ตอนที่ 26 : 22nd Tale : ข้อเสนอ [100%]
22nd Tale : ข้อเสนอ
ร่างสูงในเสื้อโค้ทสีดำแขนยาวโรยตัวลงบนกิ่งไม้ขนาดใหญ่อย่างแผ่วเบา ใบไม้ที่ปลายกิ่งไหวเล็กน้อยก่อนจะร่วงลงไปเบื้องล่าง เรือนผมสีดำยาวรวบสูงล้อมกรอบใบหน้าคมคายพลิ้วไหวตามสายลมบางเบาที่พัดผ่าน อากาศยามใกล้ดวงอาทิตย์ลาลับช่างเย็นสบาย แต่บรรยากาศรอบกายเขากลับตึงเครียด
ไม่เจอ... สำรวจร่องรอยมาเกือบสองชั่วโมง แต่ที่พบกลับมีเพียงร่องรอยของเวทมนต์ที่เป็นเพียงกลลวงเท่านั้น แม้จะกระจายคนไปทั่วบริเวณชายแดนแล้ว แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากงมหาสิ่งที่ไม่มีตัวตน
“ว่าไง” แล้วเขาก็ถามขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แต่เพียงกะพริบตา แวมไพร์ตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างหลังชายหนุ่มก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“เราได้รับข่าวจากท่านเพนโทรไนต์ที่นำกลุ่มไปสำรวจที่ป่าดำในเยอรมันแล้วขอรับ” อีกฝ่ายตอบอย่างนอบน้อม “ไม่พบอะไรเช่นกันขอรับ”
ดวงตาสีแดงหรี่เล็กลงอย่างครุ่นคิด ไม่พบเลยงั้นเหรอ?
“หรือว่าเป็นกลลวงกันนะ?” ครอสพึมพำแผ่วเบาด้วยความแคลงใจ แต่แล้วเสียงกระซิบแผ่วเบาที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในความคิด ทันใดนั้น ดวงตาสีแดงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ว่าไงนะ!!?”
แวมไพร์ตนที่มาแจ้งข่าวถึงกับสะดุ้งเฮือก และเริ่มหวาดหวั่นกับท่าทีของผู้นำ เพราะบรรยากาศรอบกายของอีกฝ่ายตึงเครียดมากกว่าเดิมจนแทบจะกดลมหายใจให้ขาดห้วง “เกิดอะไรขึ้น...ขอรับ?” เขาถามอย่างหวั่นเกรง เพราะไม่อาจเดาอารมณ์จากแผ่นหลังได้
“บอกให้ทุกคนกลับได้ ทั้งที่นี่ และที่ป่าดำด้วย” คำสั่งด้วยน้ำเสียงกระชากด้วยอารมณ์โกรธทำให้ลูกน้องพยักหน้ารับรัวเร็ว ก่อนที่คนสั่งจะหายตัวไปจากที่ตรงนั้นเพียงแค่กะพริบตา
ทันทีที่ครอสหายตัวไป ร่างของแวมไพร์หนุ่มอีกตนก็ถึงกับทรุดฮวบ เพราะแทบลืมหายใจเมื่อเห็นแววตาแวบหนึ่งของผู้เป็นหัวหน้า
โกรธเกรี้ยว และน่ากลัว
ราวกับว่า เพียงแค่ถูกจ้องก็สามารถสังหารคนได้ในพริบตา...
อะไรกันนะที่ทำให้ครอส ดี ดีแฟนธ่อมโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นได้ขนาดนี้?
.
.
“เจ้าไปที่เขตชายแดนโรมเนียซะ และแกล้งให้ถูกจับที่นั่น”
“หา?”
“ไม่ต้องหา พอถูกจับแล้วข้าเชื่อว่าพวกนั้นต้องเค้นคอเจ้าเพื่อถามที่อยู่ของพวกเจ้าแน่”
“แล้วแบบนี้ข้าไม่ตายก่อนหรือไง เฟลอส?”
“ไม่หรอก พวกมันไม่ฆ่าเจ้าหรอก เชื่อข้าสิ” เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ “เพราะถ้าฆ่าเจ้าไป พวกมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากเสียตัวต่อรองไปฟรี ๆ”
“แล้วยังไงต่อ?”
“ถ้าพวกมันถาม ไม่สิ มันต้องถามแน่ เพราะเจ้าเป็นคนสนิทของจัสติน เจ้าก็ตอบไปว่า...” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม “...ป่าดำ ในโรมาเนีย”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?” อีกฝ่ายถาม “ใช่ว่าพวกนั้นจะเชื่อ”
“ข้าไม่ได้ต้องการทำให้พวกมันเชื่อ แค่ล่อออกมาเฉย ๆ เพราะข้ารู้ว่าคนอย่างดีแฟนธ่อมน่ะไม่หลงกลง่าย ๆ หรอก”
“แล้วเจ้าจะทำไปทำไม?”
ดวงตาสีแดงพราวระยับด้วยความเจ้าเล่ห์ “หึ...ก็แค่เกมส์เกมส์หนึ่งเท่านั้นแหละ”
.
.
“ท่านเซดดริกถูกจับตัวไปขอรับ”
สิ่งที่พ่อบ้านชราบอกผ่านทางความคิดยังคงเล่นซ้ำไปซ้ำมาในสมองแม้ยามหายตัวมาปรากฏหน้าคฤหาสน์ดีแฟนธ่อม แม้ใบหน้าแทบจะไม่ปรากฏอารมณ์ใด ๆ แต่แววตาประกายความเครียดออกมาอย่างชัดเจน แล้วยิ่งเห็นว่าอาณาเขตที่ตนสร้างขึ้นใหม่กลับหายไป เมื่อขยับเข้าไปใกล้ก็พบร่องรอยช่องว่างของเขตอาคมซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นจุดกำเนิดพลัง
ว่ากันตามหลักการแล้ว แม้จุดกำเนิดพลังนั้นจะเป็นจุดอ่อนของเขตอาคม แต่ก็เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่ว่าจะหากันเจอได้ง่าย ๆ แล้วยิ่งคนวางเขตอาคมเป็นครอส ดี ดีแฟนธ่อมด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการค้นหาจุดกำเนิดพลังความแข็งแกร่งก็ยากจะหาใครมาทำลายได้
แล้วใครเป็นคนทำลายเขตอาคม?
ครอสเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปในเขตรั้วคฤหาสน์ และร่ายเขตอาคมพรางตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วร่างสูงก็ชะงักกึกเมื่อสัมผัสได้ถึงร่องรอยของบางอย่างที่ทิ้งไว้บนพื้น เขาย่อตัวลงก่อนจะใช้มือแตะ ๆ บริเวณพื้น
ไอเวทมนต์สร้างรอยแยกของมิติ...หรือว่า!?
แวมไพร์ยันกายขึ้นพร้อมใบหน้าคมคายที่ตึงเครียดกว่าเดิม “หมอนั่น” เสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบาก่อนจะสาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปในห้องรับแขกซึ่งในตอนนั้นเอง ลูน่ากำลังร่ายเวทมนต์บรรเทาอาการบอบช้ำภายในให้กับพ่อบ้านชราที่นอนราบบนโซฟา
ทั้งสองรับรู้ถึงการมาเยือนของผู้เป็นนายได้โดยไม่ต้องหันมามอง หญิงสาวช่วยเอเกิลที่พยายามจะลุกขึ้น แต่ชายหนุ่มยกมือขึ้นเป็นเชิงว่าไม่ต้องขยับตัว แต่ ชายชราก็มาอยู่ในท่านั่งในที่สุด
“กระผมขออภัยเป็นอย่างยิ่งขอรับที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเพียงพอ” เสียงแหบกล่าวพร้อมกับก้มใบหน้าลงต่ำ “ทั้ง ๆ ที่นายท่านไว้วางใจกระผม”
“ข้าก็เช่นกันนายท่าน ขอโทษจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าขอโทษ” ลูน่ากล่าวซ้ำไปซ้ำมา และโน้มตัวไปข้างหน้า ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองผู้เป็นนาย พวกเขายอมถูกลงโทษยังดีเสียกว่าต้องเห็นความผิดหวังบนใบหน้าของชายหนุ่ม
ความกลัวว่าเจ้านายจะโกรธเกาะกุมจิตใจของบ่าวทั้งสอง แต่ถึงจะถูกโกรธพวกเขาก็คงไม่อาจขุ่นข้องหมองใจ เพราะรู้ความผิดของตัวเองอยู่เต็มอก แต่ถึงกระนั้นก็ยังกลัว...กลัวว่าจะถูกบุคคลที่เคารพที่สุดหมางเมินไป
“เงยหน้าขึ้น ไม่ต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น” เสียงห้าวสั่งอย่างราบเรียบ แม้จะไม่เฉียบขาด และไม่มีความขุ่นเคืองเจือมาในน้ำเสียง แต่อีกฝ่ายก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น “เกิดอะไรขึ้น?”
เอเกิลแทบลืมหายใจเมื่อเห็นแววตาของผู้เป็นนายกำลังวาวโรจน์แม้ใบหน้าคมคายจะเรียบเฉย แต่เขาเชื่อว่าข้างในคงกำลังร้อนรุ่มด้วยความกังวลยิ่งกว่าเขาก็เป็นได้ “กระผมก็ไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่ดูเหมือนว่าท่านเซดดริกจะออกไปที่สวน พอกระผมเห็นอีกที เขตอาคมก็ถูกทำลาย และเกิดช่องว่างระหว่างมิติ แล้วมันก็พาท่านเซดดริกไปขอรับ”
“ตอนนั้นท่านเซดดริกตามหาท่านเอเกิลเจ้าค่ะ แล้ว...แล้วข้าก็เลยบอกไปว่าท่านเอเกิลอยู่...อยู่ในสวน...” เสียงเล็กตอบอย่างสั่นเครือ สลับกับเสียงสะอื้น
“แล้วเขตอาคมถูกทำลายได้ไง?”
“กระผมก็ไม่แน่ใจ” เอเกิลตอบเสียงเบาหวิว “แต่อาจะเป็นท่านเซดดริกไปบังเอิญเจอจุดอ่อนขอรับ...โดยไม่ตั้งใจ”
เพล้ง!
บ่าวทั้งสองถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ กระจกหน้าต่างบานที่ใกล้ตัวที่สุดแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้กระจกแตกโดยไม่ต้องสัมผัส หรือแม้กระทั่งร่ายมนตรา
ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัด มือกำหมัดแน่นจนสั่นระริก ข้ามันประมาทไปเอง! ในใจร้อนรุ่มด้วยไฟโทสะ ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่มาลูบคม แต่โกรธตัวเองที่ไม่อาจปกป้องคนที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะปกป้องให้ถึงที่สุด แต่สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเงยหน้ามองผู้ที่ก้มลงมองจากเบื้องบนเยี่ยงผู้ชนะ
ความตั้งใจที่หมายมั่นอย่างแรงกล้า สุดท้ายก็เป็นเพียงความตั้งใจลม ๆ แล้ง ๆ คำสัญญาที่ให้กับตัวเองยังทำไม่ได้เลย แล้วแบบนี้ต่อไป เขาจะมีหน้าไปสัญญากับใครอีกงั้นหรือ?
“นายท่าน....”
“เป้าหมายของเจ้านั่นก็คือเซดดริกจริง ๆ” เสียงห้ามพึมพำแผ่วเบาราวกับไม่รับรู้ตัวตนของอีกสองคนในห้อง เอเกิลและลูน่ามองหน้ากันด้วยความเป็นห่วง พวกเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นนายร้อนใจถึงขนาดนี้มาก่อน และเพราะแบบนั้นทำให้ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าชายหนุ่มผมดำคิดจะทำอะไรต่อไป และพวกเขาควรจะรับมืออย่างไรถ้าหากครอสเกิดลงมือทำอะไรบางอย่างที่เกินกว่าจะแก้ไขได้
เพราะไม่เคยมีใครอ่านความคิดของแวมไพร์ผู้นี้ได้ นอกจากตัวเขาเอง
“นายท่า...”
“ขออนุญาตขอรับท่านดีแฟนธ่อม” ลูน่าที่กำลังจะเอ่ยถูกขัดจังหวะด้วยเสียงราบเรียบของแวมไพร์ตนหนึ่งที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า
แต่ดูเหมือนจะโผล่มาผิดที่ผิดทาง และผิดเวลาไปเสียหน่อย...
ดวงตาวาวโรจน์ตวัดฉับไปที่ร่างของผู้มาเยือนอย่างคมกริบ ทำเอา อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก และเผลอก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ แต่ด้วยคำสั่งที่ได้รับทำให้เขาต้องทำใจดีสู้เสือ ผู้มาเยือนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติ “มีคนมาขอพบท่านที่สภาขอรับ” เขาเริ่ม
“ข้ายังไม่อยากไปที่นั่นตอนนี้” เสียงห้าวตอบเสียงต่ำ และแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ ส่วนสองบ่าวก็พยายามส่งสัญญาณให้แวมไพร์ที่มาส่งข่าวให้รู้ตัวว่า อย่าเพิ่งไปเซ้าซี้ตอนนี้
ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นสัญญาณนั้น แต่ทำไงได้ มันเป็นหน้าที่ของเขา อีกอย่างเขาเชื่อว่าครอส ดี ดีแฟนธ่อมคงไม่อยากพลาดโอกาสนี้ “แต่คน ๆ นั้นเป็นคนที่ท่านคาดไม่ถึงจริง ๆ ขอรับ” เขาตัดสินใจไม่ยอมแพ้ “และข้าคิดว่าท่านเองก็อยากพบเขาเช่นกัน”
สิ้นคำเขาก็มั่นใจได้ชั่วแวบหนึ่งคิดว่าจะต้องตายด้วยสายตาที่เชือดเฉือนและเต็มไปด้วยโทสะของชายที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลกของแวมไพร์
“ข้าขอย้ำคำเดิม” ครอสเอ่ยเสียงกร้าว ในใจพลางคิดว่า จะให้เขาไปพบตอนนี้น่ะหรือ?
ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็คงไม่น่าตกใจไปมากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้หรอก!
“นายท่านขอรับ ใจเย็นสักหน่อยเถิด” เพราะความโกรธบังตาแวมไพร์หนุ่ม และปรากฏออกมาชัดผ่านทางดวงตาที่หรี่เล็ก ทำให้พ่อบ้านชราอดจะออกปากห้ามปรามไม่ได้ และเขาเชื่อว่า หากไม่ใช่เอเกิล พ่อบ้านผู้เก่าแก่คนนี้พูดแล้วล่ะก็ ป่านนี้คงได้สลบเหมือดโดยไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ
“อย่าให้ความโกรธครอบงำสติสิขอรับ ฟังที่นายทหารคนนั้นพูดก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งนะขอรับ”
คำเตือนสตินั้นทำให้ร่างสูงผมดำระลึกได้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนแผ่นหลังแกร่งจะเหยียดตรงอีกครั้ง อาจเป็นเคราะห์ดีที่นายทหารคนนั้นไม่ทราบต้นตอของความโกรธนั้น ไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงรู้สึกกระดากอายไม่น้อย
น่าอายนัก...เป็นถึงผู้นำแท้ ๆ แต่กลับขาดสติเช่นนี้
ครอสนึกก่นด่าตัวในใจก่อนที่ใบหน้าเกรี้ยวกราดจะค่อย ๆ กลับมานิ่งเฉยตามปกติ แม้ภายในใจจะยังคงคุกรุ่น แต่เขาจำเป็นจะต้องแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวให้ได้อย่างเด็ดขาด...ให้เหมือนเมื่อก่อน
ให้เหมือนก่อนที่จะได้พบกับผู้ชายผมบลอนด์คนนั้น...
“ใคร?” เสียงห้าวถามห้วนสั้น
“จัสติน เบสเตอรอยด์...”
ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดออกมา ใบหน้าเรียบเฉยก็พลันขมึงตึงอีกครั้ง แม้จะไม่แสดงออกทางดวงตามากนัก แต่บรรยากาศกลับน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าจะไปที่สภา” สิ้นคำพูดราบเรียบ
“...”
“ช้าอะไรอยู่ล่ะ!” เขาตวาดก่อนจะก้าวออกจากคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
บทจะเงียบ....ก็เงียบยิ่งกว่าป่าช้า
บทจะโกรธ...ก็ยิ่งกว่าธรณีพิโรธ
และบทจะไป....ก็ไปเสียเฉย ๆ เสียจนนายทหารผู้ส่งข่าวถึงกับเกือบลืมเร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว!
###
เพียงแค่กะพริบตา ร่างของแวมไพร์หนุ่มในชุดรัดกุมก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าทางเข้าอาคารที่คุ้นเคย และก่อนที่เขาจะก้าวขาเข้าไปภายในอาณาเขตของสภา ข้างกายเขาก็ปรากฏร่างของนายทหารผู้นำข่าวไปส่งถึงคฤหาสน์
“เชิญทางนี้ขอรับ กระผมจะนำทางท่านไปเอง” สิ้นคำ นายทหารหนุ่มก็เดินนำหน้าโดยมีผู้นำตระกูลดีแฟนธ่อมเดินตามหลังไปอย่างเงียบงัน หากแต่รังสีที่แผ่ออกมารอบกายนั้น ทำเอาเหงื่อเย็น ๆ ไหลอาบแก้มคนนำทางโดยไม่รู้ตัว
ครอสเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับครุ่นคิดถึงเหตุผลของการมาเยือนของผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มที่เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย การเข้ามาเหยียบในถิ่นของศัตรู และรายล้อมด้วยสายตาเชือดแทง และอาวุธที่พร้อมจะทำร้ายได้ทุกเมื่อ เป็นเรื่องที่คนเป็นผู้นำไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งมาคนเดียวได้แล้ว ยิ่งเข้าไปใหญ่
ไม่อย่างนั้นหมอนั่นก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่เป็นหลักค้ำประกันว่า ต่อให้มาเหยียบที่นี่ หรือที่คฤหาสน์ของเขา ตัวเองก็มีสิทธิรอดกลับไปครบสามสิบสอง
อะไรที่ทำให้มั่นใจได้ขนาดนั้น?
ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดก็แล้วกัน....
“ถึงแล้วขอรับ” คนนำทางเอ่ยขึ้นกะทันหันก่อนจะหลบฉากไปข้าง ๆ ดวงตาสีแดงของคนเดินตามมองประตูเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าคนมาเยือนอย่างจัสติน เบสเตอรอยด์ จะมารออยู่ในห้องที่เรียกว่า ‘ห้องสอบสวน’ ไม่ได้เป็นห้องรับรองเหมือนแขกทั่วไป
ครอสพยักหน้าเบา ๆ ให้นายทหารคนนั้นแล้วจึงเปิดประตูให้
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าไม่ได้ต่างไปจากที่คิดไว้เท่าใดนัก อาจจะผิดแผกไปบ้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนมาเยือนที่ควรจะทำให้น่าเกรงขาม หรือมีอาการตื่นกลัวบ้างตามประสาหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่กลับนั่งพิงเก้าอี้ และเอาขาพาดบนโต๊ะอย่างสบายใจเฉิบ ที่มุมห้องสี่ห้องมีแวมไพร์สี่ตนยืนเตรียมพร้อมรับมือ รวมถึงข้างกายของแวมไพร์เลือดผสมคนนั้นก็มีอีกสองตนที่ยืนคุมเข้ม
แต่แค่มองจากระยะนี้ก็เห็นแววตาของพวกเขาหงุดหงิด และโมโหมากเพียงใดที่เห็นพฤติกรรมของคนที่สมควรจะอยู่เฉย ๆ
ร่างกำยำที่นั่งกอดอก และทำท่าเหมือนจะสัปหงกไปแล้วเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่ามีใครก้าวเข้ามาในห้อง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับแววตาสีแดงอมชมพูที่ฉายแววยินดี
“อ้าว มาแล้วหรือ? ข้ารอเสียตั้งนาน” วาจาจาบจ้วงไม่คำนึกถึงสภาพของตัวเอง ทำให้แวมไพร์ที่ยืนคุมขยับตัวเล็กน้อย และตั้งท่าจะสั่งสอน แต่ร่างสูงผมยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ครอสสั่งห้วนสั้นก่อนจะตวาดซ้ำเมื่อเห็นว่าแวมไพร์ตนที่เหลือมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล และไม่วางใจนัก “ข้าสั่งให้ออกไป หรือต้องให้ข้าตัดหูพวกเจ้า แล้วใส่กลับไปใหม่เหมือนเดิมถึงจะได้ยินกัน?”
แม้คำพูดจะราบเรียบ แต่คนฟังก็รู้ได้ทันทีคนพูดกำลังหงุดหงิด และพร้อมทำจริงแน่
แวมไพร์ทั้งหกตนรวมถึงผู้นำทางก้าวออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ในห้องสอบสวนนั้นจึงเหลือเพียงแวมไพร์หนุ่มผมดำที่ทรุดกายลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม และชายหนุ่มร่างกำยำเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้ม ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ราวกับว่ากำลังวัดใจว่าใครจะทนความเงียบได้นานกว่ากัน...
สำหรับครอสแล้วการนิ่งเงียบเป็นสิ่งที่ถนัดที่สุด แต่สำหรับจัสตินนั้น ก็เริ่มหวั่น ๆ กับแววตาที่แข็งกร้าว และโกรธเกี้ยวของชายหนุ่มผมดำ จนต้องตัดใจผละสายตา และลุกขึ้นยืนแทน
“เจ้าพวกนั้นกลัวข้าเชือดผู้นำหรือ ถึงทำท่าไม่อยากออกจากห้องขนาดนั้น?” จัสตินกล่าวยั่วล้อเพื่อปั่นอารมณ์ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เล่นด้วยอย่างใด
“มีธุระอะไร?” น้ำเสียงห้าวถามราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ จนคู่สนทนาอดสงสัยไม่ได้ว่าเอาอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นไปเก็บไว้ที่ไหนหมด
จัสตินไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจนักหากแต่ดวงตาสีแดงอมชมพูนั้นกลับพราวระยับ “ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่จะมาบอกว่าเซดดริก เอเลนอฟ อยู่กับข้า” เขาเอ่ยต่อราวกับไม่รู้สึกอะไรพร้อมกับลอบสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย
แต่ครอส ดี ดีแฟนธ่อมยังคงนิ่งเงียบ...ไม่มีท่าทีใดแสดงออกมา แต่ภายในใจนั้นกลับเต้นเร่าด้วยความโกรธจัด อยากจะกระโจนเข้าไปบีบคอคนตรงหน้าให้สิ้นชีพคามือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่แบบนั้นก็ยิ่งเข้าทางอีกคนที่อยู่เบื้องหลังที่กำลังนั่งมองละครฉากนี้อย่างทองไม่รู้ร้อนเป็นแน่
แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะยอมเป็นตัวละครที่เล่นตามบทที่หมอนั่นวางไว้?
“...”
เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไร อีกฝ่ายจึงเอ่ยต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับยั่วยุ
“แย่หน่อยนะที่ต้องให้เขาอยู่ในคุก ก็ที่ของเรา...ไม่ได้ ‘ใหญ่โต’ เหมือนคฤหาสน์ดีแฟนธ่อมนี่นะ” จงใจเน้นคำเพื่อแสดงความประชดประชัน จัสตินเดินไปเดินทั่วห้องสี่เหลี่ยมโดยคอยลอบมองสีหน้า และดวงตาของอีกฝ่าย
“...”
“ตอนนี้ก็ยังปลอดภัยดีอยู่... แต่ต่อไปมันก็ไม่แน่นะ”
“...”
“อืม...จะว่าไงดีล่ะ? ตอนนี้พวกเลือดผสมที่มีเปอร์เซ็นต์ของเลือดบริสุทธิ์สูงก็มีอยู่มากเชียวล่ะ” ชายหนุ่มร่างกำยำยังคงว่าต่อราวกับกำลังเล่านิทานเรื่องหนึ่ง โดยมีผู้ฟังที่เส้นแห่งความอดทนค่อย ๆ บางลงเรื่อย ๆ นั่งฟังอย่างสงบนิ่ง
“ดีไม่ดีตอนที่ข้ากลับไป พวกนั้นอาจจะหิวโซมากจนชนาดอดใจไม่ไหว ก็นะ ‘มนุษย์’ ทั้งคนอยู่ตรงหน้านี่นา”
“ต้องการอะไร?” เสียงห้าวถามเสียงแหบต่ำ และเบา
แต่จัสตินก็เพิกเฉย ไม่ตอบคำถามนั้น ซ้ำยังว่าต่อโดยไม่ใส่ใจ “จะว่าไปแล้ว...หมอนั่นก็หน้าตาดีไม่ใช่น้อยเลยนะ รู้สึกว่าผู้หญิงที่นั่นหลายคนแอบชอบพอไม่น้อยทีเดียว” ใบหน้าคมขมวดคิ้วนึกเรื่องที่จะพูดต่อไปได้อย่างน่าหมั่นไส้
“จะว่าไปไม่ได้มีแค่ผู้หญิงเสียด้วยสิ ยังมีพวกที่...ยังไงนะ? ชอบเพศเดียวกับตัวเองอะไรแบบนี้” ว่าแล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ น่าสงสาร ๆ ที่ต้องอยู่ในคุก และล่ามโซ่ไว้แบบนั้น...”
“ข้าถามว่าต้องการอะไร จัสติน เบสเตอร์รอยด์!!?” ครอสตบโต๊ะเสียงดังพร้อมกับตวาดลั่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ด้วยแรงโทสะ ความอดทนที่เก็บไว้มานานพังทลายลง เพียงเพราะได้ยินคำพวกนั้น
ทั้งที่มั่นใจว่าจะทนได้แน่ ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเรื่องพวกนั้นอาจจะเป็นแค่เรื่องโกหกมดเท็จ...แต่ก็ดันเผลอแสดงอารมณ์ออกไปจนได้
จัสตินกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อแผนการยั่วยุประสบผลสำเร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามที่เฟลอสบอกไว้ทุกประการ
ผู้ชายคนนั้นคือจุดอ่อนที่คาดไม่ถึง
“หือ? เจ้าสนใจด้วยหรือ? เซดดริก เอเลนอฟก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นที่เจ้าเคยดูดเลือดจนแห้งตายมาแล้วนี่ เจ้าฆ่ามนุษย์มาเสียตั้งมากมาย เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้มนุษย์ตายไปอีกสักคนก็คงจะไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ?”
“...” แวมไพร์หนุ่มสูดลมหายใจเข้าสองสามครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ เพราะรู้ตัวว่าเผลอแสดงออกมากเกินไปเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้แน่ชัดแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้ใครเป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง
...เฟลอส เดน เดอแคลร์...
“ถ้าถามว่าข้าต้องการอะไร? เจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ใบหน้าคมยิ้มเยาะ “ข้าต้องการเห็นผู้นำอย่างเจ้าล้ม ข้าต้องการเห็นพวกเลือดบริสุทธิ์ค่อย ๆ ตายไปอย่างช้า ๆ และทรมาน จนกระทั่งไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก กลายเป็นเพียงขี้เถ้าให้พวกเข้าเหยียบย่ำให้จมดิน!!”
“วาจาสามหาว” ครอสเปรยราบเรียบ “แค่เจ้ากับพวกของเจ้าแค่หยิบมือ กับ ‘อีกคน’ ที่คอยวางหมากให้พวกเจ้าเดินน่ะ...ทำอะไรไม่ได้หรอก”
อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า ‘อีกคน’ ที่น้ำเสียงจงใจเน้นเป็นพิเศษ แสดงว่าแวมไพร์หนุ่มผู้นี้รู้แล้วว่าใครเป็นคนวางแผนการเหล่านี้ขึ้นมา แต่ช่างปะไร มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะต้องมาใส่ใจเรื่องนี้ ที่เขาสนใจก็มีเพียงแค่แก้แค้น และทำลายให้สิ้นซากเท่านั้น
“แน่ใจเหรอ?” เขาเลิกคิ้วสูงอย่างน่ากวนอารมณ์
“แล้วอะไรที่ทำให้เจ้ามั่นใจขนาดนั้น?”
จัสตินหัวเราะหึในลำคอเบา ๆ “นั่นสินะ ข้าเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ก็ช่างเถอะ...” ว่าแล้วก็พลางไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“...ยังไงซะ ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมืออยู่แล้ว จะบีบก็ตาย...จะคลายก็รอดทั้งนั้น” แม้จะไม่ได้เอ่ยว่าใคร แต่ร่างสูงผมดำก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร
แม้ใบหน้าและท่าทางจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่ดวงดวงตาหรี่เล็กลงราวกับจะซ่อนความกังวล และความโกรธเกรี้ยวไว้ภายใน ก้อนเนื้อที่อกซ้ายเต้นรัวเมื่อนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มผมบลอนด์ที่จนบัดนี้ยังไม่รู้ว่าถูกจับไปอยู่ที่ไหน
หากถูกจับไปอยู่ในคุกจริง จะถูกล่ามโซ่ไว้อย่างที่บอกไว้หรือเปล่า?
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว...ยังปลอดภัยดีอยู่ไหม?
เขารู้ว่าจัสติน เบสเตอรอยด์ ไม่ทำตามจริง ๆ อย่างที่พูดหรอก แต่กับอีกคนนี่สิ..เขารู้จักนิสัยดี มีความเป็นไปได้สูงที่จะกระทำการที่นอกเหนือแผนการที่บอกคนตรงหน้าเขาไว้ และนั่นแหละ...ที่ทำให้เขาเป็นกังวลมากขนาดนี้
เขาเดาใจมันไม่ออก เช่นเดียวกับที่มันเดาใจเขาไม่ออกเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป จัสตินก็กระตุกยิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอ่ย “เอาเถอะ ข้ามาวันนี้ก็แค่มาเตือนสถานะให้เจ้ารู้เอาไว้” สิ้นคำ ก็เดินผ่านคนที่นั่งนิ่ง
แต่ไม่ทันที่จะได้เปิดประตู ร่างกำยำก็ถูกผลักติดกำแพงอย่างแรงดังปั้กโดยมือที่มองไม่เห็น แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝีมือของใคร ถ้าไม่ใช่พลังของร่างสูงผมดำที่ยังคงนั่งนิ่งเช่นเดิม
“อยู่ที่ไหน?” ครอสถามเสียงต่ำโดยที่ยังไม่หันมามอง พร้อมกับแรงกดที่ลำคอของอีกฝ่ายค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น
ดวงตาสีแดงอมชมพูประกายชัยชนะที่อีกคนไม่ทันได้สังเกต “ทำไม? เกิดอยากรู้ขึ้นมาเหรอ...อุก!” เพราะปากพาซวย ทำให้ลำคอยิ่งถูกกดหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบหายใจไม่ออก ใบหน้าคมเขียวคล้ำอย่างน่ากลัว แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่าจุดประสงค์การมาที่แท้จริงกำลังจะลุล่วง
“อย่ามาเล่นลิ้น” น้ำเสียงห้าวตวาดฉับพร้อมกับดวงตาสีแดงที่ตวัดมามองอย่างคมกริบ
“ถ...ถ้าอยากให้..บอก ก็...ป ปล่อยลงก่อน” แม้จะอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบ แต่อีกฝ่ายยังกล้าเสนอ
“...”
แต่แรงกดที่ลำคอยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่...อยากรู้เหรอ?”
ครอสไม่ตอบอะไร นอกจากร่างกำยำที่ค่อย ๆ ร่วงลงพื้น เพราะกระแสพลังที่กดทับที่ลำคอ และลำตัวมลายหายไป ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินมาที่คนที่กำลังหอบตัวโยนบนพื้น
“ว่ามา” ดวงตาสีแดงหรี่เล็กลง และมองอีกฝ่ายอย่างเย็นเยียบ
จัสตินลอบยิ้มจาง ๆ “แต่แน่นอนข้ามีข้อแม้สองข้อ” พร้อมกันนั้นก็ค่อย ๆ ยันกายให้ลุกขึ้นยืน ประจันหน้ากับแวมไพร์หนุ่มที่เก่งกาจที่สุดอย่างไม่หวั่นเกรง ใบหน้าคม และดวงตาสีแดงอมชมพูพราวระยับด้วยความเจ้าเล่ห์
“เลือกมาซะ ระหว่างเจ้ารอด แต่มนุษย์คนนั้นตาย หรือมนุษย์คนนั้นรอด แต่เจ้าตาย!”
ดวงตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว “จัสติน เบสเตอรอยด์!!” มือขวาแกร่งขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย ก่อนจะดันกระแทกกำแพงข้างหลังอีกครั้งอย่างไม่ปราณี แต่คนยื่นข้อเสนอกลับยังคงยิ้มเยาะเยี่ยงผู้มีชัย
“วันนี้ตอนสองทุ่มที่ชายแดนโรมาเนียทางตะวันตก เอาคำตอบของเจ้ามาซะ แล้วข้าจะบอกที่อยู่ของเซดดริก เอเลนอฟให้” แม้หลังของจัสตินจะระบมอีกครั้ง แต่ใบหน้าคมยังคงประดับด้วยรอยยิ้มสุนัขจิ้งจอก “ถ้าเจ้าไม่เลือก...ก็จะไม่รู้ว่าที่อยู่ของเซดดริก เอเลนอฟคือที่ไหน”
ครอสกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจก่อนจะปล่อยมือจากร่างกำยำตรงหน้า แล้วจึงชะงัก และนิ่งงันเมื่อได้ยินประโยคส่งท้าย
“แล้วมาดูกันซิว่า ผู้นำตระกูลดีแฟนธ่อม ผู้นำพวกเลือดบริสุทธิ์ จะเลือกอะไร จะทำเพื่อตัวเอง หรือ เพื่อประชากรแวมไพร์!”
-- TO BE CONTINUED --
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

For others...
or just for yourself...
which way is your choice....
ฮี่ๆ ไปล่ะค่า^0^ นิยายคุณเซ หนุกมว๊ากกกกก><
เป็นกำลังใจให้ค่าา
จะเป็นกำลังใจให้ค่า >0<
จะลงเเดงเเย้วววววว~~ขอร้าบ~~~
Up please ~
ชื่อเพาะดีนะค่ะ^v^
โฮ๊ะๆ...น่าสนุกอีกเช่นเคย