ตอนที่ 7 : 6th Tale : ร่วมชายคา [Final]
6th Tale : ร่วมชายคา
ก้อนเมฆสีเทาลอยล่องบนท้องฟ้าสีหม่นที่ไร้แสงตะวันแม้ยามนี้จะเป็นเวลาเที่ยงวันก็ตามที ลมเย็น ๆ พัดมาเอื่อย ๆ ลอดผ่านหน้าต่างบนผนังหินเก่าแก่จนกระทบใบหน้าคมของร่างสูงที่เผลอหยุดเดินเมื่อได้รับสายลมอันแสนผ่อนคลาย
ดวงตาสีแดงปรายมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเหนื่อยล้า และว้าวุ่นโดยเฉพาะเมื่อต้องไปรับมือกับอีกคนที่ไม่รู้ว่าสงบสติอารมณ์ได้หรือยัง
เขาหยุดชะงักกึกก่อนที่จะก้าวเดินต่อเมื่อนึกถึงใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีบลอนด์ ทั้งรอยยิ้ม และคำพูดที่ทำให้เขารู้สึกไม่รำคาญเหมือนที่เคยเป็นกับมนุษย์คนไหน
ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องดูแลอย่างดี ให้ไปนอนในห้องใต้ดิน หรือให้งดอาหารสักวันสองวันเพื่อให้เชื่อฟังยังจะง่ายเสียกว่า แต่ทำไมคราวนี้กลับมีบางอย่างดึงความคิดของเขาให้กลายเป็นคนไร้เหตุผลเช่นนี้?...
ครอสส่ายหน้าเบา ๆ อย่างยอมแพ้ เพราะคงต้องปล่อยให้ตัวเองสงสัยเช่นนี้ต่อไป เพราะคำถามก่อนหน้านี้เขาก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย
...คิดแล้วมันก็น่าหงุดหงิด...
เสียงรองเท้าส้นเตี้ยกระทบพื้นที่ดังขึ้นข้างหน้าเรียกให้ดวงตาสีแดงเบือนไปมอง หญิงสาวร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีชมพูเข้มกำลังเดินลงมาจากบันได ในมือของเธอมีถาดเงินที่มีจานอาหารว่างเปล่า และแก้วน้ำที่น้ำเหลือก้นแก้ว ใบหน้าน่ารักคลี่ยิ้มจนดวงตาโตเล็กหยีอย่างน่าเอ็นดู
“อ๊ะ นายท่าน กลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ?” ลูน่าเอ่ยปากถาม
ผู้เป็นเจ้านายพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะมองไปที่จานอาหารที่ว่างเปล่า “แล้วนั่น...”
สาวใช้ยิ่งฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิมด้วยความดีใจ “เขายอมกินแล้วเจ้าค่ะนายท่าน” เธอตอบอย่างเป็นสุข “แล้วก็ไม่มองแบบหวาดระแวงเท่าคราวก่อนแล้วด้วย และเขาถามชื่อข้าด้วยล่ะ”
ครอสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ยอมรับเร็วดีนี่
“คราวหน้าก็ไม่ต้องยกอาหารขึ้นไปให้แล้วนะ” เขาเอ่ยเสียงเรียบทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่ายหายไปอย่างรวดเร็ว
“ท..ทำไมล่ะเจ้าคะ? หรือข้าทำอะไรผิด?” ลูน่าถามเสียงสั่น ใบหน้างอง้ำเล็กน้อยด้วยความกลัวความผิดที่ไม่แน่ใจว่าตนได้ก่อไว้หรือไม่
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ลูน่า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เพราะครั้งหน้าคงจะให้เขามาร่วมโต๊ะกับเราได้”
เท่านั้นแหละ สาวใช้ร่างเล็กก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาทันที ผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ “จริงเหรอเจ้าคะ? งั้นแบบนี้ข้ายิ่งต้องทำอาหารสุดฝีมือเลย!” เธอพูดเสียงเริงร่าอย่างเป็นสุขพร้อมกับกระโดดเล็กน้อยราวกับเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ “ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ จะลองไปคิดสูตรอาหารใหม่ ๆ มาเสิร์ฟเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ” เสียงเรียบเอ่ยด้วยความเอ็นดูที่เจือมาในน้ำเสียงก่อนที่ลูน่าจะเดินละลิ่วลัลล้าผ่านไปโดยมีสายตาของผู้เป็นนายมองตามไปชั่วครู่
ช่างไร้เดียงสา และร่าเริง...
ครอสก้มลงมองมองตัวเอง ความสนุกสนาน? ความร่าเริง? เท่าที่จำได้ เขาไม่ได้สัมผัสมันมานานแล้ว และถ้าจำไม่ผิด เขาก็ไม่ได้มีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะที่จริงใจมาแสนนานจนคิดว่าลืมแม้กระทั่งวิธีการหัวเราะไปแล้ว
ความรู้สึกหนักอึ้งที่อยู่บนบ่าสองข้างเป็นตัวฉุดรั้งให้เขาต้องละทิ้งสิ่งเหล่านั้น เพราะว่ามันไม่สามารถทำให้เขาเข้มแข็ง และกลายเป็นมาผู้นำตระกูลได้จนถึงทุกวันนี้
ผู้นำตระกูลคนสุดท้าย...
แม้จะมีเอเกิล และลูน่าเป็นข้ารับใช้ แต่เขากลับรู้สึกว่าเหมือนกับขาดอะไรไป สองคนนั้นเปรียบเสมือนคนในครอบครัว และน่าจะทดแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่สูญเสียไปได้
...แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่ใช่...
เขายังคงรู้สึกว่าอ้างว้าง และโดดเดี่ยว และรู้สึกเช่นนี้มาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา จนกระทั่งชาชินไปเสียแล้วเคยชิน และยอมรับกับการที่ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้
กึก...
ขายาวหยุดก้าวเมื่อรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตนอยู่หน้าห้องที่เป็นจุดหมายแล้ว ครอสถอนหายใจเบา ๆ ลบความรู้สึกเมื่อครู่ออกไปก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นผลักประตูตรงหน้า
ภาพที่เขาภายในห้องสี่เหลี่ยมคือ ร่างของชายหนุ่มผมบลอนด์ในเสื้อเชิ้ตสีขาว และกางเกงยีนที่เขาเตรียมไว้ให้กำลังเดินสำรวจเครื่องเรือนภายในห้องอย่าง สนอกสนใจ ครอสเห็นศีรษะของอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย ก็พอเดาได้ว่ารายนั้นรู้แล้วว่าเขาเข้ามาในห้อง
“ยอมรับได้แล้วสินะ” ในที่สุดแวมไพร์หนุ่มก็เป็นฝ่ายเอ่ยก่อน เขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับมาเผชิญหน้าพร้อมกับรักษาระยะห่างไว้ราวหนึ่งเมตร ครอสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจกับการกระทำนั้น
“ผมยังไม่ได้ไว้ใจคุณร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ” เขาตอบพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก ดวงตาสีฟ้าจ้องใบหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ ทำให้เขาเพิ่งสังเกตว่าดวงตาของคู่สนทนาไม่ได้เป็นสีดำเหมือนที่ตนเคยเห็นไม่
มันคือสีแดง... สีแดงสดราวกับเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้งเพื่อสงบจิตใจสงบใจ “แต่ก็นะ...ผมไม่มีทางเลือกนี่ ดิ้นรนไปก็เสียแรงเปล่า เพราะยังไง ๆ ก็กลับเองไม่ได้ อีกอย่างโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ จะโทรหาใครก็ไม่ติด แถมยังเปลืองเงินใช่เล่น...” แล้วจึงก้าวเข้าใกล้ก้าวหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“...ผมยอมทำตัวดี ๆ ก็ได้ แต่ว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสักหน่อย”
ครอสหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างจับผิด “นายมีสิทธิตั้งเงื่อนไขด้วย?”
“จับตัวผมมาโดยพลการ ผมก็ต้องมีสิทธิสิ”
“แต่นายบอกว่าอยากช่วยเองนะ”
เซดริกทำเสียงจิ๊ในลำคออย่างไม่พอใจ “ก็ใครจะรู้ล่ะว่า ‘ช่วย’ ที่คุณว่าคือแบบนี้?” เขาย้อน
ดวงตาสีฟ้า และแดงสบกันนิ่ง เจ้าของดวงตาสีเข้มกว่าพินิจมองดวงตาอีกคู่ เขาเห็นแต่ความดื้อรั้นและความไม่พอใจที่ซ่อนอยู่ “ตกลง ว่ามา”
“ข้อแรก คุณต้องให้สัญญากับสวัสดิภาพของเลือดของผม”
ครอสอดขำในใจไม่ได้เมือได้ยินข้อแลกเปลี่ยนข้อแรก “ตกลง” เขาตอบสั้น ๆ ทำเอาคนตั้งเงื่อนไขเลิกคิ้วขึ้นสูง เพราะไม่นึกว่าจะตอบได้รวดเร็วทันใจเช่นนี้
“ดี งั้นข้อต่อไป ช่วยตอบผมที่เถอะว่า ทำไมผมถึงกลับไปไม่ได้?” น้ำเสียงจริงจังมากกว่าเมื่อครู่ กอปรกับคำถามทำให้แวมไพร์หนุ่มชะงักเล็กน้อย ใบหน้าคมคายนิ่งขึงขึ้นจนอีกฝ่ายจับสังเกตได้
ดวงตาสีแดงที่เผลอหลบไปทางซ้ายและหลุบต่ำลงทำให้เซดริกเดาว่า เขาคงกำลังใช้ความคิด อาจดูเหมือนว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างจะไร้สาระ แต่สำหรับเขาแล้ว การไม่รู้เรื่องอะไรเลยเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ และการที่ถูกปิดหู ปิดตา เขาก็ยิ่งเกลียดเป็นเท่าตัว
อย่างน้อยเขาก็อยากรู้สถานะของตัวเองในโลกที่ไม่ใช่ของเขา
“ว่าไงครับ?”
“นายรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับแวมไพร์?” ในที่สุดดวงตาที่หลุบต่ำเมื่อครู่เบือนขึ้นมาสบพร้อมกับคำถามถูกส่งออกมาแทนคำตอบ ทำเอาชายหนุ่มผมบลอนด์เลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจก่อนใบหน้าจะฉายแววครุ่นคิด
“กลัวแสงแดด กลัวกระเทียม กลัวไม้กางเขน และมีชีวิตเป็นอมตะโดยการดูดเลือด แล้วคนที่ถูกดูดเลือดไปนั้นจะกลายเป็นแวมไพร์...ล่ะมั้ง” เขาตอบ
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบา ๆ จากแวมไพร์หนุ่ม “หึ เรื่องเล่าจากปลายปากกาของมนุษย์” ครอสเอ่ยพร้อมกับริมฝีปากที่เหยียดยิ้มบาง ๆ ด้วยความดูถูก ดวงตาสีฟ้าเรียบตึงขึ้นมาทันทีอย่างมีน้ำโห เพราะทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่เจอกันข้างป้ายรถเมล์นั่น
“ขอโทษทีที่ผมไม่ได้เป็นแวมไพร์เลยไม่รู้น่ะนะ!?” เซดริกแหวลั่นด้วยความไม่พอใจ “แล้วอีกอย่าง มันเกี่ยวอะไรกับคำถามของผมไม่ทราบ?”
“เกี่ยวสิ” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ
“ยังไง?”
“พันธะสัญญา...” ชายหนุ่มผมดำเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่กลับได้ยินชัด ส่วนอีกคนในห้องก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย
“พันธะสัญญา?”
“ใช่...” ครอสตอบก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงความยาวหนึ่งศอกกั้น ดวงตาสีแดงปรายมองดวงตาอีกคู่นิ่ง และจ้องอยู่เช่นนั้นไม่ต่างจากอีกคนที่ไม่หลบ มือหนายกขึ้นช้า ๆ ก่อนจะสัมผัสที่ผิวหนังขาวละเอียดบริเวณซอกคอที่มีผ้าพันแผลปิดอยู่อย่างแผ่วเบา
“...การที่แวมไพร์หนึ่งตนฝังคมเขี้ยว และดูดเลือดจากมนุษย์คนใดก็ตาม จะเกิดพันธะสัญญาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มันกำหนดให้แวมไพร์ และมนุษย์คนนั้นต้องอยู่ด้วยกันตราบจนอีกฝ่ายจะสิ้นชีพ ไม่ว่าจะหลีกหนีอย่างไรก็ไม่อาจทำลายลงได้ นอกเสียจากความตายจะมาเยือนไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง...”
เซดริกยืนนิ่ง แม้ว่าความรู้สึกอุ่นร้อน แต่กลับเย็นเยียบในเวลาเดียวกันจากปลายนิ้วเหนือบาดแผลจะทำให้ในอกรู้สึกหวิว ๆ อย่างประหลาด
“หมายความว่า มนุษย์ก็ต้องกลายเป็นผู้ติดตามของแวมไพร์งั้นเหรอ?” เขาถาม
ชายหนุ่มผมดำเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ แสยะยิ้มจนกระทั่งเห็นคมเขี้ยวสีขาวที่น่าพรั่นพรึง ดวงตาสีแดงเริ่มประกายความโหดเหี้ยม และเย็นชาอย่างอมนุษย์ ชั่ววินาทีหนึ่งที่อีกฝ่ายเห็นรูม่านตาลีบเล็กลงจนเป็นเส้นเรียวอย่างน่ากลัว
“คิดว่าพวกเราจะปล่อยให้มนุษย์พวกนั้นมีชีวิตรอดหรือ? จะปล่อยเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอเช่นนั้นไว้ทำไมในเมื่อสามารถหาเหยื่อได้ต่อไปเรื่อย ๆ” เขาตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สึกใด ๆ ทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว
นี่แหละปิศาจ
เซดริกเผลอก้าวถอยหลังด้วยความพรั่นพรึง สัมผัสเหนือรอยแผลหายไปแล้ว เหลือเพียงความเย็นเยียบของบรรยากาศรอบตัว ดวงตาสีฟ้าไหววูบเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้ว่า แม้จะเงียบขรึม และเยือกเย็นเพียงใด คนตรงหน้าก็คือแวมไพร์ ปิศาจร้ายยามราตรีที่โหดเหี้ยม และไร้ความรู้สึกใดนอกจากความสุขสมยามได้ต้องรสเลือดที่หอมหวาน
แต่แล้วความสงสัยหนึ่งก็ผุดขึ้นในความคิด “คุณเคยทำแบบนั้นกับมนุษย์คนอื่นสินะ?” เขาถามเกริ่น ๆ
อีกฝ่ายหรี่ตาลงเล็กน้อย “ใช่”
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ฆ่าผมเสียตั้งแต่ตอนนั้น?”
ดวงตาสีแดงหรี่เล็กลงราวกับกำลังใช้ความคิด “เพราะว่านายเป็น...”
แอ๊ด...
เสียงประตูเปิดที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้ครอสกลืนคำตอบทั้งหมดลงคอเช่นเดียวกับเซดริกที่สะดุ้งด้วยความตกใจ ทั้งสองหันไปมองทางต้นเสียงแล้วก็พบกับร่างของชายชราคนหนึ่งในชุดพ่อบ้านเต็มยศดูน่าเกรงขาม ใบหน้าที่มีรอยแห่งวัยนิ่งสงบ แต่นอบน้อมสุดหัวใจโน้มลงเล็กน้อย
“ขออภัยที่มารบกวนขอรับ” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยก่อนที่เอเกิลจะกลับมายืนในท่าตรง “มีแขกมารอพบนายท่านขอรับ”
ครอสขยับตัวเล็กน้อย และสบดวงตาสีแดงซีดของพ่อบ้านชรา ข้อความบางอย่างที่สื่อออกมาทางดวงตาทำให้ผละจากชายหนุ่มผมบลอนด์ที่ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยเพราะยังไม่ทันได้คำตอบที่ต้องการไปหาอีกคน ร่างสูงเดินไปหาเอเกิล และพูดอะไรบางอย่างเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้ารับแทนการรับคำสั่ง เขาปรายตามองคนข้างหลังแวบหนึ่งแล้วจึงเดินจากไป
บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป...
เซดริกขยับตัวถอยห่างอีกเล็กน้อยอย่างไม่วางใจ แม้ว่าแวมไพร์ผมดำ คนนั้นจะให้สัญญาว่าจะไม่มีใครทำร้ายเขา แต่มันก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี เพราะถึงยังไงคนตรงหน้าตอนนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘แวมไพร์’ เหมือนกัน
“กระผม ‘เอเกิล’ ขอรับ เป็นพ่อบ้านประจำตระกูลของนายท่าน” เอเกิลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับคุณตาคนหนึ่งกำลังพูดกับหลานชาย “ไม่ต้องกังวลไปขอรับ กระผมไม่ทำอะไรท่านแน่นอน ท่านเอเลนอฟ” ริมฝีปากใต้หนวดสีเทาบางกระตุกยิ้มน้อย ๆ อย่างใจดีทำให้อีกฝ่ายเบาใจเล็กน้อย
“เอ่อ ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านก็ได้ครับ” ชายหนุ่มว่าเก้ ๆ กัง ๆ อย่างไม่คุ้นเคย “เรียกว่าเซดริกก็ได้”
“ไม่ได้หรอกขอรับ” พ่อบ้านชราตอบ แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่กลับเด็ดขาดอยู่ในตัวทำให้คนไม่ชินต้องถอนหายใจเบา ๆ อย่างยอมแพ้
“ก็ได้ครับ งั้นเรียกผมด้วยชื่อละกัน อย่าเรียกนามสกุลเลย”
“ตามที่ท่านต้องการขอรับ ท่านเซดริก” แวมไพร์ชราเอ่ยอย่างนอบน้อม “นายท่านสั่งให้ผมพาท่านเดินชมรอบคฤหาสน์ขอรับ”
เซดริกเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “จำเป็นด้วยเหรอครับ?” เพราะใจจริงเขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับคฤหาสน์นี้เท่าใดนัก เพราะกลัวใจตัวเองที่จะเกิดความผูกพันกับที่นี่ และอีกอย่าง เขาก็กลัวว่าจะมีแวมไพร์ตนอื่นแอบซ่อนอยู่ในมุมในมุมหนึ่งของคฤหาสน์
ถึงจะมั่นใจในฝีมือการต่อสู้ของตน แต่มันก็น่าจะไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าอมนุษย์พวกนี้!
เอเกิลพยักหน้าเล็กน้อย “นายท่านบอกว่า ท่านไม่ใช่นักโทษขอรับ เพราะฉะนั้นท่านย่อมมีสิทธิจะไปไหนมาไหนในคฤหาสน์แห่งนี้” เขาตอบพร้อมกับยิ้มบาง ๆ “และกระผมคิดว่าท่านคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะ คงต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตที่นี่ขอรับ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับตามอย่างเห็นด้วยก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ คุณรู้ไหมว่าทำไมเจ้านายคุณถึงไม่...เอ่อ...ฆ่าผม?” เขาถามขณะที่แวมไพร์ชรากำลังจะเปิดประตู
“แล้วนายท่านตอบว่าอย่างไรขอรับ?”
“ยังไม่ทันได้ตอบน่ะครับ” เซดริกตอบพลางหัวเราะแห้ง ๆ
เอเกิลคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อย “ต้องขออภัยด้วยขอรับ หากนายท่านไม่ตอบ...กระผมก็ไม่อาจตอบได้” เขาว่าพร้อมกับผายมือไปทางข้างของตนเมื่อผลักประตูให้เปิดกว้างแล้ว “เชิญขอรับท่านเซดริก กระผมขออาสาพาท่านชมคฤหาสน์หลังนี้เอง”
ร่างสูงเกาศีรษะแกรก ๆ อย่างยอมแพ้ ไม่รู้จะมีความลับอะไรนักหนา น่ารำคาญจริง แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น เขาก็เดินตามพ่อบ้านชราผมสีดอกเลาไปแต่โดยดี
###
“คฤหาสน์หลังนี้มีทั้งหมดสามชั้นขอรับ” เสียงแหบเล็กน้อยอธิบายด้วยน้ำเสียงที่น่าฟังราวกับไกด์นำทัวร์ โดยมีชายหนุ่มร่างสูงอีกคนเดินตามต้อย ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น “ชั้นที่กระผมและท่านเซดริกอยู่นี้ก็คือชั้นที่สามขอรับ ทั้งชั้นนี้ก็จะมีแต่ห้องนอน และห้องพักผ่อนเท่านั้น” แล้วพ่อบ้านก็หยุดเดินตรงหน้าบันไดก่อนจะ ยกมือที่สวมถุงมือสีขาวขึ้น และชี้ไปทางขวามือ
“ห้องของท่านอยู่ทางปีกตะวันออกซึ่งเป็นส่วนที่เคยใช้รับแขกขอรับ ส่วนห้องของนายท่านอยู่ทางปีกตะวันตก”
ดวงตาสีฟ้ากวาดมองรอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ สิ่งก่อสร้างภายในคฤหาสน์นั้นค่อนข้างตรงกับที่คาดไว้ แต่เมื่อมาเห็นของจริงก็ตระหนักได้ว่า มัน ‘มาก’ กว่าที่คิดไว้นัก
ภายในนั้นกว้างขวางมากราวกับพระราชวังของกษัตริย์ โถงใหญ่ชั้นล่างมีพรมแดงปูตั้งแต่ขั้นบันไดจนถึงพื้นหินเงา ผนังหินสีเทาหม่นประดับด้วยโคมไฟติดผนังหรูหราทุกตารางเมตร หน้าต่างขนาดใหญ่รูปร่างผอมยาวตั้งไว้ในทิศทางที่ลมเข้า ทำให้ภายในคฤหาสน์เย็นสบายตลอดเวลา ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างต่างมีอายุ และราคาก็คงเหยียบหลักแสน
ให้ตาย ของพวกนี้ของจริงหมดเลยเหรอเนี่ย?
เขาคงจะได้ชื่นชมกับความอลังการของสถานที่แห่งนี้ต่อไปหากไม่สะกิดใจกับคำพูดเมื่อครู่ “เคยใช้รับแขก? หมายความว่าตอนนี้ไม่ใช้แล้วเหรอครับ?” เขาถามด้วยความสงสัย
“ขอรับ เพราะตอนนี้ไม่มีความจำเป็นแล้ว” เอเกิลตอบเสียงเรียบ “อันที่จริงก็ไม่ได้ใช้มานานแล้วขอรับ ตั้งแต่...”
“ตั้งแต่...?”
พ่อบ้านชราคลี่ยิ้มบาง ๆ กลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรหรอกขอรับ เพราะตอนนี้ ผู้ที่ใช้ห้องทางปีกตะวันออกก็มีแต่ท่านเซดดริกคนเดียวเท่านั้นขอรับ”
ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องไปพูดถึงเรื่องนั้นอีก เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้อยู่แล้ว...
ดวงตาสีแดงซีดหม่นหมองลงชั่วครู่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตก่อนจะกลับมาอ่อนโยนเช่นเดิมอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายจับไม่ทัน “ลงไปชั้นสองกันเลยนะขอรับ” ว่าแล้ว เขาก็นำทางอีกคนลงบันไดไปที่ชั้นสอง สิ่งแรกที่พบ คือ รูปวาดเสมือนจริงขนาดใหญ่ในกรอบสีทองอร่ามที่เรียกให้ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสนเท่ห์
ในภาพนั้นมีชายในวัยกลางคนคนหนึ่งในชุดสูทสีดำดูน่าเกรงขาม เรือนผม สีดำยาวรวบตึงเผยให้เห็นใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักที่มีรอยยิ้มประดับบาง ๆ ข้าง เขานั้นมีหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีทองในชุดราตรีสีชมพูอ่อนเปิดไหล่ขาวนวลเนียน ใบหน้างดงามราวกับนางฟ้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อน ๆ คลี่ยิ้มจนอาจทำให้คนมองอ่อนระทวยได้ง่าย ๆ และอีกคน...เด็กชายตัวเล็กในชุดสูท สีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าน่ารักแต่เรียบเฉยล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสั้นช่างคุ้นตาอย่างน่าประหลาด
แล้วยิ่งดวงตาสีแดงที่มีประกายระริกด้วยความสุขนั่น...
รูปรวมครอบครัวงั้นเหรอ? หมายความว่าเด็กชายตัวเล็กคนนั้นก็คือ...
“ครอสเหรอ?” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ ด้วยความไม่แน่ใจ เพราะประกายในดวงตาคู่นั้นช่างแตกต่างจากตอนนี้ราวกับพลิกฝ่ามือ “นี่รูปครอบครัวของเจ้านายคุณเหรอครับ?”
“ใช่ขอรับ” เอเกิลตอบ น้ำเสียงเจือด้วยความเศร้าหมองที่พยายามปิดบัง “นายท่านใหญ่ นายหญิง และท่านครอส...”
เซดริกหันมามองพ่อบ้านนำทางอย่างสงสัย เขาจับถึงกระแสความโศกเศร้าในน้ำเสียงนั้นได้ “แล้วพวกท่านล่ะครับ?”
เอเกิลไม่ตอบอะไรนอกจากคลี่ยิ้มบาง ๆ “นายท่านใหญ่ และนายหญิงเสียแล้วล่ะขอรับ หลังจากที่ถ่ายรูปนี้ได้ไม่กี่วัน” เขาตอบเสียงแผ่วเบาก่อนจะเดินเข้าไปใกล้กรอบรูปนั้นมากกว่าเดิม ดวงตาสีแดงซีดหม่นหมองลงจนคนมองอดรู้สึกวูบในอกไม่ได้
“หลังจากวันนั้นนายท่านก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เคยยิ้ม และหัวเราะอย่างมีความสุขอีกเลย...”
ชายหนุ่มผมบลอนด์รู้สึกได้ถึงความผิดที่แล่นวาบเข้าสู่อก “ผม...ขอโทษ ผมไม่น่าถามเลย...” เขาเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับอีกความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจ ราวกับมีภาพบางอย่างซ้อนทับ ภาพที่คุ้นเคยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ทั้งเจ็บปวด แต่กลับถวิลหา...
...เหมือนกัน...
“ไม่เป็นไรขอรับ” อีกฝ่ายว่าพร้อมกับส่ายหน้า และระบายยิ้มจาง ๆ “เอาล่ะ เราไปต่อกันเถอะขอรับ”
แล้วแวมไพร์ชราก็เดินนำไปทางขวาของบันไดโดยคนข้างหลังลอบมองรูปนั้นอีกครั้งก่อนจะรีบตามไป ห้องถัดไปที่เอเกิลพาเขาไปนั้น คือห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มืดสลัว แต่ก็พอเห็นราง ๆ ว่ามีโต๊ะไม้มะฮอกกานีขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง บนโต๊ะมีกองเอกสารหลายกองวางอย่างลวก ๆ จนน่ากลัวว่าจะล้มลงไปหากสะกิดเพียงแค่นิดเดียว ข้าง ๆ กันนั้นเป็นตู้หนังสือหลายตู้ที่บนชั้นค่อนข้างว่างเปล่า ผ้าม่านสีทึบที่หน้าต่างบานใหญ่ข้างโต๊ะตัวนั้นปลิวไหวน้อย ๆ ด้วยแรงลมเย็น
“นี่เป็นห้องทำงานของนายท่านขอรับ” เอเกิลบอก “แรก ๆ ห้องนี้ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร แต่หลายสัปดาห์มานี้นายท่านมักจะอยู่ในห้องนี้ตลอด”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย “งานยุ่งเหรอครับ?” เขาถามด้วยความสงสัย
“ก็...ประมาณนั้นขอรับ ช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย”
เซดริกขมวดคิ้วอย่างฉงนใจ พยายามจินตนาการว่าแวมไพร์มีงานอะไรให้ทำบ้างนอกจาก...ล่าเหยื่อในเวลากลางคืนอย่างที่เห็นในนิยายทั่วไป แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เขาพยายามวาดภาพของชายหนุ่มผมดำในสูทสีดำของนักธุรกิจ และกำลังนั่งประชุมด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
อย่างกับจะเป็นไปได้...
“จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะถามว่าครอสทำงานอะไร?” ว่าแล้วก็เปิดปากถามอย่างไม่รอช้า
เอเกิลนิ่งไปพักหนึ่งจนอีกฝ่ายคิดว่าตนถามคำถามที่ไม่ควรถามออกไปอีกแล้ว “จะเรียกว่างานก็ไม่เชิงน่ะขอรับ” เขาตอบพร้อมกับคลี่ยิ้มเล็กน้อยตามมารยาท ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ อย่างไร้อารมณ์
เอาเข้าไป... สงสัยคงต้องทำใจถ้าจะหาคำตอบอะไรตรง ๆ
“ห้องข้าง ๆ นี้เป็นห้องสมุด ท่านเซดริกสนใจไหมขอรับ?”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ห้องสมุด’ ความสงสัยทั้งหมดก็พลันสลายไปเป็นปลิดทิ้ง “ห้องสมุดเหรอครับ? สนใจสิครับ สนใจมาก ๆ เลยด้วย” ดวงตาสีฟ้าพราวระยับด้วยความตื่นเต้นจนคนมองอดอมยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“ตามกระผมมาเลยขอรับ” พ่อบ้านชราเอ่ยเสียงขบขันเล็กน้อยก่อนจะนำทางไปยังอีกห้องที่ติดกัน ร่างสูงรีบก้าวตามไปติด ๆ ด้วยความตื่นเต้น ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องเมื่อครู่กว่ากันมากก็ปรากฏสู่สายตา
ตู้หนังสือสูงเกือบจรดเพดานวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ทั้งชิดติดผนัง และวางเป็นล็อค ๆ เหมือนที่เขาเคยเห็นในห้องสมุดทั่วไป กลางห้องมีโต๊ะ ไม้กลมขนาดใหญ่วางอยู่ และมีเก้าอี้ที่ออกแบบมาให้เข้ากันวางรายล้อมราว ๆ หกตัว
ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปสำรวจ ดวงตาสีฟ้าพราวระยับด้วยความตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นว่าทุกชั้นมีหนังสือเรียงกันอัดแน่น และเป็นระเบียบเรียบร้อย
มนต์ขลังของ ‘ห้องสมุด’ ที่ไม่เคยได้สัมผัสจากที่ใดมากเท่าที่นี่ทำให้เขาไม่อาจละความสนใจไปได้...
“สุดยอด...” เสียงทุ้มครางแผ่วเบาอย่างอัศจรรย์ใจก่อนที่ใบหน้าคมคายจะหันมาหาคนนำทาง “นี่มันเยี่ยมไปเลย”
ใบหน้าริ้วรอยระบายยิ้มจาง ๆ ด้วยความเอ็นดู “ห้องสมุดของคฤหาสน์หลังนี้รวบรวมหนังสือหลากหลายประเภท และจากทั่วทุกมุมโลกขอรับ” เขาเอ่ย “นายท่านใหญ่รักการอ่านหนังสือขอรับ ท่านจึงสร้างห้องนี้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นห้องสมุดที่ดีที่สุด และหาหนังสือเล่มใหม่ ๆ มาเสมอ แม้ว่านายท่านใหญ่จะเสียไปแล้ว แต่ท่านครอสก็ยังคงสืบสานความตั้งใจของนายท่านใหญ่ขอรับ”
เซดริกทำตาโตเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ “ยอดไปเลยนะครับ...” เขาพึมพำเสียงเบา “...ถ้าผมจะมาใช้ห้องนี้บ้างจะได้ไหมครับ?”
“ได้สิขอรับ นายท่านก็พูดเช่นกันว่าถ้าท่านเซดริกได้มาเห็นห้องนี้จะต้องชอบแน่ ๆ”
“เขาว่างั้นเหรอครับ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนเท่ห์
“ขอรับ”
เซดริกยกมือขึ้นเกาหัวเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ กลบเกลื่อน
รู้ได้ไง?
“ท่านเซดดริกจะมาใช้ห้องสมุดเวลาไหนก็ได้ขอรับ หากต้องการอะไรเพิ่มก็เรียกลูน่า หรือกระผมก็ได้ขอรับ” เอเกิลพูดและคลี่ยิ้มเล็กน้อยราวกับคุณตากำลังดูแลหลานชาย “เอาล่ะ เหลืออีกหนึ่งชั้น เชิญขอรับ”
แล้วเขาก็ออกเดินนำไปที่บันไดอีกครั้งโดยที่มีสายตามองมาด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะอยากอยู่ต่ออีกสักพัก แต่ชายหนุ่มก็หมายมั่นตั้งใจแล้ว
คลังสมบัติขนาดนี้ ถ้าปล่อยไปเฉย ๆ ก็ไม่ใช่เซดริด เอเลนอฟแล้ว!
“ชั้นหนึ่งนี้ก็จะมีห้องโถงใหญ่ที่อยู่หน้าประตูใหญ่ ทางขวามือเป็นห้องพักผ่อน และห้องรับแขก ส่วนทางซ้ายมือก็จะเป็นห้องครัว และห้องรับประทานอาหารขอรับ” เอเกิลอธิบายพร้อมกับผายมือประกอบคำพูดไปด้วย ส่วนอีกคนก็พยักหน้าตามหงึก ๆ
แต่แล้วเขาก็สะกิดใจอะไรบางอย่างเมื่อตระหนักได้ถึงความใหญ่โอ่โถงอลังการของคฤหาสน์หลังนี้
“คฤหาสน์หลังนี้มีแต่คุณ ครอส และลูน่าเหรอครับ?” เซดริกถามด้วยความสงสัย แล้วก็ต้องรีบเอ่ยต่อเมื่อเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายชะงักเล็กน้อย
“ผมเห็นว่าที่นี่มันใหญ่มาก แต่ผมยังไม่เห็นใครเลยนอกจากพวกคุณ”
พ่อบ้านชรานิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่ดวงตาสีแดงซีดก็กวาดมองรอบกายอย่างสงบนิ่ง “ขอรับ ที่นี่มีแต่กระผม นายท่าน และลูน่าเท่านั้น” เขาตอบเสียงเบาพร้อมกับจงใจหันหลังให้อีกฝ่าย
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไมล่ะครับ?”
“เพราะนายท่านไม่ชอบคนหมู่มากน่ะขอรับ”
“มีพวกคุณแค่สองคน งี้เวลาทำความสะอาดไม่เหนื่อยแย่เหรอครับ?”
เอเกิลหันมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้คนถาม “ไม่หรอกขอรับ ก็แค่ทำความสะอาดบางส่วนที่ใช้งานบ่อย ๆ ก็เท่านั้นแหละขอรับ”
เซดดริกก็ได้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ถึงกระนั้นเขาจะว่าอะไรได้ เพราะตัวเองก็เป็นคนที่ต้อง (จำใจ) ทนอยู่ต่อไปสักระยะ
แล้วพ่อบ้านชราก็พาเขาเดินไปทางปีกซ้ายของคฤหาสน์ที่มีห้องนั่งเล่น และห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นนั้นมีโซฟาตัวยาวสีแดงดูนุ่มน่านั่ง และมีโต๊ะตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งวางอยู่ข้างหนึ่ง และตรงข้ามชุดโต๊ะโซฟาแล้ว ก็มีเตาผิงขนาดไม่ใหญ่มากนัก ไฟสีส้มแดงที่ลุกโชนข้างในทำให้เซดดริกที่รู้สึกหนาวตัวค่อยอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
บนเตาผิงนั้นมีนาฬิกาตั้งโต๊ะขนาดเล็กแบบโบราณตั้งอยู่ ข้าง ๆ กันนั้นเป็นนาฬิกาทรายที่มีเม็ดทรายสีน้ำตาลอ่อนค่อย ๆ ร่วงลงกระเปาะล่างอย่างเชื่องช้า เหนือเตาผิงขึ้นไปก็มีดาบสองเล่มติดผนังอยู่อย่างแน่นหนา ส่วนผนังอีกด้านหนึ่งก็มีโทรทัศน์จอแอลซีดีขนาด 41 นิ้วติดผนังไว้
อย่างน้อยก็ไม่ได้ล้าหลังไปซะทีเดียวแฮะ
“ท่านเซดดริกคงสงสัยเรื่องโทรทัศน์สินะขอรับ” พ่อบ้านชราเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มที่มองห้องนั่งเล่นด้วยความฉงน
“ไม่เชิงครับ” เซดดริกยิ้มแห้ง “มันออกจะเกินความคาดหมายไปหน่อย”
เอเกิลยิ้มรับ “พวกเราต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกปัจจุบันขอรับ พวกเราจะพึ่งแต่เวทมนต์อย่างเดียวก็ไม่ได้แล้ว ข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างจึงค่อนข้างทันสมัยขอรับ มีเพียงเครือข่ายโทรศัพท์กับอินเตอร์เน็ตเท่านั้นที่ไม่สามารถติดตั้งได้” เขาอธิบาย
“อ้าว ทำไมล่ะครับ?”
“มันรบกวนเขตอาคมขอรับ”
“อ้อ...” ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามไปส่วนห้องรับแขกซึ่งมีชุดโต๊ะรับแขกหรูหราแบบยุโรปสีขาวบริสุทธิ์เบาะนั่งสีแดงอ่อนสีเข้ากับเก้าอี้ช่างเชิญชวนให้สัมผัส เหนือชุดรับแขกนั้นก็มีโคมไฟระยิบระยับติดเพดานห้อยระย้า รอบห้องประดับตกแต่งด้วยรูปภาพหลากหลายสไตล์ชั้นวางเครื่องแก้วต่าง ๆ ของทุกอย่างดูมีราคา และหรูหราจนเซดริกไม่อาจนึกภาพตัวเองสัมผัสของเหล่านี้ได้เลย
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่ปีกขวาของคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องครัว และห้องทานอาหาร ทันทีที่ก้าวเข้าไปใกล้ห้องครัว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ยั่วน้ำลายก็ลอยออกมาจนคนที่เพิ่งทานอาหารกลางวันไปได้ไม่นานเริ่มหิวขึ้นมาตงิด ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“สงสัยว่าลูน่าคงกำลังทำของว่างอยู่น่ะขอรับ” เอเกิลอธิบายก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องนั้น
ชายหนุ่มผมบลอนด์เห็นหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้ขนาดพอดีตัวกำลังง่วนอยู่หน้าเตาอบขนาดใหญ่ที่เขาเคยเห็นในโทรทัศน์ซึ่งบรรยายสรรพคุณไว้ละเอียดยิบ ทำให้เขารู้ว่านั่นเป็นเตาอบรุ่นใหม่ล่าสุดเลยทีเดียว
“ทำของว่างอยู่เหรอลูน่า?” น้ำเสียงเป็นกันเองถาม เรียกให้ใบหน้าที่กำลังจด ๆ จ้อง ๆ ขนมให้หันมามอง
“อ้าว ท่านเซดริก มาได้-งายคะเนี่ย?” ลูน่าถามพร้อมกับเอียงคอด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“เอเกิลพาผมเดินชมคฤหาสน์น่ะครับ” อีกฝ่ายตอบ และมองไปที่เตาอบ “หอมจังเลย ขนมอะไรเหรอ?”
หญิงสาวฉีกยิ้มด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “มัฟฟินบลูเบอร์รี่ค่ะ อ๊ะ เสด-พอดีเลย” ว่าแล้วเธอก็หยิบถุงมือหนาข้าง ๆ มาใส่ และเปิดฝาเตาอบออกก่อนจะหยิบถาดสีเงินที่มีขนมรูปร่างเหมือนถ้วยสีน้ำตาลอ่อนวางอยู่ออกมา “แต่ว่าฉานคิดสูตรขึ้นมา-หม่ายน่ะค่ะ รับรองว่าอร่อยไม่เหมือนใครแน่”
“ลูน่าชอบทำอาหารน่ะขอรับ คิดสูตรขึ้นมาใหม่เรื่อย ๆ จนพวกเราแทบกินอาหารได้ไม่ซ้ำกันเลยทีเดียว” เอเกิลเอ่ยขณะหญิงสาววางถาดเงินลงบนโต๊ะข้างหลัง
“ไม่ขนาดนั้นหรอกท่านเอเกิล” ใบหน้าน่ารักแดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความเขินอาย ทำให้ชายหนุ่มผมบลอนด์อดมองด้วยความเอ็นดูไม่ได้
เซดริกระบายยิ้มจาง ๆ อย่างน้อยกับหญิงสาวคนนี้ที่เขาไม่รู้สึกกดดันหรือหวาดกลัวเมื่ออยู่ด้วยถึงแม้เธอจะเป็นแวมไพร์เช่นเดียวกับพ่อบ้าน และเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ อาจเป็นเพราะว่าเธอดูอายุไล่เลี่ยกันกอปรกับนิสัยที่ร่าเริง และช่างเจรจาก็เป็นได้
“ลองชิมซีคะ” เสียงใสเรียกทำเอาเซดริกสะดุ้งเล็กน้อย ลูน่ายื่นจานใบเล็กใบหนึ่งที่มีมัฟฟินหนึ่งชิ้นวางอยู่มาให้
“จะดีเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าคุณทำไปให้ครอสเหรอ?”
“ดีซีคะ อันที่จริงแล้วขนมนี้น่ะ ฉานทำเพื่อต้อนรับท่านน่ะค่ะ” ลูน่าตอบ และฉีกยิ้มกว้าง “เพราะเห็นนายท่านว่าท่านอาจจะมาร่วมโต๊ะอา-ฮานกับนายท่าน ฉานก็เลยคิดสูตรอาหารมาต้อนรับ ไม่ใช่แค่ขนมนะคะ ยังมีอา-ฮานอีกอย่างสองอย่างที่ฉานตั้งใจทำสุดฝีมือเลยล่ะค่ะ”
เซดริกเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “ร่วมโต๊ะอาหาร? ผมหรอ?”
“ค่ะ” อีกฝ่ายตอบก่อนที่สีหน้าจะหมองลงเล็กน้อย “รือ-ว่าท่านเซดดริกจะไม่ลงมา...เหรอคะ?”
“เอ้อ เปล่าครับ เปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธพัลวันเมื่อเห็นว่าทำให้อีกฝ่ายเศร้า “มาสิครับ มาแน่นอน” แล้วเขาก็หยิบมัฟฟินขึ้นมากัดคำหนึ่ง ทันทีที่กัดลงไปนั้น ความหวานของน้ำตาลและบลูเบอร์รี่ที่เข้ากันได้ดีผสมกับเนื้อแป้งที่ไม่ร่วนและไม่เหนียวจนเกินไปก็ละลายในปาก กลิ่นหอมหวานของเนย และผลไม้สีม่วงยิ่งทำให้รสชาติดีขึ้นเป็นเท่าตัว
“เป็นไงบ้างคะ?” ลูน่าถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เซดริกฉีกยิ้มกว้างด้วยความพอใจ “อร่อยมากเลยครับ ผมไม่เคยกินมัฟฟินที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อนเลย” เขาตอบพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้หญิงสาวก่อนจะหันไปหาพ่อบ้านชราที่ยืนเงียบ แต่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเอ็นดูมาตลอด
“ลองชิมดูสิครับเอเกิล”
“ไม่ล่ะขอรับ กระผมไม่ค่อยชอบของหวาน ๆ เท่าไหร่”
“ท่านเอเกิลชอบชาน่ะค่ะก็เลยปติ๊เสธขนมพวกนี้อยู่เรื่อยทั้ง ๆ ที่ฉานคิดว่าขนมพวกนี้น่าจาเข้ากันได้กับชาขม ๆ แท้ ๆ” หญิงสาวพูดแทน และฉีกยิ้มทะเล้น “เคยลองแกล้งบอกว่านี่น่ะไม่ใช่ขนมนะ แต่เป็นของคาวที่รูปร่างเหมือนขนมต่างหาก เป็นสูตรใหม่ที่เพิ่งคิดขึ้นมา แต่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี บอกว่าได้กลิ่นน้ำตาลกับเนย นี่ขนาดฉานใส่ไปไม่เยอะนะคะ ยังรู้ได้เลย”
“ของหวานประเภทไหนก็มีน้ำตาล และเนยอยู่ดีนะ” เอเกิลโต้กลับ
ชายหนุ่มหัวเราะร่าอย่างขบขัน และเอ็นดูกับเสียงเจื้อยแจ้วที่พูดไม่หยุด โดยเฉพาะเมื่อเห็นสาวเจ้าแขวะพ่อบ้านชรา และอีกฝ่ายก็โต้กลับด้วยท่าทีสงบ บรรยากาศที่ไม่ต่างอะไรกับที่เขาเคยสัมผัสที่ห้องเช่าที่อังกฤษทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนความคิด
บางที...การอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 ตุลาคม 2555 / 21:30
ครอสสสสสส ไปอยุ่ด้วยคนได้มั้ยอ่ะ นอนในห้องสมุดก็ได้ คิคิ
สนุกมากค่ะไรต์เตอร์ สู้ๆค่ะ
เเลดูใหญ่เเละสวยงามเเบบโอเว่อมากๆ
เเต่ที่ชอบใจที่สุดคือห้องสมุด อยากจะกรี๊ด!! ชอบห้องสมุดเเบบนี้มาก ชอบอ่านหนังสือ
ชอบกลิ่นอายของห้องสมุด กรี๊ด!!!!!!
ถ้าเป็นไปได้อยากได้บ้านที่มีห้องสมุดกว้างๆใหญ่่เเบบนี้อยู่ด้วย ชอบบบบบบบบบบบบบบบ ที่สงบๆ ชอบบบบบ
ง่ำๆๆๆ
แต่ไม่ไหวล่ะ
เดี๋ยวมาอ่านต่อ
โอยยย ติดแน่อะเรื่องนี้ ไม่ไหวแล้ววว >___<
ชอบที่นายเอกเป็นคนมีเหตุผล
อิอิ ไม่โวยวายมากเรื่อง
ดูมีความคิดเป็นผู้ใหญ่
ปรับตัวเร็วมาก
ลูน่าก็น่ารก
คุณพ่อบ้าก็น่ารัก
แต่ว่ามีฉากของครอสส น้อยจัง
เซดริกน่ารักมากกกกก
ทำไมถึงไม่ฆ่าล่ะ แบบว่าดูมีเงื่อนงำดีนะ
ฮ่าๆๆๆ
อยากรู้จังว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง
พันธสัญญามีความหมายมากกว่านั้นรึเปล่า ทำไมนัยต์ตาเซดริกเปลื่ยนไปไม่สีดำแล้วล่ะ