ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [ตอนพิเศษ] ที่หมู่บ้านกลางป่า
[นี่เป็นเรื่องแต่ง บุคคลในเรื่องไม่มีอยู่จริง]
[โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะขอรับ]
[ภาษาที่ใช้บางคำในการสนทนาเป็นภาษาที่ใช้พูดคุยกันในสมัยก่อน หากต้องการให้เปลี่ยนคำ ทางผู้เขียนจะพยายามหาคำอื่นมาแทนให้ดีขึ้นขอรับ ]
ย้อนกลับไปในยุคที่มนุษย์ยังนับถือสิ่งมหัศจรรย์ที่วิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ ในคืนพระจันทร์สีแดงผู้คนต่างหมกมุ่นชลมุนกันมากกับการมาเกิดใหม่ของเด็กหญิงคนหนึ่ง
“หายใจเข้าลึกๆนะ ช้าๆ เอ้า 1...2...“แม่หมอประจำหมู่บ้านพูดให้กำลังใจกับผู้เป็นแม่ที่กำลังจะคลอดธิดาตัวน้อยออกมา ชาวบ้านพากันมาลุ้นกันถึงหน้าบ้านของหญิงตั้งครรภ์
“อีกนิด อีกนิด อีกนิด และ...“
“อุแว้! อุแว้!“เสียงเด็กน้อยทำให้ทั้งผู้เป็นแม่และแม่หมอยิ้มจนปากค้าง
“อีลำยวน อีมะเขือไปเอาผ้ามาหน่อย เอาน้ำสะอาดๆมาด้วย ลูกสาว! ได้ลูกสาวจ้า!“
“จริงรึ?! ลูกสาวข้า!“เมื่อแม่หมอทำความสะอาดและห่อผ้าเพื่อความอบอุ่นเด็กน้อยเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อก็เข้ามาอุ้มลูกสาวของเขา รอยยิ้มที่ไม่สามารถหุบได้และความสุขที่ไม่มีวันหายนี้ก็จะอยู่เป็นความทรงจำที่วิเศษที่สุดของเขา
“ลูกสาวคนสวยของพ่อ ไม่ต้องห่วงนะเจ้าจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดี เจ้าจะเป็นเด็กดีของพ่อแม่ ลูกสาวคนสวยของพ่อ“เขากอดลูกสาวของเขาอย่างอบอุ่น ผู้เป็นพ่อพาลูกสาวให้เจอหน้ากับผู้เป็นแม่ ถึงแม้ว่าผู้เป็นแม่จะเหนื่อยล้าแต่ก็ยิ้มด้วยความสุขที่แท้จริง จูบเบาๆบนหัวของลูกสาวแล้วพ้อยหลับไป
“มาๆ ให้แม่เขาพักก่อน ให้ข้าทำนายและอวยพรเด็กสาวหน่อยเร็ว“แม่หมอทักขึ้น ชาวบ้านพากันดีใจกับการมาถึงใหม่ของสมาชิกใหม่ในหมู่บ้าน มีการนับญาติเลียงลำดัยกันรอเลยทีเดียว พวกเขาช่วยกันขนเครื่องรางและอุปกรณ์ทำพิธีต่างๆเข้ามาในตัวบ้าน จัดวางข้าวของเรียบร้อยแล้วนำเด็กน้อยที่กำลังหลับไว้ตรงกลางเขตวงกลมเล็กๆที่มีรวดลายอักขระบางอย่างเขียนเต็มไปหมด มีเส้นด้ายพันกันไปทั่วห้องและทั่วตัวเด็ก แม่หมอเดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องรางทำพิธี
“เอาล่ะๆ จะได้เริ่มพิธีกันล่ะนะ ใครที่จะมาดูก็ให้ดูขอบๆ อย่าเข้ามาในเขตเด็ดขาด อย่าเอาอะไรเข้าไปในเขตด้วย“จากนั้นแม่หมอก็เริ่มสวดมนต์บางอย่างไม่เป็นทำนอง ทุกคนก็เงียบฟังอยู่ในความสงบจนเสียงนั้นก้องกังวาลไปทั่ว
เมื่อเวลาย่างเข้าเที่ยงคืน ดวงจันทร์สีแดงฉายแสงทันทีอยู่ๆท้องฟ้าก็โปร่งขึ้นมาทำให้บริเวณโดยรอบสะท้อนแสงสีแดงจนเหมือนเรืองแสงได้ ผู้คนต่างตกตะลึงกับปรากฏการณ์นี้ และแล้วในเขตอาคมนั้น ก็ปรากฏหญิงสาวเดินออกมาจากด้านหลังของแม่หมอ หญิงสาวคนนี้มองไปยังเด็กน้อยแล้วถอนหายใจ
“โถ่เอ๋ย....เจ้าไม่ได้ผิดหรอกนะ แต่พวกเขาต่างหากล่ะที่ผิด“
“เอาเยี่ยงนี้แล้วกัน ข้าจะให้ความสามารถพิเศษแก่เจ้า เป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าจะมอบให้ก็แล้วกัน และขอให้เจ้าโชคดี“หญิงสาวหายไปราวกับเป็นกลุ่มสสารของแก๊ส จากนั้นแสงสีแดงก็หายไป ดวงจันทร์กลับกลายมาเป็นปรกติ
“เสร็จพิธีแล้ว พวกข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่“แม่หมอกล่าวคำลา
“ข้าต้องขอขอบคุณพวกท่านมากนะ“จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็แยกย้ายกัน
“ไหนลูกพ่อหลับแล้วรึ ขอพ่อชมลูกก่อนนอนหน่อยสิ“เมื่อผู้เป็นพ่อพูดดังนั้น เด็กน้อยก็ลืมตาขึ้น ทำให้ผู้เป็นพ่อตกใจจนเกือบทำลูกสาวของตนหลุดมือไป ดวงตาสีแดงก่ำของเด็กน้อยเหมือนกับจันทร์สีแดงในคืนนี้ เขาจึงวิ่งไปถามถึงบ้านของแม่หมอและร้องถามถึงสาเหตุที่ดวงตาของเธอเปลี่ยนไป แม่หมอก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ท่านเทพีเขามอบของขวัญให้ลูกสาว่านมีดวงตาดั่งทัพทิมที่สวยงาม ท่านไม่ต้องเป็นกังวลอะไรไปหรอก“
เช้าวันต่อมา ผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงพึมพำมาจากท้ายหมู่บ้านจึงฝากผู้เป็นแม่ดูแลลูกสาวและเดินออกไปดู ชาวบ้านต่างมุงกันอยู่ที่บ้านของป้าสมศรี ทุกคนต่างทำหน้าเศร้าเมื่อรู้ข่าวว่าป้าสมศรีเสียชีวิตแล้ว สภาพของผู้ตายอยู่ในสภาพคว่ำหน้าอยู่กลางบ้าน มีรอยขีดข่วนเต็มไปหมดคล้ายของมีคมกลีดไปทั่ว เลือดอาบนองกระจายเต็มพื้น ผู้ใหญ่บ้านจึงเรียกประชุดด่วน เรื่องราวแบบนี้เพิ่งเคยเกิดครั้งแรกในหมู่บ้านของเรา
“ช่วยอยู่ในความสงบด้วย ที่เรียกมาประชุมในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับป้าสมศรี เราต่างก็รู้กันอยู่ว่าป้าสมศรีเป็นคนดี มีน้ำใจ หมู่บ้านของเราก็เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆกลางป่าแห่งนี้ มีสมาชิกกันอยู่แค่นี้ ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี นี่อาจจะเป็นฝีมือของพวกโจรป่ามากกว่า....“
“แต่สภาพผู้ตายมีรอยแบบนี้เต็มไปหมดเลยนะ ต้องเป็นฝีมือของเสือแน่นอน“ชาวบ้านคนหนึ่งแย้งขึ้นมา
“...เราก็ยังไม้รู้แน่ชัด เอาเป็นว่าให้พวกเราระวังๆตัวไว้ก่อน ใครเห็นอะไรผิดปรกติก็ช่วยๆกันบอกให้รู้ก็แล้วกัน ข้าจะยื่นเรื่องเข้าไปในเมืองให้เบื้องบนช่วยแก้ไขให้อีกที“
วันต่อๆมาหลังจากนั้นก็มีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตไปทีละคนๆ จนชาวบ้านเริ่มสงสัยว่าเป็นฝีมือของเด็กน้อยหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีข้อเท็จจริงที่แน่ชัดมากนัก จนกลายเป็นข้อประท้วงกันว่าบ้านฝั่งตะวันออกและบ้านฝั่งตะวันตกว่าอยากจะแบ่งเขตแดนกันเลยก่อเรื่องขึ้นมา มีการทะเลาะกันอยู่บ่อยๆแต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการตายมาพักใหญ่เช่นกัน
เมื่อเด็กน้อยเติบโตขึ้น ไม่ว่าสังคมสภาพแวดล้อมในหมู่บ้านจะเลวร้ายหรือน่าอึดอัดสักแค่ไหน แต่เธอก็เป็นเด็กที่ดี ไม่เคยเกเร ไม่พูดไม่สุภาพ และไม่มีใครทำอะไรไม่ดีกับเธอเลย
“พ่อจ๋า...ทำไมหมู่บ้านเราถึงเป็นแบบนี้ล่ะจ๊ะ“
“มันนานมาแล้วล่ะลูก...ลูกไปช่วยแม่เขาทำอาหารหน่อยไม่ดีหรือ? อย่าไปใส่ใจกับเรื่องนี้เลย“
“ได้จ่ะ พ่อจ๋า“เด็กน้อยเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อและแม่ตัวเอง ดังนั้นเพื่อนของเธอก็มีไม่มากนัก
“ไอ้วิท ข้ามาลองคิดดูแล้ว เรื่องทั้งหมดนี่มันเกิดขึ้นเป็นเพราะไอ้เด็กนั่นคนเดียว“
“...เออเนาะ เรื่องทั้งหมดเกิดมาพร้อมไอ้เด็กนั่น พอเกิดมาปุ๊บ! ก็เกิดเรื่องปั๊ป!“
“งั้นถ้าเราฆ่านังนั่น ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปรกติสินะ“
“มันจะดีรึ?“
“ไม่ลองก็ไม่รู้ล่ะจริงไหม?“ชาวบ้านที่คิดแบบเดียวกันก็เริ่มก่อตัวเป็นกลุ่มรวมตัวกันไปยังบ้านของเด็กสาวในคืนนั้น แสงไฟจากคบเพลิงมากมายเต็มหน้าบ้านของเด็กสาว
“ออกมา! ออกมาสิ! นังปีศาจ! เพราะแก หมู่บ้านนี้เลยเกิดเรื่องบ้าๆขึ้นแบบนี้! ถ้าแกไม่ออกมาพวกข้าจะเผาบ้านแกแล้วนะโว้ย!“
“ลูกพ่อไม่ต้องกลัวนะ อยู่กับแม่ไว้แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น“
“ลูกไม่ต้องกลัวนะ แม่อยู่นี่แล้ว....แม่อยู่แล้วนะ“ผู้เป็นแม่กอดลูกสาวตัวน้อยของเธอ ขณะที่ผู้เป็นพ่อเดินออกไปเจรจากับชาวบ้าน
“ได้โปรดเถอะพวกท่าน นี่มันเป็นการเข้าใจผิดเป็นแน่ ได้โปรด! อย่า! อย่าเข้าไป! ไว้ชีวิตลูกสาวข้าเถอะ! ไม่!“ผู้เป็นพ่อร้องขอ เขาถูกจับตัวเอาไว้ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านและผู้คนอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปเอาตัวเด็กน้อยออกมา
ปึก! ประตูได้ถูกกระแทกจนหลุดออกมา
“พ่อจ๋า! อย่าทำอะไรพ่อจ๋านะ! อยากได้ตัวหนูนักใช่ไหม มาเอาไปเลยสิจ๊ะ! แต่อย่าทำร้ายพ่อจ๋า แม่จ๋าเลยนะจ๊ะ! หนูขอร้องล่ะจ่ะ!“เด็กน้อยวิ่งออกมาไหว้ผู้ใหญ่บ้าน น้ำตาที่ไหลออกมาทำเอาผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอยิ่งโกธรไปใหญ่
“ดี! เอาตัวมันไปเผาทั้งเป็น จะได้รู้กันว่ามันเป็นฝีมือของใครกันแน่“จากนั้นพวกเขาก็มัดเด็กสาวติดกับกองฟืนขนาดใหญ่ เตรียมจุดไฟ
“ไม่!!! ลูกแม่! ไม่! อย่านะ! ข้าเป็นคนทำเอง! ข้าเป็นคนทำเอง! เผาข้าสิ!“ผู้เป็นแม่แก้ตัวให้กับลูกสาว เธอได้แต่ยืนร้องไห้ดูลูกสาวของเธอโดนไฟเผาไปอย่างนั้น เธอพยายามจะเข้าไปหาตัวลูก แต่ชาวบ้านก็กันตัวเธอเอาไว้ เด็กสาวที่โดนไฟเผาเองก็ไม่ส่งเสียงความเจ็ยปวดใดๆออกมา ด้วยความเป็นห่วงบิดา มารดาของตน กลัวว่าหากพวกเขาได้ยินเสียงเหล่านั้นแล้ว จะเกิดความกังวลขึ้นมา
“ปล่อยลูกข้านะ! ปล่อย!“
กองไฟรุกโชนทั่วตัวของเธอจนมิด ความดีใจ ความเศร้าโศกและความอนาถจิตได้เกิดขึ้นปนกันไปในเวลาเดียวกัน แต่ทันใดนั้น ในกองไฟก็ปรากฏเงาของเด็กน้อยที่ค่อยๆเดินออกมาจากกองไฟ เธอไม่โดนไฟเผาไปเลยแม้แต่น้อย ผู้คนต่างแตกตื่นกันขึ้นมา เด็กสาวเดินไปยืนอยู่หน้ากองไฟแล้วลืมตาขึ้น ตาของเธอเป็นสีแดงก่ำยิ่งกว่าที่เคยเป็น
“มันยังไม่ตาย! ใช้มีดแทงมันเลย!“ผู้ใหญ่บ้านพูด
“หุบปากไอ้ฆาตกร เป็นแกเองไม่ใช่รึ ที่ทำเรื่องน่าเกลียดแบบนี้ แถมยังลอยนวลไปอีกต่างหาก ไอ้ชาวบ้านพวกนี้ก็โง่! เชื่อคนผิดที่มีอำนาจ! ไม่ลองหาสาเหตุที่แท้จริงกันบ้างเลย ข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าเป็นแก แต่ก็ยังไว้หน้าให้ไม่พูดอะไร แกมาหาเรื่องเองนะ อย่าหาว่าไม่เตือน!“เด็กสาวพูดตะคอกใส่ผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนตกใจและสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงของเธอฟังดูแล้วไม่คล้ายกับเสียงเด็กเลย มิหนำซ้ำยังฟังดูมีพลังอำนาจซะมากกว่า เด็กสาวที่เผาแล้วไม่เป็นอะไร แถมยังเดินออกจากองไฟ,พูดในกริยาที่โมโหยิ่ง
“ดีล่ะ ในเมื่อหมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยคนบาป แบบนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะปกป้องพวกท่านจากเหล่าวิญญาณร้ายแล้ว ฮิๆ พวกท่านจงสนุกไปกับค่ำคืนสีเลือดไปเถอะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ“
บรรยากาสรอบข้างก็เปลี่ยนไปเป็นสีเลือด กองไฟลุกโชนลามปลิวไปติดกับบ้านหลังใกล้ๆและเริ่มติดไปเรื่อยๆ
“บ้านข้า! บ้านของข้า! กรี๊ดดด“ผู้คนต่างวิ่งชลมุนไปคนละทิศคนละทาง บ้างก็วิ่งหนีเอาตัวรอด บ้างก็โดนไฟคลอบทั้งเป็น เด็กสาวยืนหัวเราะกับสิ่งต่างๆ ผู้ใหญ่บ้านที่เป็นตัวต้นเหตุยืนสั่นทำอะไรไม่ถูก
“ข้าอุส่าช่วยเด็กนี่มาตั้งแต่นางเกิด ให้รอดจากเนื้อมือของแกเนี่ยแหละ แต่ก็ยังมาหาเรื่องกันอีก แค่ชีวิตเด็กตัวเล็กๆแกก็ยังจะเอาไปอีกงั้นรึ“เด็กน้อยตะคอกใส่ผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง ทำให้ทุกคนย้อนกลับไปคิดถึงเมื่อตอนที่เธอเกิดขึ้นมา คำอวยพรของท่านหญิงที่ให้เด็กน้อยคือการต่ออายุของเธอให้พ้นจากน้ำมือของฆาตกร ผู้เป็นพ่อและแม่วิ่งเข้ามาโอบกอดลูกสาวของตนเองและร้องไห้ออกมาด้วยความสับสน
“โฮ ลูกแม่ ลูกไม่เป็นอะไรนะ โฮ“
“ลูกยังไม่ตายจริงๆใช่ไหม“
“ข้าตายแล้วจ่ะ ร่างของข้าโดนเผาไหม้ไปแล้ว นี่เป็นร่างวิเศษจากท่านหญิงที่ให้ข้ามา“เมื่อฟังเช่นนั้นแล้วผู้เป็นพ่อและแม่ก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาหยดนี้ได้
“แล้วต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรรึจ๊ะ ลูกรัก“
“พ่อจ๋า แม่จ๋า จะอนุญาตไหมจ๊ะ ถ้าข้าขอเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ แม้ว่าในตอนสุดท้ายจะเหลือตัวข้าเพียงคนเดียว ที่จะต้องทำหน้าที่ของท่านหญิงต่อ“ พวกเขามองหน้ากัน โอบกอดสุดท้ายนี้จะจารึกในใจของเด็กสาวตลอดไป
“ไม่ต้องห่วงนะ เราจะอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย เรารักลูกนะจ๊ะ“พวกเขาหอมแก้มลูกสาวของตนอีกครั้ง
“ข้าก็รักพวกท่านนะจ๊ะ“เมื่อเด็กสาวโอบกอดบิดา มารดา เธอก็เริ่มเผาหมู่บ้านแห่งนี้ให้หมดจนไม่เหลือชิ้นดี
ไฟได้ดับลงไปแล้ว พร้อมกับหยดน้ำจากฟากฟ้าที่กระหน่ำลงมาเหมือนจิตใจของเด็กน้อย เธอนั่งกอดเข่าใต้ต้นไม้ที่มอดไหม้ มองดูทุกอย่างหายไปกับสายฝน เศษขี้เท้าละเอียดจนหลุดลอยไปกับทางน้ำ
“ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่พวกท่านด้วย“
“สุดท้ายแล้วก็เหลือแต่ข้าสินะ ที่ต้องเฝ้ามองพวกท่านจากไป“เด็กสาวนั่งกอดเข่าให้ฝนตกใส่ เธอเพียงหวังว่าหยดน้ำเหล่านั้นจะพัดความรู้สึกของเธอออกไปด้วยเช่นกัน
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในบริเวณนั้น วันหนึ่งมีหมู่คณะของคนงานกลุ่มหนึ่งเดินทางมาสำรวจพื้นที่ตัดหญ้าและต้นไม้บริเวณรอบๆหายไป เด็กสาวที่เห็นโลกใบใหม่ของเธอก็ตอนนั้นว่าโลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว สิ่งปลูกสร้างทรงสี่เหลี่ยมสีสันแปลกตาตั้งอยู่เต็ม 2 ข้างทางสีดำๆ ที่มีก้อนวัตถุต่างๆวิ่งเล่นไปมา เสียงประหลาดๆดังเต็มไปหมด เด็กสาวตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่เหล่านั้น พอมองไปบนฟ้าวัตถุ 2 แขนบินไปมาเหนือชั้นเมฆ
“นี่มันอะไรกันนะ ยุคสมัยใหม่งั้นหรือ?“ หมู่คณะของคนพวกนั้นเริ่มวางแผนทำโครงการอะไรสักอย่าง (ตัวหนังสือแบบนี้มันอะไรกันนะ แต่ก็มีความคล้ายกันกับภาษาของเราอยู่บ้าง คนพวกนี้แต่งตัวตลกจัง ฮะๆ ) เด็กสาวลอยไปมาในบริเวณนั้น
“ตรงนี้ใช่ไหมครับ?“
“ใช่ค่ะ ตรงนี้จะเป็นโรงอาหาร ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นตึกเรียน และตรงนั้นก็เป็นสนามกีฬาค่ะ“
โรงเรียนที่จะตั้งแห่งนี้มีความสวยงามเอามากๆ ข้าเองก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า“โรงเรียน“เช่นกัน ข้ายอมให้พวกเขาสร้างมันจนเสร็จ มีสิ่งแปลกตามากมายที่ข้าไม่เคยเห็นและจะได้ลองสัมผัสในเร็วๆนี้
“นักเรียนเคารพ“
“สวัสดีครับ/ค่ะ“นี่เรียกว่า“ห้องเรียน“ ก็เป็นที่ๆข้าจะแอบมาเรียนหนังสือด้วย ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นศูนย์รวมของเด็กๆมากมาย พวกเขามาเรียนหนังสือ มาเล่น มาพูดคุยกัน กิจกรรมต่างๆเริ่มขึ้นจากที่นี่ ถึงจะเสียงดังไปหน่อยแต่นี่ก็เตือนให้ข้ารู้ ว่าข้าจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่.. พวกเขาคงมองไม่เห็นข้าเป็นแน่ ถึงจะพูดไปสนุกก็เถอะ
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือ“ผู้อำนวยการ“สินะ อืม...เธอกำลังวางแผนสร้างเรือนไม้เล็กๆอยู่ตรงนั้น
“ถ้าเสร็จเมื่อไหร่จะให้มาอยู่ที่นี่ประจำเลยนะ“ เธอพูดกับข้าอยู่หรือ? หันซ้ายขวาก็ไม่มีผู้ใดอยู่บริเวณนี้
“ฮะๆ เราพูดกับเธอนั่นแหละ ดูเหมือนเธอจะตื่นเต้นกับโรงเรียนที่เราบริหารอยู่นะ“
"จ๊ะ?! เจ้าหมายถึงข้ารึจ๊ะ!?"
"ใช่แล้วล่ะ เรือนไม้นี่เป็นของเธอนะ ถ้าสร้างเสร็จแล้วจะมาเรียกนะ อยากได้อะไรก็บอกได้นะ"
"จริงรึจ๊ะ! ดีใจจัง ข้ามีคนคุยด้วยแล้ว! ข้าไม่ได้เหงาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว!!!"ข้าดีใจมากที่มีคนเห็นและรับรู้การมีอยู่ของข้า ถึงแม้ทั้งโรงเรียนจะมีแค่เธอก็เถอะ แต่ไม่เป็นไร
"ดูเหมือนเธอจะเป็นคนเฝ้าพื้นที่แห่งนี้นะ ขอโทษที่ไม่ได้ขออนุญาตนะ"
"ไม่เป็นไรจ่ะ ข้าตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่ท่านทำมากๆเลย"
"ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ เราจะได้เรียกถูก"
"....ข้า....จำไม่ได้แล้วล่ะ แม่หมอประจำหมู่บ้านไม่ได้เป็นคนตั้งให้ข้า"
"งั้นเราเรียกเธอว่า เจ้าแม่ ได้ไหม คนอื่นๆจะได้นับถือเธอ"
"ได้สิจ๊ะ"
หลังจากนั้นทั้งนักเรียนและคุณครูของที่นี่ก็จบไปเป็นรุ่นๆ มีวัตถุทำจากโลหะ(?)ทรงสี่เหลี่ยมกดได้เข้ามามีส่วนร่วมในวงการการเรียนทั้ง "คอมพิวเตอร์" "โทรศัพท์มือถือ" "เกมส์กด" ฯลฯ เด็กๆก็เปลี่ยนไปในแต่ละรุ่นก็มีชื่อแปลกๆมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในท้ายที่สุด ....
"...ฉันจะจดจำเธอเอาไว้เองนะ...." คำพูดสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง เป็นคำพูดของ เส็ง ที่ถึงแม้จะฟังมาไม่หมดแต่ก็ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ที่ช่วยปลดปล่อยข้าไป...
"ขอบคุณมากจ่ะ"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น