ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Elven Spirit

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 31 ธ.ค. 50


    ร่างสูงผุดลุกขึ้นนั่งในทันทีที่ลืมตา นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้กราดมองไปทั่วห้องอย่างงุนงง

    ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน เคลพึมพำกับตัวเอง มองไปรอบๆห้องที่เขาอยู่ และพบว่ามันเป็นห้องที่ต่อจากไม้ นอกจากห้องแล้ว ข้าวของทุกอย่างก็ทำจากไม้ทั้งสิ้น ยกเว้นหมอนและเตียงที่เขานอนเมื่อครู่ ซึ่งเป็นผ้ายัดด้วยขนนกที่ทำให้มันนุ่มขึ้น

    โอยย... ชายหนุ่มครางขึ้นเมื่อรู้สึกปวดที่หลังคอจากการที่หันรอบๆเร็วเกินไป จนเขาอดไม่ได้ที่จะเอามือไปนวดๆมัน

    อย่านวดเองสิ ระวังมันจะปวดกว่าเดิมนะ ไม่ทันขาดคำพูดจากหญิงสาวปริศนา เคลก็แทบจะร้องขึ้นเมื่อคอเขาปวดหนักกว่าเดิม

    เจ้านี่มัน... มีเสียงกล่าวอย่างเอือมระอาดังขึ้น และเคลก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา นางมีเส้นผมสีทองคำและดวงตาสีเขียว ไม่เหมือนกับหญิงสีเงินคนนั้น แต่หญิงคนนี้ก็มีใบหูที่แหลมและเรียวยาวเหมือนกับนาง

    เจ้าไปทำยังไงมาล่ะ ธาเนียถึงได้ทำร้ายเจ้าเข้า คิกคิก เคลเงยหน้าขึ้นมองหญิงแปลกหน้าด้วยสีหน้างุนงง ก่อนนางก็พูดต่ออย่างไม่สนใจเขา

    ปกติธาเนียไม่ทำร้ายใครนะ มีเจ้านี่แหละคนแรก หญิงผมทองหัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้างงหนักกว่าเก่า อ้อ! ถ้าเจ้าสงสัยว่านางคือคนไหนล่ะก็ นางก็คือคนที่เจ้า...

    เอเรีย...พอเถอะ เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้น และเคลก็สะบัดหน้าหันไปมองราวกับกลัวว่านางจะหายไปในตอนนั้น

    หญิงสีเงินมา!

    ชายหนุ่มเหมือนจะลิงโลดขึ้นในทันที แต่หญิงข้างตัวนามเอเรียก็สะกิดเขาเบาๆ แล้วกระซิบว่า นั่นล่ะ ธาเนีย

    เคลพยักหน้าหงึกๆ แต่สายตาก็ไม่คลาดเคลื่อนไปจากดวงหน้างาม นัยน์ตาสีผสมของนางเหลือบมองเขาชั่วครู่และหันไปมองเอเรีย

    ข้าขอคุยกับคนแปลกถิ่นเป็นการส่วนตัว หญิงสีเงินพูดขึ้น และเคลก็แทรกขึ้นในทันที

    ข้าชื่อเคล ไม่ใช่คนแปลกถิ่น

    เมื่อหลีกทางให้กับเอเรียที่เดินออกไปแล้ว และไม่ใส่ใจกับเสียงทุ้มที่ขัดขึ้น นางก็เดินไปเข้าไปหาคนบนเตียงที่ยังกุมคอตัวเองอยู่

    ข้าเป็นอะไรไป?” เคลถามขึ้น แล้วก็ถามต่อ ท่านชื่อธาเนียหรือ?”

    หญิงสีเงินมองเขานิ่ง ก่อนเอื้อมมือไปยังหลังคอของเขา แกะมือใหญ่ที่กุมคอตัวเองออกแล้วแทนที่ด้วยมือของนาง

    เจ้าผิดเองที่ทำเช่นนั้นก่อน นางเหมือนจะบ่น แต่เคลก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดจากมือของนางเข้าหลังคอของเขา แล้วความเจ็บปวดก็ค่อยๆเลือนหาย

    เคลเลิกคิ้วมองตาหล่อน  นึกย้อนไป

    ........................................

    ...........................

    ..............

    .....

    ตอนนั้นมือของนางเย็นเฉียบขณะแตะหน้าผากของข้า แต่ชั่วครู่มันก็อบอุ่นขึ้น...ริมฝีปากและเสียงของนางที่กำลังร่ายมนตร์ช่างดึงดูดข้ามากเหลือเกิน

    ข้าจ้องตาของนาง เช่นเดียวกับที่นางจ้องข้า ดวงตาของนางเหมือนจะรู้ลึกเข้าไปถึงส่วนในสุดของจิตใจ เหมือนจะเห็นทุกอย่างที่แอบซ่อนไว้

    ข้ากลัวว่านางจะเห็นสิ่งที่ข้าซ่อนมันไว้...

    ใบหน้านวลของนางช่างน่าจับนัก ข้าอยากรู้ว่ามันจะนุ่มนวลเหมือนที่ข้าคิดไว้ไหม และใบหน้าของนางก็ห่างจากข้าแค่เอื้อม

    ใช่...แค่เอื้อมจริงๆ...

    หญิงสีเงินขมวดคิ้ว เมื่อสองมือของข้าประคองดวงหน้าของนางขึ้น นางไม่ขยับออก นอกจากมองข้าแปลกๆ สมองของข้าก็เบลอๆจากบางอย่าง กลิ่นของดอกไม้ป่า กลิ่นหอมอ่อนๆจากนาง  ทำให้ข้าทำบางอย่างที่คิด

    ริมฝีปากของนางจะนุ่มแค่ไหนกันนะ...?

    ข้ามองเห็นใบหน้าของนางใกล้เข้าเรื่อยๆ...ไม่ใช่นางหรอกที่เข้าใกล้ข้า แต่เป็นข้าต่างหาก ที่ขยับเข้าไปหานาง

    สายตาของข้าหยุดเพียงริมฝีปากนั้น...

    และวินาทีที่ดวงตาของข้าปิดลง ริมฝีปากของข้าก็สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของริมฝีปาก

    ข้าสัมผัสถึงการขยับขืนตัวออก แต่สองมือของข้าก็ไม่ยอมให้นางถอยห่าง นอกจากประคองดวงหน้านางให้แน่นิ่ง

    ให้ข้าได้รู้สึกถึงริมฝีปากของนางมากขึ้นไปอีก...

    ราวกับคลั่งไคล้...จนข้าไม่อยากออกห่าง คลึงเคล้าต่อริมฝีปากด้วยริมฝีปากอย่างลุ่มหลง เหมือนสิ่งเสพติดที่...หยุดไม่ได้...

    มือเรียวที่วางที่หน้าผากพยายามผลักข้าออก เสียงของนางที่ไม่อาจรอดพ้นริมฝีปากดังขึ้นอย่างไม่พอใจ ตามด้วยมืออีกข้างที่ผลักอกข้า

    แต่เรี่ยวแรงของนางก็ไม่อาจเทียบข้าได้...

    ลิ้นอุ่นสัมผัสไปตามกลีบปากบาง...อ้อยอิ่ง...พึงพอใจกับรสชาติที่ได้รับ นางยังคงฝืนสติได้ดี และไม่ยอมเปิดริมฝีปากตามสัญชาติญาณ แต่ข้าก็ไม่สนอะไรเท่าไหร่นัก รู้ว่าอีกไม่นานนางก็ไม่ไหวเอง...

    แล้วก็จริงอย่างที่ข้าคาดไว้ ไม่นานนักจากที่ข้าคิด หลังจากที่ข้าขบเม้มกลีบปากล่างของนาง นางก็เผยอริมฝีปากขึ้น โดยไม่รอช้า ข้าแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากลิ้มรสความหวานของนาง นางตกใจยามที่ข้าแทรกเข้าไปได้ นางขยับลิ้นหนีและข้าก็ยิ่งไล่ตาม   ...อื้อ!...อือ...อืมมม..

    นางครางเมื่อเริ่มต้านข้าไม่ไหวและนางก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ สองมือของนางก็อ้อมไปหลังศีรษะของข้า ลูบแผ่วเบาตรงต้นคอแล้วจากนั้น สันมือของนางก็กระแทกแรงเข้าที่ท้ายทอย ส่งข้าขึ้นไปนับดาวอย่างรวดเร็ว...

     

    ออ ข้าจูบท่าน แล้วท่านก็...อุ๊บ เคลรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้ เมื่อเขาหลุดคำพูดที่ไม่ค่อยสุภาพออกมา สำหรับผู้ชายมันก็ทั่วๆไปน่ะล่ะ แต่สำหรับผู้หญิง พวกนางย่อมไม่พอใจแน่

    แต่สิ่งที่หญิงสีเงินทำ มีเพียงเอียงคอมองเขาอย่างสงสัย

    เจ้าว่าอะไรนะ ข้าได้ยินแว่วๆว่า จ...จ เคลรีบส่ายหน้าปฏิเสธ กลัวว่านางจะโมโห แต่นางเพียงคาดคั้นเขาเฉยๆ

    ออ ข้าได้ยินเจ้าพูดว่าจูบข้า เคลสะดุ้งโหยง อ้าปากจะแย้งนาง แต่นางก็ชิงพูดขึ้นอีก

    อะไรคือจูบ?” ชายหนุ่มค้างนิ่งในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เขาได้ยินว่าอะไร...นะ ?

    สีหน้าของนางยังนิ่งเฉย แต่หญิงสีเงินก็หยัดตัวขึ้นยืนตรงๆและกอดอก กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดราวกับเรื่องที่จะรับรู้ต่อไปเป็นความลับสำคัญระดับชาติ

    เป็นบุรุษ พึงกระทำมากกว่าพูด เมื่อพูดแล้วพึงกระทำ แต่หากสิ่งที่เขาทำไม่กระจ่าง เขาพึงพูด นางพูดประโยคที่ทำให้เขางงๆยังไงไม่รู้สิ แต่เขาก็เข้าใจว่านางกำลังต้องการคำขยายของคำว่า จูบ

    เคลอ้ำอึ้งไปพักก่อนอ้อมแอ้มตอบนาง ท่านไม่รู้จักหรือ จูบก็คือจูบ แล้วเขาก็ถอนใจยาวเมื่อนางยังทำหน้าฉงน เออ ช่างเถอะ ท่านอย่ารู้เลย

    เจ้าพูดแล้วไม่อธิบาย ข้าจะรู้หรือ?” เสียงของนางเริ่มแข็งขึ้น คนอื่นอาจคิดว่านางไม่พอใจกับสิ่งที่เขาพูด แต่เคลรู้สึกว่านางกำลังงอนที่เขาไม่ยอมบอกตรงๆ

    นางเป็นคนช่างซักยิ่งนัก...

    แล้วดันซักเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเสียด้วยสิ!

    เคลนึกในใจ มองไปยังริมฝีปากของนางอีกครั้ง

    ...ให้ตายสิ เดี๋ยวข้าก็จูบอีกรอบซะเลย...

    หญิงสีเงินมองสีหน้ากวนๆของขาแล้วขมวดคิ้ว แต่นางก็คุมสติได้ดีพอๆกับที่ควบคุมอารมณ์ได้ คิ้วเรียวของนางจึงคลายออก และนางก็เรียกให้เขาเดินตามออกไป

    เคลก้าวลงจากเตียง และหยิบเอากระเป๋าเป้ของเขาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นสะพาย แล้วออกเดินตามหญิงสีเงินไป

     

    หลังจากเดินตามหญิงสีเงินมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว นางก็พาเขามาหยุดที่ใกล้ๆชายป่าท้ายหมู่บ้าน ตรงพื้นเบื้องหน้าเป็นที่ค่อนข้างโล่งปราศจากต้นหญ้า แต่บนพื้นนั่นก็แทนที่ต้นหญ้าด้วยลวดลายราวกับอักขระมนตราสีแดงเป็นภาษาโบราณและมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เมตร ไกลออกไปราว 20 เมตรมีกระท่อมหลังเล็กๆปลูกอยู่

    ชายหนุ่มลืมความประหลาดใจก่อนจะมาเจอที่นี่เสียสนิท...ที่นี่...หมู่บ้านแห่งเผ่าพันธุ์เอลฟ์ หากกลับมีสิงสาราสัตว์มากมายที่เดินป้วนเปี้ยนขวักไขว่ภายในหมู่บ้าน ทั้งสัตว์เล็กๆน่ารัก สัตว์บางชนิดที่ว่ากันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว หรือแม้แต่สัตว์ดุร้ายเช่นพวกเสือ สิงโต ทว่ากลับไม่มีสัตว์ตัวใดเลยที่เข้าทำร้ายผู้คน ซ้ำสัตว์บางตัวยังยอมอยู่นิ่งๆให้เด็กๆได้ลูบเล่นขนของมันประหนึ่งลูกแมวน้อยแสนเชื่องไม่มีพิษมีภัย

    เห็นภาพของหมู่บ้านเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มนึกถึงคณะละครสัตว์ขึ้นมาตงิดๆ...

    แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ทุกคนในเผ่าดูจะมีรูปลักษณ์งดงามทุกคน! นอกจากธาเนียที่มีเรือนผมสีเงินและดวงตาสามสีงดงามต่างไปจากผู้อื่นแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านก็มีเส้นผมสีทองคำอร่าม และดวงตาสีมรกตสดใส ชายหนุ่มเชื่อว่า ถ้าหากชนเผ่าเอลฟ์ที่นี่ประกวดความงามกัน มันคงเป็นอะไรที่ตัดสินยากน่าดู...

    เจ้า เสียงของนางร้องเรียก และเคลก็ไม่ต้องหันไปหาคนอื่นอีกเมื่อในที่นั้นมีเพียงเขาและนางสองคน  

    ไปยืนในนั้น เรียวนิ้วของนางชี้ไปยังกลางวงกลม ก่อนร่างบางจะก้าวตรงไปยังกระท่อมเล็กตรงหน้า ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้นอีก

    ทว่าเพียงนางเดินไปไม่กี่ก้าว ประตูก็เปิดแง้มออกมา ตามด้วยร่างเล็กคู้ค่อมของชายชราวัยเกิน 80...และด้วยเส้นผมขาวโพลนกับดวงตาสีมรกตฝ้าฟาง ทั้งยังชุดสีขาวขุ่นทั้งตัวนั่นอีก เคลจึงตั้งชื่อของชายชราคนนั้นไว้ในใจว่า ชายชราสีขาว

    อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านธาเนีย น้ำเสียงพร่าแหบของชายชราหญิงสีเงิน ทำเอาชายหนุ่มขนลุกขึ้นมา...นี่ถ้าอยู่ในบ้านผีสิงนะ ใช่เลย!

    อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านราชสีห์ หญิงสาวค้อมหัวตอบกับชายชราตรงหน้า ก่อนนางจะหยัดกายขึ้นและกล่าวธุระออกไป ข้าขออนุญาตใช้วงแหวนมนตราของท่านหน่อยได้หรือไม่?”

    โอ...ตามสบายท่านเลยขอรับ ท่านไม่จำเป็นต้องขออนุญาตข้า แต่ไม่ทราบว่าเพื่อ...

    ประโยคหลังของชายชราหายไป เมื่อดวงตาสีมรกตนั้นกราดมองไปเจอกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่เบื้องหลังของนาง

    บุตรมนุษย์! ผู้เฒ่าผงะเบิกตากว้างราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน ก่อนดวงตานั้นจะเบือนกลับมองยังธาเนียอย่างตื่นตระหนก ท่านอย่าบอกนะขอรับ ว่าต้องใช้เพื่อบุตรของมนุษย์ผู้นั้น

    เคลสะดุ้งเฮือกเมื่อท่านราชสีห์ตวัดสายตากลับมายังเขา แผดเสียง และชี้หน้า เจ้า! บุตรมนุษย์จง...

    ใจเย็นๆ ท่านราชสีห์ ท่านไม่สมควรชี้หน้าเขานะ ธาเนียปรามเสียงต่ำ เมื่อเห็นว่าคนของนางกำลังกระทำการไม่มีมารยาทด้วยการชี้หน้าคนอื่นเช่นนี้ ข้ามาหาท่านเพราะต้องการยืมใช้วงเวทมนตราในการส่งเขากลับ นางดึงความสนใจของท่านราชสีห์มาหานางแทนการสนใจที่จะชี้หน้าเคลต่อไป

    สิ้นประโยคสุดท้าย ท่านราชสีห์ก็หันมองหญิงสาวที่ท่านเคยสั่งสอนมากับมืออย่างงุนงง เหตุใดจึงไม่ทำตามกฎของหมู่บ้านล่ะ ท่านพาเขาเข้ามาในหมู่บ้านได้อย่างไร?”

    สิ่งนั้นล่ะ คือปัญหา ร่างบางไขว้มือกอดอก ปรายหางตามองยังผู้มาเยือนจากในเมือง และเคลมองสายตาของนางที่เย็นชาอย่างรู้สึกไม่สู้ดีเท่าไหร่ มนตราของข้าไม่อาจใช้กับเขาได้...มันอาจจะเกิดอะไรสักอย่าง แต่หากได้ลานพิธีของท่านแล้ว บางทีมันอาจจะสำเร็จ...เอาล่ะเจ้ายืนนิ่งๆ แล้วนึกถึงบ้านของเจ้าให้มากที่สุด

    ธาเนียตัดประโยคสนทนากับท่านราชสีห์ห้วนๆ ก่อนนางจะเดินกลับไปใกล้ๆวงแหวนมนตรา ที่ซึ่งมีวงแหวนอักขระอีกวงแต่ขนาดเล็กกว่าเกือบสองเท่าตัวอยู่บนพื้นเชื่อมติดกับวงที่เคลยืนอยู่

    ข้าอยู่ที่นี่สักพักไม่ได้หรือขอรับ?” เคลเสียงละห้อย แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอนางแล้วเขาก็ห่อเหี่ยว แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีเรื่องเล่าต่อจากลุงขี้เมาคนนั้นเยอะแยะแล้วล่ะ

    หญิงสีเงินไม่ตอบอะไร นอกจากตวัดมือขวาเบื้องหน้า พลันสายลมก็บังเกิดหมุนวนในแนวขนานพื้นอย่างน่าประหลาด เมื่อนางรองมือขวาใต้สายลมนั้น วายุที่เคยหมุนวนนั้นก็หายไป เหลือเพียงแต่ดาบแห่งสายลมเล่มงามที่ค่อยๆลอยลงมาอยู่บนฝ่ามือของนางที่รับมันไว้พอดี

    เจ้ากับข้าต่างกัน...เจ้าจึงไม่ควรอยู่ที่นี่ เสียงหวานพึ่งจะตอบ หลังจากที่ดวงตาสามสีของนางละจากการมองมือขวาที่ดึงดาบออกจากฝักในมือซ้าย และหันสบกับเขา

    เคลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกล่าวออกมา ท่านเอาอะไรมาตัดสินล่ะขอรับ แต่ช่างเถอะ ในเมื่อมันเป็นความต้องการของท่าน ข้าก็ยอม

    ธาเนียขมวดคิ้วหน่อยๆ กระนั้นแล้วนางก็ไม่ได้ตอบเขา เมื่อริมฝีปากกำลังเอื้อนเอ่ยมนตรา พร้อมกับที่ใช้ดาบของนางจรดลงบนข้อมือซ้ายและปล่อยให้หยาดโลหิตหลั่งรินลงสู่พื้น

    ชายหนุ่มแทบวิ่งเข้าไปหานางแล้ว เมื่อจู่ๆนางก็กรีดข้อมือตัวเองดื้อๆ แต่สายตาที่จ้องมาก็บอกเขาไว้ว่า อย่าขยับ

    เคลได้แต่กัดฟันกรอด เขาไม่คิดว่าการที่เขาบังเอิญมาเจอที่นี่จะเป็นเหตุให้ใครสักคนได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะผู้หญิง...

    ...โดยเฉพาะนาง...

    ข้าขอโทษ... เสียงของเคลที่เปล่งออกมา ทำให้ธาเนียเลิกคิ้วขึ้นหน่อยๆ ดวงตาจ้องมองใบหน้าที่ก้มต่ำอย่างรู้สึกผิด ข้าไม่รู้ว่าการที่ข้ามาที่นี่จะทำให้ท่านต้องหลั่งเลือด

    ในตอนนั้น...หากเพียงเคลเงยหน้าขึ้นมานิด เขาก็จะได้เห็นริมฝีปากที่กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างอ่อนโยน แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนทุกอย่างจะกลับเป็นเช่นเดิม...

    หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดๆอีก ท่านราชสีห์ยังคงยืนมองอยู่ห่างๆ ความไม่พอใจเล็กๆอยู่ในสีหน้าของชายชรา เคลเพียงก้มลงมองพื้นดิน ไม่ได้ใส่ใจกับเสียงร่ายมนตร์สูงๆต่ำๆที่ไพเราะราวกับบทเพลงคนธรรพ์หรือแม้แต่อักขระมนตราสีแดงที่บัดนี้เปล่งแสงสีแดง พวยพุ่งขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนธาเนีย...นางพริ้มตาลง เหยียดสองมือสู่เบื้องหน้า มือซ้ายทาบสัมผัสใบดาบสายลมที่เหยียดขนานโลกหันคมลงสู่ผืนดินในมือขวา

    สายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน หลังเสียงร่ายมนตราหยุดลง...เคลเงยหน้าขึ้น มองหญิงสาวตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนตัวเขาจะถูกส่งกลับไป...ทุกรายละเอียดของนางเขาจะจำไว้ให้ได้ พอกลับไปก็ค่อยวาดรูปลงบนกระดาษ เก็บไว้เป็นตัวแทนของนาง

    กระนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็ยังมีหวังลึกๆเมื่อเขาพูดถามนางออกไป

    แม้ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้...แต่...ข้าจะได้เจอท่านอีกไหม

    ความหวังคงถูกทำลาย...เพราะคำตอบของนางมิมีทางเป็นอื่นแน่

    ไม่มีทางเป็นไปได้...

    เคลถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง แม้จะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม หากความผิดหวังระคนเสียใจก็กระทบใจเขาอย่างแรง

    แต่...หากพระเจ้าเมตตา เจ้าอาจได้เจอข้าอีกครั้ง

    ไม่ทันจบประโยคดี ดวงตาของชายหนุ่มก็ตวัดขึ้นมองอย่างยินดี รอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้าราวกับเด็กชายตัวน้อยๆนั้น ทำให้คนมองอดที่จะยิ้มน้อยๆตามไม่ได้

    จงอย่าบอกเรื่องราวของที่นี่หรือเรื่องราวข้ากับใคร จงปิดให้มิด อย่าให้ใครรับรู้...และข้าขอให้เจ้าโชคดีคนต่างถิ่น

    ชื่อของข้าคือ เคล ข้าอยากให้ท่านจดจำข้าตลอดไป เช่นที่ข้าจะจดจำท่านตลอดไป!

    แสงสีแดงเปล่งจ้ากว่าก่อน และทั้งร่างกำลังรู้สึกวูบๆแปลกๆ...

    เคลจึงรีบบอกชื่อของเขาอีกครั้งและบอกความในใจออกไปอย่างเร่งร้อน เมื่อความรู้สึกบอกว่า มนตราของนางกำลังจะส่งเขากลับไปแล้ว

    คิ้วเรียวเลิกขึ้นน้อยๆ และนั่นเป็นอีกครั้งที่นางยิ้มออกมา...รอยยิ้มของนางกำลังจะทำให้เขาเป็นความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว!

    เช่นกัน...ข้า...จะจำเรื่องของเจ้าตลอดไป...เคล...

    ริมฝีปากบางขยับเอื้อนเอ่ยพร้อมกับแสงสีแดงจากอักขระมนตราที่สว่างจ้าพุ่งสูงขึ้นในอากาศ บดบังรอยยิ้มสุดท้ายของธาเนียที่เขาจะได้มีโอกาสเห็น...

    เคลแทบสบถบ้า

    เมื่อครู่นางพูดว่าอะไร! ให้ตายสิ! ทำไมเขาเห็นนางขยับริมฝีปากแต่ไม่ได้ยินเสียงนางกัน! บ้าจริง!!...ข้าไม่อยากไปแล้ว!!!

     

    ท่านธาเนีย...จริงๆแล้วท่านควรจะจัดการคนต่างถิ่นเสียนะขอรับ เหตุใดท่านจึงไม่ทำ หากเขาบอกเรื่องราวของเราไป ฝ่ายที่จะแย่ก็คือพวกเรานะขอรับ

    ท่านธาเนีย หันกลับไปมองชายชราซึ่งเดินตรงมาหานางพร้อมผ้าพันแผลสีขาวสะอาดในมืออย่างเร่งร้อน

    นั่นสินะ... นางกล่าวลอยๆ แหงนหน้ามองผืนฟ้าสีครามมีปุยเมฆเล็กๆลอยเอื่อย รับรู้เพียงว่าท่านราชสีห์กำลังทำแผลที่ข้อมือของนาง

    อีกอย่าง ท่านไม่สมควรใช้ Song of Zephyr เช่นนี้นะขอรับ ท่านก็รู้ว่าบาดแผลจากดาบเล่มนี้ทำให้ไม่สามารถใช้มนตร์รักษาได้

    เคลเชื่อใจได้ ข้าคิดเช่นนั้น

    ท่านตอบผิดประเด็น ข้าไม่ได้ต้องการรู้ว่าเขาเชื่อใจได้หรือไม่ แต่ข้าต้องการรู้ว่าเหตุใดท่านจงทำผิดกฎของหมู่บ้านทั้งๆที่ท่านเองเป็นถึง นายหญิง

    นายหญิง เบือนสายตามองไปรอบๆแนวป่าสีเขียวงดงาม ก่อนดวงตาสามสีจะหรี่และปรายมองไปยังท่านผู้เฒ่า

    เหตุที่เราต่างจากคิไมร่าเพราะพวกเราพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้ เสียงของนางแข็งขึ้นและเตือนให้ชายชราตระหนักกรายๆ

    ...หากทุกอย่างจำต้องจัดการด้วยการฆ่านั่นแล้ว เผ่าพันธุ์เอลฟ์จะแตกต่างอะไรกับชนป่าเถื่อน...

    ท่านราชสีห์ชะงักมือที่กำลังทำแผลในทันที ดวงตาสีมรกตอ่อนลงเมื่อเงยขึ้นมองนายหญิงตัวน้อยๆ ก่อนเสียงทอดถอนหายใจเบาๆจะตามมา  

    แต่ท่านก็ไม่ควรเชื่อใจด้วยวิธีนี้นะขอรับ

    ดวงตาคู่งามฉายแววแปลกกว่าทุกครั้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนมันจะหายไป และหลงเหลือไว้เพียงดวงตาที่ไร้อารมณ์ใดๆเช่นเดิม...

    ...สิ่งใดๆ หรือความรู้สึกใดๆก็ตามที่อาจนำมาสู่ความหวั่นไหวของจิตใจ ย่อมต้องไม่มีในนาง...

    ...นางผู้เป็นหัวหน้าแห่งเผ่าเอลฟ์...

     


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×