ตอนที่ 38 : 32nd Tale : สิ่งสุดท้ายที่ทำได้ [Rewrite]
32nd Tale : สิ่งสุดท้ายที่ทำได้
เสียงหอบหายใจหนักด้วยความเหนื่อยดังขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดดั่งเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงปอด ยิ่งหายใจเข้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทรมานมากขึ้น ใบหน้าคมคายที่เคยนิ่งเฉยตลอดเวลาปรากฏริ้วของความเหนื่อยล้า และรอยขีดข่วนเป็นทางยาวบริเวณแก้ม และหน้าผาก เลือดสีแดงเข้มไหลออกจากบาดแผล และมุมปากที่เป็นรอยช้ำ
สภาพตอนนี้ไม่ค่อยพร้อมรบสักเท่าใดนัก
การต่อสู้ในร่างของค้างคาวไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของแวมไพร์เท่าไรนัก เพราะสติสัมปชัญญะจะหายไปวูบหนึ่ง มีเพียงสัญชาติญาณของสัตว์ป่าเท่านั้น ทำ ทุกอย่างเพื่อชัยชนะ แม้ว่าตัวเองต้องบาดเจ็บมากแค่ไหน
ครอสเหล่มองบาดแผลที่แขน และขาทั้งสองข้างอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะพยายามตั้งสติ และเค้นพลังบางส่วนมารักษาบาดแผลฉกรรจ์ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายก็บาดเจ็บไม่แพ้กัน
ดวงตาสีแดงลอบมองไปทางที่เขาหวังว่าจะเห็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อีกสองคน ร่างสูงของชายหนุ่มผมบลอนด์ค่อย ๆ ยันตัวเองให้ยืนขึ้นช้า ๆ แม้ใบหน้าจะเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นควันบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ปลอดภัยดี
ดีใจที่ปลอดภัย
เซดดริกคลี่ยิ้มจาง ๆ ให้เมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้นหันมามอง
ดีใจที่กลับมา
แค่นี้กำลังใจก็มาเพียบ
แต่แล้วแวมไพร์หนุ่มก็สังเกตเห็นว่า รอยยิ้มนั้นจางหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดด้วยความตกตะลึง เขาจึงรีบหันกลับไปทางเดิม
ดวงตาสีแดงก็เบิกกว้างเมื่อเห็นร่างของคู่ต่อสู้ปรากฏชัดขึ้นจากม่านควัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ในมือทั้งสองข้างที่เปรอะเปื้อนด้วยของเหลวสีแดงเข้มของเฟลอสมีก้อนหินสีดำที่คุ้นตา ใบหน้าแสยะยิ้มกว้างเยี่ยงผู้ชนะขณะหินก้อนนั้นค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือช้า ๆ
เจเนซิส!!!
ครอสคิดอย่างตระหนก และโกรธตัวเองที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท บ้าเอ๊ย!
คู่ต่อสู้หัวเราะในลำคอ ก่อนจะถ่ายพลังเวทที่มีทั้งหมดเข้าไปในก้อนหินสีดำ การจะใช้งานเจเนซิสได้นั้นต้องถ่ายพลังที่มีทั้งหมดในตัวไปให้มัน และมันจะกลายร่างเป็นอาวุธตามที่ผู้ใช้ต้องการ ตอนนี้แสงสว่างสีทองก็เริ่มเรืองรองจากสีดำสนิทของเจเนซิส เป็นสัญญาณบอกว่า อีกไม่นานอาวุธที่มีพลังมหาศาลจะพร้อมใช้งาน
ครอสฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ และคลายเวทย์รักษาก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาแสงสีทองนั่น ต้องรีบจัดการหมอนั่นก่อนจะถ่ายพลังเสร็จ! ที่ฝ่ามือข้างขวาของเขาปรากฏแสงสีทองเช่นเดียวกัน โดยหวังว่าเวทย์สายเดียวกันจะไม่ทำให้เกิดการต่อต้าน และทำให้เขาเข้าถึงตัวฝ่ายนั้นได้
แต่วินาทีที่พุ่งเข้าใกล้ เขาเห็นรอยยิ้มเหยียดหยันท่ามกลางแสงสีทอง
ตูม!
ทันทีที่สัมผัสโดนแสงสว่างนั้น ร่างสูงก็โดนพลังบางอย่างกระแทกอย่างแรงจนกระเด็นไปไกล โชคดีที่เขาตั้งหลักได้ทันก่อนหลังจะกระแทกพื้น แต่ที่แย่คือ แผลที่ฝ่ามือข้างขวากลับมาเป็นเหมือนเดิม...ข้อเท้าปวมเป่งและปวดร้าวหากขยับผิดท่า ไหลสั่นไหวอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด
ไม่ได้ผล มือซ้ายกุมมือข้างที่บาดเจ็บ และร่ายเวทย์รักษาอย่างไม่รอช้า
“คิดตื้นไปหน่อยหรือเปล่าดีแฟนธ่อม?” เสียงห้าวของคู่อริเอ่ยอย่างดูถูกแม้ว่าใบหน้าจะเริ่มมีเหงื่อเย็นไหลอาบแก้ม การถ่ายพลังทั้งหมดที่มีไปให้เจเนซิสไม่ใช่แค่เสียพลังเวทย์ไปเท่านั้น แต่มันยังบั่นทอนพลังกายอีกด้วย หากแต่ข้อดีก็คือ จะไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้จนกว่าการถ่ายพลังจะเสร็จสิ้น
และตอนนี้ก็พร้อมแล้ว...
แสงสีทองสว่างวาบมากกว่าเดิมจนไม่อาจเพ่งมองได้ ทำให้ครอสต้องเอามือปิดตาตามสัญชาติญาณ ส่วนชายหนุ่มอีกคนในเหตุการณ์แทบทรุดลงกับพื้น เพราะแรงกดดันที่ส่งมาอย่างไม่ทันตั้งตัวจากเบื้องหลังแสงแสบตานั่น ทำให้เขาตั้งรับไม่ทัน
ไม่ทันแล้ว!
พลังมหาศาลที่ทั้งอบอุ่น และเย็บเยียบจนขนคอลุกชัน...ทำให้แวมไพร์หนุ่มตั้งท่าพร้อมรับการโจมตี ตอนนี้พลาดไปเพียงนิดเดียว คงไม่รอดแล้วแน่ ๆ
เปรี้ยง!!
ไวกว่าความคิด ครอสเบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียดโดยสัญชาติญาณ สายลมแรงวูบผ่านหัวไหล่ขวาอย่างรวดเร็ว และรุนแรง “อะไร...” ดวงตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกใจจนเขาอดหันกลับไปมองไม่ได้
ต้นไม้สูงใหญ่เบื้องหลังเป็นผู้รับเคราะห์แทน... อาวุธยาวเรียวแหลมที่ปลายด้านหนึ่งมีคม ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นพู่สีทองเรืองแสงสว่างปักอยู่ที่ลำต้นอย่างแม่นยำ และเพียงแค่กระพริบตา ต้นไม้ต้นนั้นก็ค่อย ๆ หดขนาดลง จนในที่สุด...ก็กลายเป็นเพียงแค่ต้นหญ้าเล็กจ้อย
ครอสถึงกับนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบหันกลับไปมองทางทิศที่ยิง ‘ลูกธนู’ มา ร่างของคู่ต่อสู้ที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า หากแต่ก้อนหินที่เคยอยู่ในมือหายไปแล้ว และแทนที่ด้วยคันธนูสีขาวขนาดใหญ่ ใบหน้าของผู้ถือครองปรากฏรอยยิ้มแสยะกว้าง ดวงตาสีแดงประกายวาววับด้วยความทระนงตน
“ว้า...น่าเสียดาย พลาดไปนิดเดียว” เฟลอสอุทานอย่างเสียดาย แต่น้ำเสียงกลับไม่คล้อยตาม ราวกับว่าเขากำลังพูดกับแมลงวันตัวจ้อยที่ไร้ทางสู้ “พลังที่ทำให้ทุกอย่างกลับสู่จุดเริ่มต้น เจ้าไม่คิดว่ามันช่างสวยงามเลยหรือ ครอส?” เขาพูดพลางลูบคันธนูคันงามด้วยความหลงใหล
“แต่เมื่ออยู่ในมือเจ้ามันก็กลายเป็นแค่สิ่งอัปลักษณ์เท่านั้น” อีกฝ่ายสวนกลับเสียงเย็น ความคิดประมวลผลการโจมตีหลากหลายรูปแบบซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่มีแผนการใดเลยที่มีโอกาสสำเร็จ ใบหน้าคมคายเริ่มปรากฏริ้วของความเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ข้าจะเอาชนะได้ยังไง...
คำพูดสวนกลับที่น่าหงุดหงิดทำให้ดวงตาสีแดงของผู้ถืออาวุธสีขาวประกายกร้าว “เห่าหอนไปเถอะ!” เฟลอสตวาดลั่นก่อนจะขยับมือไปที่สายธนูซึ่งว่างเปล่า ไม่มีลูกธนูสักดอก... แต่แล้วมวลอากาศตรงนั้นก็เริ่มบิดเบี้ยว บังเกิดสายลมอ่อนสีขาวขุ่น สายลมนั้นค่อย ๆ ยืดยาวขึ้นจนมีความยาวพอดีลูกธนูหนึ่งดอก
เจ้าของอาวุธคว้าสายลมยาวนั้นไว้อย่างไม่รอช้า ทันทีที่นิ้วสัมผัส สิ่งที่ดูเหมือนจะสัมผัสไม่ได้กลับกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้และมีพื้นผิวสีขาวขุ่น เขาขึ้นลูกธนูกับสายธนูอย่างชำนาญ และเล็งปลายอาวุธไปที่คู่ต่อสู้ ริมฝีปากกระตุกยิ้มเหี้ยม
ข้า...ต้องชนะ!
ปลายนิ้วปล่อยจากลูกธนู อาวุธที่ดูไม่มีพิษภัย และเบาหวิวกลับพุ่งออกจากคันธนูอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่เห็นว่ายิงมันออกมาเมื่อไหร่!
ครอสฉากหลบการโจมตีได้อย่างทันท่วงทีทำให้พุ่มไม้ข้างหลังกลายเป็นเหยื่อรับเคราะห์แทน แต่ไม่ทันที่จะได้หายใจหายคอ ลูกธนูอีกดอกก็ตามมาอย่างรวดเร็ว ร่างสูงกลิ้งหลบไปอีกทางได้อย่างหวุดหวิด
อีกครั้ง...ที่ต้นไม้กลายเป็นต้นหญ้าเล็กจ้อย..
เขากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ แบบนี้ก็เข้าใกล้ไม่ได้เลยสิ... ไม่ทันได้คิดแผนการใดต่อ ลูกธนูอีกดอกก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาต้องม้วนตัวหลบไปข้าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่าบาดแผลที่ยังไม่หายดีเริ่มกลับมาทำร้ายความเคลื่อนไหว
แต่ทุก ๆ ครั้งเขาก็สังเกตเห็นว่าแสงสีทองนั้นเริ่มสว่างน้อยลง หรือว่า...
ความหวังเริ่มเกิดขึ้นในใจ ลูกธนูเหล่านั้นคือสิ่งที่แปรเปลี่ยนมาจากพลังเวทย์ของผู้ใช้ ลูกธนูจะปรากฏออกมาเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่พลังที่บรรจุในตัวคันธนูจะหมดลง นั่นก็หมายความว่า ถ้าหากเขาหยังหลบต่อไปได้เรื่อย ๆ เขาก็ยังมีโอกาสหาทางสวนคืน
ถ้าเขายังเหลือแรง...ล่ะก็นะ
“อุ” เขาเผลออุทานออกมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อข้อเท้าที่บวมเป่งทรยศ และออกอาการหนัก ทำให้อยู่ดี ๆ เขาก็ทรุดฮวบลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาสีแดงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อลูกธนูกำลังพุ่งมาทางเขาอย่างรวดเร็ว!
ปัดโธ่เว้ย!! ครอสพยายามเบี่ยงตัวหลบให้พ้นวิถีโค้ง
ฉึก!
ร่างของแวมไพร์หนุ่มผมดำถึงกับตัวงองุ้มด้วยความเจ็บปวด บริเวณช่วงท้องปรากฏลูกธนูสีขาวปักอยู่เกือบมิดด้าม ความเจ็บปวดราวเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงโจมตีสมอง ประสาทสัมผัสด้านชาจนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ปากเปิดกว้างแต่ไร้เสียงใด ๆ ลอดออกมา มีแต่เสียงหอบหายใจหนักอย่างน่ากลัว
มือข้างขวายันร่างที่ล้มไปข้างหน้าได้ทันก่อนถึงพื้น มือข้างซ้ายเลื่อนมาจับบริเวณที่โดนธนูปัก แต่กลับไม่มีสิ่งที่ควรอยู่ตรงนั้น แต่กระนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจ เพราะตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้ตกใจมากกว่า
ทำไมใช้เวทย์ไม่ได้!!
ครอสร่ายมนตราซ้ำไปซ้ำมาเพื่อรักษาบาดแผล แต่มือซ้ายของเขากลับไม่ปรากฏแสงใด ๆ ไม่เพียงแค่นั้น..เขากลับไม่รู้สึกถึงเวทมนต์ใด ๆ ในร่างกายเลยแม้แต่น้อย
บ้าน่า!!!
“รู้สึกยังไงกับการไร้พลัง ดีแฟนธ่อม?” น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นเหนือหัว เรียกให้คนที่ทรุดอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างสูงตระหง่านยืนค้ำหัว และที่มือข้างขวาก็ปรากฏดาบเล่มยาวซึ่งตกอยู่บนพื้นตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้น รอยยิ้มแสยะกว้างอย่างสาแก่ใจปรากฏบนใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือในชัยชนะ ดวงตาสีแดงประกายวาบเมื่อสะท้อนกับแสงสีสองอ่อน ๆ ที่มือซ้าย
“เดอแคลร์!!”
เฟลอสยิ้มเหี้ยมโดยไม่ใส่ใจเสียงตะโกนด้วยความโกรธแค้นของคนไร้พลัง แขนขวายกขึ้นเหนือหัว และตวัดลงมาอย่างรวดเร็ว หมายจะให้คมดาบได้ลิ้มรสลำคอของคู่อริให้สาแก่ใจ และการแก้แค้นของเขาจะจบลง!
ครอสกัดฟันฝืนอาการบาดเจ็บ และเอนตัวหลบไปข้างหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับเกร็งมือข้างขวารอท่าไว้
ฉัวะ!!
เลือดสาดกระเซ็นเมื่อคมดาบฟันลึก พาดยาวจากหัวไหล่ซ้ายไปบริเวณช่วงอกด้านขวา ครอสกระอักเลือดลิ่มใหญ่ออกมา แต่เขาไม่ยอมให้โอกาสนี้หลุดลอยไปแม้จะเจ็บเจียนตายแค่ไหน เขาอาศัยช่วงจังหวะที่อีกฝ่ายตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าเขาจะหลบได้ โน้มตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง และตวัดมือข้างขวาไปข้างหน้า เล็บยาวคมกริบของปิศาจก็ข่วนไปที่ใบหน้าของเจ้าของดาบอย่างรวดเร็ว
“เจ้า!!” เฟลอสคำรามลั่นด้วยความโกรธถึงขีดสุดขณะเลือดไหลจากบาดแผลอาบใบหน้าส่วนล่วง ความเจ็บปวดที่ได้รับเทียบไม่ได้เลยกับความโกรธแค้นตอนนี้ เขายกดาบขึ้นอีกครั้ง หมายจะแทงซ้ำ และคราวนี้ต้องไม่พลาด! คนถูกดาบฟันกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ เขาแทบไม่เหลืออะไรจะไปสู้แล้ว...
แต่แล้วความเคลื่อนที่หางตาทำให้การเคลื่อนไหวของดาบหยุดชะงักกะทันหัน ก่อนที่ริมฝีปากของของแวมไพร์หนุ่มผมทองจะขยับยิ้มเหี้ยม
เช่นเดียวกับครอสที่แทบหยุดหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งเดียวกัน
ไม่นะ!!
###
ร่างสูงตัวแข็งทื่อ...
ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงด้วยความตกใจ ด้วยความตกใจทำให้เกือบร้องลั่นเมื่อเห็นร่างสูงชายหนุ่มผมดำถูกฟันสะพายแล่ง เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นอย่างน่ากลัว ภายในอกบีบรัดจนเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก เขาแทบพุ่งออกไปจากพุ่มไม้ไปหา เคราะห์ดีที่ยังมีสติรั้งขา และเสียงร้องไว้ได้
ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง
...ทรมาน…
เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้
“ฮึก...” เสียงครางเล็กแผ่วเบาดังขึ้นข้างกาย เรียกให้เซดดริกหันไปมองร่างเล็กที่ยังสลบไสล ก่อนจะทรุดกายลงข้าง ๆ เด็กชายด้วยความกังวลใจ
ถ้าเราทำอะไรผลีผลาม แดนต้องเป็นอันตรายแน่ ๆ
ใบหน้าคมคายกวาดมองรอบกายอย่างใจร้อน แล้วก็เห็นช่องว่างใต้พุ่มไม้ใกล้ ๆ ต้องพาแดนไปซ่อน เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ช้อนร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน และเดินด้วยเข่าไปยังที่ซ่อนอย่างแผ่วเบา
เซดดริกปัดเส้นผมสีปรกใบหน้าของเด็กชายออกพร้อมกับมองเสี้ยวหน้าที่เปื้อนเขม่าควัน และมีรอยขีดข่วน แดนยังคงไม่ฟื้นคืนสติจนน่ากลัวว่าภายในจะบอบช้ำหรือเปล่า
ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนร่างกายกำลังพยายามบอกเขาว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ข้างหลังเขา เซดดริกแทบหยุดหายใจพร้อมกับเหงื่อเย็นที่ไหลอาบแก้ม
ไม่จริงน่ะ!
เขาหันขวับกลับไปพร้อมกับย่อตัวลงต่ำ และกลิ้งตัวออกไปนอกดงพุ่มไม้ทันที ความรู้สึกบางอย่างเฉียดแผ่นหลังไปเพียงเส้นผมกั้นจนขนคอลุกชัน แล้วเขาก็ได้เห็นร่างคนที่ตั้งใจจะทำร้ายเขา ก้าวออกมาจากดงพุ่มไม้ที่เขาเคยซ่อนตัว
เฟลอส!
“หืม...หลบทัน?” แวมไพร์ผู้ลอบทำร้ายเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนจะสะบัดดาบทิ้ง และยกคันธนูในมือขึ้นทันที “แล้วแบบนี้ล่ะ!!”
เพียงแค่กะพริบตา ลูกธนูก็ปรากฏขึ้นที่มือ และพุ่งออกจากคันธนูตรงมายังคนที่เกือบตั้งตัวไม่ทัน แต่เซดดริกก็กระโดดหลบไปข้าง ๆ ไปได้อย่างฉิวเฉียด สัญชาติญาณในร่างกายร้องบอกว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็อย่าโดนลูกธนูนั้นเด็ดขาด แม้แต่รอยนิดเดียวก็ห้าม! “เฮ้ย!!” เขาแทบถลันหลบไม่ทันเมื่อลูกธนูอีกดอกพุ่งเข้าใส่ มันเฉียดข้างหูเข้าไปจนได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอย่างน่าขนลุก
ดวงตาสีแดงของคนยิงธนูเริ่มปรากฏริ้วของความโมโหเมื่อยิงไม่โดนเป้าเสียที มือที่ถือคันธนูสั่นระริกด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นภายใน เขาตั้งใจจะยิงธนูใส่มนุษย์คนนั้นเพื่อทำความตั้งใจเดิมของเขาให้สำเร็จ
นั่นก็คือ การทำให้เซดดริกลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น และสร้างรอยแผลทางจิตใจให้กับแวมไพร์คู่แค้น
แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหลบได้ขนาดนี้!!
และที่สำคัญ... เขาเหลือบมองแสงสีทองที่เริ่มริบหรี่ เหลืออีกแค่สองครั้ง
ครอสมองความสามารถในการหลบหลีกนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาเท่าไหร่ แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มผมบลอนด์คนนี้มีความสามารถทางกีฬาสูงพอตัว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะหลบการโจมตีได้ขนาดนี้ ดวงตาสีแดงมองบาดแผลฉกรรจ์บนลำตัวอย่างครุ่นคิดสลับกับร่างสูงที่ยืนหอบแฮ่ก และตั้งท่าเตรียมหลบครั้งต่อไป
ขอให้ได้ผลด้วยเถอะ
ทางด้านเซดดริกปาดเหงื่อเย็นที่ไหลเข้าตาอย่างนึกรำคาญ ความกดดัน และรังสีอาฆาตที่สัมผัสได้จากแวมไพร์เจ้าของคันธนูทำเอาเขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง การเผชิญหน้ากับปิศาจตัวเป็น ๆ และมีเป้าหมายเพื่อจะทำร้ายแบบนี้เป็นเรื่องไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
เจ็บ... ลมหายใจเสียดท้องช่องอก เพราะความรู้สึกหนักอึ้ง ยังไง ๆ ...ความกลัวตายก็สลัดไม่ออกอยู่ดี
เอาไงดี จะหลบต่อไปแบบนี้คงไม่รอดแน่
แล้วดวงตาสีฟ้าก็เบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่ออยู่ดี ๆ ร่างของแวมไพร์ตรงหน้าก็หายวับไปเพียงแค่กะพริบตา “ซวยแล้ว...” เขาพึมพำแผ่วเบาพร้อมกับกวาดสายตารอบตัวอย่างตระหนก หายไปแบบนี้ก็แย่สิ!
“ทางขวา!” เสียงตะโกนร้องบอกทำเอาเซดดริกสะดุ้งโหยง แต่มันก็ทำให้เขากระโดดหลบไปยังทิศตรงกันข้ามได้อย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง “เซดดริก!” เสียงเดิมตะโกนเรียกชื่อเขา เรียกให้เจ้าของชื่อหันขวับไปมองทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
ดาบเล่มยาวที่คุ้นตาถูกโยนมาจากร่างของแวมไพร์หนุ่มผมดำซึ่งทรุดกายบาดเจ็บอยู่บนพื้น เซดดริกรับมันมาอย่างงง ๆ ดวงตาสีฟ้ามองไปที่เจ้าของดาบอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อแสงสีขาวจาง ๆ ปรากฏอยู่เหนือบาดแผลฉกรรจ์ของอีกฝ่ายก็พอทำให้เขาเข้าใจ
สิ่งที่ครอสคิดไว้ คือให้เซดดริกใช้ดาบนี้ป้องกันตัวเองไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะดีขึ้น ดวงตาสีแดงมองแสงสีขาวขุ่นที่กำลังสมานแผลเบื้องต้นอย่างร้อนใจ ถือว่าโชคดีที่เค้นพลังเฮือกสุดท้ายออกมาได้พอเรียกดาบ และใช้เวทย์ระดับต่ำมากได้
บางทีเขาก็นึกกลัวพลังที่มีในตัว...
แม้จะมีความเสี่ยงสูงที่เซดดริกจะเพลี่ยงพล้ำ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ที่ขับเคลื่อนด้วยความแค้น แต่บัดนี้แวมไพร์ตนนั้นก็ไร้ซึ่งเวทมนต์ใด ๆ มีเพียงพลังกายที่เหลืออยู่สำหรับต่อสู้เท่านั้น และเป็นไปได้มากว่าจะเหลือลูกธนูเพียงแค่ดอกเดียวเท่านั้น
ดวงตาสีแดงมองร่างที่ถือดาบของตนมาถือไว้ในท่าเตรียมพร้อม “ขอดูสิ่งที่ฉันสอนนายไปหน่อยนะ”
ส่วนเฟลอสก็ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความโมโห เมื่อครู่นี้เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วหากไม่มีไอ้คนปางตายมาตะโกนขัดจังหวะ แล้วยังตอนนี้ที่อีกฝ่ายกำลังถือดาบเตรียมสู้กับเขาอย่างไม่เจียมตัวทำให้อารมณ์โกรธยิ่งพุ่งสูงขึ้น เขามองคันธนูที่ส่องแสงริบหรี่ในมืออย่างครุ่นคิด ก่อนที่ดวงตาจะประกายวาบ
น่าสนุกนี่ ขอเล่นด้วยหน่อยก็แล้วกัน
เพียงแค่กะพริบตา คันธนูในมือก็กลายเป็นดาบเล่มเพรียว และยาว คมดาบบางเฉียบ และดูน้ำหนักเบาหวิว แต่ก็ไม่อาจคาดเดาพลังทำลายได้
เซดดริกกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วก็แทบผงะถอยหลังเมื่อร่างของคู่ต่อสู้พุ่งเข้าหาตนอย่างรวดเร็ว และโดยไม่ทันตั้งตัว! “เฮ้ย!!” อุทานเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่อาจทราบได้ก่อนที่เขาจะยกดาบขึ้นกันคมดาบที่เหวี่ยงมาปะทะได้ทันท่วงที
เคร้ง!
ดาบทั้งสองเล่มผละออกจากกันก่อนที่ดาบเล่มเพรียวจะแหวกผ่านอากาศมาโจมตีอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็พร้อมรอรับอยู่แล้ว ดาบยาวยกขึ้นกันบริเวณช่องท้องได้อย่างพอดิบพอดี และเจ้าของดาบก็เสี่ยงถ่ายน้ำหนักทั้งหมดดันคนโจมตีกลับไปจนเกือบเสียหลัก ส่วนตัวเองก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อดูเชิง
เฟลอสเลิกคิ้วเล็กน้อยแม้จะโดนป้องกันได้ “ใช้ดาบเป็นด้วย?” เขาถามด้วยความแปลกใจ ก่อนจะแสยะยิ้ม “อา...ดีแฟนธ่อมสอนให้สินะ ไม่ดีเลยนะ สอนการต่อสู้ให้พวกมนุษย์เนี่ย” ว่าแล้วเขาก็ควงดาบมาข้างหน้าด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับกำลังเล่นกับเด็กน้อยอยู่ก็ไม่ปาน
ดูซิว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำกัน!!
สิ้นความคิดเขาก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก่อนจะหายวับไป และมาปรากฏตัวตรงหน้าคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงมาอย่างไม่ปราณี แต่ดาบของอีกฝ่ายก็ยกขึ้นมากันในอย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง เฟลอสไม่รอเวลาให้เสียเปล่า เขาเหวี่ยงดาบมาปะทะอย่างต่อเนื่องอย่างรุนแรง
ส่วนเจ้าของดาบอีกเล่มก็ได้แต่เป็นฝ่ายรับ และก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ แขนเริ่มปวดร้าว เพราะน้ำหนักที่ฟาดลงมานั้นไม่ใช่น้อย ๆ ครั้งสุดท้ายที่แรงอาวุธปะทะ ดาบแทบหลุดจากมือที่ปวดระบม เซดดริกกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ
ไม่ไหว ยังไงก็ไม่ไหวแล้ว
แต่...จะทำยังไงดี?
พลัน ได้สบตากับดวงตาสีแดงอีกคู่ที่มองมาอย่างเป็นห่วง เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก เสี่ยงก็จริง แต่ผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคาดเดาความคิดของเขาได้ เพราะใบหน้าที่ซีดเผือดนั้นส่ายหัวเบา ๆ อย่างไม่เห็นด้วย
แต่เซดดริกเลือกที่จะไม่สนใจ และเห็นกลับมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ไม่ทันได้สังเกตปฏิกิริยาของเขาเมื่อสักครู่ ชายหนุ่มตั้งท่าเตรียมรับการปะทะอีกครั้งพร้อมกับแผนการในใจ
มันต้องได้ผลสิ จะได้จบสักที!
เฟลอสพุ่งเข้าหาอย่างที่คาดไว้ แต่ครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดรอรับแรงโจมตี เพราะ อีกฝ่ายม้วนตัวหนีไปอีกทาง และยืนขึ้นตั้งรับเช่นเดิม คนโจมตีเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ “เป็นแค่มนุษย์แท้ ๆ แต่กลับไม่กลัวตายเลยนะ!” ไม่รอช้า ก้าวเท้าแผล็วเดียวก็ไปถึงตัวมนุษย์หนุ่ม คราวนี้แหละ!
เคร้ง!
ทันทีที่ดาบสองเล่มปะทะกันอีกครั้ง ร่างของผู้รับการโจมตีก็ทรุดลงกับพื้น ดวงตาสีแดงของแวมไพร์หนุ่มประกายวาบเยี่ยงผู้ชนะพร้อมกับริมฝีปากที่แสยะยิ้มกว้าง “เสร็จข้าล่ะ!” เฟลอสตะโกนก้องก่อนจะเสือกดาบไปข้างหน้า หมายจะแทงร่างที่ทรุดลงให้ทะลุ!
แต่ใบหน้าของผู้ที่เสียเปรียบกับมีรอยยิ้มจาง ๆ ที่น่าฉงน
ฉึก!
พลัน ใบหน้าที่เคยเป็นของผู้ชนะ กลับค่อย ๆ ปรากฏริ้วแห่งความตกใจถึงขีดสุด เมื่อรู้สึกถึงคมดาบที่แทงทะลุร่างกายบริเวณช่องท้อง ดวงตาสีแดงที่เบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึงมองดวงตาอีกคู่ที่แน่วแน่ “แก...” เพียงแค่สบถแผ่วเบา ความเจ็บปวดก็แล่นวาบเข้าสมองจนแทบอยากจะกรีดร้อง
เขาประมาทไป...ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะล่อให้เขาเข้าโจมตี และจับจังหวะซึ่งหาได้ยากเบี่ยงตัวหลบก่อนจะแทงดาบสวนมาแบบนี้!!
“จับ...ได้แล้วนะ” เซดดริกเอ่ยพร้อมคลี่ยิ้มบางด้วยความดีใจที่แผนลวก ๆ ได้ผลแม้จะวิตกมากว่าจะสามารถหลบคมดาบนั้นพ้นไหม ถ้าพ้นก็ถือว่าดี แต่ถ้าไม่ก็จบกัน
“หนอย...” เฟลอสพยายามก้าวถอยหลังเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากคมดาบแม้ว่าจะทำให้ปากแผลเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ดีกว่าโดนจับได้แบบนี้เป็นไหน ๆ แต่ความเคลื่อนไหวของหนุ่มผมบลอนด์ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายกลับพลิกตัวออกจากรัศมีโจมตี แต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าที่มาแทนที่ทำให้เขาแทบคลั่ง
“ดีแฟนธ่อม!”
ร่างที่บาดเจ็บที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนั้นกลับปรากฏขึ้นราวกับหลบซ่อนอยู่ข้างหลังคนคิดแผนการนี้ขึ้น ครอสยิ้มเหี้ยมก่อนจะจับด้ามดาบนั้น และดึงมันออกจากลำตัวของแวมไพร์ผมทอง และเพียงแค่เสี้ยววินาที เขาก็เปลี่ยนวิถีดาบ หมายจะฟันคอให้ขาดกระเด็น
แต่เฟลอสกลับตั้งตัวได้ทัน เล็บมือขาวที่งอกยาวตรงเข้าจิกที่ช่วงอกของคนถือดาบ และกระชากส่วนที่ปลายเล็บเอื้อมถึงออกมาอย่างไม่ปราณี ทำให้ครอสต้องฝืนกัดฟันเปลี่ยนทิศทางของดาบเป็นฟันสะพายแล่งเป็นแผลลึกจนเกือบถึงกระดูกจากไหล่ซ้ายลากยาวไปที่เอวข้างขวา
เลือดสีแดงสาดกระเซ็นพร้อมกับร่างสองร่างที่เอนล้มไปข้างหลัง เสียง กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กันดังก้องทั่วทั้งป่า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งสะอิดสะเอียนชวนอาเจียนจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นเลือดของฝ่ายใดมากกว่ากัน
ฝ่ายหนึ่งก็บาดเจ็บด้วยแผลลากยาวลึกจนถึงเกือบกระดูก และรอยแทงที่ช่องท้องทะลุแผ่นหลัง ไร้พลังเวทใด ๆ แม้ดาบจะหล่นอยู่ข้างกายก็ไร้เรี่ยวแรงหยิบขึ้นมาต่อสู้ ไม่ต่างจากลมหายใจที่รวยรินจนแทบดับสูญ
อีกฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลเก่า และแผลใหม่ทั่วทั้งร่าง ที่สาหัสคงเป็นบริเวณหน้าอกที่เนื้อบางส่วนถูกกระชากออกไปจนเห็นเนื้อในสีแดงสดน่าขนลุก เพียงแค่หายใจของเหลวสีแดงสดก็ไหลซิบออกจากบาดแผล
บาดแผลขนาดนี้เพียงพอจะทำให้ใครสักคนสิ้นใจไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจดับลมหายใจของปิศาจทั้งสองตนได้ และต่างฝ่ายต่างมีศักดิ์ศรีแบกอยู่บนบ่า...
แต่ไร้เรี่ยวแรงเพื่อลุกขึ้นมาปกป้อง...
ทั้งสองต่างรู้ว่าวันนี้เรื่องทุกอย่างมันจะจบ แต่ใครจะเป็นคนเขียนบทจบของเรื่องราวความแค้นครั้งนี้? หรืออาจไม่มีบทสรุปก็เป็นได้
หรืออาจมีตัวแปรบางอย่างที่จะเปลี่ยนบทสุดท้ายของการต่อสู้ที่ยาวนาน
...ใครสักคนที่เป็นพยานของการต่อสู้ครั้งนี้...
เซดดริกแทบทรุดเมื่อเห็นการต่อสู้ที่ดิบเถื่อน และโหดร้ายเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกใจพร้อมกับร่างกายที่ไม่อาจขยับเขยื้อน แขนและขากลับสั่นระริกอย่างหวาดกลัว แม้จะรู้สึกคลื่นไส้จนอยากจะอาเจียน แต่มีอะไรบางอย่างฉุดรั้งไม่ให้เขาละสายตาจากการต่อสู้เบื้องหน้า
...น่ากลัว...
แต่ว่า...
...เขาก็ไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว...
ชายหนุ่มรีบรุดไปยังร่างที่บาดเจ็บสาหัส ใบหน้าเหยเกเมื่อเห็นอาการบาดแผลเหวอะหวะชวนคลื่นไส้บริเวณแผ่นอกที่แทบไม่กระเพื่อม ดวงตาบนใบหน้าคมคายซีดเผือดไร้สีเลือดเหมือนกระดาษปรือจนไม่เห็นสีแดงใต้เปลือกตา
ดูเหมือนว่าประสาทสัมผัสของแวมไพร์หนุ่มจะทื่อลงไปมาก เพราะไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครอีกคนมาอยู่ข้างกายแล้ว
เซดดริกกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอก่อนจะหยิบดาบที่ตกอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา แววตาฉายแววลังเลเล็กน้อย แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ต้องช่วยให้ได้... ต้องไม่ตาย!
เขากดคมดาบไปที่ข้อมือขวาของตัวเอง ความรู้สึกเจ็บจี๊ดพุ่งเข้าเส้นประสาทรับความรู้สึกพร้อมกับที่ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดรอยบาดยาว และของเหลวสีแดงเริ่มไหลซิบ ชายหนุ่มยื่นข้อมือข้างนั้นไปจ่อที่ริมฝีปากบางเฉียบซีดเผือด ทันที่หยดเลือดแตะกลีบปากไร้สี ก็เกิดความเคลื่อนไหวตามสัญชาติญาณของแวมไพร์
ริมฝีปากที่เคยนิ่งงันขยับเข้าหาข้อมือที่มีเลือดไหลริน ของเหลวสีแดงค่อย ๆ หายเข้าไปในโพรงปาก เซดดริกถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่อีกฝ่ายยังพอขยับตัวได้ เขาขยับท่านั่งก่อนจะใช้มือซ้ายรองใต้ท้ายทายที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำ ให้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในท่าที่สะดวกมากขึ้น
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่รู้ว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิด
เพราะอยู่ดี ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแหลมเล็กที่ไม่ได้รู้สึกมานานแทงเข้าไปในผิวหนังบริเวณข้อมือ พอจะขยับหนีเล็กน้อย ก็กลับเจ็บมากกว่าเดิม แบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้...
เขาโดนฝังเขี้ยวอีกแล้ว...
แต่... คนถูกดูดเลือดทำหน้าปุเลี่ยนเล็กน้อย แต่ก็อดคลี่ยิ้มจาง ๆ ไม่ได้ ...ก็ยังดีกว่าไม่รู้สึกตัวล่ะนะ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งจนความรู้สึกด้านชา และเจ็บปวดเริ่มหายไป สัมผัสได้ถึงพลัง และเรี่ยวแรงที่เริ่มกลับคืนมา ครอสจึงค่อย ๆ ถอนคมเขี้ยวออกจากผิวขาวละเอียด เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อย ๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก แม้ภาพเบื้องหน้าจะพร่าเลือน แต่โครงหน้าแบบนี้ต่อให้เขามองไม่เห็นก็จำได้
เซด...
แม้จะเห็นแค่โครงหน้า แต่ก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้ม... เขาพยายามจะยิ้มกลับ แต่ดูเหมือนว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าใดนัก
แต่แล้วใบหน้าที่มองตรงมายังเขา กลับเงยขึ้น และมองไปทางด้านขวา ก่อนที่จะมีอะไรบางอย่างรูปร่างเพรียวบางพุ่งเข้ามาแทงร่างนั้นบริเวณลำตัวอย่างรวดเร็ว และร่างนั้น...ก็ปลิวไปตามแรงกระแทกภายในชั่วเสี้ยววินาที!
ครอสกะพริบตาหนึ่งครั้งก่อนภาพเบื้องหน้าจะกลับมาชัดเจน ร่างสูงผุดลุกขึ้นพร้อมกับดวงตาสีแดงที่เบิกโพลงด้วยความตกใจถึงขีดสุด เขาไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาที ร่างสูงคว้าดาบที่หล่นอยู่ข้างกาย และพุ่งเข้าหาเจ้าของอาวุธเพรียวลมนั่นทันที!
“เดอแคลร์!!!” ครอสคำรามลั่นอย่างโกรธแค้นก่อนที่ดาบในมือจะเสียบทะลุร่างที่ยันตัวขึ้นมาจากพื้น แวมไพร์หนุ่มผู้โกรธแค้นถึงขีดสุดยกร่างที่ถูกอาวุธเสียบจนขาลอยพื้น หากแต่ใบหน้านั้น...กลับเปื้อนยิ้มกว้างของผู้ชนะ
“มันจบแล้ว ดีแฟนธ่อม และข้า...คือ ผู้ชนะ!!” เฟลอสระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นแม้จะกระอักลิ่มเลือดออกมาก้อนใหญ่ และประโยคนั้นก็เป็นประโยคสุดท้ายในชีวิตเมื่อคมดาบที่ช่องอกกระตุกออกอย่างรวดเร็ว และตวัดตัดศีรษะจนขาดสะบั้น!!
ดวงตาสีแดงเบิกกว้างพร้อมรูม่านตาที่ลีบเล็ก เส้นเลือดรอบดวงตาปูดโปนจนแทบปริผิวหนังที่ปกคลุม เพียงแค่พริบตา ร่างไร้ศีรษะนั้นก็ลุกไหม้ด้วยเพลิงพิโรธ และกลายเป็นเศษธุลีภายในเสี้ยววินาที
แต่กระนั้น...เขาก็ยังเห็นใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอันน่าขยะแขยงนั่น...
...ใบหน้าที่เย้ยหยันเขาจนวินาทีสุดท้าย... และคำพูดสุดท้ายที่ยังดังก้อง
“มันจบแล้ว ดีแฟนธ่อม และข้า....คือ ผู้ชนะ!!”
“ไม่...” เสียงห้ามพึมพำแผ่วเบาก่อนที่จะหายวับไปจากตรงนั้น และมาปรากฏตัวข้างร่างของชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ดาบเพรียวลมนั่นหายไปแล้ว เหลือเพียงแค่ก้อนหินสีดำตกอยู่ข้าง ๆ บาดแผลที่ช่องท้องลึกจนน่ากลัว เลือดสีแดงไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก
หัวใจแทบสลาย...
...ความรู้สึกด้านชาแม้ปลายนิ้วจะสั่นระริก
“ไม่นะ...”
มือขวาวางบนหน้าท้องของชายหนุ่มก่อนที่แสงสีขาวจะส่องสว่าง มือซ้ายประคองใบหน้าที่ดวงตาสีฟ้ามองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอยให้หันมามองหน้าเขา หวังว่าจะได้เห็นดวงตาสีฟ้าที่เป็นประกาย แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นความว่างเปล่า
ไร้อารมณ์...
...ไร้ความนึกคิดใด ๆ...
“เซด มองหน้าข้า” เสียงห้าวกระซิบแผ่วเบาเรียกชื่อผู้เป็นที่รัก “มองหน้าข้า ได้โปรด...”
หวังให้เสียงของเขาดังไปถึงความคิด...
...เสียงของข้าไปถึงบ้างไหม?...
ดวงตาสีฟ้ากะพริบทีหนึ่งราวกับได้ยินความคิดนั้น...เจ้าของดวงตาเลื่อนจุดรวมสายตาจากท้องฟ้ามาเป็นโครงหน้าของชายหนุ่มที่ก้มอยู่เหนือตัวเขา สัมผัสบนใบหน้าเย็นเยียบ...แต่อบอุ่น และคุ้นเคย
ทำไม...ทำหน้าเศร้าอย่างนั้นล่ะ? ใบหน้าอันเศร้าสร้อยของคน ๆ นี้คือสิ่งที่เซดดริกไม่อยากเห็นมากที่สุด จะทำอย่างไรให้คน ๆ นี้ยิ้มได้กันนะ?
อา...ใช่ คงต้องบอกสักที ความรู้สึกที่เก็บมานาน...อยากจะบอกก่อนที่จะไม่มีโอกาส และหวังว่ามันจะทำให้มีรอยยิ้มบนใบหน้าคมคายนั้นได้ เพราะยามที่คน ๆ นี้ยิ้ม คือเวลาที่ชอบมากที่สุด
รักนะ...
แล้ว...
รัก...ใครกันน่ะ??
“ใคร?”
แล้วดวงตาสีฟ้านั้นก็ปิดลง...
ความรู้สึกดิ่งวูบ... ความคิดทุกอย่างขาวโพลน...
มือที่ประคองใบหน้าขาวซีดนั้นไว้สั่นระริกจนไม่อาจควบคุมได้ ดวงตาสีแดงเบิกโพลง..สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุดกลับเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา “ไม่จริง...” มือข้างขวาเคลื่อนมาโอบไหล่ของอีกฝ่าย ใบหน้าคมคายที่แทบไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ จ้องมองดวงหน้าที่สลบไสลไม่ได้สติ
...หายไปแล้ว...
ไหล่หนาสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สองมือโอบกอดร่างนั้นเข้าแนบอกก่อนที่เขาจะก้มหน้าลง หน้าผากแตะหน้าผาก...พร้อมความรู้สึกร้อนวาบที่เบ้าตา สิ่งที่เคยคิดว่าแห้งเหือดไปแล้วกลับคืนมาอีกครั้ง
เจ็บ...ยิ่งกว่าศาสตราวุธใด ๆ ทิ่มแทงร่าง
ปวด...ยิ่งกว่าถูกพิษร้ายกัดกินชีวิต
ข้าผิดเอง... มนุษย์คนแรก และคนเดียวที่เดินเข้ามาในชีวิต
เซดดริก... คนแรก และคนเดียวที่พังกำแพงเหล็กอันแน่นหนา
เซด...คนแรก และคนเดียวที่รักสุดหัวใจ...
...ยังไม่ได้บอกเลยสักครั้งว่า ‘ รัก’ มากแค่ไหน...
“เซดดริกกก!!!”
“ข้าเคยชินกับการอยู่คนเดียว ไม่เคยไขว่คว้าสิ่งใดนอกจากพันหมื่นราตรีกาล...
แต่เหตุใดครานี้ข้าถึงการเจ้ามากกว่าสิ่งใดทั้งหมด”
TO BE CONTINUED
>>Pre-Order<<
Bloody Bond พันธนาการเขี้ยวราตรี (ชื่อเดิม Tale of the Darkness)
*** วันนี้ - 21 กุมภาพันธ์ ***
ผู้เขียน : Xeiji / อู่ชี่
ภาพปก : Kon
ภาพประกอบ : Mr.x
จำนวนหน้า : 450+
ราคา : 439 บาท
สิ่งที่มีเพิ่มเติมในรูปเล่ม : ตอนพิเศษ และ Uncut
ของแถม : ที่คั่นหนังสือแฮนเมดลายคาแรคเตอร์พระ-นาย (มีจำนวนจำกัด)
*** เดี๋ยวจะมาอัพเดทให้ดูนะคะ ***
สั่งจองได้ที่นี่เลย >> https://goo.gl/forms/pw78JhDWpccygxF62
*** วันนี้ - 21 กุมภาพันธ์ ***
มาพูดคุยกันได้ใน
FB : https://www.facebook.com/xeijiandwuqi
หรือ twitter : Seiji_18 (แต่ทวิตเตอร์จะออกแนวบ่นไปเรื่อยเปื่อยมากกว่า5555)
และหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกในเรื่องถัดๆ ไปนะคะ :)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาต่อเร็วๆนะคะ
เซดดริกกกกกกก
ชอบประโยคนี้มาก เป็นประโยคที่ทำให้เข้ามาอ่านเรื่องนี้
ข้าเคยชินกับการอยู่คนเดียว ไม่เคยไขว่คว้าสิ่งใดนอกจากพันหมื่นราตรีกาล...
แต่เหตุใดครานี้ข้าถึงการเจ้ามากกว่าสิ่งใดทั้งหมด