ตอนที่ 9 : [Chapter Seven]: บังเอิญ (2/2)
[CHAPTER Seven]
บทที่ 7 บังเอิญ (2/2)
"เรื่องมีอยู่ว่า..."
.
.
.
"ฉันน่ะ..มีพี่ชายบุญธรรมอยู่สองคน ซึ่งหนึ่งในนั้น..พี่ชายคนรองของฉันเป็นนักกีฬา"ฉันพูดเกริ่นขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเข้าเรื่องจริงๆพลางชูนิ้วชี้และนิ้วกลางของตัวเองขึ้นมาเสริมตอนที่บอกกับคนตรงหน้าว่าตัวเองมีพี่ชายสองคน แล้วจึงส่งยิ้มบางๆอีกฝ่ายให้ยามเห็นว่าเขาสบตากลับมาด้วยท่าทีสนใจ
"นักกีฬา?"
"พี่ชายเขาเป็นนักเทนนิสน่ะจ้ะ"ฉันยิ้มตอบ"พี่เขารักเทนนิสมาก สีหน้าของพี่ตอนเล่นเทนนิสดูมีความสุขขนาดไหน..'สี'ของเขาเจิดจ้าขนาดไหน จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังจำได้ไม่ลืม"
ขณะที่กำลังเล่าเรื่องให้โกเอนจิคุงฟัง..ตัวฉันเองก็ค่อยๆหลับตาลงเรียบเรียงความคิดของตัวเองเพื่อระลึกความหลังไปด้วย พอนึกถึงพี่น้องบุญธรรมของตัวเองในโลกนี้แล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะระบายรอยยิ้มบางๆออกมา
ตัวฉันในโลกแห่งความเป็นจริง..เอ่อ หมายถึงตัวฉันก่อนที่จะทะลุมิติมาน่ะนะ ตัวฉันในตอนนั้นไม่มีเคยพี่น้อง ส่วนพ่อกับแม่แท้ๆเองก็ได้เจอหน้ากันน้อยมากจนแทบจะนับครั้งได้ ส่วนเรื่องโทรศัพท์หรือข้อความนี่ไม่ต้องพูดถึง..เพราะฉันไม่เคยแม้แต่จะได้รับมัน
ดังนั้น..พอฉันได้เข้ามามีตัวตนในโลกแห่งนี้และได้มีพี่น้อง ฉันถึงได้ดีใจมาก
ชีวิตใหม่ที่ได้รับมานี้..สำหรับฉันแล้วก็เปรียบเสมือนกับของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด...
"ในถานะที่เป็นน้องสาว..ฉันอยากเห็นสีหน้าที่มีความสุขของพี่ อยากเห็นท่าทางที่สนุกสนานของเขาตอนที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ฉันพยายามช่วยเขาทุกอย่างเท่าที่น้องสาวคนหนึ่งจะทำได้ ทำข้าวกล่องให้บ้าง เตรียมน้ำเตรียมผ้าขนหนูให้บ้างตอนที่พี่ไปซ้อม แล้วก็ตามไปดูการแข่งทุกรายการที่พี่เข้าร่วม ถึงฉันจะไม่ค่อยรู้เรื่องเทนนิสสักเท่าไหร่..แต่ฉันก็ชอบการเล่นของพี่ชายมาก"
ฉันยิ้มกว้าง"พี่ชายตอนเล่นเทนนิสน่ะเท่มากๆเลยล่ะ^^"
สิ่งที่ฉันพูดออกมานี้..ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกของฉันที่มีต่อพี่ชายจริงๆ ฉันชื่นชมเขามากและรักเขาจากใจ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ค่อยได้พูดชมพี่ชายให้ใครฟังสักเท่าไหร่เพราะกลัวว่าจะมีใครบางคนเอาคำชมของฉันไปพูดต่อๆกันจนถึงหูพี่ชายเข้า
เพราะถ้าพี่มาได้ยินเข้าล่ะก็..เขาจะเหลิงกับคำชมนี้ไปไปสามวันเจ็ดวันเลยล่ะนะ^^;;...
"เธอคงรักพี่ชายมากสินะ"โกเอนจิคุงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ดูจากท่าทางแล้ว..สิ่งที่เขาพูดมาคล้ายจะเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ฉันลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะพบว่าคนตรงหน้ากำลังส่งรอยยิ้มจางๆมาให้
โกเอนจิคุงไม่ได้แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาทางสีหน้าอีกตามเคย ใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่งตามนิสัยของคนสุขุม..มีเพียงมุมปากเท่านั้นที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆตามแบบฉบับของตัวเขาเอง ถึงอย่างนั้นแววตาของเขาที่จ้องมองมากลับสงบนิ่งและมั่นคงราวกับเข้าใจว่าฉันมีความรู้สึกยังไงเกี่ยวกับเรื่องที่เล่า
ก็..นะ
คนที่มีพี่น้องเหมือนกัน..ก็ต้องเข้าใจความรู้สึกของกันและกันได้ดีอยู่แล้ว...
"อื้ม ถึงจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ตามนะ..แต่ฉันก็รักพี่เขาเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆของตัวเองเลยล่ะ"ฉันยิ้มตอบ เอนตัวไปพิงเบาะนั่งที่ด้านหลังของตัวเองเบาๆในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคู่สนทนา หลังจากนี้ฉันจะเริ่มพูดเข้าเรื่องจริงๆแล้ว
"แต่อยู่มาวันหนึ่ง..ก็เกิดเรื่องขึ้น"
พอคิดมาถึงตรงนี้..รอยยิ้มของฉันก็ค่อยๆจางหายไป...
"เป็นเรื่องที่ทำให้พี่ชายตัดสินใจเลิกเล่นเทนนิส..เหมือนกับที่โกเอนจิคุงเคยคิดว่าจะเลิกเล่นฟุตบอล"
!?
ดวงตาคมของคนตรงหน้าเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ฉันพูดจบประโยค ท่าทางคล้ายคนกำลังตกใจที่พยายามเก็บสีหน้าของตัวเองเอาไว้ทำให้ฉันเผลอส่งยิ้มให้เขาไปโดยอัตโนมัติ
"เป็นอุบัติเหตุน่ะจ้ะ คนที่ประสบอุบัติเหตุนี้ก็คือเพื่อนสนิทของพี่ชายเอง และคนคนนั้น..ก็เป็นเพื่อนคนสำคัญที่ทำให้พี่ตัดสินใจเริ่มเล่นเทนนิสซะด้วย"ฉันเล่าต่อในขณะที่มือก็เริ่มจับหลอดในแก้วนมปั่นเมล่อนเอาไว้แล้วคนเครื่องดื่มสีเขียวอ่อนในนั้นไปมา แต่ก็ยังไม่คิดที่จะดื่มต่อ
เพื่อนของพี่ชายคนนั้น..เขาเป็นเพื่อนกับพี่มาตั้งแต่สมัยประถมและพี่ก็เคยพามาเที่ยวบ้านบ่อยๆ ถึงฉันจะไม่ได้สนิทกับเขามากนักแต่ก็นับว่าเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
"ตอนที่เกิดุบัติเหตุ..รู้สึกว่าตอนนั้นก็เป็นตอนที่พวกพี่เขาก็กำลังซ้อมเทนนิสกันตามปกตินี่แหละนะ แต่..ระหว่างที่ซ้อมๆกันอยู่พี่ชายกลับตีพลาดจนลูกเทนนิสกระเด็นไปกระแทกดวงตาของเพื่อนคนนั้น ซึ่งมันก็..น่าจะแรงอยู่พอสมควรเลยล่ะมั้ง?"ฉันพูดพึมพำประโยคสุดท้ายกับตัวเองเบาๆอย่างไม่แน่ใจ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว และฉันก็ได้ยินเร่องนี้มาจากพี่ชายอีกที ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์จริง ทำให้คำบอกเล่าของฉันอาจจะ..บิดๆเบี้ยวๆไปจากเรื่องจริงบ้าง
"เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้การมองเห็นของเพื่อนของพี่คนนั้นแย่ลง ถึงจะแค่เล็กน้อย..แต่สำหรับนักกีฬาแล้วมันก็เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากเลยเหมือนกัน สุดท้ายแล้วเขาคนนั้นก็เลยเลิกเล่นเทนนิสไป"
"....."
"ความจริงแล้วเพื่อนของพี่ชายคนนั้นเขาก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรหรอกนะ เขาเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ..ที่ถ้าเป็นไปได้ก็คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก แต่ก็เป็นพี่ชายเองนี่แหละที่รู้สึกผิดแล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนต้องเลิกเล่นเทนนิส..."
พอเล่ามาถึงตอนนี้แล้วฉันก็ฮดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้..ความจริงแล้วพี่ชายตั้งใจจะปิดเอาไว้เป็นความลับ พี่เขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับพี่ชายคนโตเพียงคนเดียว ไม่ได้อยากให้ฉันและน้องชายคนเล็กของบ้านมีส่วนรู้เห็นด้วย
พี่เขาคงคิดว่าถ้าฉันกับน้องรู้เรื่องนี้คงจะเสียใจมาก..แล้วก็คงจะไม่เห็นด้วยเรื่องที่พี่จะเลิกเล่นเทนนิส...
ซึ่งแน่นอนว่าพี่คิดถูก
แต่ก็น่าเสียดายที่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่พี่ชายคิด ด้วยความบังเอิญ..ตัวฉันในตอนนั้นเดินผ่านห้องของพี่ชายในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันเรื่องอุบัติเหตุนี้อยู่พอดี ทำให้ฉันที่ควรจะไม่ได้รับรู้อะไรกลับได้ยินเรื่องราวทั้งหมดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
และพอได้ยินเรื่องนั้นแล้ว..ฉันทำยังไงน่ะหรอ?...
ฉันระบายรอยยิ้มบางๆออกมาในขณะที่ค่อยๆหลับตาลงระลึกถึงความหลัง
"ร้องไห้ฟูมฟายเลยล่ะ..ตัวฉันในตอนนั้นน่ะ"
"....."
"ฉันไม่อยากให้พี่เลิกเล่นเทนนิส..ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือการเห็นพี่มีความสุข และความสุขของพี่ก็คือเทนนิส.. สีหน้าที่เศร้าหมองของพี่ตอนที่พูดว่าจะเลิกเล่น..มันดูเจ็บปวดขนาดไหน แม้กระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังจำได้ดี"
"แล้ว..ตอนนี้พี่ชายของเธอก็... เลิกเล่นเทนนิสไปแล้ว?"โกเอนจิคุงเอ่ยขึ้นเบาๆหลังจากที่เขานั่งฟังสิ่งที่ฉันเล่าอย่างเงียบๆมานาน แววตาของเขาที่แฝงความกังวลเอาไว้คล้ายกับไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะถามคำถามนี้ออกมารึเปล่าทำให้ฉันหลุดยิ้มบางๆออกมาอีกครั้ง
โกเอนจิคุงน่ะไม่ใช่คนประเภทที่จะแสดงความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองออกมาทางสีหน้า
แต่ถ้าเป็นทางแววตาล่ะก็..คนละเรื่องกันเลยสินะ...
"ก็ไม่เชิงหรอกจ้ะ พี่เขาแค่เลิกลงแข่งเทนนิสน่ะ..แต่ก็ยังมีเล่นบ้างเป็นงานอดิเรกนะ เรื่องนี้คงต้องขอบคุณเพื่อนของพี่คนนั้น เพราะถ้าเขาไม่ยืนคำขาดว่าถ้าพี่เลิกเล่นเทนนิสก็จะตัดเพื่อนล่ะก็ป่านนี้พี่ชายก็คงจะเลิกเล่นเทนนิสแบบถาวรไปแล้วแน่ๆ"
พูดก็พูดเถอะ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกน้อยใจอยู่เลย ตัวฉันในตอนนั้นร้องไห้จะเป็นจะตาย..พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พี่ไม่เลิกเล่นเทนนิส แต่พี่กลับไม่ฟัง พี่ชายเอาแต่ส่งยิ้มจางๆมาให้..ยกมือขึ้นลูบหัวฉันในขณะที่ปากก็เอ่ยขอโทษทั้งน้ำตา แต่พอเพื่อนของพี่บอกว่าจะตัดเพื่อนเท่านั้นแหละ..ความคิดเรื่องที่จะเลิกเล่นเทนนิสก็ถูกลบหายออกไปจากความคิดทันที
แต่บางครั้งฉันก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ...
ช่วงวัยรุ่นกับอาการติดเพื่อนน่ะเป็นของคู่กันอยู่แล้ว...
และนอกจากนั้นเรื่องบางอย่าง..เพื่อนที่มีอายุไล่เรี่ยกันก็คงจะเข้าใจกันได้ดีกว่าคนในครอบครัวที่ถึงแม้จะมีสายเลือดเดียวกันแต่ก็อายุห่างกันพสมควรล่ะนะ...
"แล้วเพื่อนของพี่เธอคนนั้น..."
"เขาก็เข้ารับการรักษาจนอาการดีขึ้นเรื่อยๆนั่นแหละจ้ะ ถึงจะยังมองเห็นได้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน..แต่อาการของพี่คนนั้นก็ดีขึ้นมากจนคุณหมออนุญาตให้กลับมาเล่นเทนนิสได้อีกครั้งหนึ่งแล้วล่ะ"ฉันเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างหวังว่ามันจะช่วยลดบรรยากาศเครียดๆรอบตัวของพวกเราลงได้บ้าง เรื่องที่ฉันเล่าให้โกเอนจิคุงฟัง..ถึงแม้เนื้อหาของมันอาจจะดูดราม่าไปสักหน่อย แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องที่จบลงด้วยดี
พี่ชายของฉันยังไม่เลิกเล่นเทนนิส เพื่อนของพี่คนนั้นเองก็เหมือนกัน ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ลงแข่งเทนนิสรายการไหนอีกแล้วแต่ก็ยังมีการนัดกันออกไปเล่นแก้เบื่อบ้างแบบนานๆครั้ง... เอ..อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งนี่ถือว่านานไหมนะ?
เฮ้อ... แต่ก็เป็นเพราะเรื่องนั้นนั่นแหละ..ทำให้ทุกวันนี้ฉันยังเสียดายเรื่องความสามารถของพี่อยู่เลย
ก็ช่วงที่พี่เขายังลงแข่งอยู่น่ะน่ะ..ไม่เคยมีการแข่งรายการไหนที่พี่ไม่ได้แชมป์เลยนะ รุ่นพี่ในชมรมเทนนิสหลายๆคนเองก็เคยพูดเอาไว้เหมือนกันว่าถ้าพี่ตั้งใจเล่นเทนนิสต่อไปและอยากจะเป็นนักดทนนิสมืออาชีพล่ะก็ ความฝันนั้นก็คงจะอยู่ไม่ไกลเกือนเอื้อมแน่ๆ
แต่..มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ...
"โกเอนจิคุง"ฉันเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังนั่งนิ่งคล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัวก่อนที่จะส่งยิ้มให้ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา"เรื่องที่ฉันเล่ามาทั้งหมดนี่..เธอเข้าใจรึเปล่าว่าฉันต้องการจะสื่ออะไร?"
ใช่ สาเหตุที่ฉันเล่าเรื่องพวกนี้ออกมานั้นไม่ได้เป็นเพราะเก็บกดหรืออยากหาที่ระบายแต่อย่างใด จุดประสงค์ที่แท้จริงที่ทำให้ฉันตัดสินใจยกเรื่องของพี่ชายขึ้นมาพูดเป็นเพราะ..ฉันตั้งใจจะบอกอะไรบางอย่างกับโกเอนจิคุงต่างหาก
โกเอนจิคุงนิ่งไปทันทีหลังจากที่ได้ยินคำถามของฉัน ซึ่งฉันก็ตัดสินใจที่จะนั่งมองท่าทางของเขาอย่างเงียบๆ..ปล่อยให้เขาใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเองต่อไปทั้งๆอย่างนั้น
ทันใดนั้นเอง..'สี'ของเขาก็ชัดเจนขึ้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทำให้ฉันอดที่จะยิ้มบางๆออกมาไม่ได้
ดูเหมือนจะเข้าใจแล้วสินะ...
"ยูกะจังคงดีใจมาก..ที่รู้ว่าเธอไม่ได้เลิกเล่นฟุตบอล ไม่ว่ายังไงสิ่งที่น้องสาวอยากจะเห็นมากที่สุดก็คือการที่พี่ชายมีความสุขกับสิ่งที่เขารักนะจ๊ะ"
คนเป็นพี่เองก็เหมือนกัน...
ไม่มีพี่คนไหนไม่อยากเห็นน้องของตัวเองมีความสุขหรอกนะ
"....."โกเอนจิคุงไม่ได้ตอบอะไรกลบมาในทันที เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบสร้อยเส้นเล็กที่ตัวเองใส่อยู่ขึ้นมามอง มือข้างที่ถือสร้อยอยู่ค่อยๆลูบมันไปมาอย่างทะนุถนอม ซึ่งถ้าฉันจำไม่ผิด..รู้สึกว่านั่นเป็นสร้อยที่ยูกะจังเป็นคนให้เขาสินะ?
เป็นพี่ชายที่ดีจังเลยนะ...
"...เธอ"
"หืม?"
"...เธอ..คิดว่าฉันเป็นคนยังไงหรอ?"
"เธอเป็นเด็กดีนะ"ฉันแย้มยิ้ม เอ่ยตอบคำถามของคู่สนทนากลับไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้อีกฝ่ายจะเอ่ยถามขึ้นมาแบบไม่มีการเตือนกันล่วงหน้า แต่แล้วฉันก็เป็นอันต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นโกเอนจิคุงขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนกับไม่เคลียร์ว่าคำตอบของฉันหมายความว่ายังไงกันแน่
อ่า..ตายแล้ว เผลอหลุดปากเรียกเขาว่าเด็กไปซะแล้วสิ ทั้งๆที่ระวังเอาไว้แล้วแท้ๆ
"ฉันหมายถึง..เธอเป็นคนดีน่ะจ้ะ เพราะสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลก็เป็นเพราะเธอรู้สึกผิดเรื่องอุบัติเหตุของยูกะจังใช่ไหมล่ะจ๊ะ ถ้าเธอไม่รักน้องสาวจริงๆล่ะก็คงไม่ทำถึงขนาดนั้นหรอก จริงไหม? นอกจากนั้นแล้ว..ตอนที่เราสองคนเจอกันเป็นครั้งแรก ทั้งๆที่พวกเราไม่ได้รู้จักหรือเคยเจอหน้ากันมาก่อนเลยแท้ๆแต่เธอก็ยังเข้ามาช่วยฉันเอาไว้ไม่ให้ถูกเตะลูกบอลใส่เลยนี่นา"ฉันรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ ดูเหมือนโกเอนจิคุงยังรู้สึกแคลงใจอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมพยักหน้ารับแต่โดยดีและไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา
"งั้นหรอ"
"อื้ม เธอเป็นคนที่ใจดีมากๆเลยนะ^^"
โกเอนจิคุงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันพร้อมกับส่งรอยยิ้มบางๆมาให้"...ขอบคุณ"
เด็กคนนี้ทำตัวน่ารักอีกแล้ว!
"จ้ะ แล้วก็..ฉันเองก็ดีใจนะ ที่โกเอนจิคุงกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งน่ะ"ฉันยิ้มกว้างอย่างดีใจตามที่ปากพูด ภาพของโกเอนจิคุงที่ยืนอยู่ในสนามพร้อมๆกับพวกมาโมจังทุกคนย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง บางที..อาจจะเป็นเพราะโกเอนจิคุงเคยลงแข่งฟุตบอลฟรอนเทียร์มาก่อนด้วยล่ะมั้ง ก็เลยทำให้เขาดูเจนสนามมากกว่ามาโมจังและเด็กคนอื่นๆในชมรม
อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนั้น...
ก็เลยทำให้'สี'ของเขาโดดเด่นขึ้นมาจนยากที่จะละสายตา...
"ตอนที่อยู่ในสนาม..เธอเท่มากเลยล่ะ^^"
*****[50 เปอร์เซ็นต์]*****
.
.
.
.
.
.
[ต่อตรงนี้ค่ะ]
หลังจากที่บทสนทนาของฉันและโกเอนจิคุงจบลง..พวกเราก็นั่งคุยกันต่ออีกสักพักก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
โกเอนจิคุงยังคงเป็นเด็กดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย ขนาดออกจากห้างมาแล้วเขาก็ยังใจดีอาสาถือของให้ฉันอยู่เลย ดูจากนิสัยของเด็กคนนั้นแล้ว..ถ้าเป็นไปได้เขาคงอยากจะถือของไปส่งให้ฉันจนถึงที่บ้านด้วยซ้ำ แต่เพราะบ้านของเราอยู่คนละทางกัน ทำให้ต้องแยกกันหลังจากที่เดินด้วยกันมาประมาณครึ่งทาง
เป็นเด็กที่น่าเอ็นดูที่สุด! เด็กดีแบบนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก?
แอ๊ดดดดดดดดดด
"กลับมาแล้วค่ะ"ฉันเอ่ยขึ้นเบาๆแบบพอเป็นพิธีหลังจากที่ตัวเองเดินเข้ามาในบ้าน เอื้อมมือไปกดสวิชต์เปิดไฟที่อยู่ตรงกำแพงก่อนที่จะก้มตัวลงเพื่อถอดรองเท้า ตอนนั้นเองที่สายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นกล่อง..เอ่อ ฉันไม่แน่ใจว่ามันคือกล่องใส่ของรึเปล่านะ แต่มันเป็นกล่องลังหนึ่งกล่องที่มีขนาดใหญ่พอสมควรเลย...
...ซึ่ง..ของแบบนี้มันไม่ควรมาตั้งอยู่กลางบ้านของฉัน
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปก้มลงมองกล่องลังตรงหน้า ไม่มีชื่อผู้ส่งด้วย..ของใครกันล่ะเนี่ย?
Rrrrrrrrrrr
ทว่ายังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อโทรศพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงขึ้นซะก่อน พอเห็นแบบนั้นฉันจึงเดินไปนั่งที่โซฟาแล้วหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดู จงใจปล่อยกล่องลังปริศนาเอาไว้ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนมันโดยพละการ บางทีกล่องนั้นอาจจะเป็นของนัตจังหรือคุณอา(คุณพ่อของนัตจัง)ก็ได้? ฉันไม่ค่อยแน่ใจท่าไหร่..เอาไว้เดี๋ยวค่อยโทรถามนัตจังอีกทีนึงก็แล้วกัน
ตี๊ด!
"สวัสดีค่ะ"ฉันกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ ด้วยความเหนื่อยจากการออกไปซื้อของคนเดียวทำให้ฉันไม่ได้สนใจดูว่าใครเป็นคนโทรมาหา เสร็จแล้วจึงนั่งเงียบอยู่สักพัก..แต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับของคนทางปลายสาย
เอ..หรือว่าสัญญาณโทรศัพท์จะไม่ดีกันนะ?
ฉันยกโทรศัพท์ออกจากหูก่อนจะเห็นว่าภาพหน้าจอกำลังเปลี่ยนไปคล้ายกับว่าคนที่โทรมากำลังกดเปลี่ยนจากโทรคุยธรรมดาเป็นโทรคุยแบบวีดีโอคอล และทันใดนั้นเองภาพของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ดวงตาของฉันค่อยๆเบิกกว้าง จากตอนแรกที่นั่งพิงโซฟาอยู่ก็รีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทันทีเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ
[ว่าไงครับ คนสวย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน..สบายดีรึเปล่า?]
พี่ชายจริงๆด้วย!
"ค่ะ!"ฉันส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายอย่างดีใจก่อนที่จะพยักหน้าตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ฉันย้ายมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น..อาจจะเป็นเพราะเวลาว่างของพวกเราไม่ตรงกันด้วยล่ะมั้ง? ก็เลยทำให้ฉันไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนในครอบครัวสักเท่าไหร่ มีบางครั้งที่ฉันโทรไปหาพวกพี่ชายเพราะคิดถึงแต่อีกฝ่ายกลับงานยุ่งมากจนไม่มีเวลามารับโทรศัพท์...
ดังนั้นฉันก็เลยคิดถึงพวกพี่ชายมากๆ ดีใจจังเลยที่พี่โทรมา!
"น้องสบายดีค่ะ แล้วพี่เซย์ล่ะคะ?"ฉันถามกลับ สบตากับคนในหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังส่งยิ้มบางๆมาให้
พี่เซย์..หรือ'ซาคางามิ เซอิจิ' เขาเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวบุญธรรมของฉันเอง พี่เซย์เป็นพี่โตสุดของบ้านและมีอายุห่างกับฉันหลายปีเลยเหมือนกัน ในช่วงที่ฉํนกำลังจะเข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย..พี่เขาก็เรียนจบมหาลัยและเริ่มทำงานที่บริษัทส่วนตัวของคุณพ่อแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ได้รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างกันแต่อย่างใด และในทางกลับกัน..ฉันออกจะรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่อยู่กบพี่เซย์ด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะพี่เขาเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ด้วยล่ะมั้ง?
[สบายดีครับ]
[อะไรกัน ยัยตัวแสบ พี่ชายที่รักนั่งอยู่หน้าจอโทรศัพท์ตั้งสองคนแต่เธอถามว่าสบายไหมแค่คนเดียวเนี่ยนะ?]
เสียงของใครอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เสียงขงพี่เซย์ดังขึ้นหลังจากที่พี่เซย์เอ่ยตอบกลับมา ฉันเบนสายตาไปมองใบหน้าพี่ชายชายอีกคนหนึ่งของบ้านที่นั่งอยู่บ้างๆพี่เซย์ก่อนที่จะยกยิ้มขบขันเมื่อเห็นใบหน้าที่บูดบึ้งของเขา ตอนนั้นเองที่ภาพในหน้าจอโทรศัพท์สั่นไปมาเล็กน้อยก่อนที่จะเปลี่ยนจุดโฟกัสจากใบหน้าของพี่เซยไปยังใบหน้าของพี่ชายอีกคนหนึ่ง
เอ่อ... เมื่อกี้พวกพี่ชายแย่งโทรศัพท์กันหรอคะ?
[ว่าไง ยัยตัวแสบ สรุปคือเธอมีพี่เซอิจิเป็นพี่ชายคนเดียวสินะ]
"ไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อยค่ะ น้องก็กำลังจะถามต่อนี่ไงคะ"ฉันเอ่ยปฏิเสธคำพูดของพี่ชายคนรองเบาๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามอะไรออกไปฉันก็เป็นอันต้องหยุดชะงักเมื่อมองเห็นสภาพของพี่ชายแบบชัดๆ
พี่ชายใส่แมสก์ปิดปากด้วยหรอ?...
"...พี่ชิเงะป่วยหรอคะ?"ฉันเอ่ยถามอย่างรู้สึกเป็นห่วง ความรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆที่เกิดขึ้นเพราะถูกพี่ชายพูดก่อกวนถูกปัดออกจากหัวไปภายในพริบตา
พี่ชิเงะ..หรือ'ซาคางามิ ชิเงฮิโระ' เขาเป็นพี่ชายคนรองของบ้าน อายุห่างกับฉันประมาณ 3 ปี ซึ่งพี่เขาก็เพิ่งจะสอบติดมหาวิทยาลัยไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี่เอง อ้อ..แล้วก็ ทุกคนยังจำเรื่องของพี่ชายที่ฉันเล่าให้โกเอนจิคุงฟังที่คาเฟ่ได้อยู่ใช่ไหมคะ? คนที่เป็นเจ้าของเรื่อเล่านั้นน่ะ..ก็คือพี่ชิเงะคนนี้นี่แหละค่ะ^^
[เปล่าหรอก แค่ใส่กันไว้เฉยๆ วันนี้พี่จามไปตั้งหลายครั้งแล้ว..ไม่รู้ว่าเพราะแพ้ฝุ่นหรือมีใครนินทา]
"....."อุ๊ยตาย...
ฉันที่ได้ฟังคำพูดของพี่ชายแล้วก็ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน ดูเหมือนเรื่องที่คนเขาพูดๆกันว่าคนเราจะจามเวลาถูกคนอื่นนินทาหรือพูดถึงนี่จะเป็นเรื่องจริงสินะ?
ขอโทษนะคะ... น้องผิดไปแล้ว
"...ว่าแต่..แล้วไคจังล่ะคะ?"ฉันเบนสายตากลับไปมองพี่เซย์ที่กำลังนั่งมองฉันกับพี่ชิเงะคุยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มโดยตั้งใจจะใช้ประโยคคำถามนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปในตัว พี่เซย์เบนสายตากลับมามองฉันก่อที่จะส่งยิ้มบางๆมาให้ตามนิสัยขณะเอ่ยตอบ
[ออกไปซ้อมฟุตบอลกับเพื่อนน่ะ ไปตั้งแต่เช้าจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับเลย]
"ก็เด็กคนนั้นชอบฟุตบอลมากเลยนี่คะ^^"ฉันเอ่ยตอบพลางยกยิ้มเอ็นดูขึ้นเมื่อภาพของน้องชายคนเล็กของบ้านปรากฏเข้ามาในหัว เด็กคนนั้นชอบฟุตบอลมากแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้นิสัยของไคจังจะมีส่วนที่แตกต่างกับมาโมจังอยู่หลายส่วนเลยก็ตาม..แต่ถ้าจะให้พูดถึงความบ้าฟุตบอลล่ะก็ ฉันรับรองได้ว่าไม่มีใครแพ้ใครเลยนะ^^
[จริงสิ ซาโยะ]
[พี่ส่งของไปให้น้องที่ญี่ปุ่นน่ะ ได้รับแล้วรึยัง?]
"ของ? หมายถึงกล่องพวกนี้รึเปล่าคะ?"ฉันเอ่ยพูดพลางแพลนหน้าจอมือถือของตัวเองไปยังกล่องใส่ของปริศนาที่ยังคงวางนิ่งอยู่ตรงพื้นทางเดิน พอเบนสายตากลับมามองที่หน้าจอโทรศัพท์ก็เห็นพี่ชายที่รักทั้งสองกำลังส่งยิ้มมาให้แทนคำตอบ..ก่อนที่พี่เซย์จะเป็นคนพยักหน้ายืนยัน
[ครับ]
"มันคืออะไรหรอคะ? ทำไมเยอะจังเลย"
[ของกินของใช้ทั่วไปที่มีขายในห้างนี่แหละ พอดีวันนี้มันมีงานฉลองฉลองวันครบรอบอะไรสักอย่างนี่แหละ ของที่ขายอยู่มันก็เลยลดราคา แล้วเธอก็ชอบซื้อของพวกนี้ใช่ไหมล่ะ พวกเราก็เลยซื้อแล้วส่งไปให้]
พี่ชิเงะเป็นคนตอบคำถามของฉันแทนพี่เซย์ ซึ่งคำพูดนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันหยุดชะงักไป
ของ..ลดราคา?...
"....."ฉันยิ้มค้าง..นั่งนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรดีหลังจากที่ได้ยินคำตอบจากพี่ชายคนรอง คือ..อยากจะบอกว่าถุงใส่ของลดราคาสามถุงใหญ่ที่ฉันเพิ่งซื้อมาจากห้างยังวางแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าฉันอยู่เลย
'บังเอิญ'อีกแล้วหรอ? รู้สึกว่าวันนี้ฉันจะใช้คำนี้บ่อยเกินไปแล้วนะ..ตั้งแต่เรื่องของโกเอนจิคุงแล้ว...
บังเอิญมาซื้อของที่เดียวกันบ้างล่ะ บังเอิญใส่ชุดสีคล้ายๆกันมาจนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกันบ้างล่ะ...
วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะ?...
[เป็นอะไรไป ยัยตัวแสบ ทำไมทำหน้าน่าเกลียดแบบนั้น]
"ก็..."ฉันส่งยิ้มแห้งๆให้ทั้งตัวเองและพี่ชาย ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปดี สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจเอื้อมไปหยิบถุงใส่ของเจ้าปัญหาขึ้นมาให้พวกพี่ๆดูแทนคำตอบ"...ถ้าจะส่งของมาให้..อย่างน้อยพี่ก็น่าจะบอกน้องก่อน"
[อ่า...]
ฉันยกยิ้มอ่อนใจหลังจากที่ได้ยินเสียงพึมพำในลำคอเบาๆของพี่เซย์ ทันใดนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเราพี่น้อง ฉันและพี่เซย์สบหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่พี่เขาจะส่งยิ้มบางๆตอบกลับมาคล้ายกับเข้าใจความรู้สึกของฉัน ก็..ถึงของที่ซื้อมาจะเป็นของลดราคาทั้งหมด แต่ถ้าซื้อมาเยอะเกินไปแบบนี้..มันก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อของแบบปกตินี่นา
และในขณะที่พวกเราสามพี่น้องกำลังนั่งเงียบกันอยู่นั้นเอง...
[แกร็ก!]
[กลับมาแล้วครับ อ้ะ..พี่!]
เสียงอะไรบางอย่างที่คล้ายกับเสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆก่อนที่หน้าจอโทรศัพท์จะปรากฏภาพของที่กำลังใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องที่มีพี่เซย์กับพี่ชิเงะนั่งอยู่ ถึงแม้ฉันจะยังไม่ได้เลื่อนสายตาไปมอง..แต่น้ำเสียงที่คุ้นเคยและคำว่า'พี่'ที่ดังขึ้นมาก็ทำให้ฉันสามารถรับรู้ได้แล้วว่าผู้มาใหม่คนนั้นคือใครกันแน่
"ไคจัง!"ฉันยิ้มกว้างขณะเบนสายตาไปมองน้องชายคนเล็กของบ้านผ่านหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความดีใจ พอเห็นใบหน้าของเด็กคนนี้แล้วความรู้สึกปลงตกกับชีวิตเมื่อครู่ก็ถูกพัดจนปลิวหายไปกับสายลมทันที
น้องชายของฉัน วันนี้ก็น่ารักอีกแล้ว!
ไคจัง..หรือ'ซาคางามิ ไคโตะ' เขาเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวซาคางามิ..แล้วก็เป็นน้องชายที่ฉันเอ็นดูมากถึงมากที่สุด เด็กคนนี้อายุน้อยกว่าฉันประมาณ 3 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ถึงอย่างนั้นฝีมือการเล่นฟุตบอลของเขาก็ไม่เป็นสองรองใครเลยนะ ข้อนี้ฉันรับประกันได้^^
ปกติแล้วไคจังจะเล่นตำแหน่งกองหน้า..แต่ถ้าถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆเขาก็สามารถเปลี่ยนตำแหน่งไปเล่นกองกลางหรือกลองหลังได้ มีเพียงตำแหน่งผู้รักษาประตูเท่านั้นที่เขาขอผ่าน อ้อ..แล้วก็ถึงจะยังเด็กอยู่แต่เขาก็เป็นคนที่มีความสามารถมากจนเป็นที่จับตามองของใครหลายๆคนเลยนะ ถ้าได้รับการฝึกดีๆล่ะก็บางทีเด็กคนนี้อาจจะแข่งกับโกเอนจิคุงได้อย่างสูสีเลยก็ได้
...ฉันไม่ได้อวยเด็กคนนี้เกินไปเลย..จริงๆนะคะ^^;;
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้ะ เล่นฟุตบอลสนุกไหมเอ่ย?"ฉันเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม วันนี้ไคจังก็ยังน่ารักเหมือนเคย เขาเดินไปวางกระเป๋าของตัวเองลงบนโซฟาในห้องก่อนที่จะเดินเข้ามายืนใกล้ๆพี่เซย์กับพี่ชิเงะอย่างอยากจะร่วมสนทนาด้วย
[ครับ แล้วพี่เป็นยังไงบ้าง?]
"สบายดีจ้ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน..พี่คิดถึงเราจะแย่"ฉันเอ่ยตอบ แต่ยังไม่ไม่ทันที่จะได้พูดต่อบทสนทนา..สายตาของฉันก็บังเอิญเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าของไคจัง ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะรูดซิปกระเป๋าไม่สนิทอีกแล้ว ทั้งๆที่ฉันก็เคยเตือนไปหลายครั้งแล้วแท้ๆ...
แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน
"ไคจัง..นั่นอะไรหรอจ๊ะ?"ฉันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เพราะลักษณะของกล่องอันนั้นมันคล้ายกับ..กล่องใส่ขนม?
ทำไมฉันถึงมีลางสังหรณ์แปลกๆอีกแล้ว คงไม่ใช้ว่าเด็กคนนั้นกำลังโดนใครจีบอยู่หรอกนะ
[อ๋อ ขนมน่ะครับ พอดีพวกผู้หญิงที่ตามไปดูการซ้อมเขาให้มา]
บิงโกค่ะ ฉันคิดถูกอีกแล้ว ทำไมตอนช่วยพี่ชายเลือกใบล็อตเตอรี่ถึงไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ?
[ทำเป็นพูดดีไป คนอย่างนายเนี่ยนะจะรับของกินจากคนอื่นนอกจากซาโยะ?//ชิเงฮิโระ]
[เขาให้มา ผมก็รับไว้เป็นมารยาทน่ะครับ แต่ไม่ว่ายังไงอาหารฝีมือพี่ซาโยะก็อร่อยที่สุด//ไคโตะ]
[พี่เห็นด้วย//เซอิจิ]
[อ่าฮะ ข้อนี้ไม่เถียง//ชิเงฮิโระ]
เสียงพูดคุย..หรือบางทีก็อาจจะเป็นเสียงถกเถียง(?)กันของสามพี่น้องดังเข้ามาในโสตประสาทของฉันเป็นระยะๆ ฉันนั่งฟังบทสนทนาของคนทางปลายสายนิ่งๆ เพราะไคจังพูดถึงเรื่องฝีมือการทำอาหารของฉันขึ้นมาทำให้หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป ถึงอย่างนั้น..ฉันก็ยังอดที่จะรู้สึกคาใจกับบทสนทนาก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ดี
"ไคจัง"ยังไงก็คงจะต้องเตือนเด็กคนนี้เอาไว้ก่อน...
[ครับ?]
"ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร แต่ถ้าไม่พามาให้พี่สแกนก่อน..ก็-ไม่-อนุมัติ-นะ-จ๊ะ"ว่าแล้วก็ยกมืข้างหนึ่งขึ้นโบกไปมาตามจังหวะการพูดคำว่าไม่อนุมัติเพื่อเป็นการเน้นคำ ไคจังเป็นเด็กที่มีนิสัยร่าเริงและเชื่อคนง่าย..ซึ่งนิสัยนั้นก็คล้ายกับนิสัยของมาโมจังมากเลย เพราะฉะนั้นถึงได้น่าเป็นห่วงยังไงล่ะ เด็กแบบนี้นี่แหละที่จะถูกหลอกถูกแกล้งเอาได้ง่ายๆ
[...พี่ครับ ผมแค่รับมาตามมารยาท ไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักหน่อย//ไคโตะ]
[ทำเป็นหวงน้องไปงั้นแหละ ยังไงพอถึงเวลาที่เจ้าตัวแสบนี่จะคบใครขึ้นมาจริงๆเธอก็คงไม่ขัดอยู่ดี ก็โอ๋มันซะขนาดนั้น//ชิเงฮิโระ]
เอ่อ..พี่ชายที่รักคะ ถึงพี่จะไม่พูดประโยคนี้ขึ้นมา..ก็คงไม่มีใครคิดว่าพี่เป็นใบ้หรอกนะคะ...
[จริงหรอครับ พี่ซาโยะ]
เสียงของไคจังดึงความสนใจของฉันกลับมา ฉันหันมาส่งยิ้มให้น้องชายก่อนที่จะเป็นอันต้องหยุดชะงักเมื่อพบกับสายตาเป็นประกายที่คล้ายกับกำลังคาดหวังอะไรบางอย่างจากฉันอยู่
ไคจัง ทำสีหน้าแบบนั้น..เธอคิดว่าพี่จะยอมใจอ่อนให้เธอใช่ไหม?...
และใช่จ้ะ..เธอคิดถูก พี่ไม่เคยใจแข็งสู้สายตาคาดหวังของเธอเลยสักครั้งTT
"...จ้าๆ ไคจังรักใครพี่ก็รักด้วยทั้งนั้นแหละ"ฉันเอ่ยตอบกลับไปตามความจริงอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ในใจของฉันจะหวงน้องชายเพียงคนเดียวของตัวเองมากแค่ไหน แต่ในถานะพี่สาวแล้ว..ถ้าฉันจะใช้แค่ความรู้สึกของตัวเองมาเป็นตัวกีดกันความสุขของเด็กคนนี้ ฉันก็คงเป็นพี่สาวที่แย่น่าดู
ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง..ก่อนจะพบกับรอยยิ้มกว้างของน้องชายที่ถูกส่งมาให้
[งั้นผมรักพี่มาก.. ...พี่ก็ต้องรักตัวเองให้มากๆด้วยนะ]
งื้อออออ! น้องชายของใครเนี่ย ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้นะ><!
ฉันยิ้มกว้างตอบรับคำพูดของไคจังอย่างนึกเอ็นดูโดยจงใจเมินพี่ชิเงะที่กำลังมองบนใส่ฉันไป พี่น้องของฉัน..ถึงจะไม่ได้เจอกันนานแล้วแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด พี่เซย์ยังคงเป็นพี่ชายที่ใจดีของน้องๆ พี่ชิเงะ..ถึงจะชอบแซวชอบแกล้งน้องบ้างเป็นบางครั้ง แต่เขาก็เป็นพี่ชายที่ดี ส่วนไคจัง..เด็กคนนี้ก็ยังปากหวาน ทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมาได้ทุกครั้ง
คิดถึงจัง อยากกอดทั้งสามคนจังเลยนะ
[ซาโยะ พี่จะวางสายแล้วนะ พี่ต้องไปทำงานต่อแล้ว ส่วนของที่พวกพี่ส่งไป..ถ้าใช้ไม่หมดก็แบ่งไปให้คุณอาไรมงกับนัตสึมิจังด้วยก็ได้นะ]
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งคิดนู่นคิดนี่ไปแบบเพลินๆ เสียงของพี่เซย์ก็เรียกสติของฉันกลับมาอีกครั้ง ฉันละสายตาไปมองเวลาที่มุมของหน้าจอโทรศัพท์ ที่ประเทศไทย..เวลาจะเดินช้ากว่าที่ญี่ปุ่นประมาณ 3 ชั่วโมง ตอนนี้คงยังอยู่ในเวลาทำงานของพี่ชายอยู่
ฉันยิ้มบาง ทั้งๆที่พี่ก็ยังยุ่งอยู่แท้ๆ..แต่ก็ยังอุตส่าห์แบ่งเวลามาโทรหาฉันด้วย...
"ได้ค่ะ"
[ไว้จะติดต่อไปใหม่นะ ทานข้าวให้ครบทุกมื้อ ดูแลตัวเองให้ดี รักษาสุขถาพ แล้วก็..อย่านอนดึกนะครับ]
"รับทราบค่ะ^^"ฉันยิ้มรับ มองพี่น้องของตัวเองที่กำลังโบกมือลาผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์แล้วจึงโบกมือตอบ"รักพี่ๆกับไคจังนะคะ"
[ครับ]
สิ้นเสียงตอบรับนั้น หน้าจอโทรศัพท์ของฉันก็ดับลงทันที
"เฮ้อ..."ฉันหลุดถอนหายใจออกมาเบาๆขณะที่กำลังเอนหลังไปพิงโซฟาที่ตัวเองนั่งอยู่ ยืดแขนยืดขาเล็กน้อยเพื่อคลายกล้ามเนื้อ เสร็จแล้วจึงหันไปมองของลดราคาทั้งหมดที่ตั้งอยู่ในห้อง เอาล่ะ..แล้วฉันจะทำยังไงกับของพวกนี้ดีล่ะ?
ครืดดดดด ครืดดดดด
ฉันหันกลับไปมองโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงข้อความเข้า..ก่อนที่จะต้องหยิบมันขึ้นมาดูอย่างช่วยไม่ได้ เพราะถ้าเรื่องที่อีกฝ่ายส่งข้อความมาบอกเป็นเรื่องสำคัญแล้วฉันไม่เข้าไปดูล่ะก็..บางทีอาจจะมีปัญหาตามมาทีหลังก็ได้นี่เนอะ
"นัตจัง?"ฉันพึมพำออกมาเบาๆเมื่อเห็นชื่อของคนที่ส่งข้อความมาหา นิ้วชี้ข้างหนึ่งเลื่อนไปกดเปิดข้อความที่ว่า ฉันไล่สายตาอ่านข้อความนั้นหนึ่งรอบก่อนที่จะหลุดยิ้มบางๆออกมา เป็นข้อความสั้นๆ..แต่มีใจความสำคัญครบถ้วน ก็..ถ้าจะบอกว่าสมกับเป็นนัตจังก็คงได้ล่ะมั้ง?
'ซาโยริ เย็นนี้ฉันจะไปกินข้าวด้วยนะ'
จ้า...
ฉันวางโทรศัพท์ลงก่อนที่จะเปลี่ยนท่าจากนั่งพิงโซฟาเป็นเอนตัวลงนอนแทน อีกสักพัก..ค่อยลุกไปเตรียมอุปกรณ์ทำข้าวเย็นก็แล้วกัน
เฮ้อ ทั้งๆที่เป็นวันหยุดแท้ๆ..แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าเสียพลังงานไปเยอะจังเลยนะ...
[Talk with writer]
05/01/63
ตอนต่อไปมาแล้วค่ะ!
ช่วงนี้อัพได้แค่ครั้งละ 50 เปอร์เซนต์เท่านั้นเพราะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ ถึงอย่างงั้นไรท์ก็จะพยายามแบ่งเวลามาแต่งนิยายนะคะ..อย่างที่เคยบอกไปว่าไรท์จะไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้แน่นอน(เพราะฉะนั้นรีดเดอร์ก็ห้ามทิ้งกันนะคะT^T อยู่ด้วยกันต่อไปนะ)
ตอนนี้โกเอนจิก็โดนไปอีกหนึ่งธงค่ะ ไม่รู้ว่ารีดเดอร์ที่รักทุกคนจะสังเกตุเห็นรึเปล่า ว่าปกติแล้วน้องจะชมเด็กๆในชมรมว่าน่ารักมาโดยตลอด..แต่คราวนี้ถึงกับบอกว่าเท่เลยนะ! แล้วก็..ในตอนนี้นองก็พูดถึงเรื่อง'สี'อีกแล้ว สีที่น้องพูดถึงนี่คืออะไรกันแน่นะ? ไรท์จะเฉลยให้ในเนื้อเรื่องแน่ๆค่ะ แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า..ยังไม่ใช่เร็วๆนี้//โดนตบ
ที่เหลือเอาไว้จะมาลงต่อให้ภายในวันอาทิตย์หน้านะคะ(ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจนไรท์ไม่มีเวลาแต่งน่ะนะ)
13/02/63
มาต่อส่วนที่เหลือให้แล้วนะคะ! 50 เปอร์เซนต์ของไรท์นี่ไม่มีความครึ่งๆเลยเนอะ^^;;
วันนี้เอาโมเมนต์ครอบครัวของน้องมาฝากค่ะ โดยส่วนตัวแล้วไรท์ชอบโมเมนต์แบบนี้มากเลย อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจที่สุด น้องไม่ค่อยมีความบราค่อนเลยยยยยยย#ประชด ส่วนชื่อ'ซาโยะ' อันนี้เป็นชื่อเล่นของน้องที่คนในครอบครัวใช้เรียกกันค่ะ น้องไม่ได้ตั้งชื่อเล่นให้คนอื่นอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ^^
แถมอีกนิด..ตอนคุยกับพี่ๆ ซาโยริเรียกแทนตัวเองว่า'น้อง'ด้วยน้าาา อันนี้น่ารักมาก ไรท์ชอบ!
ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ^0^
ปล. นิยายตอนนี้เป็นฉบับที่ยังไม่ได้แก้คำผิดค่ะ เพราะฉะนั้นถ้ารีดเดอร์คนไหนอ่านแล้วเจอคำผิดก็สามารถคอมเมนต์บอกไรท์ได้นะคะ จะรีบแก้ไขให้ในทันทีเลยค่ะ
*อย่าลืมคอมเมนต์และเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ*
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อึงแงงงง รอตอนต่อไปนะคะะ อยากจะรู้ว่าซาโยะจะตั้งชื่อเล่นให้คิโดยังไงงง ฮริ้งง <3
//ฟิคนี้เป็นฟิคนอร์มอลอินะเรื่องแรกที่ยอมอ่านเลยค่ะ- อุแง- ปกติอ่านแต่วาย--
ส่วนเรื่องโมเมนต์ของไคจังกับซาโยริ อันนี้แอบสปอยให้นิดนึงว่ามีแน่ๆค่ะ แต่โมเมนต์นั้นจะออกมาในรูปแบบไหน..อันนี้รีดเดอร์ที่รักต้องรอติดตามนะคะ#ขายของสุด 555
เย้ยยยย มาอัพแย้ววว ไม่ทิ้งหรอก จะรอติดตามตลอดนะ !!!
ตอนนี้คือตัวน่ะลงเรือโกเอนจิแล้ว แต่มือยังยึดเรือคิโดอยู่ ทำไงดีคะ ><
//สู้ๆกับการสอบนะคะไรท์ แล้วก็ดูแลสุขภาพตัวเองดีๆอย่าหักโหมนะคะ
ลงเรือชูยะเรียบร้อยแล้ว — แต่ก็เหยียบแคมเรือยูโตะด้วยค่ะ (_ _ )
แอบสงสัยเรื่องสีมาตั้งแต่แรก ๆ แล้ว แอบเดาว่าน้องต้องมีพลังเห็นสีตามอารมณ์แน่ ๆ
ติดตามเสมอนะคะ สู้ ๆ ค่ะ !