ตอนที่ 7 : [Chapter Five]: กาลครั้งหนึ่ง
[CHAPTER FIVE]
บทที่ 5 กาลครั้งหนึ่ง
"ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าของแบบนี้มันมีอะไรน่าสนใจตรงไหน อ่านก็ไม่ออก"
นัตจังบ่นกระปอดกระแปดใส่ฉันในขณะที่พวกเราสองคนกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องของชมรมฟุตบอลไรมงที่ตอนนี้ได้มีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้เข้าแข่งฟุตบอลฟรอยเทียร์แบบเป็นทางการแล้ว
ฉันส่งยิ้มแห้งๆให้นัตจังก่อนที่จะก้มลงมองของบางสิ่งบางอย่างในมือ สิ่งที่ฉันกำลังถืออยู่ในตอนนี้..มันคือ'คำภีร์ของอินาสึมะอิเลฟเว่น'นั่นเอง ฉันจำได้ลางๆว่าพวกมาโมจังจะรู้เรื่องคำภีร์เล่มนี้มาจากคุณลุงร้านราเม็งแล้วพวกเขาก็จะไปหามันที่ห้องของผู้อำนวยการ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะเอาคำภีร์เล่มนี้ไปส่งให้พวกเขาด้วยมือของตัวเอง..ก่อนที่ห้องของคุณอา(คุณพ่อของนัตจัง)จะถูกบุกรุก
"พวกเราน่ะอ่านไม่ออกหรอก"ฉันพึมพำตอบคนข้างตัวพลางนึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่สามารถอ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่ในคำภีร์เล่มนี้ได้"แต่ในชมรมฟุตบอล..มีอยู่คนหนึ่งที่อ่านออกนะ"
ไม่รู้ว่าจะนับเป็นความสามารถพิเศษของเขาได้รึเปล่า? แต่ในอนาคต..ถ้าหากว่ามาโมจังไม่ได้เล่นฟุตบอลต่อไปจนกลายเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพล่ะก็ ฉันคิดว่าเขาน่าจะไปทำงานเป็นผู้ช่วยหมอนะ ท่าทางจะรุ่ง
เพราะลายมือของหมอทุกคน..พวกเราก็รู้ๆกันอยู่เนอะว่ามันอ่านยากมาก^^;..
หลังจากที่ฉันกับนัตจังเดินไปคุยไปได้ไม่นาน ในที่สุดพวกเราทั้งสองคนก็เดินมาถึงห้องของชมรมฟุตบอล ฉันเอื้อมมือไปจับบานประตูก่อนที่จะเลื่อนมันออก เป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่เสียงของมาโมจังดังขึ้นบอกกล่าวข้อความอะไรบางอย่างกับสมาชิกคนอื่นๆในชมรมอย่างเสียงดังฟังชัด
ครืดดดดด
"มันอยู่ที่ห้องของผู้อำนวยการยังไงล่ะ!?"
กึก!
การกระทำทุกอย่างหยุดชะงักลงภายในเสี้ยววินาทีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทั้งพสกฉันืั้เพิงจะเปิดประตูเข้ามาและเด็กๆที่ยืนกองๆรวมกันอยู่ในห้องชมรมต่างก็พร้อมใจกันยืนปิดปากเงียบ มาโมจังยังคงยืนค้างอยู่ในท่าชูมือข้างหนึ่งขึ้นฟ้า..ท่าทางของเขาในตอนนี้ดูเหมือนจะกำลังช็อคมาก ดูสิ เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่แม้แต่จะเอามือลงด้วยซ้ำ
ฉันกะพริบตาปริบๆมองเด็กๆทุกคนที่เริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆ
แหม..นี่ฉันกับนัตจังมาตรงเวลาเกินไปรึเปล่านะ?
"อะไรอยู่ที่ห้องผู้อำนวยการอย่างงั้นหรอ?"นัตจังหันไปเอ่ยถามหน้าตายกับมาโมจังที่ยังคงยืนนิ่งแข่งกับรูปปั้นอยู่ตรงกลางห้องชมรม ส่วนทางคนที่ถูกถามก็ทำอะไรไม่ถูก เหงื่อเม็ดใหญ่ค่อยๆไหลลงจากใบหน้าของเขา ถ้าจะให้ฉันเปรียบเทียบล่ะก็..สภาพของมาโมจังในตอนนี้กฌเหมือนกับคนที่เพิ่งจะกลับมาจากการไปวิ่งรอบสนามสัก 30 รอบได้
"ว่าไง อะไรอยู่ที่ห้องผู้อำนวยการหรอ?"
"อ..เอ่อ คือ..."
"ไม่เอาสิ นัตจัง ตัวเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วก็ยังไปแกล้งเขาอีก"ฉันพูดปรามน้องสาวตัวดัที่ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังกับการสอบสวนคนมีขนักติดหลังคนนี้เสียเหลือเกินก่อนที่จะยกมือขึ้นแตะไหล่ของเธอเบาๆเป็นเชิงบอกว่าให้พอได้แล้ว และหลังจากที่นัตจังยอมหยุดแกล้งมาโมจังแต่โดยดี..ฉันก็ตัดสินใจเอ่ยทักทายเด็กๆทุกคนอย่างตั้งใจที่จะเปลี่ยนบทสนทนา
"สวัสดีจ้ะ ในที่สุดก็ได้ลงแข่งฟุตบอลฟรอนเทียร์จนได้นะ"
"อ่า..อื้ม! เพราะทุกคนพยายามกันน่ะนะ"มาโมจังเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างตามแบบฉบับของเจ้าตัว เรื่องของห้องผู้อำนวยการที่ถูกพูดถึงเป็นประเด็นหลักเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วถูกลบออกไปจากหัวของเขาโดยสิ้นเชิงเมื่อมีเรื่องของฟุตบอลเข้ามาแทรก"แล้วก็เป็นเพราะซาโยริด้วยนะ เรื่องฟุตบอลฟรอนเทียร์..เธอก็เป็นคนช่วยพูดให้ใช่ไหมละ?"
"เธอคิดแบบนั้นหรอ?"ฉันโคลงศีรษะไปมา ไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยเอาเรื่องนี้ไปบอกมาโมจังตอนไหน ด้วยความที่ฉันไม่ใช่คนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นเพราะหวังผลตอบแทน..ทำให้ฉันไม่เคยเอาเรื่องที่ตัวเองคอยช่วยเหลือพวกมาโมจังแบบห่างๆไปบอกใคร(นอกจากนัตจังที่รู้เรื่องอยู่แล้วน่ะนะ)
หรือบางทีมาโมจังอาจจะบัเอิญไปได้ยินตอนที่ฉันพูดรบเร้านัตจังเรื่องฟุตบอลฟรอนเทียร์อยู่กันนะ?
อืม..ข้อนี้มีโอการที่จะเป็นไปได้
นัตจังหันมาบอกฉันว่าจะออกไปรอข้างนอกเพราะว่าเหม็นกลิ่นเหงื่อของเด็ฏๆในชมรม..ซึ่งฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มจางๆ ยังไงฉันก็ไปบังคังให้นัตจังอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไม่ได้อยู่แล้ว
เมื่อนัตจังเดินออกไปแล้ว ฉันก็ชูสิ่งที่ตัวเองถืออยู่ขึ้นให้เด็กๆทุกคนได้เห็นอย่างทั่วถึง
"ของขวัญแสดงความยินดีที่ได้เข้าแข่งฟุตบอลฟรอนเทียร์จ้ะ ได้ข่าวว่ากำลังจะไปหามันที่ห้องผู้อำนวยการใช่ไหม? ทีนี้ก็ไม่ต้องแอบทำอะไรแบบนั้นแล้วนะ"
"นั่นมัน..หรือว่า..."
ฉันยิ้มกว้างมองมาโมจังที่ดูเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าสิ่งที่ฉันหยิบยกขึ้นมานี้คืออะไร
"คำภีร์ของอินาสึมะอิเลฟเว่นยังไงล่ะ^^"
"ถามจริง!"มาโมจังตะโกนลั่นทั้งรอยยิ้มก่อนที่เขากำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหยิบคำภีร์เล่มที่ว่าออกไปจากมือของฉันพร้อมกับเอ่ยขอบคุณเบาๆ ฉันพยักหน้ารับคำขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม การเห็นเด็กที่ตัวเองเลี้ยงดูมา(?)มีมารยาทที่ดีมันรู้สึกภูมิใจแบบนี้นี่เอง
หลังจากที่มาโมจังหยิบคำภีร์ออกไป เขาก็เริ่มเปิดดูเนื้อหาที่เขียนอยู่ในนั้นแบบผ่านๆ และพอเห็นแบบนั้นแล้วสมาชิกคนอื่นๆในชมรมที่รู้สึกสนใจต่างก็พากันเดินเข้าไปมุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
แต่ว่า...
"เขียนเป็นรหัสเอาไว้หรอเนี่ย?"
"หรือว่าจะเป็นภาษาอังกฤษที่ต้องฟุดฟิดฟอไฟ=0=?"
"เปล่าหรอก..ก็แค่ตัวหนังสือแบบไก่เขี่ย!"
เปรี้ยงงงงง!
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางวง สิ้นคำพูดของคาเซมารุคุง..เหล่าเด็กๆในชมรมที่อ่านลายมือในหนังสือไม่ออกก็ถึงกับคอพับคอตก ความหวังสุดท้ายที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้แบบสูงลิบลิ่วพังทลายลงมาภายในชั่วพริบตาเพราะความสามารถในการเขียนภาษาญี่ปุ่นที่อ่านยากยิ่งกว่าลายมือเด็กอนุบาย
อย่าว่าแต่เด็กๆเลย แม้แต่ตัวฉันเองที่รู้เรื่องลายมือของคุณไดสุเกะอยู่แล้ว..พอได้มาเห็นสิ่งที่อยู่ในคำภีร์เล่มนั้นจริงๆก็ยังอดไม่ได้เลยที่จะรู้สึกทึ่ง
ฉันยิ้งแห้งๆมองออร่าแห่งความผิดหวังที่ลอยออกมาจากตัวของทุกคน ขอโทษนะจ้ะ ถึงจะอยากช่วยแค่ไหน..แต่เรื่องนี้ช่วยอะไรพวกเธอไม่ได้จริงๆ ภาษาญี่ปุ่นของฉันอ่อนแอเกินไป...
"นึกว่าจะไฮโซ..."
"ถ้าไม่มีใครอ่านได้..."
ความเงียบเริ่งเข้าครอบงำก่อนที่สมาชิกทุกคนจะพร้อมใจกันหันกลับมาร้องตะโกนเสียงดังลั่น"เอนโด!!"
"โห! สุดยอดเลย มีสูตรลับหัตถ์เทวะด้วยล่ะ!?"
"อ่านออกด้วยหรอ=[ ]=!?"
แต่สุดท้ายแล้วเรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดีเพราะมาโมจังสามารถอ่านลายมือของคุณไดสุเกะได้ ฉันยืนมองทุกคนที่กำลังยืนคุยกันเรื่องท่าไม้ตายใหม่พร้อมรอยยิ้มก่อนที่หางตาของฉันจะเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ในห้องนี้ด้วย
อืม..หน้าตาของเขาดูคุ้นๆ แต่ฉันคิดว่าเขาไม่ใช่สมาชิกของชมรมฟุตบอลแน่ๆ หรือถ้าใช่ก็คงจะเป็นสมาชิกใหม่
ฉันเดินเข้าไปสะกิดมาโมจังเบาๆ"มาโมจัง คนนั้นคือ..."
"อ๋อ! จริงสิ..ซาโยริยังไม่รู้จักสินะ หมอนี่ชื่อ'โดม่อน อาสึกะ' เป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามา แล้วก็เพิ่งจะสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกของชมรมเราวันนี้เอง"คนอัธยาศัยดีแนะนำสมาชิกใหม่ให้ฉันรู้จักอย่างร่าเริง ฉันฟังคำพูดของเขาแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับแม้ในใจจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ
นักเรียนใหม่..ในช่วยกลางเทอมแบบนี้เนี่ยนะ?...
"เธอไม่รู้เรื่องเลยหรอ สนิทกับลูกสาวผู้อำนวยการไม่ใช่รึไง?"คาเซมารุคุงที่ยืนอยู่ใกล้ๆเอ่ยถาม
"อื้ม..ก็พอดีช่วงนี้ฉันเอาแต่หาคำภีร์อยู่น่ะ ก็เลยไม่ค่อยได้สนใจเอกสารอื่นๆสักเท่าไหร่..."ฉันพึมพำตอบกลับไปตามความจริง แต่สักพักก็ต้องเป็นอันสะดุ้งตัวโยนเมื่อหันหน้ากลับไปแล้วจ๊ะเอ๋กับแววตาที่เป็นประกายของมาโมจังและเด็กคนอื่นๆ
"อ..อะไรหรอ?"
ฉันพูดอะไรผิดหรอ? หรือว่าเผลอทำสีหน้าแปลกๆออกไป?
"ขอบคุณมากนะ!!"
พวกมาโมจังทุกคนตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับนัดกันไว้ พอมองเห็นใบหน้าของทุกคนแล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ความร่าเริงของพวกเขานี่แหละคือสิ่งที่ฉํนชอบที่สุด
ฉันยิ้มรับคำขอบคุณของเด็กๆทุกคนพร้อมกับโบกมือไปมาเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าฉันไม่ได้ถือสาเรื่องที่ตัวเองต้องสละเวลาไปหาคำภีร์ให้พวกเขา ฉันลดมือลงก่อนที่จะหันกลบไปมองโดม่อนคุงที่ยืนพิงกำแพงอยู่ข้างๆ ถึงใจจริงจะยังสงสัยในตัวของเขาแต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะเอ่ยทักทายอีกฝ่ายออกไปตามมารยาท"สวัสดีจ้ะ"
คนถูกทักสะดุ้งเล็กน้อย"อ..อ่า สวัสดีนะ"
หลังจากนั้นทุกคนก็พากันทรุดตัวลงนั่งบนพื้นห้องโดยที่มีมาโมจังนั่งอยู่ตรงกลางเตรียมอ่านวิ่งที่เขียนอยู่ในคำภีร์ให้คนอื่นฟัง ฉันยืนมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะขอตัวออกมาก่อนเพราะไม่อยากอยู่รบกวนเวลาศึกษาหาความรู้ของเด็กๆ
แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ยังตะขิดตะขวงใจเรื่องของเด็กที่ชื่อโดม่อนคุงคนนั้นอยู่ดี...
ถึงจะผิดวิสัยไปสักหน่อย..แต่ก็คงต้องจับตาดูแล้วล่ะมั้ง?...
*****[50 เปอร์เซ็นต์]*****
.
.
.
.
.
.
[ต่อตรงนี้ค่ะ]
"...ไม่ผิดจากที่คิดเลยจริงๆสินะ"
ฉันเดินเข้าไปหาคิโดคุงที่ยืนแอบอยู่หลังเสาพลางมองตามแผ่นหลังของโดม่อนคุงที่กำลังวิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียน คิโดคุงหันกลับมามองฉันเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับมา
ฉันผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ"ถึงขนาดต้องส่งคนเข้ามาในโรงเรียนของคนอื่นแบบนี้เลยหรอ คุณลุงนี่ล่ะก็.."
"ท่านผู้นำเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ"ติโดคุงเอ่ยตอบ คำพูดของเขาคล้ายจะเป็นการพูดเข้าข้างคุณลุงเรย์จิ..แต่ท่าทีที่นิ่งเฉยและน้ำเรียงราบเรียบของเขากลับทำให้ฉํนคิดไปในทางตรงกันข้าม เฮ่อ... ก็เข้าใจความรู้สึกของเด็กคนนี้อยู่หรอกนะ ถึงใจจริงของคิโดคุงจะคิดว่าวิธีการของคุณลุงมันไม่ยุติธรรม แต่ด้วยความที่เขาเป็นนักเรียนของคุณลุง ก็เลยทำให้เขาออกปากเถียงอะไรมากไม่ได้
บางทีสถานะของเขา..อาจจะได้รับความกดดันมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลยก็ได้...
คิโดคุงยืนมองหน้าฉันนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว..ก่อนที่เขาจะเอ่ยพูดประโยคต่อไปออกมา
"ฉันว่าคราวนี้ฉันซ่อนตัวดีแล้วนะ"
?
ฉันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะยกยิ้มบางๆขึ้นหลังจากที่ประมวลผลได้ว่าคิโดคุงกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ดูท่าทางเขาจะยังไม่ลืมเรื่องที่ฉันพูดแซวคำพูดของตัวเขาเองไปเมื่อคราวก่อน
ว่าแต่..ซ่อนตัวหลังเสาเนี่ยนะ?...
พอคิดมาถึงตรงนี้ฉันก็อดไม่ได้ที่จะแอบอมยิ้มเล็กๆกับตัวเอง เขาทำตัวน่ารักอีกแล้ว ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ทำตัวน่ารักขึ้นทุกครั้งที่เราเจอกันแบบนี้กันนะ
แต่ฉันจะไม่เตือนคิโดคุงหรอกนะ เพราะแบบนี้มันดีต่อใจของพี่สาวอย่างฉัน(?)มากกว่า^^
ฉันกับคิโดคุงคุยกันอีกเล็กน้อยตามประสาคนรู้จักก่อนที่คิโดคุงจะเป็นฝ่ายขอตัวกลับไปก่อนเพราะกลัวว่าจะมีเด็กคนอื่นมาเห็นแล้วจะพาลให้เราเดือดร้อนกันทั้งคู่ ปต่ก่อนที่จะเดินออกไปเขาก็ยังไม่วายที่จะหันกลับมาหาฉันอีกครั้ง
"แล้วเธอจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นรึไง? ถ้าเป็นเธอล่ะก็..น่าจะรู้นะว่ามันเสียเปรียบขนาดไหนที่มีหนูอยู่ในทีม"
ดูคิโดคุงพูดเข้าสิ..โดม่อนคุงไม่ใช่หนูนะ...
เด็กคนนี้นี่..พูดจาได้น่าตีจริงๆ...
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ"ฉันเอ่ยสวนกลับไปทั้งที่ยังมีรอยยิ้มประดับอยูบนใบหน้า"เพราะต่อให้จะต้องเสียเปรียบแค่ไหน..ไรมงก็จะต้องก้าวผ่านมันไปได้แน่ๆ"
คิโดคุงยกยิ้มตอบ"มั่นใจจังเลยนะ"
"ก็..ไม่เชิงว่ามั่นใจอะไรขนาดน้นหรอกนะ แต่ส่วนหนึ่งฉันก็แค่คิดว่าตัวเองเริ่มที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเนื้อเรื่องของพวกเขามากเกินไปแล้วก็เท่านั้นเอง บางครั้งฉันก็ต้องปล่อยผ่านเรื่องเล็กๆแบบนี้ไปบ้าง ถ้าฉันให้ความช่วยเหลือพวกเขามากเกินไป..พวกเขาก็จะไม่พยายามที่จะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง"
"....."
"ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่าอุปสรรค..มนุษย์ก็จะไม่รู้จักอีกคำหนึ่งที่เรียกว่าพยายาม"ฉันเอ่ยขึ้นมาลอยๆราวกับกำลังพูดกับตัวเองก่อนที่จะหันกลับไปสบตากับคิโดคุงที่ยืนอยู่ตรงทางเดินห่างจากจุดที่ฉันยืนอยู่ไปเล็กน้อย จากนั้นจึงส่งยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามีกครั้ง"คิโดคุงรู้จักคำพูดนี้รึเปล่าล่ะ?"
เด็กหนุ่มตรงหน้าฉันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น แต่สักพักหนึ่งเขาก็กระตุกยิ้มมุมปาก..ก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่ลืมที่จะเอ่ยคำพูดทิ้งท้ายเอาไว้
"ทำแบบนี้เพื่อที่จะให้เจ้าพวกนั้นเติบโตขึ้นสินะ..เข้าใจล่ะ"
เมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปไกลจนเกือบจะลับสายตาแล้วฉันก็หลับตาลงเบาๆก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในโรงเรียน
เมื่อคิดถึงคำพูดของตัวเองเมื่อกี้นี้แล้วก็ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัว..ว่าช่วงนี้ฉํนยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเนื้อเรื่องของพวกมาโมจังมากเกินไปจริงๆ
แต่..จะให้ทำยังไงได้ล่ะ...
ถึงที่นี่จะเป็นโลกของอนิเมะ..แต่ในตอนนี้มันก็คือโลกแห่งความเป็นจริงที่ฉันมีชีวิตอยู่
เพราะความเป็นเพื่อน เพราะความที่ฉันเอ็นดูเด็กๆพวกนั้นเป็นเหมือนกับน้องชายน้องสาวของตัวเอง ทำให้ฉํนรู้สึกว่าถ้าตัวเองช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้..ฉันก็อยากจะช่วย
ใจหนึ่งก็อยากช่วย..ในขณะที่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องของอนิเมะให้มันบิดเบี้ยวไปมากกว่านี้ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ฉันก็ไม่เคยใจแข็งเมินการกระทำที่น่าเป็นห่วงของเด็กๆพวกนั้นได้เลย ถึงแม้ใจจริงจะอยากเมินแค่ไหน แต่พอรู้สึกตัวอีกที..ขาทั้งสองข้างก็มักจะพาตัวเองเดินเข้าไปให้ความช่วยเหลือพวกเขาอยู่ทุกครั้งไป
ก็แหม..เด็กพวกนั้นบ้าบิ่นขนาดไหนก็รู้ๆกันอยู่ เผลอทีไรก็ได้แผลถลอกกลับมากันทุกที
"....."
ถ้าอยู่ใกล้แล้วจะต้องช่วยเหลือล่ะก็...
ขอแค่สักครั้ง..ฉันคงจะต้องถอยห่างออกมาจากเด็กๆพวกนั้นบ้างซะแล้วล่ะมั้ง...
.
.
.
"ไม่ใช่ว่าวันนี้เไรมงของเธอจะต้องไปแข่งกับโรงเรียนโนเซย์รึไง?"
คิโดคุงเอ่ยถามฉันที่กำลังนั่งดื่มนมปั่นเมล่อนของโปรดของตัวเองอยู่บนอัฒจันทร์ของโรงเรียนเทย์โคคุท่ามกลางสีหน้าแปลกอกแปลกใจของเด็กๆคนอื่นที่กำลังมองมา ฉันใช้หลอดคนเครื่องดื่มสีเขียวอ่อนในแก้วไปมาก่อนที่จะยกยิ้มบางๆพลางยักไหล่เล็กน้อยเป็นการเลี่ยงที่จะให้คำตอบ แต่พอเห็นสายตาคาดคั้นของคนที่ยืนอยู่ข้างตัว..ฉันก็ต้องหลุดถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้
สีหน้าแบบนั้น..เหมือนนัตจังตอนที่กำลังเค้นถามอะไรบางแย่งจากฉันไม่มีผิด...
แบบนี้คงไม่ตอบไม่ได้สินะ...
"ฉันก็แค่..อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศนิดหน่อยน่ะจ้ะ^^"
เปล่าหรอก..ฉันโกหกน่ะ ความจริงก็คือฉันอยากจะปล่อยให้เนื้อเรื่องของอนิเมะดำเนินไปตามไทม์ไลน์ปกติของมันโดยที่ฉันไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยบ้างก็เท่านั้นเอง การที่ฉันให้ความช่วยเหลือพวกมาโมจังมากเกินไป..มันทำให้ฉันรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะไปสร้างผลกระทบอะไรเข้าน่ะสิ
...ถึงแม้ว่าความจริง..มันจะมีผลกระทบตั้งแต่ตอนแรกๆที่ฉันทะลุมิติเข้ามาแล้วก็เถอะนะ^^;;...
"แล้ว..วันนี้เทย์โคคุไม่มีแข่งหรอ? พวกเธอถึงได้อยู่ซ้อมกันที่ห้องชมรมแบบนี้น่ะ"ฉันเอ่ยถามคำถามอื่นออกไปอย่างจงใจที่จะเปลี่ยนบทสนทนา คิโดคุงมองการกระทำของฉันก่อนที่จะขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าฉันต้องการที่จะทำอะไร ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยเถียงออกมา
เด็กดีก็แบบนี้แหละเนอะ
"ตารางเวลาในการแข่งระหว่างกลุ่มมันไม่เหมือนกันน่ะ เพราะเราใช้สนามแข่งที่เดียวกันทั้งกลุ่ม A และกลุ่ม B ทำให้ต้องสลับวันใช้สนามกันไปเรื่อยๆ เทย์โคคุจะเริ่มแข่งวันพรุ่งนี้"
อ้าว..มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย?...
ฉันฟังคำพูดของคิโดคุงก่อนที่จะพยักหน้ารับเบาๆ ความจริงแล้วตอนดูอนิเมะแรกๆฉันเองก็รู้สึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมคิโดคุงถึงได้ไปดูการแข่งของไรมงตั้งหลายต่อหลายครั้งทั้งๆที่เทย์โคคุเองก็น่าจะต้องแข่งกับโรงเรียนอื่นอยู่เหมือนกัน ที่แท้ก็เป็นเพราะตารางเวลาไม่ตรงกันนี่เอง
ฉันยกมือขึ้นท้าวคางพลางมองลงไปยังสนามซ้อมเบื้องหน้า สมาชิกของเทย์โคคุทุกคน(นอกจากคิโดคุงที่ออกมานั่งคุยเป็นเพื่อนฉัน)กำลีงฝึกซ้อมกันอย่างจริงจังเพื่อที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลฟรอนเทียร์อีกหนึ่งสมัยมาเป็นของตน
ในสนาม.งฉันมองเห็นซาคุมะคุงที่ยืนอยู่ห่างออกไป เมื่อเขาหันมามองฉันก็โบกมือทักทายเล็กน้อยตามประสาคนที่รู้จักกัน(ที่เคยคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค...) แต่หลังจากที่ฉันโบกมือ อีกฝ่ายกลับสะดุ้งตัวโยน..รีบโบกมือให้ฉันพร้อมรอยยิ้มแห้งๆอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนที่จะรีบวิ่งไปซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆของตัวเองซะอย่างงั้น
ใจร้าย!
ทำแบบนี้มันน่าน้อยใจไหมเนี่ย!?
"หน้าตาฉันดูไม่น่าคบขนาดนั้นเลยหรอ?"ฉันเอ่ยถามคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาเกินไปแล้วก็ไม่ดังเกินไป เอาเป็นว่าฉันพูดให้พวกเราได้ยินกันแค่สองคนก็แล้วกัน ดูเหมือนในสมาชิกทุกคนในห้องนี้..คนที่สามารถพูดคุยกับฉันได้โดยที่ไม่มีอาการเกรงใจจนเกินเหตุจะมีแค่คิโดคุงคนเดียวเท่านั้นสินะ
"ไม่ใช่หรอก เพราะเธอเป็นหลานของท่านผู้นำต่างหาก ความจริงแล้วแม้แต่ฉันเองก็ไม้ควรที่จะพูดกับเธอแบบนี้ด้วยซ้ำ"คนถูกถามเอ่ยตอบกลับมา
"ถ้าคิโดคุงเปลี่ยนกลับไปเรียกฉันว่าคุณหนูล่ะก็ฉันจะโกรธจริงๆด้วย"
ฉันพูดจริงๆเลยนะ..ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมาเรียกฉันว่าคุณหนู ถึงมันจะดูเหมือนกับว่าอีกฝ่ายให้เกียรติเรา แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการสร้างระยะห่างระหว่างกันและกันด้วย ถ้าให้ฉันเลือกระหว่างการที่อีกฝ่ายยกย่องเรากับการที่เราได้สนิทกับฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะถามสักก่ครั้ง..คำตอบของฉันก็คือข้อที่ 2
สนิทกันมันก็ย่อมดีกว่าห่างเหินกันอยู่แล้วไม่ใช่รึยังไงกัน?..
"แล้วคิดว่าใครจะชนะล่ะ?"
"หืม?"
"การแข่งของพวกไรมงไง เห็นว่าการซ้อมท่าไม้ตายใหม่เป็นไปได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นี่"
"โดม่อนคุงบอกมาสินะ"ฉันเอ่ยยิ้มๆ วางแก้วใส่เครื่องดื่มในมือลงบนเก้าอี้ว่างข้างตัวก่อนจะเอ่ยตอบ"ก็..ตามที่คิโดคุงพูดนั่นแหละ เพราะคาเบยาม่าคุงที่ต้องใช้ท่าไม้ตายประสานกับโกเอนจิคุงเป็นโรคกลัวความสูง ก็เลยทำให้การซ้อมของพวกเขาไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่"
"....."
"แต่ไม่ว่ายังงการแข่งครั้งนี้..ไรมงก็เป็นฝ่ายชนะอยู่ดีนั่นแหละนะ"ฉันพูดออกไปอย่างไม่คิดอะไรก่อนที่จะหยุดชะงักเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของคนข้างตัว คิโดคุงขมวดคิ้วมองหน้าฉันเป็นเชิงถามว่าทำไมฉันถึงรู้ว่าพวกมาโมจังจะชนะทั้งๆที่ไม่ได้ไปดูการแข่ง
อ่า..จริงสิ เมื่อกี้ฉันพูดว่า'ไรมงเป็นฝ่ายชนะ' ไม่ใช่'ไรมงจะเป็นฝ่ายชนะ' มันก็เลยฟังดูแปลกๆสินะ
ฉันหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะส่งยิ้มแห้งๆให้เขาพร้อมกับรีบพูดแก้ตัว"ก็..ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะพยายามจนเอาชนะโรงเรียนโนเซย์ได้น่ะ ก็แหม ไรมงน่ะมีคนที่บ้าฟุตบอลมากๆอย่างมาโมจังอยู่ทั้งคนนี่นา^^;"
"มาโม..จัง?"คิโดคุงพูดทวนสรรพนามที่ฉันใช้เรียกมาโมจังก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ"นั่นน่ะหมายถึงเอนโด มาโมรุสินะ ถึงกับเรียกชื่อเล่นกันแบบนี้..แปลว่าเธอสนิทกับพวกนั้นมากเลยสินะ"
อ่า จริงสิ..ถึงฉันจะเคยคุยกับคิโดคุงมาหลายครั้งแล้ว แต่ฉันก็ไม่เคยเรียกชื่อเล่นของมาโมจังให้เขาได้ยินเลยสักครั้งนี่นะ
"สนิทสิ ฉันสนิทกับคนในชมรมฟุตบอลไรมงทุกคนนั่นแหละจ้ะ"ฉันเอ่ยตอบ"แต่อาจจะสนิทกับมาโมจังมากเป็นพิเศษเพราะฉันเจอเขาเป็นคนแรกและเขาก็เป็นคนที่อัธยาศัยดี รู้รึเปล่าว่าตอนที่ฉันเจอเขาครั้งแรกและบอกเขาว่าฉันชอบฟุตบอลนะ..เขาถึงกับจะลากฉันให้เข้าไปเป็นผู้จัดการชมรมฟุตบอลให้ได้เลยล่ะ แต่เพราะตอนนั้นฉันไม่ค่อยสะดวกจะไปเป็นผู้จัดการให้เขาเท่าไหร่ก็เลยปฏิเสธไป"
แถมตอนนั้นนัตจังเองก็เอาแต่พูดเรื่องยุบชมรมด้วยนี่นะ...
"สำหรับตอนนี้..อาจจะฟังดูเกินตัวไปสักหน่อยก็จริง แต่เตรียมตัวเอาไว้ได้เลยนะ"ฉันลุกขึ้นยืนปัดเนื้อปัดตัวเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไปมองคู่สนทนาอย่างจริงจัง
"ไรมงอิดลฟเว่จะไม่แพ้..แล้วก็จะชนะการแข่งขันต่อไปเรื่อยๆ"
"....."
"ในรอบชิงชนะเลิศ คู่แข่งของเทย์โคคุจะต้องเป็นพวกเราไรมงแน่นอนจ้ะ"
[100 เปอร์เซนต์]
[Talk with writer]
24/11/2562
สวัสดีค่ะ! รีดเดอร์ที่น่ารักทุกท่าน ยังไม่ทิ้งไรท์ไปไหนกันใช่ไหมคะ ยังอยู่ด้วยกันเนอะT^T
ก่อนอื่นคงต้องขอโทษก่อนเลยที่มาลงนิยายช้า..และพอมาลงให้ก็มาแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น พอดีว่าช่วงนี้ไรท์ยุ่งมากจริงๆค่ะ ถ้าจะให้สารภาพตามตรงเลยก็คือ..ตอนนี้ไรท์อยู่ ม.6 แล้ว และต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยแล้วค่ะ(พรุ่งนี้ก็เปิดรับสมัครสอบ GAT/PAT แล้วด้วย) ทำให้ตอนนี้ไรท์มีเวลาส่วนตัวน้อยมาก แต่ไม่ว่ายังไงไรท์ก็จะพยายามหาเวลามาเขียนนิยายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ เพราะไรท์เองก็จริงจังกับนิยายเรื่องนี้มากจริงๆ
ปล. ถามว่าทำไมชื่อตอนถึงเป็น'กาลครั้งหนึ่ง' ขอยอมรับตามตรง..ไรท์คิดชื่อตอนไม่ออกค่ะTT ตอนนี้ก็เลยต้องขออนุญาตใช้ชื่อนี้ไปก่อน ถ้าคิดชื่อตอนดีๆได้แล้วจะมาเปลี่ยนใหม่อีกครั้งค่ะ
ขอขอบคุณรีดเดอร์ทุกท่านที่ยังไม่ทิ้งกันไปนะคะ
1/12/62
มาต่อให้จนครบ 100 เปอร์เซนต์แล้วนะคะ! ช่วงนี้น้องเข้าฉากกับคิโดเยอะมาก ไรท์กลัวว่าเดี๋ยวว่าที่พระเอกอีกคนหนึ่งจะน้อยใจ เพราะฉะนั้นตอนหน้า..เตรียมตัวพบกับฉากของน้องกับว่าที่พระเอกอีกคนหนึ่งได้เลย ซึ่งเขาคนนั้นจะเป็นใคร..เรื่องนี้รีดเดอร์ที่รักก็คงจะรู้ๆกันอยู่แล้วเนอะ^^
ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ^0^
ปล. นิยายตอนนี้เป็นฉบับที่ยังไม่ได้แก้คำผิดค่ะ เพราะฉะนั้นถ้ารีดเดอร์คนไหนอ่านแล้วเจอคำผิดก็สามารถคอมเมนต์บอกไรท์ได้นะคะ จะรีบแก้ไขให้ในทันทีเลยค่ะ
*อย่าลืมคอมเมนต์และเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ*
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอบคุณที่เอ็นดูน้องนะคะ แถมยังเข้ามาคอมเมนต์ทุกตอนเลย ยังไงก็จะพยายามลงตอนต่อไปให้เร็วที่สุดนะคะ
รู้สึกไม่ค่อยได้ตามเม้นท์เลย แต่ตามอ่านอยู่เสมอนะคะ ชอบน้องซาโยริมากเลยค่ะ อุแงง ;;__;;
ดูจากคนที่ได้เข้าฉากกับซาโยริมากที่สุดแล้ว..ไม่รู้เลยเนอะว่าไรท์อวยคิโดขนาดไหน 555
ดีใจที่รีดเดอร์คอมเมนต์มานะคะ ความจริงแล้วไม่ต้องพิมพ์อะไรมาเยอะๆให้เมื่อยมือก็ได้นะ ต่อให้พิมพ์ 555 มา ไรท์ก็จะตอบค่ะ^^