ชายผมดำผู้ถือดาบราคาแพงยิ้มกริ่มขณะก้มมองดูดาบในมือด้วยความพอใจ
“ข้าก็ว่างั้นล่ะ ผู้หญิงสวยๆคนนั้นดันมีของราคาแพงแบบนี้ แสดงว่าที่บ้านน่าจะรวย ทำไมเจ้าไม่ลองจีบดูวะ แล้วค่อยๆไถเงินยายนั่น เขาว่าผู้หญิงสวยมักจะโง่นี่หว่า ฮ่าฮ่า”
ชายร่างใหญ่อีกคนแสดงความเห็นที่แสนจะดี
“เออ นั่นสิวะ ข้าก็หน้าตาออกจะหล่อ เดี๋ยวลองไปดักรอยายนั่นดีกว่า นอกจากจะได้เงินก็ยังได้แม่นั่นอีก น่าสนๆ ไว้ข้าได้ฟันแม่นั่นเมื่อไหร่จะเรียกพวกเจ้ามาสนุกด้วย!” ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะหัวเราะลั่นซอยด้วยความคิดสุดเลิศนั่น
หารู้ไม่ว่าผู้หญิงที่เป็นเจ้าของดาบ ถูกหาว่าโง่ และอาจจะถูก ‘ฟัน’ เดินตามห้าหนุ่มนั่นด้วยสายตาแทบจะกินเลือดกินเนื้อ
หนอย... หาว่าข้าโง่รึ!! แล้วนั่นก็หน้าตาดีตายล่ะ ให้ตายข้าก็ไม่มีวันเลือกเจ้าแน่ๆ!! แล้วคิดจะฟันข้าหรือ อีกสิบชาติก็ไม่มีวัน!!!
แล้วมาขโมยของใครไม่ขโมย...ขโมยเอเฟียคนนี้ พวกเจ้าคิดผิดมหันต์แล้ว!!
ไวเท่าความคิด!
“เฮ้”
ปากร้องเรียกเพียงเพื่อให้อีกฝ่ายหันขวับกลับมา และเพียงแค่ไอ้เจ้าคนที่ถือดาบหันมา กำปั้นลุ่นๆก็กระแทกใส่ดั้งแบนๆเต็มรัก!
ผัวะ!!!
โครม!!!!
“เฮ้ย!!”
เสียงร้องอุทานดังขึ้นแทบจะในวินาทีเดียวกับที่ชายผมดำนั่นล้มลงไปนอนหงายกับพื้น เลือดสีแดงฉานไหลพรวดจากปลายจมูก ก่อนเสียงร้องโอดครวญแสนทุเรศจะดังตามมา
เอเฟียเหลือบตาลงมองผลงานด้วยรอยยิ้มสะใจพร้อมกับเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ มือซ้ายลูบกำปั้นขวาที่แดงระเรื่อขึ้นมา
อีกสี่คนที่เหลือเบิกตากว้างค้างมองสหายที่ลงไปนอนกับพื้นด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวของผู้หญิงอย่างอึ้งทึ่ง แต่วินาทีต่อมามันก็กลายเป็นความโกรธฉุนเฉียว
ชายร่างใหญ่หันขวับกลับมา ยกนิ้วกลางด่าผู้หญิงอย่างน่าสมเพช
“ยายบ้าเอ้ย ทำอะไรของเจ้า อยากโดนโทรมนักใช่มั้ย! พวกเราลุยเว้ย”
คิ้วเรียวสีแดงเลิกขึ้นน้อยๆกับสิ่งที่ผู้ชายตัวใหญ่ๆสี่คนกำลังจะทำนาง...กระตุกยิ้มมุมปาก ‘หยัน’
หมัดแรกพุ่งตรงมา เอเฟียเพียงเบี่ยงตัวหลบแล้วสวนหมัดขวาฮุคกลับไปกลางลำตัวจนอีกฝ่ายลงไปคู้กับพื้น ตามด้วยหมัดที่สองและสามใส่อีกสองคนจนพวกมันลงไปนอนเลือดกบปาก
ส่วนไอ้เจ้าคนสุดท้าย มันกัดฟันกรอด มองดูเพื่อนที่แพ้อย่างง่ายดาย แล้วคว้าเอาดาบเรียวที่พึ่งขโมยมาไม่ถึงชั่วยามออกจากฝัก วิ่งเข้าไปฟันตรงๆด้วยกิริยาของคนที่ไม่เคยใช้ดาบ
เอเฟียถอนใจเฮือก นาง
ปลายดาบเรียวคมวาวจ่อปลายจมูกของชายร่างผอมบางท่าทางขี้โรค...
“ดาบน่ะ ถ้าจะใช้เขาใช้กันอย่างนี้...”
มือเรียวสะบัดเบาๆ หยดเลือดก็ซึมขึ้นจากรอยจางๆที่ลากผ่านตั้งแต่แก้มซ้ายผ่านจมูกไปถึงแก้มขวา
มันชะงัก แต่วินาทีต่อมาก็แผดเสียงร้องลั่นยิ่งกว่าโดนเชือดคอ
“อ๊าก!!!! หน้าข้า! หน้าข้าถูกกรีด เจ็บโว้ยยย!!!!!!”
กลับกลายเป็นเอเฟียที่เป็นฝ่ายอึ้งแทน นางแทบอ้าปากค้างเมื่อเห็นผู้ชายร้องเสียงหลงยิ่งกว่าผู้หญิง ก่อนที่มันจะวิ่งพรวดหนีไป ทิ้งเพื่อนๆให้นอนคุดคู้อยู่บนพื้น ครางแทบไม่เป็นภาษา
“เหอะ! มีฝีมือแค่นี้ คราวหลังอย่าริอาจเป็นขโมยเลย ทุเรศแทนแฮะ” นางบ่นเนือยๆ เดินไปหยิบฝักดาบขึ้นมา “โถ ลูกแม่ ไปอยู่ในอุ้งมือมารตั้งนาน หมองหมดเลย” เช็ดปัดฝุ่นด้วยความทะนุถนอมจนไรเด็นน้อยที่ยืนรอไกลๆยังแบะปากสยดสยอง
อยากจะบอกยายเอเฟียเหลือเกินว่า...เจ้าน่ะ ยิ่งกว่ามารเสียอีก!
เอเฟียสะบัดเชิดหน้าเก็บดาบเป็นจังหวะเดียวกับที่นางเห็นไรเด็นน้อยแบะปากแหยอยู่ คิ้วเรียวกระตุกขมวดในทันที แต่แปบเดียวก็คลายออกอย่างน่าอัศจรรย์จนเจ้าไรเด็นน้อยที่กำลังเตรียมหนี
“ไม่เป็นไรๆ วันนี้ข้าไม่ถือ ไปๆไอเตี้ย กลับห้องพวกเรากัน ฮ่าฮ่า ได้ดาบคืนค่อยอารมณ์ดีหน่อย”
ดวงตาสีอำพันเลยมองตามร่างโปร่งบางที่เดินหัวเราะไปอย่างกับคนบ้าด้วยแววตาอึ้งทึ่ง
...พรุ่งนี้พายุคงเข้า...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
สาวผมแดงพลิกกายบนเตียงนุ่มอย่างหงุดหงิดใจ ยิ่งต้องหลบแสงแดดยามเที่ยงที่ลอดผ่านม่านหนาหนักมาแยงตาแล้วยังจะเสียงเคาะประตูกวนใจอีก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“โอย...รำคาญวุ้ย!”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ราชันน้อยผงกหัวขึ้นหลังจากตื่นนอนเพราะเสียงเคาะประตูครั้งแรกแล้วเหลียวไปที่ประตู “เอเฟีย ไปเปิดหน่อยเถอะ ข้ารำคาญเสียงเคาะชะมัด”
เอเฟียผู้ถูกเบียดเบียนเวลานอนอันแสนสุขจึงได้แต่สบถพึมพำกับหมอนนุ่ม ก่อนขยับกายลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูทั้งที่ยังงัวเงียเช่นนั้น
มือเรียวปลดกลอนประตู แต่ยังคล้องโซ่เช่นนั้น ก่อนดึงบานประตูเข้ามาแล้วโผล่หน้าไปเล็กน้อย
“มาหาใคร?”
ดวงตาสีน้ำตาลคู่งามหรี่ลงน้อยๆเมื่อพบว่าอีกฝ่ายคือสันติบาลสี่คนที่มาเยี่ยมนาง
“เราขอแจ้งจับท่านในข้อหาทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา!”
และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เอเฟียจำต้องมานั่งหน้าบอกบุญไม่รับในสถานที่ทำการของสันติบาล
ไรเด็นน้อยมองไปยังนายสาวที่กำลังแผ่รังสีอำมหิตรุนแรงเสียจนไม่มีสันติบาลคนไหนกล้าเข้าใกล้อย่างเห็นใจหน่อยๆ...ก็แน่ล่ะสิ เมื่อวานนางพึ่งโดนขโมยดาบ พอไปเอาคืนแถมสั่งสอนอีกนิดๆหน่อยๆดันโดนแจ้งความซะงั้น พอจะชี้แจงก็ดันไม่มีสันติบาลหน้าไหนกล้าเข้าใกล้อีก...เฮ้อ...
นี่นางก็นั่งรอมาตั้งเสี้ยวยามแล้ว ดูสีหน้าดุเดือดขนาดนั้นอีกไม่นานคงระเบิด
“เฮ้!! ไม่มีสันติบาลหน้าไหนกล้าเข้ามาฟังคำชี้แจงของข้าเลยหรือไง!!!”
นั่นล่ะ...สันติบาลคงกลัวโดนเจ้ากัด... ไรเด็นน้อยคิดอย่างปลงๆ
เอเฟียกัดฟันกรอด พาดขาขวาไขว้เหนือขวาซ้าย มือเรียวขัดกอดอก... นางต้องมารออย่างนี้ตั้งนานแล้วยังถูกยึดอาวุธไปอีก หงุดหงิดโว้ย!! อย่าให้เจอไอ้คนที่มาแจ้งความนางนะ แม่จะจับฆ่าหมกป่าซะนี่!!
พลัน หูที่ไวต่อเสียงแปลกปลอมก็แว่วบทสนทนาที่กำลังจะมาปลดปล่อยนาง สาวผมแดงเอียงหน้าให้ใกล้ประตูที่อยู่บานถัดไปให้มากที่สุดเท่าที่นางซึ่งถูกสั่งให้นั่งที่เก้าอี้ตัวนี้มาเนิ่นนานจะทำได้
“อะไรนะ?... ผู้หญิงมีปัญหา? จัดการไม่ได้ อะไรกัน แค่ผู้หญิงคนเดียว...หือ ท่าทางเหมือนฆาตกรด้วย!? อืมๆ เข้าใจล่ะ ข้าจัดการเอง...”
ร่างบางลุกพรวดอย่างแรงจนเก้าอี้หงายหลังล้มโครมเป็นเป้าสายตาของทุกคนในที่นั้น แทบจะถลันวิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อไอ้สันติบาลคนไหนที่มันบอกว่านางเหมือนฆาตกรมาชกซักหมัด!
บังอาจไปแล้วนะ!!
ประตูไม้เปิดออก ก่อนร่างสูงใหญ่สะดุดตาในชุดเกราะเงินวาวจะก้าวนำออกมา
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง...
“รอส!!”
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉยหันขวับแทบในทันทีที่เสียงร้องนั้นแผดขึ้น ดวงตาสีควันบุหรี่ก็เบิกขึ้นพอๆกัน
“เอเฟีย??”
ร่างระหงสาวเท้าก้าวฉับๆเข้าไปหา ‘เหยื่อ’ ในทันที สองมือตวัดเท้าเอวบางเมื่อไปหยุดหน้าร่างสูงใหญ่ที่นางว่าสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปยังสูงแค่ไหล่ของเขา ปากพูดกับชายหนุ่มตรงหน้าแต่ดวงตาเพ่งเขม็งยังสันติบาลที่เดินตามหลังเขาออกมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เฮ้ รอส ข้าแว่วๆว่าข้าเป็นฆาตกรนะ”
สันติบาลหนุ่มสะดุ้งโหยง หลบสายตาโดยการกระเถิบตัวเองไปยืนหลังรอสแล้วบ่นงึมงำไม่ได้ศัพท์
“เหอะ!” หญิงสาวกระแทกเสียง ก่อนตวัดตาไปหาหนุ่มตาสีเทาคนเดิม
“ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่เลย นายทหารระดับแม่ทัพอย่างเจ้ามาทำอะไรที่เมืองเกือบชายแดนแถมยังอยู่ในที่ทำการของพวกสันติบาลอีกล่ะ”
อีกฝ่ายแบมือยักไหล่ “ไม่มีไรมาก พอดีต้องมาติดต่องานน่ะ เออ” เขาพูดเหมือนนึกขึ้นได้ คิ้วเข้มพาดเฉียงเหนือดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวก็ขมวดเข้าหากัน “เจ้าโดนแจ้งจับข้อหาทำร้ายร่างกายนี่”
นั่นล่ะ เพียงประโยคเดียว...เหมือนกองไฟที่ใกล้จะมอดแล้วดันมีน้ำมันราดเข้าไปอีกถังใหญ่ๆ
ดวงตาสีน้ำตาลลุกวาวอาฆาต
“งี่เง่าที่สุด!” นางแทบจะตะคอกใส่หน้ารอสด้วยซ้ำ... ถ้าไม่ติดที่ว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าของนางละก็นะ “แจ้งจับมาได้นะ ข้อหาสั่วๆแบบนั้นน่ะ! เจ้าพวกสันติบาลงี่เง่าเอ้ย!!!”
ขนาดไม่ตะคอกใส่หน้า รอสก็ยังอดสะดุ้งโหยงไม่ได้
หญิงสาวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างดุเดือด หักนิ้วดังกรอบแกรบน่าขนลุก “พวกมันมาขโมยดาบของข้าไปตอนที่ข้าเข้าลานประลองไม่พอ พอข้าไปเอาคืนมาก็เข้ามารุมข้า ข้าผิดหรือไงที่ป้องกันตัวน่ะ ฮะ! ตอบข้าซิ รอส”
“ไม่ผิดหรอก...” เขาก็ว่าเสียงอ่อยๆ พยายามโบกมือลงให้นางใจเย็น “แต่เจ้าใช้อาวุธทำร้ายเขา...”
“ฮะ!!!!”
คราวนี้เสียงหวานแผดลั่นที่ทำการจริงๆ แหลมแสบแก้วหูจนรอสยังต้องรีบยกมือปิดหูโดยไว
“เจ้าพวกงี่เง่าเอ้ย!!! มันไม่ได้บอกล่ะสิว่ามันชักดาบข้าออกมา แล้ววิ่งเข้ามาแทงข้าน่ะ เจ้าบ้าเอ้ย!!”
เอเฟียแยกเขี้ยวขาวเกรี้ยวกราดถึงที่สุด นางสะบัดหน้า กระแทกเท้าเดินไปหยิบดาบของนางที่สันติบาลนายหนึ่งยึดไว้ สันติบาลกลางคนสะดุ้งเฮือกแทบยื่นดาบคืนให้นางไม่ทัน
สาวผมแดงคว้าดาบคืนมา “ไป ไอ้เตี้ย ไปล้างแค้นกัน!” นาง
นาง ‘ชิ่ง’ เร็วเกินกว่าที่สันติบาลนับสิบชีวิตนี่นั้นซึ่งกลายเป็นหินเพราะพลังเสียงแปดหลอดจะทันรู้ตัว แต่เมื่อพวกเขากำลังจะวิ่งไล่ตามออกไป มือใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มก็กั้นพวกเขาไว้อย่างรวดเร็ว
“ไม่มีประโยชน์หรอก” รอสพูดยิ้มๆ มองตามแผ่นหลังบางที่วิ่งหายไปในฝูงชนอย่างขำๆ ก่อนหันกลับไปหาสันติบาลที่ร้องถามด้วยความสงสัย
“ท่านแม่ทัพปล่อยนางไปทำไมขอรับ? นางมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นนะขอรับ แถมเมื่อกี้ยังพึ่งตะคอกใส่หน้าท่านด้วย...ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่มีมารยาทจริงๆ”
ประโยคหลังคือคำตำหนิที่ผู้ถูกตำหนิไม่มีวันได้ยินแน่ๆ
แต่สิ่งที่แม่ทัพหนุ่มคือการระเบิดเสียงหัวเราะขบขัน แทนที่จะโกรธที่เพื่อนของเขาถูกตำหนิเช่นนั้น
“ฮ่าฮ่า นั่นล่ะเอเฟียตัวจริงล่ะ” เขาว่า ก่อนยักไหล่เฉื่อยๆ ก้าวเดินลงบันไดไป
“ถึงนางจะรักการต่อสู้ก็จริงนะ แต่นางไม่มีวันทำร้ายผู้อื่นก่อนหรอก เวลาแค่ 2 ปีที่ไม่ได้เจอกันไม่ทำให้นิสัยของนางเปลี่ยนไปแน่ๆ... ถ้าเมื่อกี้ไม่โวยวายจริงๆละก็ นั่นล่ะ นางเปลี่ยนไปแล้ว...หึหึ”
สายตางุนงงของเหล่าสันติบาลคือคำตอบอย่างดี
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าไปคุมนางเอง” เขาเดินตรงไปยังม้าสีน้ำตาลดำของเขาที่เจ้าพนักงานนำบังเหียนมาส่งให้ ตวัดขาขึ้นไปนั่งอย่างองอาจ ชายหนุ่มกระตุกบังเหียนเบาๆ อาชาหนุ่มก็เลี้ยวออกไปจากที่ทำการ แต่ทว่ามันก็หยุดฝีเท้าด้วยแรงกระตุกจากเจ้านายบนหลังของมัน
“อ้อ ข้าลืมบอกไปอย่างนะ” รอสหันไปยิ้มกับเหล่าสันติบาลผู้ตกอยู่ในสภาวะสับสนขั้นรุนแรงอีกครั้ง คลี่ยิ้มสบายๆให้ แต่ประโยคที่ดังต่อมากลับทำให้เหล่าสันติบาลหน้าถอดสีในพริบตา
“ถ้าเอเฟียต้องการล่ะก็... สันติบาลไม่กี่คนในที่ทำการนี่น่ะ หยุดนางไม่ได้หรอก ต่อให้นางมือเปล่าก็ตามเถอะ หึหึ”
แม่ทัพหนุ่มทิ้งท้าย ก่อนควบม้าไล่ตามร่างเพรียวลมแต่เรี่ยวแรงมหาศาลไปอย่างรวดเร็ว...
เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมานาน... ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้วจริงๆเลยน้า ยายเอเฟีย...
ความคิดเห็น