“กลับมาแล้วค้า...”เสียงของวัยรุ่นหญิงคนหนึ่งในชุดนักเรียนมัธยมตอนปลายดังขึ้นที่หน้าประตูบ้านหลังสวยในหมู่บ้านที่ดูอบอุ่นเมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น เธอเดินเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย และพบกับดวงหน้าที่เหมือนกันทุกระเบียดนิ้วเพียงแต่อีกฝ่ายดูสูงวัยกว่าท่านั้น เธอไหว้คนตรงหน้าด้วยความเคยชิน“สวัสดีค่ะแม่ ทำกับข้าวอยู่หรือคะ”
หญิงผู้สูงวัยยิ้ม “จ๊ะ หิวรึยังล่ะ”เธอถามผู้เป็นลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่เอ็นดู
“แม่ทำเสร็จเมื่อไหร่ เซกินเมื่อนั้นแหละค่ะ”ผู้เป็นลูกสาว หรือ ‘เซ’ ตอบพลางยิ้มตอบ “เซไปอาบน้ำก่อนนะคะ”พูดลาจบ เธอก็เดินไปที่ห้องของตัวเองที่ตั้งอยู่ข้างๆห้องรับแขก
“จ้า”ผู้เป็นแม่ตอบรับก่อนจะหันกลับไปทำอาหารเย็นต่อ
เมื่อเซเข้าไปแล้วเธอก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อทำให้เนื้อตัวเย็นหลังจากที่ร้อนๆมาทั้งวัน
10นาทีต่อมา...
ร่างบางในชุดนอนตัวเก่งสีเขียวลายพฤกษาดูเย็นตาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กสีเดียวกันที่วางอยู่บนผมสีดำยาวเลยบ่าเล็กน้อยก็เดินมาจากห้องน้ำ เธอเดินไปยังโต๊ะหนังสือริมหน้าต่างที่ประดับด้วยผ้าสีเขียวอ่อนด้วยความคิดที่จะหยิบหนังสือในลิ้นชักมาอ่านสักหน่อยเพื่อคลายเครียด
เมื่อเซเปิดลิ้นชัก ก็มีสิ่งหนึ่งร่วงลงมากระทบกับพื้นอย่างไม่ตั้งใจ
หือ?
เธอเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะก้มตัวลงหยิบมันขึ้นมาดู มันคือสร้อยหินสีขาวขุ่นหลายขนาดที่ร้อยเรียงกันด้วยสายบางอย่างที่ใส และบางจนแทบจะมองไม่เห็น แต่เหนียวเหมือนเส้นด้าย
สร้อยหินขาว...งั้นหรอ? เธอคิด และยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะปล่อยให้ความคิดพาเธอล่องลอยไปกับอดีตเมื่อ 2 ปีที่ก่อน เมื่อเธออายุได้ 16 ปี...
....ในวันเกิดครบรอบ 16 ปีบริบูรณ์ของนางสาวรวินตรา อินทิรา หรือเซ เด็กสาวเดินไปตามถนนอย่างเหม่อลอยเหมือนเช่นทุกวันที่เธอเตร็ดเตร่อยู่คนเดียว เนื่องจากเด็กสาวไม่มีเพื่อนเหลือสักคน ความจริงแล้วเซมีเพื่อนมากมาย แต่เนื่องด้วยอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตคุณพ่อของเธอไปเพราะช่วยเธอซึ่งตอนนั้นไม่ทันได้ระวังดูรถขณะข้ามถนน ผู้คนรอบกายต่างพากันโทษเซว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้มีพระคุณต้องตาย แม้กระทั่งคุณแม่ของเธอที่เศร้าโศกเสียจนเกือบเป็นบ้าก็ยังโทษว่าเป็นความผิดของเธอ
นับตั้งแต่นั้นมา จากเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใสกลับกลายเป็นคนเก็บตัว เงียบ และไม่พูดไม่จากับใคร ส่วนเพื่อนๆก็ไม่อยากจะพูดด้วยเพราะกลัวว่าเธอจะนำโชคร้ายมาให้
...หลายต่อหลายครั้งที่เธอแทบอยากจะทิ้งชีวิตนี้ อยากตายไปซะให้พ้นๆ ชีวิตแบบนี้อยู่ไปเพื่ออะไร?...
แต่เมื่อคิดจะฆ่าตัวตาย เธอกลับไม่กล้า
ถึงแม้ว่าวันนี้เธออายุครบ 16 ปีเต็ม...แต่ว่าไม่มีใครเลยสักคนที่ใส่ใจ หรือแม้แต่จะจดจำ แต่มันก็เท่านั้นสำหรับเธอ เพราะว่ามันชาชินซะแล้วกับการที่คนรอบข้างเมินเฉย และทำราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน
เซเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งสายตาของเธอไปสะดุดกับชายชราคนหนึ่งที่ตั้งแผงขายของของอยู่ที่ทางเดิน เธอเดินเข้าไปใกล้และเห็นว่า สิ่งที่อยู่บนผ้าที่วางอยู่บนพื้นมีเพียงปากกาสีขาวบริสุทธิ์อยู่ด้ามเดียว
...ดูธรรมดา แต่ทำไมถึงติดใจนักก็ไม่รู้...
เซยืนเหม่อมอง พอรู้สึกตัว เธอก็เห็นชายชราเจ้าของแผงลอยยื่นปากกาด้ามนั้นให้เธอ เซมองของในมือของเขา พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ทำไมลุงถึงให้หนูล่ะคะ ของซื้อของขายไม่ใช่หรอ”เธอถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีเหตุผลใด เพียงแต่ปากกาด้ามนี้มันเรียกร้องอยากให้หนูเป็นเจ้าของ”
นั่นคือคำตอบของลุงคนนั้น ถึงจะดูคลุมเครือก็เถอะ แต่เธอก็รับมันมา ใจหนึ่งก็ไม่อยากได้ ใจหนึ่งก็มีความรู้สึกว่ามีบางอย่างให้เธอมีมันให้ได้
เมื่อเซกลับถึงบ้าน และกำลังจะเตรียมตัวอาบน้ำ เธอหยิบปากกาด้ามเรียวนั้นขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ให้ละเอียด ถึงจะดูกี่ครั้งมันก็ยังดูธรรมดาเหมือนเดิม อยู่ดีๆเธอก็เดินตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือและหยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง และเริ่มต้นเขียน
เขียน...อะไรดีล่ะ เธอตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วด้วยอะไรบางอย่างดลใจเธอเขียนลงไปว่า
‘สิ่งใดที่เขียนลงไป จักเกิดเหตุอันพาเจ้าสู่โลกใหม่’
สิ้นประโยคนั้น เกิดแสงสว่างวาบบาดตาขึ้นที่ผนัง เธอหันไปดูและได้พบกับช่องว่างหนึ่งซึ่งล้อมรอบด้วยแสงสีขาวสะอาดที่ทำให้เธอดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ แต่ถึงเธอจะตกใจแต่เธอก็เดินเข้าไปในนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มากกว่า...
เซลืมไปแล้วล่ะว่าความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง เธอจำได้เพียงแต่ว่าที่โลกใบนั้น...โลกที่เป็นคู่ขนานกับโลกของเธอ และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมือนกันยกเว้นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเกินกว่าหลายร้อยปีเท่านั้น เธอได้พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาคือ คนๆแรกที่พูดกับเธอ และยอมเป็นเพื่อนกับไอ้คนที่มาจากไหนไม่รู้และไม่รู้จักอะไรซักอย่างในโลกนี้ น่าแปลกที่ทั้งเธอและเขา หรือว่า ‘นิวะ’ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลแปลกตาทรงวัยรุ่นนำสมัยพูดภาษาเดียวกัน
นิวะ...คนๆแรกที่ทำให้เธอรู้จักความหมายที่แท้จริงและความสำคัญของคำว่า ‘ชีวิต’
แน่ล่ะ ก่อนหน้าที่เธอจะมาเจอเขา เธอไม่เคยให้ความสำคัญของคำว่า ‘ชีวิต’ตั้งแต่พ่อของเธอตายจากไป ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย จนลืมไปแล้วว่าเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาทำไม
"นี่ นิวะ นายชอบที่จะมีชีวิตอยู่รึเปล่า"อยู่ดีๆวันหนึ่งเธอก็ถามเพื่อนเพียงคนเดียว
นิวะที่กำลังนอนแผ่หลาบนพื้นหญ้า และเหม่อมองท้องฟ้า หันมาหาเธอ "ชอบสิ มีชีวิตอยู่นี่แหละดีที่สุดเลย"เขาตอบสบายๆ "ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าเธอไม่ชอบน่ะ"
เซเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ "ก็...ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้ว่าชีวิตมีไว้เพื่อะไร มีไว้ทำไม...ก็เท่านั้น"
นิวะดันตัวขึ้นและมองลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กสาว
“ชีวิตมีไว้ให้เราดำเนินต่อไปยังไงล่ะ เกิดมาเพื่อที่จะได้รู้ว่าเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำได้ทั้งความดีและความชั่ว รู้มั้ยการที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกทำให้เราได้รู้อะไรเยอะแยะ ทั้งความดี ความชั่ว ความทะเยอะทะยาน หรือความโลภของผู้คนที่ไม่มีวันสิ้นสุด มันคงจะน่าเบื่อน่าดูเลยนะถ้าชีวิตมีแต่สีขาวกับดำ”
นั่นคือคำตอบเดียว คำพูดเดียวที่ไขข้อข้องใจของเซได้
นั่นสินะ...คำตอบง่ายๆแค่นี้ เราก็ยังไม่รู้
เธออยู่ที่นั่นนานนับ 6 เดือน ความสุขที่เธอไม่เคยได้รับ ไม่เคยได้มี ปัญหาที่ไม่เคยได้พบ และการแก้ปัญหาที่ไม่เคยได้แก้เธอได้พบกับมันในโลกนี้ทั้งหมด แต่ถึงแม้เซจะมีความสุข และสนุกแต่เธอก็ยังใช้ชีวิตอยู่โดยยังไม่ลืมว่าตัวของเธอนั้นไม่ใช่คนของโลกนี้ ต้องมีซักวันที่เธอต้องกลับไป กลับไปสู่โลกที่เป็นตัวตนของเธอ ทุกๆวันในจิตใจของเด็กสาวมีอยู่สองจิตสองใจ ใจหนึ่งก็อยากกลับไป กลัวว่าทุกคนจะเป็นห่วง อีกใจหนึ่งก็อยากอยู่ที่นี่
...อยากอยู่กับนิวะ และทุกคนที่เธอได้รู้จักในโลกนี้...
และแล้ววันหนึ่งก็มาถึง วันที่เซรู้ตัวมาต้องจากโลกนี้ไปเมื่อเธอเดินเล่นกับคิระในตัวเมือง เธอก็เจอกับปากกาด้ามเดียวกันที่เป็นตัวพาเธอมายังโลกแห่งนี้ เธอหยิบมันขึ้นมาจากที่วางขาย และเธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของแผงขายของ
นี่มันลุงคนที่ให้ปากกาเรานี่นา!!!
“ได้เวลากลับแล้วล่ะ แม่หนู”ลุงขายของเอ่ย สร้างความสงสัยให้กับนิวะ โดยเฉพาะนิวะที่ตั้งคำถามกับเซทันที
“เดี๋ยวก่อนเซ ไปไหน แล้วลุงคนนี้เป็นใครกัน”เขาว่าพลางมองไปทางชายแปลกหน้าอย่างระแวดระวัง
แต่สำหรับตัวเซนั้นรู้ดีว่า ลุงคนนี้พูดถึงเรื่องอะไร เมื่อเขาวาดปากกาไปบนอากาศและทุกคนรอบตัวข้างเด็กหนุ่ม-สาวก็หยุดชะงักเหมือนมีใครมาหยุดเวลาไว้ ก่อนที่จะเกิดช่องว่างสีขาวสว่างบาดตาแบบเดียวกับที่พาเธอมายังที่นี่เมื่อ 6 เดือนก่อน
เซหันหน้ามาพาเพื่อนชาย “ขอโทษนะ มันถึงเวลาแล้วล่ะที่ฉันต้องกลับ ขอโทษนะที่ฉันอยู่กับนายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยฉุดฉันขึ้นมาจากความว่างเปล่า”เธอกล่าวก่อนที่จะหันหลังและก้าวออกไปยังช่องว่าง แต่มือของนิวะนี้ดึงข้อมือของเธอและยัดของบางอย่างใส่มือ
“ฉันให้นี่ แล้วก็นะฉันสัญญาว่าจะไม่ลืมเธอ เซ แต่เธอต้องสัญญาด้วยนะว่าจะไม่ลืมฉัน”เขาพูดพร้อมกับจ้องหน้าของเซตรงๆ เธอยิ้มรับและเอามืออีกข้างกุมมือที่มีของอยู่ไว้แนบอก
“ฉันสัญญา นิวะ ฉันจะไม่มีทางลืมเธอ ไม่มีวันเด็ดขาด และลาก่อนเพื่อนรักของฉัน”เธอกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปในช่องว่างเบื้องหน้า เธอพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่หันกลับไปมอง เพราะทางข้างหน้าคือโลกจริงของเธอ โลกที่เป็นตัวตนของเธออย่างแท้จริง น้ำใสๆไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่พร้อมๆกับขาที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
..
“เซจ๊ะ อาหารพร้อมแล้ว มาทานได้แล้วล่ะลูก”เสียงอันอ่อนหวานของผู้เป็นแม่ปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เธอวางสร้อยหินขาวอันเป็นของที่คิระให้เธอมาไว้บนโต๊ะ หลังจากที่เธอกลับมาจากโลกคู่ขนาน ท่าทางของแม่บังเกิดเกล้าก็เปลี่ยนไป เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างที่เธอหายตัวไป แต่เซไม่คิดอยากจะรู้ เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่เธอมีความสุขที่สุดแล้ว
“ค่ะแม่ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”เธอตอบกลับก่อนจะเดินออกจากห้องไปยังห้องอาหารที่แม่ของเธอเตรียมอาหารไว้
นิวะ...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ฉันจะไม่มีวันลืมนาย ไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้นแน่นอน ความทรงจำเกี่ยวกับนายและโลกใบนั้น จะไม่มีหายไปตลอดไป ตลอดกาล...

In the memory~ความทรงจำนี้ไม่ลืมเลือน
ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ฉันจะไม่มีวันลืมนาย ไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้นแน่นอน ความทรงจำเกี่ยวกับานยและโลกใบนั้น จะไม่มีหายไปตลอดไป ตลอดกาล...
ยอดวิวรวม
961
ยอดวิวเดือนนี้
0
ยอดวิวรวม
961
แอบเห็นด้วยกับคคห.ที่6...บาปจริงๆนา...><
แต่งนิยายเรียกแต่น้ำตาของรีดเดอร์มันบาปนะ!!
(จะด่าหรือจะชม? - - )
ชมจ่ะชม พัฒนาต่อไปเรื่อยๆนะจ๊ะ
เพื่อนคนนี้ยังเปนกำลังจัยให้อยู่นะ
รู้สึกว่าจะแต่งมานานแล้ว (เพิ่งเข้ามาเม้น) ซึ้งดีจิง ๆ (ร้องไห้ ฮือ ๆ)
ไปล่ะ...จากเพื่อนข้างห้อง (อดีต [302] SKN SM#4)
เค้าว่ามันยาวปายหน่อยอ่ะแร้วตัวมันเล้กด้วยแหละอื้ม
ม่ายโกดช่ายป่ะอื้มแนะนำ^^
โอเคน้าปายแระวันหลังจะมาใหม่