เด็กชายผู้ใช้เข็มกับโลกต้องคำสาป 呪われた世界で針使いの魔少年 - นิยาย เด็กชายผู้ใช้เข็มกับโลกต้องคำสาป 呪われた世界で針使いの魔少年 : Dek-D.com - Writer
×

    เด็กชายผู้ใช้เข็มกับโลกต้องคำสาป 呪われた世界で針使いの魔少年

    เรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รักในการเย็บปักถักร้อย ความถนัดที่ดูไม่ค่อยจะเท่หรือมีประโยชน์สักเท่าไรในสายตาคนอื่น แต่เรื่องราวกลับต้องพลิกผันเมื่อวันหนึ่งเขาได้หลุดเข้าไปยังอีกโลกที่ไม่เคยรู้จัก

    ผู้เข้าชมรวม

    4,411

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    4.41K

    ความคิดเห็น


    53

    คนติดตาม


    212
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  28 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  28 ก.พ. 65 / 16:42 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


                    “ไบคิน นายช่วยเย็บเสื้อให้ฉันหน่อยสิ พอดีฉันเผลอไปทำมันขาดน่ะ”

                ชายร่างใหญ่ทรงนักกีฬาเดินตรงมาที่โต๊ะของผมด้วยท่าทางร้อนรนและส่งสายตาวิงวอนเพื่อขอความช่วยเหลือจากผม

                “หา แล้วทำไมฉันต้องเป็นคนเย็บให้นายตลอดเลยเนี่ย อันที่จริงนายไปขอให้พวกผู้หญิงคนอื่นในห้องเย็บให้ก็ได้หนิ ดีไม่ดีอาจจะได้เพิ่มความสัมพันธ์กับพวกนั้นไปในตัวด้วยนะ”

                “แบบนั้นฉันก็เขินแย่สิ นายก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องคุยกับผู้หญิงสักเท่าไร นายนั่นแหละช่วยเย็บให้ฉันที ฉันรู้ว่านายถนัดเรื่องแบบนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงตอบแทนหนึ่งมื้อเลยเป็นไง”

                ชายร่างใหญ่ยังคงยืนกรานจะให้ผมเย็บเสื้อของเขาให้ได้ ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วรับเสื้อมาอย่างช่วยไม่ได้เหมือนกับทุกๆที

                “ขอบใจนะไบคิน ถ้าเย็บเสร็จแล้วเอาไปวางไว้ใต้โต๊ะฉันได้เลยนะ ฉันขอตัวไปหาอะไรกินที่โรงอาหารก่อน นายจะฝากซื้ออะไรหรือเปล่า”

                “ไม่ล่ะ ขอบคุณ”

                “รับทราบ !

                ชายร่างใหญ่พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะรีบวิ่งลงไปยังโรงอาหารอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงอาจารย์ที่ดังแว่วขึ้นมาว่าห้ามวิ่งบนทางเดิน

                ผมชื่อไบคิน อายุ 18 ปี เป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายปีที่สาม ผมเกิดและโตที่เมืองโตเกียว เมืองหลวงที่วุ่นวายเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ เพื่อนๆในห้องผมหลายคนมาจากต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก และเหตุผลหลักๆที่ทำให้พวกนั้นยอมย้ายเข้ามาเรียนไม่ใช่เพราะว่าโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่มันดีเลิศอะไรหรอก แต่เป็นเพราะว่ามันตั้งอยู่ในย่านชิบูย่าต่างหากล่ะ มันก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กต่างจังหวัดแหละที่จะหลงใหลในแสงสีของเมืองหลวง แต่สำหรับเด็กที่เกิดและโตที่นี่อย่างผม มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย อาจจะเป็นเพราะผมอยู่มานานด้วยแหละ มันเลยไม่มีอะไรให้หวือหวาเป็นพิเศษ

                “เอาล่ะ จะหมดเวลาพักเที่ยงแล้วนะ หยิบหนังสือเรียนออกมาเตรียมตัวเรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกกันได้แล้ว”

                อาจารย์ผู้ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับสั่งให้เด็กนักเรียนทุกคนเตรียมตัวเพื่อเรียนวิชาต่อไป

                ผมเดินเอาเสื้อที่เย็บเสร็จแล้วไปวางไว้ใต้โต๊ะตามที่เพื่อนผมบอก ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเองแล้วหยิบหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ไม่นานนักเพื่อนของผมคนนั้นก็เดินกลับมาจากโรงอาหารแล้วหันมาก้มหน้าขอบคุณให้ผมครั้งนึง

                ยุคมืด หมายถึงช่วงเวลาของความเสื่อมโทรมทั้งทางวัฒนธรรมและทางสังคมในยุโรปหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน...

                เสียงอาจารย์สอนยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ แต่มันไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่น้อย เพราะผมมัวแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีบรรยากาศครึ้มราวกับว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้า

                กริ๊งก่องง

                เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก รู้ตัวอีกทีเสียงออดเลิกเรียนก็ดังขึ้นแล้ว ทุกๆคนในห้องยืนขึ้นก่อนหัวหน้าห้องจะสั่งให้ทำความเคารพอาจารย์หนึ่งครั้งเพื่อเป็นสัญญาณว่าการเรียนอันแสนน่าเบื่อในวันนี้ได้จบลงแล้ว ผมเก็บหนังสือและกล่องดินสอเข้ากระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินกลับอพาร์ทเม้นท์ที่ผมอาศัยอยู่ทันที เนื่องจากอพาร์ทเม้นท์ผมตั้งอยู่ในจุดที่ห่างไกลจากย่านดังพอสมควร ทำให้แถวที่ผมอาศัยอยู่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากเท่าไร ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่คนที่นี่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จะออกแนวอยู่ใครอยู่มันมากกว่า มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าเกิดคนที่อาศัยอยู่ข้างห้องเกิดเสียชีวิตขึ้นมาแล้วผมไม่รู้(แค่ยกตัวอย่าง) อ้อ ลืมบอกไป พ่อแม่ผมท่านทำงานอยู่ที่ต่างประเทศทั้งคู่ ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงดูผมนัก จะเอาผมไปต่างประเทศด้วยก็คงลำบากเพราะว่าเดิมทีท่านทั้งสองทำงานอยู่คนละประเทศกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ยายต้องเลี้ยงผมมาคนเดียวตั้งแต่ผมยังเด็ก ยายมักจะสอนการเย็บปักถักร้อยให้ผมเป็นประจำ ถ้าหากมีคนถามว่าความสามารถพิเศษผมคืออะไร ผมก็ตอบได้เต็มปากว่าเย็บปักถักร้อย หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันแปลกที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะมาชอบการเย็บปักถักร้อย ผมขอบอกเลยว่าผมรักการเย็บปักถักร้อยจริงๆ ไม่ได้ถูกยายบังคับแต่อย่างใด หลังจากที่ผมอายุได้ 15 ปี ผมก็ต้องพบกับข่าวร้ายที่ทำให้ผมเสียใจที่สุดในชีวิต ยายของผมได้จากผมไปอย่างสงบ ผมใช้เวลาทำใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะเริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่คนเดียวตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายปีที่ 1  เรื่องค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายต่างๆพ่อแม่ผมจะส่งกลับมาให้เป็นระยะๆ ทำให้ผมไม่ต้องไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน มันก็สบายพอสมควร....

                ตู้มมมม

                “เห้ยยย”

                จู่ๆก็มีบางสิ่งบางอย่างตกลงมาต่อหน้าต่อตาผม ผมรีบเอาแขนขึ้นมาบังตาตัวเองไว้เพื่อกันฝุ่นจากแรงระเบิดไม่ให้กระเด็นเข้าตา ทันทีที่ควันจากแรงระเบิดได้สลายหายไป ผมก็พบกับชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีเงินกำลังนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น

                “ลุง เป็นอะไรมากไหมครับ ทำใจดีๆไว้นะครับ ผมจะเรียกรถพยาบาลให้เดี๋ยวนี้แหละ”

                ผมรีบวิ่งเข้าไปหาลุงแล้วตรวจชีพจรลุงในทันที ดูเหมือนว่าลุงยังหายใจอยู่ ผมจึงใช้มือถือโทรเรียกรถพยาบาลด้วยความรีบร้อน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย แล้วลุงตกลงมาจากข้างบนได้ยังไงในเมื่อจุดที่ลุงตกลงมามันไม่มีตึกสูงๆอยู่ใกล้ๆเลย

                “เจ้าหนุ่ม ข้ามีเรื่องจะขอร้อง...”

                ลุงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

                “ลุงอย่าเพิ่งพูดเลย ทำใจดีๆไว้นะครับ เดี๋ยวรถพยาบาลจะมาแล้ว”

                “แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นแหละถ้าแกไม่ส่งลูกแก้วมาให้ฉัน”

                ผมมองขึ้นไปข้างบนตามเสียงที่ได้ยินก่อนจะพบกับเจ้าของเสียงกำลังลอยอยู่กลางอากาศ หมอนี่ใส่ชุดคลุมสีดำทั้งตัว มีสัญลักษณ์ดาวสีแดงขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางชุดคลุม

                ลอยหรอ......เห้ยยย มันจะเป็นไปได้ไงวะเนี่ย หมอนี่ลอยอยู่กลางอากาศได้ยังไง ดูยังไงมันก็ไม่น่าจะใช่มายากล หรือผมเผลอหลับในห้องเรียนแล้วกำลังฝันล่ะเนี่ย

                “แก...อย่าหวัง...”

                คุณลุงพูดได้เพียงแค่นั้นก่อนจะใช้แรงที่เหลืออยู่เอื้อมมือไปหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากข้างหลัง มันมีลักษณะเหมือนลูกแก้วทั่วๆไป แต่แปลกตรงที่มันมีสีฟ้าสดใสราวกับว่าถูกเคลือบด้วยพลังอะไรบางอย่างไว้

                “ฉันจะไม่ฆ่าแกก็ได้นะถ้าแกยอมส่งลูกแก้วนั่นมาดีๆ หึหึ”

                “รับนี่ไปเจ้าหนุ่ม....ช่วยนำมัน...ไปส่งให้ท่านเอสเทรีย...”

                ลุงนำลูกแก้วที่ว่ามาวางไว้บนมือผม ก่อนจะยิ้มให้หนึ่งที

                “เทเลพอร์ทชั่วพริบตา !!

                “เห้ยยย”

                ผมอุทานได้เพียงเท่านั้นก่อนที่ภาพตรงหน้าผมจะดับลง..



    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น