ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Porzellan [ APH แปล ]

    ลำดับตอนที่ #2 : อารัมภบท II : The Flute 100%

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 57


    อารัมภบท II : The Flute

    ปรัสเซียปล่อยกระเป๋าเดินทางตกลงบนพื้นดินชื้นอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ  ในขณะที่บรรดาข้ารับใช้ต่างก้มหน้าก้มตาเร่งรีบไปเก็บสัมภาระ หนึ่งในบรรดาแม่ทัพของเขาพยายามที่จะเปิดบทสนทนา แต่เขากลับโบกข้อมือปัดด้วยโค้งสง่างามให้ทีหนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปอย่างเงียบๆผ่านสนามหญ้า

    รองเท้าบูทของชายหนุ่มย่ำลงบนพื้นดิน ขยี้ลงบนเศษผงดินทรายใต้ฝ่าเท้าในขณะที่เขาเดินก้าวผ่านกองทหารที่เคร่งขรึมทว่าดูเหนื่อยล้า หนุ่มผมเงินถอดถุงมือออกข้างหนึ่ง ก่อนจะดึงอีกข้างตามมา แล้วจึงโยนถุงมือเปื้อนเลือดทั้งสองข้างผ่านไหล่ไปอย่างไม่แยแส อยู่ๆเขาก็เดินหยุดชะงักขึ้นมาเสียเฉยๆ พลางเอียงศีรษะเล็กน้อยในขณะที่กำลังตั้งใจฟังเสียงตามสายลม... เสียงของฟลุ้ตหนึ่งเลาที่กำลังบรรเลงเพลงดังมาแต่ไกล...

    ชายหนุ่มออกแรงเดินฝ่าเข้าไปในพุ่มไม้ประดับของสวนในพระราชวัง เขาเดินฝ่าไปอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่ดอกไม้งามตาร่วงหลงและถูกบดขยี้ขณะที่ร่างของเขาผ่าน เสียงตัวโน้ตของบทเพลงช่วยเขาลบเสียงสงครามที่ดังกึงก้องอยู่ในหูทั้งสองข้างพร้อมๆกับชักนำชายหนุ่มให้เข้าไปใกล้ต้นเสียงยิ่งขึ้น

    ปรัสเซียรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายที่ยังหลงเหลือในร่างกายอันอ่อนล้าเพราะสงครามของเขาก่อนจะออกกำลังเดินขึ้นเนินสูงข้างหน้า พลางมองลงไปยังสันเขาเล็กๆเบื้องล่าง

    ที่นั้นร่างๆหนึ่งกำลังนั่งพิงต้นวิลโลล์พลางบรรเลงเพลง  ข้างๆกันนั้นคือ สุนัขพันธุ์เกรฮาวน์ที่นอนขดตัวอยู่ไม่ห่าง กิ่งบางๆของต้นไม้โน้มลงมาจุ่มลงบนผืนน้ำนิ่งในบ่อน้ำพุ เกิดเป็นคลื่นๆวงกลมขยายกว้างออกไปรอบทิศ พลางสร้างแนวคลื่นวิ่งเข้าสู่ขอบแคบๆ ปรัสเซียแถบจะกระโจนตัววิ่งไปยังต้นไม้ ทว่าสายลมเย็นที่พัดผ่านคลอเคลียร่างของเขาทำให้จิตใจนั้นเย็นลง

    ชายหนุ่มค่อยๆเดินเข้าใกล้ต้นวิลโลล์อย่างช้าๆ ในขณะที่ดวงเนตรสีเพลิงหลี่ลงอย่างระแวงสงสัย นิ้วมือที่บรรเลงบนฟลุ้ตพลันหยุดลง เจ้าของร่างเงยหน้าขึ้นมามองประเทศที่เขาเคารพรักอย่างเป็นการทักทาย พร้อมๆกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้

    ทว่าเสียงแข็งดังเหล็กกล้าของชายหนุ่มผมเงินดังขึ้น พร้อมๆกับด้ามดาบยาวที่ถูกชักออกมาวางทาบไว้แนบคอของอีกฝ่าย

    “เจ้าเป็นใครกัน?” 

    ชายชราปัดปลายดาบออกด้วยความนุ่มนวล
     

    “ข้าคือ ฟริทซของท่าน,”

    เขากล่าวตอบ ก่อนที่รอยยิ้มบนริมฝีปากจะตกลง

    “... และข้าคิดว่าข้าไม่ได้สอนให้เจ้าใช้ความรุนแรงก่อนที่จะทำความเข้าใจกับ
    สถานการณ์อย่างเหมาะสมนะ”


    “โกหก”

    ปรัสเซียกดเสียงขู่ฟ่อ พลางกระชับด้ามดาบในมือให้แน่นยิ่งขึ้น

    “บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใครกันแน่... มิเช่นนั้นจะเป็นคอของเจ้าที่ข้าจะเฉือนทิ้ง”

    นัยน์ตาของชายชราหลี่ลง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตือน

    “กิลเบิร์ต, ใจเย็นลงเสียก่อน”

     

    ปรัสเซียหยุดชะงัก เมื่อชื่อที่ถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับหลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะพยายามกล่าวด้วยเสียงตะกุกตะกัก

    “ฟะ-ฟริทซ...”

    ประเทศที่กำลังก้าวสู่ความรุ่งเรืองทรุดลงไปคุกเข่าด้วยความละอาย ในขณะที่ดาบยาวในมือตกลงอยู่ข้างๆตัวของเขา ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับมือ

    “ข้า...ข้าขออภัย, ฝ่าบาท... ข้าไม่คิดว่าคือท่าน... ข้ามิได้ตั้งใจ-

    40%
    คุยกันนิ๊ดส์ เห็นมีรีดเดอร์บางท่านสับสนในตอนที่1... ตอนที่แล้วเป็นตอนที่บอกที่มาของชื่อ "กิลเบิร์ต" ว่าฟริทซเป็นคนตั้งให้... เป็นชื่อที่แสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณประเทศก็มีความเป็นมนุษย์ ทว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ปรัสเซียเป็นที่เกรงกลัวอย่างที่ฟริทซอยากจะให้เป็น ดังนั้นฟริทซจึงใช้ชื่อกิลเบิร์ต เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ'ความอ่อนแออย่างมนุษย์' และบอกให้เก็บซ่อนเอาไว้ อย่าบอกแก่ผู้ใดนอกเสียจากคนที่ไว้ใจ และชื่อในแผ่นกระดาษนั้นไม่ใช่ลุดวิก หรือเยอรมนี แต่เป็น 'กิลเบิร์ต'เองนั้นล่ะ!


     

    -----------------------------------(ต่อ)------------------------------------


     

    ชายหนุ่มรู้สึกถึงน้ำหนักของมืออันอ่อนโยนที่วางลงบนศีรษะของเขา กิลเบิร์ตเลิกนั้ยน์ตาสีทับทึมแดงขึ้นมามองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของกษัตริย์ชรา น้ำเสียงอ่อนโยนของเฟรดริคก็กล่าวตามมา

     

    “เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก, สหายข้า... พวกเรามิได้พบหน้ากันนานพอสมควร ในขณะที่กาลเวลานั้นดีกับเจ้า ทว่าข้าเองก็ต้องกล่าวว่าตัวข้านั้นกลับได้รับผลกระทบจากเวลาที่ล่วงเลย”

     

    ปรัสเซียยื่นมืออันสั่นเครือออกไปค่อยๆลากตามเส้นลายรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของอีกฝ่าย ในขณะที่ใบหน้าของเขาฉายแววสับสน

     

    “ข้า... ข้าไม่เข้าใจ... เกิดสิ่งใดขึ้นกับท่านกัน? เหตุใดทำไมท่านถึงกลายเป็นเช่นนี้?”

     

    ชายหนุ่มกระซิบถาม นัยน์ตาของเขากรอกไปมามองตั้งแต่เส้นผมที่กลายเป็นสีขาว ดวงตาที่หมองลงของกษัตริย์ที่สูญเสียแสงสว่างของวัยเยาว์ไปเสียแล้ว

    เฟรดริคหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะจับมือของจิตวิญญาณแห่งชาติที่แข็งแกร่งและเลือดเย็นเอาไว้ในกำมืออันอ่อนแรงของเขา

     

    “สำหรับผู้ที่ต้องพบเห็นคนมากมายในช่วงอายุที่แข็งแรงที่สุดต้องตายลงในสงครามแล้วอย่างเจ้า... ข้าเองก็ไม่แปลกใจยักถ้าเจ้าจะไม่สามารถจดจำรูปลักษณ์ของความตายที่เชื่องช้า และมิได้น่ามองนัก”

     

    ปรัสเซียผงะออกมา นัยน์ตาของชายหนุ่มพลันเปิดกว้าง ก่อนที่เขาจะกล่าวออกมาด้วยความตื่นตะหนกและหวาดกลัว

     

    “ท่านกำลังจะตาย? แต่... ได้อย่างไรกัน?” นัยน์ตาสีแดงโลหิตกวาดมองที่ตัวอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยความประหลาดใจ

    “ข้ามิได้เห็นบาดแผลใดๆบนตัวท่าน หรือได้กลิ่นของโรคภัยไม่... นี้ท่านมีเลือดออกภายในรึ?”

     

    เฟรดริคอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง พลางส่ายศีรษะด้วยความขบขัน “หากผู้ที่เห็นท่าทีของเจ้าขณะอยู่กลางสมรภูมิรบแล้วละก็...คงเป็นการยากที่พวกเขาเหล่านั้นจะเชื่อว่าทัศนะคตินอบน้อมอย่างผู้รับใช้เมื่อครู่นี้เกิดขึ้นจริงใจ”

     

    ปรัสเซียยืดตัวตรงขึ้น ริมฝีปากจะแสยะยิ้มอย่างยโส ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ขจัดแล้วถึงเสียงร้องของสงคราม “ท่านสอนให้ข้านั้นเป็นมากกว่าสิ่งที่ก่อเกิดความโกลาหล,” จิตวิณญาณแห่งประเทศกล่าวต่ออย่างโอหัง “อย่าได้คิดว่าบทเรียนเรื่องความศิวิไลซ์และอารยธรรมที่ท่านพล่ำกล่าวนั้นผ่านหูซ้ายและทะลุหูขวานะ,ฟริทซ”

     

    ดวงตาของเฟรดริคฉายแววอ่อนโยน “ไม่เลย...” เขากล่าวพึมพัมเบาๆ พลางหยิบดาบยาวที่ถูกทิ้งไว้อย่างละมัดละวัง ก่อนจะส่งมันคืนให้กับอีกฝ่าย “ไม่เลย... ข้าคิดว่าข้ายังไม่มีโอกาศเห็นเจ้ากระทำตนอย่างผู้มีอารยะ”

     

    ปรัสเซียเก็บดาบเข้าฝักด้วยความชำนาญ ก่อนที่จะเอนเข้าใกล้เพื่อจ้องมองเฟรดริค “เช่นนั้นก็บอกข้ามาเสีย,” เขากล่าวอย่างเรียกร้อง “ว่าข้าต้องทำเช่นไรถึงจะช่วยให้ท่านพ้นจากความตาย? มีผู้ใดที่ข้าจำเป็นต้องออกไล่ล่าเพื่อปลดปล่อยท่านออกจากสภาพเช่นนี้? หรือเป็นหมอที่ข้าควรเรียกหา? ข้าได้ยินมาถึงเรื่องน้ำทิพย์บางอย่างที่บอสของสเปนสั่งให้เหล่านักผจญภัยเดินทางทั่วโลกเพื่อตามหา ไม่แน่ว่าบางทีเราอาจขโมยบางส่วนมาได้... นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่าอังกฤษเองก็ล่มป่วยบ่อยครั้งจนแทบจะกล่าวหาเป็นเรื่องตลกรสนิยมแย่เสียมิได้แล้ว หรืออาจเป็น-

     

    “เจ้าหยุดมันมิได้หรอก, กิลเบิร์ต”

     

              ปรัสเซียพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “น่าขันนัก หากแต่มันไม่มีสิ่งใดที่ข้ามิอาจทำได้,” จิตวิญญาณแห่งชาติแสยะยิ้มแห่งชัยชนะ “ยิ่งเป็นตอนที่ท่านชี้นำข้าด้วยแล้ว”

     

              “... ข้ากล่าวด้วยความจริงจัง,” เฟรดริคว่าด้วยท่าทีสุขุม ก่อนที่จะโยนไม้เพื่อให้สุนัขเกรย์ฮาวนด์ที่เฝ้ารออย่างกระหายไปรับ “ยังมีศัตรูอีกมากมายนักที่แม้แต่เจ้าเองก็มิอาจที่จะเอาชนะได้... และนี่ก็คือหนึ่งในนั้น”

     

              ปรัสเซียปิดปากเงียบลงด้วยความกังวล นิ้วมือของเขาพลางหยิบดึงเอาเศษใบหญ้าขึ้นมาก่อนจะสร้างเป็นกองไว้ตรงหน้า “เช่นนั้น ข้าเองก็...” เขากลืนน้ำลายลงอย่างฝืดๆ สายตาพลันหลุบต่ำลง “ข้าเองก็จะต้อง-

     

              “หาได้ไม่,” เฟรดริคกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนจะบรรจงเก็บฟลุ้ทนั้นลงในกล่อง “อย่างน้อยก็ไม่ใช่อย่างที่พวกข้าเป็น, กาลเวลาของเจ้านั้นไหลผ่านต่างจากข้า”

     

              กระนั้นจิตวิณญาณแห่งชาติก็ยังคงเงียบนิ่ง พลางกระชากเอาต้นหญ้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระวนกระวายที่ก่อตัวขึ้นก่อนจะปะทุ “ท่านกล่าวอะไรกัน? ว่าข้านั้นจะอยู่มั่นคงเช่นนี้ชั่วนิรันดร์? ไม่เปลี่ยนแปลง... ไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่ท่าน... ฟริทซ...” ชายหนุ่มใช้มืออันอ่อนล้าและหยาบกร้านถูเปลือกตาของเขาไปมา

     

              “มันมีสิ่งๆหนึ่งที่จะทำให้เจ้านั้นเปลี่ยน และสามารถทำให้เจ้าหายไปอย่างพวกข้าได้” เฟรดริคกล่าวด้วยเสียงค่อย สายตาพลางทอดมองไปยังบ่อน้ำพุ “... ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เป็นอย่างเจ้าได้ครอบครองอำนาจเหนือเจ้า และรับรู้ถึงอีกชื่อหนึ่งของเจ้า...” เฟรดริคถอนหายใจออกมา “เจ้าเก็บมันไว้กับตัว...เก็บมันไว้เป็นความลับรึไม่?”

     

              ปรัสเซียผยักหน้ารับ มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นมาทาบไว้ยังอก “เก็บไว้กับตัวข้าตลอดเวลา,” เขากล่าวอย่างจริงจัง ชายหนึ่งเงยหาขึ้นก่อนจะมองไปยังพระราชาด้วยสีหน้าสงสัย ผู้อื่นที่เป็นเช่นข้า... ท่านหมายถึง ฝรั่งเศส, อังกฤษ... หนึ่งในคนพวกนั้นสามารถที่จะทำให้ข้า...ปรัสเซียหยุดพุดเสียดื่อๆ ก่อนจะหยิบไม้ที่สุนัขเกรย์ฮาวนด์คาบมาวางไว้ขึ้น แล้วจึงเหวียงมันอย่างโมโหตกลงไปยังกลางสระน้ำ พลางเมินสายตาโศกเศร้าของสุนัขที่มองมายังเขา

     

              เฟรดริคส่ายศีรษะอย่างไม่ค่อยพอใจนัก พลางทำสีหน้าบึ้งตึงไปยังชายหนุ่ม ทำให้อีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะหน้าขึ้นสีอย่างระอาย พระราชาสูงอายุถอนหายใจเบาๆ “ไม่ใช่ใครก็ได้ในพวกเขา... พวกนั้นไม่สามารถลบเจ้าออกไปได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่ทำได้นั้นมีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ครองพลังนั้นอยู่... ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นเพียงแค่ความคิด...และมันก็จะยังไม่แสดงผลในชั่วอายุขัยของข้า ทว่าบางที...”

     

              “ความคิด,” ปรัสเซียกล่าวอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีพลอยแดงเพ็งไปยังด้านข้างก่อนจะจ้องไปยังหลังต้นวิลโลว์ “เช่นนั้นความคิดที่ท่านว่ามีหน้าตาเช่นไรกัน?”

     

              เฟรดริคกระพริบตาอย่างสับสน, “หน้าตา? กิลเบิร์ต, ความคิดนั้นหาได้มี-

     

              “มันเป็นเด็กใช่รึไม่?” ปรัสเซียกล่าวอย่างขมขื่น พลางบัดกองเศษหญ้าตรงหน้าเขาอย่างโมโหโกธา “เป็นเด็กที่มีผมสีบลอนทอง และนัยน์ตาสีฟ้า”

     

              เฟรดริคขยับตัวพลางใช้มือคว้าเอาต้นแขนของปรัสเซียไว้ก่อนจะออกแรงบีบด้วยพละกำลังที่ไม่ได้รับกับอายุอันสูงวัยของเขา “เด็กนั้น...” เขากล่าวด้วยเสียงเข้ม “เด็กผมทองนั้น... เจ้ามองเห็นเขางั้นรึ?”

     

              นัยน์ตาของปรัสเซียเปิดกว้าง ก่อนที่เขาจะผยักหน้าอย่างลังเล “ขอรับ...”

     

              “เช่นนั้นเจ้าเห็นเขาจากไหนกัน? ในสนามรบ? หรือที่ออสเตรีย?” ชายชราออกแรงบีบที่มือมากขึ้น ทำให้ปรัสเซียอดไม่ได้ที่จะนิ้วหน้าเล้กน้อย ก่อนที่เขาจะตอบกลับ “มะ..ไม่ใช่...”

     

              เฟรดริคเขย่าตัวชายหนุ่มเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่ไหนกัน?”

              ปรัสเซียยกนิ้วมือที่สั่นเทาขึ้นก่อนจะชี้ไปยังต้นวิลโลว์ “ตะ..ตรงนั้น,” เขากล่าวอย่างอ่อนล้า “เด็กนั้นไปอยู่ข้างๆต้นไม้แล้ว มันเพิ่งจะโพล่ออกมาตอนที่ท่านกำลังพูด”

     

              เฟรดริครีบหันตามไปมองอต่ก็เห็นเพียงแค่สีฟ้าแว็บหนึ่งเท่านั้นเมื่อมันได้หลบไปยังด้านหลังของต้นวิลโลว์ เขาตัดสินใจที่จะลุกขึ้นตาม ทว่าปรัสเซียกลับจับแขนเสื้อเขาไว้ พลางส่ายศีรษะ

     

              “มันไม่ทันแล้ว, ฟริทซ” จิตวิญญาณแห่งประเทศกล่าว พลางปล่อยแขนเสื้อในมือเขาออกอย่างขวยเขิน “เขาไปแล้ว”

     

              เฟรดริคถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอนหลังพิงต้นไม้ พลางดึงปรัสเซียให้เข้ามาใกล้ขึ้น “เจ้าเห็นเขาบ่อยนักรึ?” เขาถามเงียบๆ พลางจับจิตวิญญาณแห่งประเทศไว้คล้ายกับหวาดกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไปต่อหน้าต่อตา

     

              ปรัสเซียพยักหน้า ย่นจมูกเล็กน้อยเมื่อเขาไม่ชอบนักกับการอยู่ใกล้ๆกับผู้อื่น ทว่าเขากลับปิดปากเงียบ “ใช่แล้ว,” เขากล่าว นัยน์ตาสีแดงส่อประกายคล้ายโลหิตอยู่ครู่หนึ่ง “มีหลายคราที่ข้าพยายามใช้อาวุธต่างๆเพื่อไล่มันไป แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังดื้อด้านกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า” อาณาจักรหนุ่มมองเฟรดริคลึกเข้าไปในดวงเนตร “บอกข้าทีเถอะ,” เขากล่าว พร้อมด้วยเสียงแห่งสงครามที่เขาชื่นชอบแทรกเข้ามาในน้ำเสียงนุ่ม “บอกข้าว่าทำเช่นไรถึงจะฆ่ามันได้”

     

              เฟรดริคยกมือขึ้นลูบเส้นผมสีเงิน “ข้าเกรงว่า,” เขาเอ่ยพึมพำ “นี้เองก็เป็นอีกศัตรูหนึ่งที่เจ้ามิอาจมีชัยเหนือได้”

             

              ปรัสเซียแสะปากขู่ “เช่นนั้นแล้วศัตรูที่มิอาจทำร้ายได้นี้มีนามหรือไม่? หรือว่าข้าจะต้องทำเป็นตัวสั่นด้วยความกลัวทุกครั้งที่มันโผล่ออกมา?”

     

              เฟรดริคลุกขึ้นยืน ก่อนจะฉุดให้อาณาจักรหนุ่มขึ้นมาตามเขาด้วย เขาผิวปากเรียกสุนัขเกรย์ฮาวนด์ สุนัขพศเมียวิ่งมายื่นข้างกษัตริย์ชราอย่างเชื่อฟัง ในขณะที่ปรัสเซียยื่นตรงนิ่งพลางกอดอกไว้อย่างมั่นคง เฟรดริคเก็บกล่องฟลุ้ทขึ้นมาพร้อมๆกับจดหมายล่าสุดจากบ้านของฝรั่งเศส ก่อนจะเดินช้าขึ้นไปยังเนิน

     

              “ฮะ..เฮ้! ฟริทซ!” ปรัสเซียร้องตามเขา ก่อนจะรีบออกตัวตามให้ทันพระราชา “ฟริทซ, ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย! บอกชื่อของมันมาซะ!

     

              ทว่าเฟรดริคกลับเดินก้าวเท้าต่อไปพลางกำจดหมายในมือเขาแน่น “แล้วเจ้าจะตอบคำถามนี้เช่นไร, สหายข้า?” เขากระซิบตอบ พลางหันหลังกลับมาเพื่อมองปรัสเซียที่พยายามปัดสุนัขเกรย์ฮาวนด์ขี้เล่นออกให้พ้นทาง เมื่อเขาพยายามที่จะเดินขึ้นเนินตามพระราชา ชายชราเผยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะพำพัมเสียงเบา “ด้วยปรัชญาทั้งหมดที่เจ้าศึกษามา บอกข้าทีว่าเจ้าจักบอกแก่เด็กน้อยนั้นเช่นไร ว่ามันเป็นหน้าในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีผู้ใดใส่ใจที่เขาต้องสู้รบด้วย?”

     

              ชายชรายืนนิ่งเพื่อให้อาณาจักรหนุ่มเดินตามเขาทัน สิ่งที่ตามมากับเขาด้วยนั้นคือกลิ่นของฝนใหม่ในฤดูร้อน ปรัสเซียหอบหายใจพักหนึ่ง ก่อนจะส่งสายตาคมกริบอย่างอยากที่จะฆาตรกรรมไปยังสุนัขเกรย์ฮาวนด์ที่นั่งข้างๆเขาอย่างเรียบร้อย “เจ้างี่เง่านี้จงใจขัดขาข้าชัดๆ,” เขาประกาศก่อนจะหันความสนใจไปยังเฟรดริคแทน “ทีนี้บอกข้าชื่อของเด็กนั้นซะทีเถอะ, ฟริทซ!

     

              เฟรดริคส่ายหน้า พลางกวักมือเรียกปรัสเซียให้เดินตาม “ข้าไม่รู้ชื่อของเขาหรอก,” เขาเอ่ยเสียงเบา “ทว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าพอจะนึกได้เพื่อเรียกแทนตัวเขา... แทนที่ชื่อนั้น”

     

              “เช่นนั้นละ” ปรัสเซียกล่าวเสียงแข็ง ความอดทนที่ลดลงฮวบฮาบของเขาทำให้ลมร้อนของฤดูพลันเย็นเสียขึ้นมาแทบจะทันที “บอกข้าซะทีสิ!

     

              ใบหน้าของเฟรดริคฉายแววเคร่งเครียดเมื่อเขาเดินไปยังเนินสูง “กิลเบิร์ต...” เขาทอดมองไปยังตัวพระราชวัง และยังสิ่งที่เขารักและผูกพัน... มองไปยังตัวของอาณาจักรปรัสเซียเอง

     

              “เด็กนั้น...” เขาหลุบตาหลบ ก่อนจะมองไปยังฝั่งตะวันตก น้ำเสียงของเขาเบาทว่าเข้มขรึมนักเมื่อเขากล่าวด้วยวาจาฉะฉาน


    “เด็กนั้นคือน้องชายของเจ้า”



     

    100%

    ฟิคนี้จะต่างกับฟิคส่วนใหญ่ตรงที่ว่า กิลไม่ได้รักและผูกพันกับลุดตั้งแต่แรกเห็น... และลุดไม่ได้ทำให้กิลนึกถึงเจอร์วิค

    ใครที่อ่านตอนนี้แล้วแอบงง คงเป็นเพราะภาษาของไรท์เอง... พยายามแปลให้ตรงต้นฉบับมากที่สุดแล้ว แต่มันยากจริงๆ (ด้อยฝีมือนั้นเอง) บทนี้คือเฟรดริคพูดในเชิงปรัชญาเยอะ และก็เป็นปกติของงานเขียนฝรั่งที่มักเปรียบความรู้สึก/สิ่งไม่มีชีวิต/ความตาย เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิต ซึ่งต่างจากภาษาไทยดังนั้นเวลาอ่านเลยอาจทำให้งงได้

    ถ้างงตรงไหนคอมเม้นบอกไรท์ได้นะ เดี่ยวไรท์จะอธิบายให้... จริงๆแล้วเรื่องนี้ก็แอบเข้าใจยาก เพราะไรท์เองก็ต้องอ่าน 2รอบถึงเข้าใจหมด... ทุกจุดในเรื่องส่งผลไปยังบทหลังๆด้วย ดังนั้นถ้าอ่านไม่มีอาจผ่านจุดเหล่านั้นไป... อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้โคลงเรื่องดีมาก เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เซธอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก J

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×