ตอนที่ 47 : 37th Tale : Bloody Bond [END]
37th Tale : Bloody Bond
ตะวันขึ้นบนผืนฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆก้อนหนา เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นแล้วแม้บรรยากาศจะอึมครึมไม่ต่างจากตอนกลางคืนเท่าใดนัก แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับพื้นที่ที่สงวนไว้สำหรับสิ่งมีชีวิตบางประเภทเท่านั้น ดวงตาสีฟ้าทอดมองบรรยากาศยามเช้าผ่านหน้าต่างทรงสูงของคฤหาสน์หลังใหญ่ แววตาเหม่อมองออกไปไกลราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง...เกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง เกี่ยวกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไป
จะได้เห็นภาพตรงนั้นอีกไปนานแสนนาน หรือ...
...ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย? ...
รวมไปถึง...
เขาได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกอย่างแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงรองเท้ากระทบพื้นหิน แม้ไม่ได้ยินเสียงพูด เขาก็รู้ดีว่าคนที่เข้ามาในห้องนั้นเป็นใคร สายตาหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วสำหรับใส่ไวน์
...คน ๆ นี้ด้วย
แล้วความคิดของเขาก็หยุดลงเมื่อชายคนนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายคุกเข่าลงให้อยู่ในระดับเดียวกับคนที่นั่งอยู่บนเตียง “นาย...แน่ใจแล้วนะ?” เสียงห้าวเอ่ยแผ่วเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล และแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซดริกพยักหน้ารับ “คิดหลายรอบแล้วล่ะ” เขาตอบก่อนจะเหล่มองไปที่ของเหลวสีแดงข้นในแก้วที่อีกฝ่ายถือมา
“แต่...”
“ผมจะกลับมาหาคุณแน่นอน...” แล้วเขาก็โน้มตัว แตะริมฝีปากเบา ๆ ที่หน้าผากเย็นของคนตัวสูงกว่า “…ครอส”
แววตาสีแดงฉายแววเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่ต้องการให้คนที่ตัดสินใจรู้สึกแย่ หรือรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ อย่างน้อยถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา สิ่งสุดท้ายที่เขาอยากให้ดวงตาสีฟ้าเห็น คือใบหน้าที่ปรากฏความเศร้า หรือความกังวล
“สัญญาแล้วนะ” ครอสเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะยื่นแก้วให้คนตรงหน้า
“ครับ ผมสัญญา” ชายหนุ่มผมบลอนด์ตอบพร้อมกับรับแก้วมาถือไว้ ใบหน้าคมคายยิ้มแย้มราวกับว่ากำลังซ่อนความหวาดกลัวไว้ข้างใน ดวงตาสีฟ้ามองของเหลวสีแดงข้นภายในแก้ว ได้กลิ่นคาวเหล็กโชยมา...แม้กลิ่นนี้จะทำให้เขาเคยพะอืดพะอมมาก่อน แต่หากตอนนี้กลับคุ้นเคยกับมัน
เพียงแค่ครั้งนี้...ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
มือใหญ่เอื้อมมาสัมผัสมืออีกข้างที่วางอยู่บนตัก และสั่นระริก เขารู้...แม้อีกฝ่ายจะทำเป็นเข้มแข็ง แต่ในใจต้องกำลังหวาดกลัวอยู่เป็นแน่ ครอสมองใบหน้าที่อ่อนวัยกว่าอีกครั้งเพื่อให้กำลังใจ
เซดริกสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกระดกของเหลวจากแก้วหนึ่งอึกใหญ่!
“แค่ก แค่ก!” เมื่อรสสัมผัสจากของเหลวที่ไม่คุ้นเคยแตะลิ้น และปุ่มรับรสในช่องปาก ร่างกายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว! ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงไอเสียงดังจนตัวโยน ทำให้แก้วไวน์ในมือหล่นลงพื้นแตกกระจาย ของเหลวสีแดงข้างในหกบนพื้นเป็นวงกว้าง แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่มือใหญ่สะบัด
“เซดริก!” ครอสอุทานลั่นด้วยความตกใจ และจับไหล่ของอีกฝ่ายไว้ แต่เมื่อมองดี ๆ กลับพบว่าคนที่ไอเสียงดังจนน่ากลัวนั้นหลับไปแล้ว แวมไพร์หนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปตามขั้นตอน
...จริงเหรอ? ...
เสียงในใจคัดค้าน แต่เขาก็พยายามจะไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มจัดแจงวางร่างที่ไม่ได้สตินอนลงบนเตียง และเช็ดคราบของเหลวที่ติดอยู่บนริมฝีปากออกอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีแดงทอดมองใบหน้าซีดที่กำลังนอนหลับ อย่างน้อยเขาก็หวังว่ากำลังหลับอยู่
ต่อไปก็...
ครอสโบกมือเบา ๆ หนึ่งครั้ง แล้วผ้าสีขาวผืนยาวสองผืนก็ปรากฏขึ้น เขาคว้ามันไปมัดข้อมือทั้งสองข้างของคนที่นอนอยู่เข้ากับหัวเตียง และมัดเป็นปมอย่างแน่นหนา แม้จะรู้สึกไม่ดีที่ทำแบบนี้ แต่ว่า...
...ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจทำร้ายตัวเองได้ ขอโทษด้วย
เขาทรุดกายลงข้าง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะใบหน้าอย่างอ่อนโยน “กลับมาหาข้านะ เซดริก” เขากระซิบแผ่วเบา ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ตึงเครียด และหวาดกลัว...
ถ้าหากทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดล่ะ?
ถ้าหากผลการเสี่ยงครั้งนี้ออกมาเลวร้าย?
...เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไหมนะ? ...
ครอสล็อคประตูห้องอย่างแน่นหนา ต่อให้มีพละกำลังมากแค่ไหน ก็ไม่อาจพังประตูให้เปิดออกได้ ดวงตาสีแดงเหม่อมองบานประตูที่ปิดสนิทราวกับว่าสามารถมองทะลุไปถึงข้างในได้ ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้ แต่เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามขั้นตอน
เซดริกต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครเฝ้ามองตลอดเจ็ดวัน...
แผ่นหลังเอนพิงกำแพงพร้อมกับลมหายใจออกอย่างหนักอึ้ง เปลือกตาปิดลงอย่างเชื่องช้าขณะคิดถึงตัวหนังสือที่ถูกเขียนไว้ในตำราเก่าแก่โบราณเกินกว่าอายุของเขาหลายพันปี พลางนึกทวนว่ามีอะไรที่เขาพลาดไปหรือไม่
เลือด...จากแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์เข้มข้น
ห้อง...ที่ได้รับแสงจันทร์อย่างเต็มที่
และสุดท้ายคือ เวลา...เจ็ดวัน
ขั้นตอนดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่การที่มนุษย์คนหนึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่สะดวกสบาย คน ๆ นั้นต้องทนทุกข์ทรมานกับเลือดแปลกปลอมที่เข้าไปแทรกซึมในระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกายตลอดระยะเวลาเจ็ดวัน
ช่วงกลางวัน คือช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า ‘เวลาแห่งความสงบ’
แต่ถ้าหากกลางคืนมาเยือนเมื่อไหร่...ก็ถึงเวลาที่คน ๆ นั้นต้องต่อสู้กับทั้งตัวเอง และสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หากทนได้ครบตามกำหนดเจ็ดวัน ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์เป็นดังที่คาดหวัง แต่ถ้าหากว่าไม่อาจทนได้เลือดแปลกปลอมอันเป็นของอมนุษย์ก็จะทำลายระบบอวัยวะภายในทุกระบบของร่างกาย รีดเค้นเลือดที่ไม่เข้ากับมันออกจากทุกส่วนที่ทำได้ และสุดท้าย...
. ..ก็จะเหลือเพียงกล้ามเนื้อ และกระดูก หากแต่ไร้เลือดเนื้อ และวิญญาณ
ครอสกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขารู้ว่าเซดริกต้องเจอกับอะไร ถึงไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาเสี่ยงแบบนี้ เพราะเขาเองก็ไม่เคยรู้ว่าวิธีการนี้ได้ผลมาก่อน แต่ในมืออีกฝ่ายยืนกรานขนาดนี้ และเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็หวังให้มันสำเร็จ
ยอมเสี่ยงครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
...แต่มันคุ้มเสี่ยงไหม? ...
อีกครั้งที่แวมไพร์หนุ่มรู้สึกอ่อนแอจนเกลียดตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังทำให้คนที่เขารักมากที่สุดต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
###
ร้อน...
ดั่งมีก้อนหินโยนลงผืนน้ำที่สงบนิ่ง และราบเรียบ วงคลื่นค่อย ๆ แผ่วงกว้าง แรงขึ้น...แรงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับพาไอร้อนเข้ามาแทนที่ความเย็นเยียบ
ผิวน้ำสั่นไหวอย่างรุนแรง ของเหลวสีใสสาดกระเซ็น... แต่แล้วสิ่งที่เป็นละอองนั้นเริ่มกลายเป็นสะเก็ดไฟ และเพียงแค่กะพริบตา ผืนน้ำนั้นก็กลายเป็นทะเลเพลิง!!
ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกใจ ไฟไหม้!!!
ขาทั้งสองข้างพยายามตะเกียกตะกายวิ่งหนี แต่กลับไม่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างพยายามแหวกทางหนี แต่กลายเป็นว่าไม่สามารถขยับมือได้ และเมื่อก้มลงมองดูรอบกาย...ปรากฏว่ารอบตัวนั้นมีแต่ไฟสีแดงส้ม และมันกำลังแผดเผาร่างกายของเขาอยู่!
“อ้ากกกกกกกกกก!!!”
ร่างสูงที่เคยนอนนิ่งเริ่มดิ้นพราด ๆ ทันทีที่ตะวันตกดิน กายบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขาทั้งสองขายกขึ้นเตะอากาศราวกับว่ากำลังหนีอะไรบางอย่าง แต่มือทั้งสองข้างกลับไม่อาจขยับได้ เพราะถูกพันธนาการไว้กับหัวเตียง แต่ชายหนุ่มยังคงพยายามดิ้นรนขยับข้อมืออย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ผิวหนังจึงเสียดสีกับผ้าจนเริ่มเกิดรอยถลอกสีจาง
กระนั้น...เขาก็ยังไม่รู้ตัว และแม้ว่าจะไร้ผล ก็ยังคงพยายามดึงมือให้หลุดจากการพันธนาการ
เมื่อแสงจันทร์สาดส่อง ดวงตาก็เบิกโพลง ทำให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าที่เริ่มมี สีแดงตัดขอบ แต่เมื่อกะพริบตาสีแดงนั้นก็หายไป และเมื่อกะพริบตาอีกครั้งขอบสีแดงก็กลับมาดังเดิม
เสียงหอบหายใจหนักสอดคล้องกับการขยับขึ้นลงรัวเร็วของแผ่นอกเมื่อความเจ็บปวดสุดแสนสาหัสราวกับถูกมีดนับร้อยเล่ม ดาบนับร้อย และค้อนพันอันโหมกระหน่ำแทง ฟัน และทุบอย่างไม่ยั้ง ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงของของเหลวในร่างกายที่ร้อนระอุ และกำลังเดือด
ทรมาน...
เลือดในกายกำลังถูกแทรกแซงด้วยสิ่งแปลกปลอม
ตึก...
หัวใจถูกบีบรัดด้วยของเหลวสีแดงเข้มจนแทบเป็นสีดำ และพุ่งทะลุเข้าหัวใจอย่างรวดเร็ว! ครั้งนี้เกินกว่าที่สติจะรับไหว “อ้ากกกกกกกกก!!!”
ร่างกายกรีดร้องขอการผ่อนปรน เปลือกตากำลังจะปิดลง และหวังว่าจะหมดสติไปซะจะได้ไม่ต้องทนเจอความเจ็บปวดเช่นนี้อีก
แต่ไม่ทันไร...
ความรู้สึกราวกับถูกของมีคมฟาดฟัน และก้อนหินทุบกระหน่ำก็กลับมาอีกครั้ง และตามด้วยการบีบรัดที่หัวใจ วนเวียนไปวนเวียนมาเช่นนี้ไม่ต่างจากวัฏจักรของความเจ็บปวด
เจ็บปวด...กรีดร้อง...
แทบหมดสติ...
...แล้วก็วนกลับไปอีกครั้ง...
จนไม่อาจรู้ได้ว่า ครั้งนี้...เป็นครั้งที่เท่าไหร่กันแล้ว?
###
...วันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไป...
สี่วันไม่ต่างจากอะไรจากหลายสิบปี...
ทุก ๆ วันหลังจากเสร็จสิ้นงานประจำวัน แวมไพร์หนุ่มเจ้าของคฤหาสน์จะแวะเวียนมาที่หน้าประตูห้องที่ปิดตาย ใบหน้าคมคายที่เริ่มซูบตอบดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัดจนพ่อบ้านชราอดเป็นห่วงไม่ได้
“นายท่าน พักผ่อนบ้างเถอะขอรับ” เอเกิลเอ่ยขณะมองร่างสูงที่ยืนพิงประตูบานนั้นนิ่งไม่ไหวติง “ถ้าท่านเซดริกทราบว่านายท่านเป็นแบบนี้ จะยิ่งเป็นห่วงนะขอรับ”
“...”
ไร้การตอบรับใด ๆ แต่แวมไพร์ชราก็ไม่ละความพยายาม ก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นถาดเงินในมือซึ่งมีแซนด์วิชสองคู่วางอยู่ “นายท่า...”
“อ้ากกก!!”
แต่เสียงของเขากลับถูกเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดของใครคนหนึ่งขัด เสียงนั้นลอดออกมาจากหลังบานประตูที่เจ้านายของเขายืนพิงอยู่ สิ่งที่ได้ยิน...ทำให้เขาพูดอะไรต่อไม่ออก
"บอกข้าทีสิเอเกิล...” น้ำเสียงห้าวเริ่มอย่างแผ่วเบา “...ข้าจะกินอะไรลงได้ยังไง?”
ในเมื่อ ‘เขา’ ยังต้องทรมานอยู่เช่นนี้...
นัยน์ตาสีแดงซีดประกายเศร้ามองตามคำพูดของเจ้านาย เอเกิลได้แต่ทอดมองร่างสูงที่ดูไร้เรี่ยวแรงราวกับวิญญาณถูกสูบหายไป ถ้าหากทำได้ เขาเชื่อว่า แวมไพร์ตรงหน้าคงจะทำทุกทางเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดของชายหนุ่มที่อยู่ในห้องนั้นเป็นแน่
“เอเกิล...ข้าทำถูกรึเปล่านะ?” ครอสถามเสียงค่อยจนแทบเป็นเสียงกระซิบ เปลือกตาปิดสนิทขณะพยายามข่มความรู้สึกขมปร่าในช่องท้อง
พ่อบ้านชรานิ่งงันไปเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มจาง ๆ “เชื่อการตัดสินใจของท่านเซดริก เชื่อในตัวเขาสิขอรับ” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะหยิบแซนด์วิชคู่หนึ่งขึ้นมา และบังคับให้อีกฝ่ายรับไว้ สัมผัสที่มือ และคำพูดนั้นเรียกให้เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อย ๆ เปิดขึ้น จึงได้เห็นใบหน้าที่อ่อนโยนของข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ “เพราะฉะนั้นดูแลตัวเองให้ดี รอท่านเซดริกกลับมานะขอรับ”
แล้วเอเกิลก็เดินจากไป ทิ้งให้คำพูดของตนลอยวนเวียนอยู่ในอากาศ
“เชื่อการตัดสินใจของท่านเซดริก เชื่อในตัวเขาสิขอรับ”
ครอสมองขนมปังคู่ในมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองบานประตูที่จนพิงอยู่ เสียงกรีดร้องยังคงดังอยู่เช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง จนความอยากอาหารของเขาพาลหายไปจนหมด
...แต่ว่า...
“เพราะฉะนั้นดูแลตัวเองให้ดี รอท่านเซดริกกลับมานะขอรับ”
แวมไพร์หนุ่มกัดแซนด์วิชในมือหนึ่งคำ และกลืนความรู้สึกอันขมปร่า และทรมานลงคอ “ข้าเชื่อในตัวเจ้า เพราะฉะนั้น...ต้องกลับมานะ เซดริก”
...วันที่ห้า...
เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องกว่าเดิม...
ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดในใจของผู้ที่ต้องรอ...โดยไม่อาจทำอะไรได้
...วันที่หก...
เสียงกรีดร้องสลับกับเสียงโครมครามราวกับเกิดการต่อสู้ข้างใน
เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?
ครอสไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงที่เหมือนกับเครื่องเรือนแตกหักเช่นนี้ แต่สิ่งที่ยังทำให้เขาโล่งใจอยู่ก็คือ เซดริกยังมีชีวิตอยู่ แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเงียบหายไปเฉย ๆ
เขาวางมือที่บานประตูด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “พรุ่งนี้แล้วสินะ”
ข้ารอเจ้าอยู่นะ...
...วันที่เจ็ด...
ไร้เสียงใด ๆ
“ไม่นะ...” เสียงห้าวพึมพำแผ่วเบาพร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบ อยากเปิดประตูเข้าไปใจแทบขาด หากแต่ยังไม่ครบกำหนดเวลา
อีกสองนาทีก็จะครบเจ็ดวัน
“ปัดโธ่เว้ย” ครอสสบถด้วยความหงุดหงิด ทำไม...ทำไมเงียบไปล่ะ!
อีกหนึ่งนาที...
เซดริก อย่าเงียบไปแบบนี้สิ
เป็นครั้งแรกที่เขานึกเจ็บใจในพลังของตัวเองที่แม้ว่าจะมีมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจเร่งเวลาให้เร็วขึ้นได้
และในที่สุด...
...ก็ครบกำหนดเจ็ดวัน
ครอสไม่รอช้าสลายมนตราที่กลอนประตู และเปิดผลัวะเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว “เซด...” แต่แล้วก็ต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสภาพภายในห้องซึ่งแตกต่างจากเมื่อเจ็ดวันที่แล้วราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
กำแพงรอบห้องเต็มไปด้วยรอยร้าว และมีร่องรอยราวกับถูกทุบด้วยกำปั้นอย่างแรง ประตูตู้เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากออกมา และเหมือนถูกกระทืบจนหักเป็นสองท่อน แม้แต่กระจกหน้าต่างก็แตกร้าว และผ้าม่านก็ขาดเป็นริ้ว ๆ ที่สำคัญที่สุดคือบนเตียงขนาดใหญ่ไร้ร่างของคนที่ควรจะนอนอยู่
ร่างสูงรีบรุดไปยังเตียงนอน แล้วก็พบว่าผ้าที่เคยใช้มัดข้อมือฉีกขาดราวกับมีแรงมหาศาลเอาชนะมนตราของเขาได้ อะไรกัน มือหนาแตะบนผ้าปูที่นอนสีขาว แล้วพบว่ามันยังอุ่นอยู่ แสดงว่าต้องมีใครสักคนนอนอยู่บนนี้จนกระทั่งเมื่อสักครู่แน่ ๆ
แล้วใครสักคนที่ว่าอยู่ไหน?
ครอสกลืนน้ำลายอันเหนียวหนืดลงคอ เขาไม่รู้ว่าถ้าหากสำเร็จจะเป็นเช่นไร หรือถ้าหากล้มเหลว ร่างของคน ๆ นั้นจะเป็นเช่นไร จะกลายเป็นเถ้าธุลีหายไปอากาศ หรือ...อันตรธานหายไปเฉย ๆ
...เขาไม่รู้เลย...
แต่เมื่อเห็นไม่เห็นร่างของใครบนนี้ มันทำให้ความคิดเริ่มเอนเอียงไปยังผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
“ไม่จริงน่ะ...” ความจริงอันโหดร้ายเริ่มโจมตีให้ร่างกายสูญเสียการทรงตัว เรี่ยวแรงถูกสูบออกจากร่างจนแทบยืนไม่อยู่ แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานก็ปรากฏขึ้นข้างหลัง!
รังสีอำมหิต!
ครอสหันขวับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับกางกรงเล็บออกตามสัญชาติญาณการป้องกันตัว แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังนั้นเร็วกว่ามาก เขาถูกคว้าที่ลำคอ และเหวี่ยงลงกับพื้นอย่างแรง แผ่นหลังกระแทกพื้นปูนเสียงดังพลั่ก!
ดวงตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว และไม่นึกว่าจะเสียท่าง่ายขนาดนี้ เขากัดฟันด้วยความเจ็บใจ พยายามแกะ ‘มือ’ ที่รวบคอเขาอยู่จนเกือบจะสำเร็จ แต่แล้วก็มีบางอย่างกระแทกที่ท้องอย่างแรงจนจุก
“จ...เจ้า...”
แล้วแสงจันทร์ก็สาดส่อง... กระทบรูปร่างของสิ่งที่ลอบทำร้าย
ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ ‘สิ่ง’ หากแต่เป็น ‘ร่างกาย’
ใบหน้าได้รูปของชายคนหนึ่งล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีบลอนด์ก้มลงมองคนที่ตัวเองกดให้ติดกับพื้น ไหล่กว้างขยับขึ้นลงรัวเร็วตามเสียงหายใจหอบหนักราวกับผ่านการวิ่งมาหลายไมล์ เสื้อผ้าขาดวิ่นทำให้มองเห็นผิวขาวซีดที่เต็มไปด้วยรอยแผลขีดข่วน และบริเวณข้อมือก็มีรอยแผลถลอกเหวอะ
และเมื่อจ้องมองดี ๆ อีกครั้งก็พบว่า ดวงตาสีแดงสดจ้องเขม็งมาอย่างไม่กะพริบ
ก้อนหนัก ๆ ในอกเมื่อครู่พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทุกอย่างที่ครอสเห็นบอกผลลัพธ์สุดท้ายได้เป็นอย่างดี
เจ้า...ไม่ตาย...
“เซด...ดริก...” เมื่อออกเสียงจึงได้รู้สึกตัวว่าคอของเขายังไม่เป็นอิสระ เขาจึงพยายามแกะมือนั้นออก และทำได้ง่ายกว่าเดิมเมื่อมือข้างนั้นผ่อนแรงไปมาก
เหมือนกับว่าเสียงที่เรียกชื่อเมื่อครู่ทำให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์
“เซด...” เสียงห้าวเอ่ยขึ้นอีกครั้งจากริมฝีปากที่ค่อย ๆ ฉีกยิ้มกว้าง มือหนายกขึ้นช้า ๆ หมายจะจับโครงหน้านั้นที่ถวิลหา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแววตาที่จ้องตอบกลับมาชัด ๆ
ดวงตาเบิกโพลง...และรูม่านตาลีบเล็ก
แย่ล่ะสิ! ครอสไม่ได้คาดคิดว่าผลข้างเคียงที่ตามมาจะเป็นเช่นนี้ อีกฝ่ายกำลังบ้าคลั่ง และขาดสติจนบางทีอาจไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ มีเพียงสัญชาติญาณดิบเท่านั้นที่ขับเคลื่อนร่างกายให้เคลื่อนไหว
ตึง!!
ทันใดนั้น ฝ่ามือทั้งสองข้างที่เป็นอิสระของเซดริกก็กระแทกลงพื้นปูนข้างใบหน้าของครอสอย่างแรงจนเป็นรอยร้าว เสียงหอบหายใจดังหนักกว่าเดิมจนน่าสงสาร และเรียกให้คนที่นอนอยู่ข้างล่างเงยขึ้นมอง จึงได้พบว่าดวงตาคู่นั้นกำลังอ้อนวอนอะไรบางอย่าง แม้ม่านตาจะลีบเล็ก แต่ครอสก็เห็นความหวาดกลัวในแววตานั้น
ริมฝีปากแห้งผาก และซีดเผือดขยับช้า ๆ “ล...เลือ...” พูดได้เพียงแค่นั้น สิ่งแปลกปลอมในปากที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ทิ่มกระพุ้งแก้มจนมีเลือดไหลออกที่มุมปาก
แต่เท่านี้ก็พอแล้ว เพราะไม่ต้องให้พูดจบ แวมไพร์หนุ่มผมดำก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ครอสยกแขนขวาขึ้น และใช้เล็บจากนิ้วชี้ข้างซ้ายที่ยาวและคมกริบกรีดบนข้อมืออย่างไม่ลังเล แล้วก็ยื่นแขนข้างนั้นให้พร้อมกับจ้องเขม็งที่ดวงตาสีเดียวกัน แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าแวมไพร์ด้วยกันจะสามารถรับเลือดจากแวมไพร์ด้วยกันเองได้หรือไม่ แต่ตอนนี้...เขาก็ไม่มีทางเลือกแล้ว
มืออันสั่นเทาข้างซ้ายยกขึ้นจากพื้น และแตะแขนที่บริเวณข้อมือมีรอยแผลลึกลากยาว ของเหลวสีแดงข้นเริ่มไหลออกจากปากแผล กลิ่นคาวจาง ๆ โชยต้องจมูกบนใบหน้าที่ค่อย ๆ ก้มลงมา
ใบหน้าขาวซีดจ้องมองของเหลวสีเข้มอย่างไม่วางตา เขารู้...ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร และเพราะรู้จึงทำให้เกิดความรู้สึกคันยิบที่มุมปาก แม้จะไม่เคยได้สัมผัสรสชาติ แต่แรงกระตุ้นภายในกลับตะโกนร้องบอกอยากเอาเป็นเอาตายว่า
...รออะไรอยู่ล่ะ ต้องการไม่ใช่เหรอ? ...
ชายหนุ่มผมบลอนด์ค่อย ๆ แสยะยิ้มกว้าง เผยให้เห็นเขี้ยวยาวสีขาวที่มุมปาก และเพียงแค่กะพริบตาคมเขี้ยวก็ฝังลงบนผิวหนังเหนือปากแผล!
ครอสสะดุ้งเล็กน้อย เพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าใช้เขี้ยวที่ไม่คุ้นเคยตั้งแต่ครั้งแรก ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้อมือทำให้เขาอดเบ้หน้าเล็กน้อยไม่ได้ ทุกครั้ง...หมอนี่เจ็บแบบนี้ตลอดเลยเหรอ? ดวงตาสีแดงทอดมองเปลือกตาที่ค่อย ๆ ปรือลงเมื่อได้สัมผัสรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน
เมื่อของเหลวนั้นไหลลงลำคอ เรี่ยวแรงที่หายไปก็ค่อย ๆ กลับคืนมา กลิ่นที่เคยคาวจมูกกลับกลายเป็นหอมหวาน รสชาติที่คิดว่าจะขมปร่ากลับเลิศรสยิ่งกว่าสิ่งใดที่เคยได้ลอง เขาจึงไม่ลังเลที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาติญาณ
ดวงตาสีแดงปรือลงเพื่อจะรับรสชาติที่แปลกใหม่ให้ได้เต็มที่ สมาธิจดจ่ออยู่ที่สิ่งที่อยู่ใต้เขี้ยวขาวเท่านั้น จึงไม่ทันรู้สึกตัวว่ามืออีกข้างของอีกฝ่ายกำลังลูบเส้นผมสีบลอนด์ของเขาอย่างเบามือ
ดูท่าจะไม่เกิดอาการต่อต้าน
แวมไพร์หนุ่มผมดำคิดในใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าแวมไพร์ที่เพิ่งเกิดใหม่ตนนี้จะยอมรับสิ่งที่เรียกว่า ‘การดูดเลือด’ ได้อย่างง่ายดาย
และเวลาก็ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า...ราวกับจะเป็นใจให้ ‘คนที่เพิ่งกลายเป็นแวมไพร์’ ได้ลองของใหม่อย่างไรอย่างนั้น จนในที่สุดเขี้ยวสีขาวก็ค่อย ๆ ถอนออกจากผิวหนัง ทิ้งรูเล็ก ๆ สองรูไว้เป็นหลักฐาน แต่ก็ไม่วายยังมีเลือดไหลออกจากปากแผลเล็กน้อย
เซดริกที่กลืนของเหลวที่อยู่ในโพรงปากลงลำคอเป็นครั้งสุดท้ายเห็นแผลที่ตนทำไว้มีเลือดไหลเป็นทาง ก็ไม่รอช้า ก้มลงเลียอย่างไม่ลังเล ทำเอาดวงตาสีแดงอีกคู่เบิกกว้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
เอาคืนกันรึไง? ครอสคิดในใจอย่างนึกขัน แต่ว่า...เห็นแบบนี้แล้ว...
มือที่เคยลูบเส้นผมสีบลอนด์อย่างอ่อนโยนออกแรงบังคับให้ใบหน้านั้นหันมา และกดให้ก้มลงต่ำจนปลายจมูกของทั้งสองคนแทบจะชนกัน มันอดไม่ได้จริง ๆ แล้วมือหนาก็เลื่อนไปที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย และกดใบหน้าที่กำลังตื่นตะลึงให้เข้ามาใกล้จนกระทั่งริมฝีปากแนบชิด
แม้จะได้รสเลือดติดมา แต่ครอสก็ไม่สนใจ ใช้ลิ้นดุนที่ริมฝีปากจนคนโดนบังคับต้องเผยอเปิด และยอมให้สิ่งที่ชื้นแฉะเข้าไปรุกล้ำ
จูบเดิม...จากคนเดิม...
แต่กลับเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความทรมานได้อย่างง่ายดาย เต็มไปด้วยแรงปรารถนา และความคะนึงหาจนเอ่อล้น เจ้ากลับมา...
ความคิดดังซ้ำไปซ้ำมาในความคิดของแวมไพร์ผู้รอคอย ราวกับว่าความคิดนั้นสื่อไปถึงอีกคนเมื่อขอบเปลือกตาที่ปรือลงยามได้รับจุมพิตรื้นด้วยน้ำตา
ในที่สุด ริมฝีปากทั้งสองคู่ก็ผละออกจากกัน ตามด้วยรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า “กลับมาแล้วครับ” เสียงทุ้มแหบพร่าเพราะไม่ได้พูดอะไรเลยมาตลอดเจ็ดวัน “ขอโทษที่ทำให้รอนานนะครับ”
มือกร้านยกขึ้นสัมผัสใบหน้าที่ยังคงชื้นเหงื่อราวกับต้องการยืนยันอีกครั้งว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน “ฉันรอมาตั้งสองปี กับแค่เจ็ดวันทำไมจะรอไม่ได้ล่ะ?” ชายหนุ่มผมดำตอบทีเล่นทีจริง
เซดริกหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “เหนื่อยไหมที่ต้องรอผมอยู่เรื่อย?” เขาถามขัน ๆ กลับไปบ้าง
“ถ้าเหนื่อยคงไม่รอมาขนาดนี้หรอก” อีกฝ่ายตอบกลับทันทีก่อนจะยันกายให้ลุกขึ้นโดยไม่บอกกล่าว จนทำเอาคนที่คร่อมอยู่เมื่อครู่ลุกขึ้นแทบไม่ทัน
แต่ไม่ทันไรก็โดนฉุดข้อมือให้ลงมานั่ง...ตักของคนที่นั่งอยู่บนพื้นจนได้คนโดนฉุดทำตาโตใส่ด้วยความตกใจ “อ่า...ไม่นั่งท่านี้ไม่ได้หรอ?”
“ทำไมล่ะ?” คิ้วเรียวสีดำเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “ฉัน...ออกจะชอบนะ” ว่าแล้วแขนข้างนึ่งก็โอบรอบเอวของคนที่นั่งอยู่บนตัก ส่วนมืออีกข้างก็กำลังม้วนปลายผมสีบลอนด์เล่นอย่างสบายอารมณ์
“ก็...ก็มัน” แต่ก็รู้ดีว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ แน่
คนที่นั่งอยู่บนพื้นไม่เอ่ยอะไรต่อนอกจากจ้องลึกเข้าไปที่ดวงตาสีแดง…ดวงตาสีเดียวกันกับเขา คราบเลือดแห้งกรังที่มุมปาก และเขี้ยวสีขาวที่โผล่ออกมาให้เห็นเป็นบางครั้ง ยิ่งเป็นเครื่องยื่นยันว่าตอนนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘เผ่าพันธุ์’ และ ‘เวลา’ มาคั่นกลางระหว่างพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
เซดริกถึงกับสะดุ้งเมื่อโดนสายตาคมกริบจ้องมอง รู้สึกหน้าร้อนฉ่าอย่างไม่มีสาเหตุจนต้องรีบหลบสายตา และหันไปมองทางอื่นแทน
สายตาที่มองมาอย่างตรงไปตรงมา ลึกซึ้ง และเต็มไปด้วยความรู้สึกแบบนั้นไม่ว่ายังก็ยังไม่ชินเสียที
ครอสอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าขึ้นสีระเรื่อ “รู้สึกยังไงบ้าง?” อย่างน้อยคำถามของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายหันหน้ากลับมาได้
“ไม่รู้สิ” แวมไพร์หนุ่มผมบลอนด์ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางสำรวจตัวเอง “ที่จริงก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปเท่าไหร่นะ ตรงข้ามกับก่อนหน้านี้ลิบลับ” แล้วก็อดเบ้หน้าไม่ได้เมื่อนึกถึงช่วงเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมา
“ฉันหมายถึงนี่” ว่าแล้วคนที่นั่งอยู่บนพื้นก็ยกข้อมือขวาขึ้นมาที่ระดับสายตาของอีกฝ่าย ดวงตาสีแดงสดมองรอยแผลที่เป็นรูเล็ก ๆ สองรูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผงะไปข้างหลัง
“เอ้อ...มันก็...” เซดริกไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ครั้นจะพูดว่า ‘อร่อย’ ก็รู้สึกกระดากปากอยากบอกไม่ถูก เพราะไม่กี่วันที่ผ่านมา สิ่งที่เรียกว่า ‘เลือด’ เป็นหนึ่งในอันดับท้าย ๆ ของสิ่งที่เขาอยากจะลอง แต่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเขาเพิ่งได้ลิ้มรสมันไป โดยที่ไม่รู้ตัวเขาก็แตะรอยแผลนั้นอย่างแผ่วเบา แม้รอยแผลยาวจะสมานดีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าของเหลวสีแดงจะแห้งสนิท
ความรู้สึกชื้นแฉะที่ชายหนุ่มสัมผัสทำให้เขาเผลอลูบบริเวณแผลนั้นอย่างเหม่อลอย ริมฝีปากเริ่มคันยิบ ๆ ด้วยความอยากขึ้นมาอีกครั้ง...
ครอสอมยิ้มเล็กน้อย และไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร แต่กลับจ้องเลือดอย่างไม่วางตา เพราะเขารู้ว่ารสสัมผัสที่ได้เป็นอย่างไร ครั้งแรกที่เลือดแตะปลายลิ้นของเขา ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าชีวิตนี้ไม่อาจขาดมันได้อย่างแน่นอน รสชาติหวาน และกลิ่นหอมยิ่งกว่าสิ่งใด
ร่างสูงผมดำเหยียดย้มด้วยความพอใจลึก ๆ เมื่อเห็นว่าดวงตาสีแดงอีกคู่พราวระยับ วูบหนึ่งนึกอยากให้อีกฝ่ายต้องการแต่เลือดของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
...และสร้างพันธะสัญญากับเขาแต่เพียงผู้เดียว...
“แล้วแผลนี่ล่ะ เจ็บไหม?” ครอสเอ่ยถามอีกครั้งขณะใช้อีกมือหนึ่งที่เมื่อครู่รวบเอวคนบนตักไว้ จับข้อมือที่เป็นรอยถลอกน่ากลัวอันเกิดจากรอยเสียดสีของผ้าที่รัดไว้ กับผิวหนัง
อีกฝ่ายยักไหล่เบา ๆ “ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอกครับ” เขาตอบ และรู้ได้ทันทีว่าคนถามคิดอะไรอยู่ “ไม่ใช่ความผิดคุณหรอก ถ้าคุณไม่มัดไว้ ป่านนี้ผมคงข่วนตัวเองจนตายก่อนจะครบเจ็ดวันเสี...” แล้วคำพูดก็หายไปเสียดื้อ ๆ เมื่อจู่ ๆ ริมฝีปากเย็นก็ประทับลงบนรอยแผลนั้นอย่างแผ่วเบา ตอนแรกก็ตกใจเล็กน้อย แต่พอเห็นดวงตาคมกริบที่เงยขึ้นสบ ใบหน้าก็ร้อนวูบวาบทันที
ขณะนั้นเอง เมฆที่บัดบงดวงจันทร์เสี้ยวก็เคลื่อนหายไป แสงจันทร์ที่มีเพียงน้อยนิดลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา กระทบเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าของคนที่กำลังประหม่า โครงหน้าได้รูป ผิวแม้จะไม่นวลเนียนแต่ชวนให้สัมผัส ดวงตาสีแดงสดใส และริมฝีปาก
...ชวนมอง และน่าหลงใหล ...
แขนข้างขวาเอื้อมไปโอบรอบเอวของอีกฝ่าย และดึงให้เข้ามาใกล้ แล้วจรดริมฝีปากเหนือรอยขีดข่วนที่ลำตัวที่สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ พรมจูบเหนือแผลแล้วแผลเล่าอย่างแผ่วเบา และไม่รังเกียจ แม้อีกฝ่ายจะพยายามดันไหล่ของเขาออกแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดแต่อย่างใด ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามใต้ผิวหนังที่เต็มไปด้วยรอยแผลแล้ว ยิ่งทำให้อยากแกล้งมากกว่าเดิม
เซดริกรู้สึกเหมือนภายในร่างกายกำลังสั่นระริกก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อตอนนี้ไม่ใช่ริมฝีปากที่กำลังสัมผัสผิวกายเขาอยู่ หากแต่เป็นบางอย่างที่ชื้นแฉะกำลังเลียรอยขีดข่วนทั้งหลาย “มัน...สกปรก...” แม้แต่ตัวเองยังแปลกใจที่เสียงที่เปล่งออกมาขาดเป็นห้วง ๆ
แต่เหตุผลแค่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ร่างที่สูงกว่าหวั่น เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิงเมื่อมือกร้านที่โอบรอบเอวเริ่มระรานไปข้างหลัง
ปึก!
“หยุดเลย...” เซดริกพูดเสียงเข้ม...ที่สุดเท่าที่จะทำได้ตอนนี้ กำปั้นที่ชกต้นแขนแกร่งยกขึ้นระดับสายตาของอีกฝ่าย ใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีบึ้งตึงเล็กน้อยเมื่อเริ่มโดนแกล้งหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องยอมรับภายในร่างกายตอนนี้กำลังปั่นป่วนอย่างหนัก
ครอสกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างไม่ยี่หระ “ก็ได้” สิ้นคำ มือเดียวกันนั้นก็โอบรอบแผ่นหลังที่สั่นระริก และดึงเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม แล้วริมฝีปากก็งับเข้าที่จุดเล็ก สีอ่อนที่แผ่นอก ทำเอาร่างนั้นสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ และพยายามขืนตัวหนี แต่มือข้างที่โอบรอบแผ่นหลังไว้ก็ไม่ยอมง่าย ๆ ส่วนอีกข้างก็เลื่อนมากดเบา ๆ ที่อีกฝั่งอย่างจงใจ
เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกจากลำคอ ยิ่งทำให้คนกระทำไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ทั้งลิ้น และนิ้วทำหน้าที่ของมันอย่างเพลิดเพลินจนได้ยินเริ่มได้ยินเสียงหอบหายใจปนกับเสียงคราง แต่มือของคนที่เริ่มหัวหมุนก็ไม่ยอมแพ้ ค่อย ๆ ลูบไปตามแผงอกใต้เสื้อเชิ้ตเป็นการเอาคืน
ส่วนล่างของคนที่นั่งอยู่บนตักเริ่มแข็งตัว และคนข้างล่างก็รู้เช่นกัน “รู้สึกซะทีนะ” เสียงห้าวกระซิบแผ่วเบาอย่างรู้ทัน ทำเอาคนได้ยินหน้าร้อนผ่าว
“พูดอะไร...” ไม่ทันได้พูดจบ ดวงตาสีแดงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่พยายามขืนตัวออกมา และสัมผัสแผ่วเบากับของเขา เซดริกเม้มปากแน่นเมื่อรู้ว่า ‘บางอย่าง’ คืออะไร
“อย่าเก็บเสียงสิ” ครอสจงใจขยับตัวเล็กน้อย ยิ่งทำให้บางอย่างที่ว่านั้นสัมผัสกันมากขึ้นจนอีกฝ่ายเผลอปล่อยเสียงออกมา
“คุณนี่มัน....”
อีกครั้งที่ไม่ทันได้พูดอะไร มือข้างที่โอบรอบแผ่นหลังเขาอยู่ก็กดท้ายทอยของเขาให้โน้มลงมา และรับรอยประทับจากริมฝีปากเย็นเฉียบ เซดริกปล่อยมือที่ลูบไล้อีกฝ่ายอยู่มาแตะโครงหน้าได้รูป เปลือกตาค่อย ๆ ปรือลงพร้อมกับเผยอปากรับสิ่งที่ชื้นแฉะให้เข้ามา
อาจเป็นเพราะอารมณ์ถูกกระตุ้นแล้ว หรืออาจเป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่า ความต้องการ ที่รุนแรงกว่าเดิมจากภายในร่างกายของอมนุษย์ที่ทำให้จูบครั้งนี้ร้อนแรง และแทบหลอมละลายทั้งคู่ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ราวกับทั้งบนและล่างกำลังแข่งขัน ประมือกันหาผู้ชนะ จนในที่สุดคนเริ่มก็ผละริมฝีปากออก ทำให้อีกฝ่ายแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่ทันไรคนที่แปลกใจก็สะดุ้งเฮือกเมื่อมือกร้านเริ่มเคลื่อนต่ำลง และระรานเข้าไปในกางเกงข้างหลัง
คราวนี้ห้ามก็ไม่อยู่แล้ว เมื่อคนจะห้ามไม่มีแรงพอพร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในสติที่เริ่มปั่นป่วนว่าไม่อยากห้ามแล้ว
...อยากให้สัมผัสมากกว่านี้...
ราวกับความคิดนั้นสื่อถึงอีกฝ่ายแม้ไม่ได้เอ่ย แวมไพร์หนุ่มผมดำคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับเคลื่อนมือผ่านกางเกงตัวในสุด ลูบไปตามผิวหนังที่เริ่มเปียกชื้นเพราะอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น
“ขอให้หยุด ฉันก็ไม่หยุดให้แล้วนะ”
เซดริกไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับคล้องแขนที่ลำคอของอีกฝ่าย “ก็ผมเป็นของคุณนี่” ว่าแล้วก็ประทับริมฝีปากที่หน้าผากชื้นเหงื่อ “และคุณก็เป็นของผม”
คนที่นั่งอยู่บนพื้นถึงกับทำตาโตอย่างตกตะลึง เพราะไม่นึกว่าคนที่ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ อยู่ดี ๆ จะพูดขึ้นมาแบบนี้ในสถานการณ์แบบนี้ด้วย
แบบนี้มันยั่วกันนี่...
ครอสกระตุกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะจูบเบา ๆ ที่ปลายคางคนตรงหน้า “นายก็เป็นของฉัน” กระซิบแผ่วเบาข้างใบหูพร้อมกับเคลื่อนมือลงต่ำกว่าเดิม และพบจุดที่ค้นหา ทำเอาคนพูดเมื่อครู่สะดุ้งโหยงเมื่อถูกสิ่งแปลกปลอมรุกรานเข้าไปในร่างกาย และยิ่งเมื่อแขนทั้งสองข้างคล้องรอบคอของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ร่างกายก็ยิ่งสั่นระริกราวกับมันเข้าที่เข้าทาง กระตุ้นให้ส่วนล่างของคนที่อยู่ข้างบนยิ่งดุนหนักมากกว่าเดิม
ครอสยกมืออีกข้างจับมือข้างขวาของอีกฝ่ายให้ลงต่ำ “จับสิ”
เซดริกถลึงตาใส่ แต่เมื่อมือขวารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แข็งขืนใต้ร่มผ้าของคนที่นั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าก็แดงซ่านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ก็ฉันเป็นของนาย...ไม่ใช่เหรอ?”
แล้วริมฝีปากก็ประกับกันอีกครั้งพร้อมกับการเคลื่อนไหวของมือของทั้งสองคน แลกเปลี่ยนสัมผัส และเติมเต็มความต้องการของกันและกัน ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความปรารถนา เคล้าคลอเป็นท่วงทำนองสอดรับกับสายสัมพันธ์ที่มีให้กัน
เส้นด้ายสีแดงที่เลือนรางได้รับการถักทอจนเส้นขอบชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากเส้นบางเฉียบ ค่อย ๆ หนาขึ้นและเกี่ยวพันรัดแน่นจนแข็งแรงรอบกายของชายหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังสานสัมพันธ์กัน
“ผมรักคุณ” เสียงทุ้มปนกับเสียงหอบหายใจเปล่งออกมาจากริมฝีปากช้ำ
“รัก...มากที่สุด” เสียงที่ห้าวกว่าต่อประโยค เติมเต็มถ้อยคำ ความหมาย และช่องว่างที่หายไปของชีวิต ร่างสูงผุดลุกขึ้นกะทันหัน และหอบเอาอีกคนไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว ทันทีที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายสัมผัสเตียง วงแขนกำยำก็โอบรอบร่างกายที่สะดุ้งเล็กน้อย ออกแรงกอดแน่นพร้อมกับซุกใบหน้าที่ซอกคอขาว “คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้นายไปไหนอีกแล้ว”
เซดริกที่เมื่อครู่ตกใจเพราะอยู่ ๆ ก็โดนพามาที่เตียงโดยไม่ทันได้ตั้งตัวคลี่ยิ้มบาง ๆ พร้อมกับโอบรอบคอของอีกฝ่ายเช่นกัน “พูดเหมือนผมจะไปไหนได้ ยอมทรมานตั้งขนาดนั้นนี่นา” เขาพูดติดตลกอย่างอารมณ์ดีกลบอาการเขิน แต่ก็ไม่อาจปกปิดหัวใจที่เต้นระรัวได้เมื่อลมหายใจอุ่นร้อนยังคงเป่ารดผิวที่ลำคออยู่เช่นนี้....
ครอสฉีกยิ้มกว้างขณะยกศีรษะขึ้น และจ้องใบหน้าขาวซีดที่แต้มด้วยสีแดงระเรื่อในระยะประชิด “ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่กลับมา”
“ทั้งหมดของผมอยู่ที่นี่หมดแล้ว ยังไงก็ต้องกลับมา” เซดริกยกมือขึ้นแตะโครงหน้าได้รูปของอีกฝ่าย
ไม่เคยคิดเลยว่าจะรักใครได้มาก...ขนาดนี้
“และเราจะอยู่ด้วยกัน...ตลอดไป” แวมไพร์ผมดำเอ่ยพร้อมกับแตะหลังมือที่วางอยู่บนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา “ที่รักของข้า”
ใบหน้าที่แดงระเรื่ออยู่แล้ว ยิ่งแดงซ่านกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำเรียกนั้น “ฟังแล้วจั๊กจี้แฮะ” เขาพูดเสียงเบาแม้จะเขินมากแค่ไหน แต่ก็รู้สึกดีไม่น้อยเช่นกัน แต่คนเรียกก็ไม่พูดอะไร กลับเอี้ยวหน้าไปจูบเบา ๆ ที่ฝ่ามือ
“ที่รัก...” ริมฝีปากเย็นประทับที่หน้าผากชื้นเหงื่ออีกครั้ง “...ที่รักของข้า” แล้วมอบสัมผัสสุดท้ายที่ริมฝีปากบางที่รออยู่แล้วพร้อมกับแขนสองคู่โอบกอดกันแนบแน่น ผิวกายสัมผัสกันทุกส่วน แลกไออุ่น และความรักที่มีต่อกัน
.
.
...ท่วงทำนองยังคงบรรเลง ขับขานอย่างเสนาะหู แต่แผ่วเบา... แต่ถ้าหากเงี่ยหูฟังก็อาจได้ยินเสียงบางอย่างเสียดสีสายลม กระพือก้องดังราวกับปีกที่โบยบินอย่างอิสระ...
หรือหากแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า...
...อาจเห็นเงาบางอย่างตัดผ่านนภาสีเข้มยามราตรี พาดผ่านดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง และหากเพ่งมองสักนิด อาจจะเห็นปีกสีดำสองคู่โบกสะบัด
เคียงข้างกัน...
...ชั่วนิรันดร
--- THE END ---
ตอนต่อไปจะเป็นตอนพิเศษ ซึ่งจะเป็นตอนสุดท้ายที่จะลงออนไลน์นะคะ
ในเล่มจะมีตอนพิเศษอีก 2 ตอนค่า
นุ้งเซดจะประกาศศักดาความเป็น "คนของดีแฟนธ่อม" และ "ความแซ่บ" ให้ทุกคนได้รู้กันล่ะ :)
⚠️Pre-Order ไม่ทันไม่เป็นไรค่ะ ⚠️
เพราะยังสามารถซื้อตัวเล่มได้ที่งาน Gen Y Trade Area#8 บูธ A8 (mwix) นะคะ
วันที่ 3/มีนา/2562 ที่ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สนามเป้า ค่า
โดยในบูธเราแชร์กับเพื่อน ๆ อีก 3 ท่านค่ะ
ใบเมนู A8 mwix
มองหาปกรูปปราสาทได้เลยค่า ^_^
***หลังจบวันงาน Gen Y เราจะทยอยส่งไปรฯ ให้กับรอบพรีออเดอร์นะคะ สำหรับรอบไปรฯ หลังวันงาน Gen Y / รีปริ๊นท์ (อาจจะ) / e-book จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งค่า
***ทุกตอนที่ลงออนไลน์ เราจะไม่ลบนะคะ :)
สุดท้ายนี้ ใครไปงาน Gen Y เจอกันนะคะ เรามีของขวัญพิเศษให้ด้วยค่ะ ^_^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิอิ น่ารักจุง
อยากอ่านเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ จัง
แว๊บมาเขียนให้อ่านอีกนะค่าา