ตอนที่ 9 : การตื่นเช้านั้นดีต่อสุขภาพ
สิ่งแรกที่หลินจวินเจ๋อรับรู้เมื่อยามรู้สึกตัวคือเสียงนกร้องและอาการปวดหัวตุบๆ ท่ามกลางความมึนงงและสติที่ยังไม่ชัดเจนยังมีบางสิ่งซุกตัวอยู่ภายในอ้อมแขน เพราะอากาศยามเช้ายังคงเย็นจัด ก้อนนุ่มอุ่นบนอกกว้างจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นท่อนแขนแกร่งจึงยิ่งกอดกระชับแนบแน่น เมินเฉยอาการดิ้นรนเล็กๆของเจ้าสิ่งนั้น นานสักพักหนึ่งทีเดียวกว่าจะรับรู้ว่ามีบางสิ่งแปลกไป ทำให้ดวงตาเปิดออกในที่สุด
แม่ทัพหนุ่มหรี่ตาลงเมื่อแสงอาทิตย์ทอลอดผ้าม่านหนากระทบใบหน้า ไม่นานเมื่อปรับตัวได้จึงได้กวาดมองรอบกาย ตอนนั้นนั่นเองที่หลินจวินเจ๋อพบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตน เพดานสูงเตียงนอนกว้างใหญ่ตกแต่งอย่างงามวิจิตรติดม่านมุ้งสีขาว หมอนผ้าปักชั้นดี กลิ่นเครื่องหอมจางๆชวนให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย สิ่งเหล่านี้แม้จะประกอบกันเป็นห้องหับที่ชวนให้เอนกายพักผ่อน แต่กลับยังผลให้ร่างแกร่งแข็งทื่อเมื่อลองทวบทวนความทรงจำของตนเองช้าๆแล้วเริ่มจะรำลึกได้ว่าที่นี่ควรจะเป็นห้องของใคร
แม้จะเข้ามาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่หลินจวินเจ๋อจำได้ว่าห้องนอนของจวิ้นอ๋องหวงเทียนหยาง ‘ภรรยา’ของเขาเป็นแบบไหน จำชุดเก้าอี้ฝังมุกนอกเตียงได้ กระจกทองเหลืองบานใหญ่ขนาดเท่าตัวคนตรงมุมห้องได้ และที่สำคัญ เขาจะได้แล้วว่าบางอย่างตรงอกนี่คืออะไร!
ราวกับจะรู้ถึงจิตใจที่กำลังอยู่ในสภาพเกินจะรับความจริง บางสิ่งที่เขากอดกระชับไว้ด้วยสองแขนก็ค่อยๆแงะอ้อมแขนแกร่งออกมาจนได้ สิ่งที่โผล่ขึ้นมาเป็นอันดับแรกคือเส้นผมสีดำสนิทที่ยุ่งเหยิงแต่ยังนุ่มราวกับเส้นไหม กลุ่มผมยาวสลวยทิ้งตัวลงบนแผ่นอกสีทองแดงชวนให้จั๊กจี้ไม่น้อย และตามมาด้วยวงหน้างดงามเหนือผู้ใดของหวงเทียนหยางที่บัดนี้แดงก่ำราวกับต้มสุก แพขนตายาวทาบผิวแก้มนวล ดวงตาคู่สวยที่ระยะนี้มักแพรวพราวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาหรุบต่ำมิกล้าเหลือบมอง ริมฝีปากแดงเรื่อดุงผลอิงเถาถูกเจ้าตัวขบเม้มไว้ เสื้อนอนสีขาวหลุดรุ่ยจนเผยลำคอระหงตลอดจนหัวไหล่เปลือยเปล่า ซ้ำเลยไปถึงแผ่นอกขาวบาง สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าบังเกิดเป็นภาพเงาที่น่าหลงไหลยิ่งนัก
ภาพที่ปรากฏสู่ดวงตาทำให้หลินจวินเจ๋อนิ่งอึ้งไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แม้จะเดาไว้บ้างแล้วแต่สิ่งที่พบเจอยังเหนือกว่าความคาดหมายของตน ที่สำคัญคือเป็นร่างกายตัวเองซึ่งไม่อาจควบคุม แม่ทัพหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่พลางสูดหายใจลึก ระงับอารมณ์ให้สงบไม่พลุ้งพล่าน แต่กลับเป็นไปได้ยากยิ่งเมื่อร่างอรชรเบื้องหน้าผุดลุกขึ้นเต็มที่ หมอนข้างแสนนุ่มที่ตนกอดกระชับจนเกยอกเผยรูปลักษณ์งามเหนือใครในแผ่นดินชวนคนเพ้อคลั่ง กระตุ้นให้หัวอกเต้นถี่แรง
“..นี่มัน...” น้ำเสียงแหบพร่าผิดปกติเอ่ยขึ้นแล้วก็ต้องเงียบลง หลินจวินเจ๋อไม่รู้ว่าตัวเองควรทำหน้าแบบไหน แทบไม่ทราบด้วยซ้ำว่าควรทำตัวเช่นใด แล้วยังรอย...รอยแดงตรงลำคอและหัวไหล่อีกฝ่ายเล่า?
แม่ทัพแดนใต้นอนนิ่งค้างจ้องอีกคนตาแทบหลุด หลินจวินเจ๋อมองคนที่เคยเชิดหน้ายิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจซึ่งบัดนี้กลับสงบปากสงบคำอย่างน่าแปลก หวงเทียนหยางไม่พูดอะไรทั้งนั้น ที่ทำเพียงกระชับคอเสื้อที่หลุดลุ่ยแทบหล่นออกจากกายให้คลุมตัวเหมือนเดิม เรียวขาขาวที่เคยสอดเกาะเกี่ยวกับท่อนขาของเขาก็ถูกชักกลับ เมื่อสามารถแงะตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาได้แล้วจึงหย่อนขาลงข้างเตียง แต่พอดวงตาคู่นั้นแลเห็นเสื้อผ้ากระจัดกระจายกันอยู่ก็หน้าแดงวาบอีกครั้ง
หลินจวินเจ๋อเองก็ตาค้าง ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้วเช่นกันและได้แต่เบิกตามองสภาพดั่งผ่านสมรภูมิรักของเตียงนอนและเสื้อผ้าที่ถูกโยนทิ้งแถวปลายเตียง แล้วพอก้มสำรวจตัวเองสิ่งที่เห็นยิ่งทำให้ต้องอ้าปากค้าง เสื้อนอนไม่อยู่ติดกาย เปลือยท่อนบนล่อนจ้อนขณะที่กางเกงนอนสายรัดก็คลายออกจนจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ สภาพล่อแหลมยิ่งนักจนแทบไม่ต้องจินตนาการว่าเมื่อคืนจะเกิดอะไรขึ้น และสภาพของผู้ร่วมเตียงยิ่งแล้วใหญ่ ร่องรอยบนตัวฝ่ายนั้นมันบอกว่าเมื่อคืนตนได้ล่วงเกินหวงเทียนหยางไปแล้วใช่หรือไม่!?
“เดี๋ยวก่อน” คว้าแขนเอาไว้เมื่ออีกฝ่ายกำลังจะผุดลุกออกไป หลินจวินเจ๋อรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่หวงเทียนหยางปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาอย่างน่าแปลก แต่พอคนตรงหน้าชะงักงันจนเกือบๆเป็นสะดุ้งกลับไม่รู้จะพูดอะไร “เอ่อ..เมื่อคืน..”
“ไม่มีอะไร”
แล้วเหตุใดจึงไม่มองหน้าเล่า? แม่ทัพหนุ่มจ้องมองอัปกริยาของจวิ้นอ๋องด้วยความไม่เชื่อถืออย่างยิ่ง ร่างโปร่งระหงในชุดนอนยับยู่เสหลบตาก้มมองอกตัวเองอยู่เช่นนั้นพลางปิดปากเงียบสนิท ดูยังไงก็ไม่ใช่เรื่องปกติสักนิดเดียว
“เจ้าอย่าได้ปิดบังเลย ตกลงว่านี่เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่ ไม่มีอะไร อ๊ะ!..” พอโดนคาดคั้นมากๆเข้าหวงเทียนหยางก็ส่ายหน้าแรงๆตั้งท่าจะชักมือหนี แม่ทัพหนุ่มมองอีกฝ่ายที่ยังไม่ยอมหันมาสบตา รู้สึกหัวใจกรุ่นๆ ขุ่นเคืองมาโดยไม่รู้สาเหตุ ไวเท่าความคิดคนมีเรี่ยวแรงมากกว่าก็ออกแรงดึง กระชากตัวอีกคนให้ปลิวเข้ามาในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย
ร่างเพรียวกรุ่นกลิ่นหอมกำจายซุกซบลงในอ้อมกอด สัมผัสของเส้นผมนุ่มๆปะทแผ่นอกเปลือยเปล่าช่างแสนคุ้นยิ่งนัก แม่ทัพหนุ่มก้มลงมองร่างงามที่ดูพอเหมาะพอเจาะกับร่างของเขาเหลือเกินราวกับเกิดมาคู่กันแล้วรู้สึกหัวอกร้อนวูบวาบ ท่อนแขนแกร่งข้างหนึ่งของหลินจวินเจ๋อโอบประคองเอวบางไว้ มืออีกข้างผละจากท่อนแขนมาเชยคางมนให้เงยขึ้น “มองตาข้า แล้วตอบสิ”
“ข้าก็บอกว่าไม่มี...อะไร” น้ำเสียงหวานแผ่วเบาราวกระซิบแล้วจางหาย ดวงตาสีดำสนิทราวกับเรียงร้อยเอาดวงดารามากมายสบมองเพียงครู่แล้วหลบลี้ หลินจวินเจ๋อเห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้ว ชายหนุ่มออกแรงกระชับอ้อมแขนให้ร่างโปร่งแนบชิดมากยิ่งขึ้นแล้วก้มลงไปหา ปลายจมูกแทบแตะลงบนผิวแก้มสีแดงสลับขาวซีดอย่างเฉียดฉิว
“อย่าโกหกข้าสิ อาซิ่น..”
เสียงทุ้มพร่าข้างหูชวนจั๊กจี้ ซ้ำลมหายใจร้อนๆวาบผ่านยิ่งทำให้หัวอกสะเทือนไหว หวงเทียนหยางเหลือบตามองคนถาม แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าคมคายในระยะประชิดก็ต้องเสหลบตาอีกครั้ง ท่าทีเขินอายที่แสดงออกมาปรากฏบนดวงตาของผู้จ้องมองอย่างชัดเจน แล้วราวกับจะแกล้ง คนจึงยิ่งขยับเข้ามาแนบชิด
“ข้าไม่ได้โกหก ก็บอกว่าไม่ม--” คำตอบขาดหายเมื่อใบหน้างามสะบัดขึ้นตอบคล้ายถูกกดดันจนโกรธขึ้ง ดวงตาคู่งามเป็นประกายวาบราวกับจะเอาเรื่องจึงหันมาหา ปลายจมูกของหวงเทียนหยางเฉียดผิวแก้มคนตรงหน้า หากแต่ริมฝีปากบางแนบสนิท ประทับลงไปบนริมฝีปากหนาของแม่ทัพแดนใต้จนวาจาที่กล่าวหายไปจากลำคอ
บรรยากาศนิ่งสนิทไปอึดใจเมื่อต่างฝ่ายต่างอึ้งตะลึงงัน แม้กล่าวว่าเป็นสามีภรรยาแต่คนที่ไม่เคยอยู่ร่วมห้องกันมีหรือจะสัมผัสใกล้ชิดขนาดนี้ ในห้องนอนยามเช้า ท่ามกลางเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต่างหลุดลุ่ย ผิวเนื้ออุ่นแนบกันจนสนิท ลมหายใจร้อนผ่าวชวนสะท้าน ริมฝีปากของชายหนุ่มทั้งสองแนบชิดสนิทกันจนไร้ช่องว่าง ภาพนี้ต่อให้คนนอกเข้ามาเห็นยังต้องละสายตาออกไปด้วยความเขินอาย แล้วมีหรือทั้งหลินจวินเจ๋อจะไม่รู้สึกอะไร แม่ทัพหนุ่มจ้องมองใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้จนมองเห็นแพขนตาไหวระริก หลังจากหมกมุ่นอยากหาความจริงในที่สุดถึงได้ตระหนักว่าตอนนี้กำลังอยู่ในท่วงท่าแบบไหน สัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากเตือนให้รีบผละออกไป ดังนั้นอีกชั่วอึดใจจึงรีบผละและปล่อยมือออกราวต้องของร้อน
“ขอโทษด้วย..”
พึมพัมไปทั้งที่ไม่รู้ว่าขอโทษอะไร ในทางหนึ่งเป็นสามีภรรยา แค่ใกล้ชิดสนิทสนมกันก็ไม่ผิด แต่เพราะไม่เคย ด้วยไม่คิดจะใกล้นั่นล่ะถึงต้องออกปากขอโทษ หลินจวินเจ๋อเมินความรู้สึกแปลกๆในอกขณะก้มลงผูกเชือกกางเกงและดึงผ้าห่มคลุมถึงตัก ไม่ได้จะนอนต่อแต่เป็นเพราะน้องชายไม่รักดีที่กำลังทำตัวน่าขายหน้า
“อืม..ไม่เป็นไร ท่านพี่..” ร่างเพรียวขยับออกแล้วกลับไปนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงเหมือนเก่า ยังคงก้มหน้าไม่ยอมสบตาและดูเหมือนจะมีท่าทีเงียบและอายหนักขึ้นจนน่าปวดหัว แต่พอนึกว่าตัวเองทำอะไรลงไปเมื่อกี้ หลินจวินเจ๋อก็ไม่นึกแปลกใจ ทำได้เพียงยกมือนวดขมับที่ปวดตุบ
“ขอโทษจริงๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เฮ้อ...ที่เป็นแบบนี้เพราะเจ้าไม่ยอมบอกสักทีนั่นล่ะ” บ่นไปอย่างปากไวมากกว่าจะคิดจริงจัง หลินจวินเจ๋อเอามือตะครุบเป้ากางเกงตัวเองไว้พลางบังคับให้มันสงบเสงี่ยมอยู่ในใจเงียบๆ “เจ้าเองก็พูดมาเถอะ เมื่อคืนเราดื่มเหล้าเมามายแล้วเกิดอะไรขึ้น”
“ข้าก็บอกว่าไม่มีอะไร เมาก็นอนเท่านั้น” จะยังโกหกทำไม นึกว่าข้าโง่นักหรือ หลินจวินเจ๋อฟังแล้วถลึงตาใส่แผ่นหลังบอบบางนั่น
“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไร ถึงได้เอาแต่ตอบเช่นนี้ บอกมาว่ามีอะ..”
“ถ้าข้าพูดแล้วเจ้าจะทำยังไง!”
เนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนั้น หลินจวินเจ๋อจึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมปลาบจ้องมองแผ่นหลังบอบบางที่สั่นสะท้านอย่างน่าแปลกราวกับเจ้าตัวกำลังกลั้นอารมณ์ นัยน์ตาดั่งดวงดาราที่คอยแต่จะหลบหันมามองแล้ว แต่ขอบตากลับแดงเรื่อ คนงามตรงหน้ามีท่าทีโกรธขึ้งพอๆกับพาลพาโล แล้วถลึงตาใส่เขาอย่างไม่เคยทำ
“ถ้าข้าบอกว่ามีอะไรแล้วจะทำอย่างไรรึ ท่านพี่ ถ้าข้าร้องไห้ร้องห่มบอกว่าท่านล่วงเกิน ท่านจะทิ้งนางในดวงใจกระโจนเข้าหาข้าหรือ?”
“ข้า...เพียงแต่..อยากทราบ”
ทั้งๆที่เป็นคำถาม แต่นั่นก็เป็นทั้งคำตอบของสิ่งที่ต้องการรู้ หลินจวินเจ๋อได้ทราบในที่สุดว่าสิ่งที่เขากลัวกำลังเป็นจริง แม่ทัพหนุ่มนิ่งเงียบกริบ ในห้วงความคิดมีภาพร่างงามของหวงเทียนหยางที่ปรากฏรอยฟันและรอยขบกัดจางๆอยู่หลายจุด ทั้งเสื้อผ้าของตัวเขาและอีกฝ่ายถูกโยนทิ้งกระจัดกระจาย สภาพเครื่องแต่งกายล่อแหลม ทุกสิ่งมันยากจะปฏิเสธ..
“ทราบแล้วอย่างไร ไม่ทราบแล้วอย่างไร ข้าบอกว่าไม่มีก็ไม่มี ท่านอย่าได้คิดมากอีกเลย”
เสียงที่ดังขึ้นเบาๆ คำพูดราวกับไม่ใส่ใจใดๆดึงเอาชายหนุ่มกลับเข้ามาสู่ความจริงเบื้องหน้า หลินจวินเจ๋อมองฝ่ามือขาวรวบกอดไหล่ตัวเองเข้าหากันคล้ายกำลังหนาวเหน็บแล้วรู้สึกสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก นี่น่ะหรือไม่มี นี่น่ะหรือบอกว่าไม่ต้องคิดมาก จะไม่ให้คิดอย่างไรได้
แต่คิดแล้วจะทำยังไง ถ้าได้ลงมือปลุกปล้ำล่วงเกินจริงแล้วจะทำยังไง?
หลินจวินเจ๋อตัวแข็งทื่ออย่างหนาวเหน็บ แม่ทัพหนุ่มยังจำได้ดีว่าในคืนแต่งงานเมื่อหนึ่งปีก่อนได้เอ่ยปากสถบสาบานไว้อย่างไร ไม่มีวันข้องเกี่ยว ไม่มีวันแตะต้อง ไม่มีทางยอมรับเป็นภรรยา ชายหนุ่มไม่คิดว่าบุรษเบื้องหน้าคือภรรยาของตนและไม่คิดว่าตนเองนอกใจเซียนเอ๋อร์ แต่ตอนนี้กลับไม่แน่ใจ ไม่นอกใจก็นอกกาย ตั้งใจว่าไม่เกี่ยวข้องแต่ถ้าหากทำไปแล้วจะปฏิเสธความรับผิดชอบหรือ
ในขณะที่มโนธรรมในใจของหลินจวินเจ๋อกำลังต่อตีกันอย่างหนัก หวงเทียนหยางก็เป็นฝ่ายผุดลุกขึ้นและเดินออกไป ด้วยผ้าม่านที่บางเบาทำให้เห็นเงาร่างเพรียวกำลังก้มเก็บเสื้อผ้าที่กระจายเกลื่อนอย่างช้าๆ ภาพเบื้องหน้าเสียดแทงเข้าไปในมโนสำนึกชวนให้รู้สึกผิดอย่างท่วมท้น แม่ทัพหนุ่มขยับริมฝีปากพะงาบๆเหมือนจะพูดอะไรออกไป ก่อนจะชะงักแล้วนิ่ง แววตาที่เต็มไปด้วยความอาดูรเริ่มเปลี่ยนเป็นความระแวง
หลินจวินเจ๋อแม้จะเป็นคนซื่อแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ถูกหลอกเพียงครั้งก็จดจำและไม่คิดถูกหลอกลวงซ้ำอีก ดวงตาคมปลาบมองเงาร่างของจวิ้นอ๋องเงียบๆคิดทบทวนถึงนิสัยของอีกฝ่ายและสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ การนิ่งเงียบและยอมความนี้เป็นปรกติของหวงเทียนหยางงั้นหรือ ย่อมไม่ใช่ หากมีเรื่องถูกข่มเหงจริงๆ อีกฝ่ายสมควรร้องโวยวายกดดันให้เขารับผิดชอบมิใช่หรือ ไม่ใช่เอาแต่เงียบบอกปัดเช่นนี้ หรือนี่จะเป็นแผนแสร้งถอยแทนรุก คิดหลอกล่อให้ศัตรูตายใจ รึว่าวางแผนไว้ตั้งแต่ชวนให้ดื่มน้ำเมาเมื่อคืน
แม่ทัพแดนใต้เมื่อเกิดความระแวงแล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นตรวจสอบอย่างรัดกุมแน่นหนา นึกทวนความทรงจำเมื่อคืนไปด้วย หลินจวินเจ๋อจำได้ว่าหลังจากดื่มสุราตามที่จวิ้นอ๋องกล่าวแล้วอีกฝ่ายก็ล้มพับไปก่อน ด้วยไม่มีบ่าวไพร่ประจำอยู่ตรงนั้นประกอบกับอยู่ไม่ห่างจากห้องนอนของอีกฝ่ายตนจึงได้อุ้มคนเมาคิดไปส่งห้อง และหลังจากอุ้มมาวางบนเตียงแล้วก็คล้ายจะมึนเมาจนหน้ามืดและผลอยหลับไปส่วน เรื่องราวหลังจากนั้นไม่ชัดแจ้ง
“นี่ไม่ใช่ว่าเป็นแผนการณ์ที่เจ้าวางไว้หรอกรึ” เจ้าของดวงตาเข้มจัดเปล่งประหายวาบเอ่ยปากถาม
“งั้นหรือ..” หวงเทียนหยางดูเหมือนจะเก็บของเสร็จแล้ว คนที่มีเสื้อผ้าเต็มสองแขนหมุนตัวหันมาช้าๆ เพราะมีผ้าม่านกั้นรอยยิ้มและดวงตาของอีกฝ่ายจึงค่อนข้างพร่าเลือน “หากคิดแบบนั้นได้ก็ดี ท่านพี่”
“หึ รึไม่จริง”
แม้คำตอบผิดไปจากที่คิดจะทำให้หลินจวินเจ๋อรู้สึกผิดมากขึ้น แต่เขาก็ยังคงพูดต่อและสังเกตุดูร่างงามตาไม่กระพริบ
“เป็นจริงก็ได้” เสียงหัวเราะนั้นค่อนข้างสั่นพร่าและแปลกหู คนยิ้มและหัวเราะแต่กลับดูไม่เป็นสุขเลยสักนิดซ้ำหันไปไม่ยอมสบตา
“เป็นจริงก็ดี ข้าวางแผนเอง แกล้งให้ท่านเมา แล้วพอท่านเมาก็จับถอดเสื้อผ้า แสร้งทำตัวโดนข่มเหง ทำตัวเหมือนสาวน้อยในห้องหอ แล้วอะไรอีกดี ที่จริงเรื่องข้าพบรัชทายาทก็เป็นเรื่องโกหกอีกดีหรือไม่ ทุกอย่างข้าทำเพราะต้องการรั้งท่านไว้ไม่ให้ไปไหนแบบนี้พอใจรึเปล่า”
“อึ่ก...”
“ถ้าเข้าใจถูกแล้วก็ออกไปเถอะ” ขณะที่จอมทัพแดนใต้นิ่งเงียบ จวิ้นอ๋องก็เดินไปยังฉากกั้นเพื่อแต่งตัวให้ตัวเองเสียแล้ว น้ำเสียงของอีกฝ่ายจึงยิ่งเบาเหมือนมาจากที่ไกลแสนไกล “ตอนนี้สายแล้ว ท่านไม่ควรเข้าวังล่าช้า เช้านี้ข้าคงไม่ว่างอยู่ร่วมรับประทาน”
“อาซิ่น...”
“ออกไปได้แล้ว ท่านพี่” หวงเทียนหยางเดินออกมาจากฉากกั้นในสภาพแต่งตัวรัดกุมขึ้น ในมือมีเสื้อผ้าของเขาที่อีกฝ่ายเก็บมาด้วยและเจ้าตัววางมันพาดลงกับเก้าอี้ประดับมุกในห้อง ทุกสิ่งกระทำอย่างสงบและปกติธรรมดาเสมือนไม่ได้ผ่านเรื่องสะเทือนใจใดๆ “อีกเดี๋ยวข้าจะเรียกเสี่ยวเฉียวเข้ามาช่วยล้างหน้าแต่งตัว ท่านคงไม่อยากให้บ่าวไพร่เก็บเอาเรื่องนี้ไปลือกันใช่ไหม”
“ฮูหยิน..เอ่อ..” หลินจวินเจ๋อถอนใจเฮือก ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงในที่สุดด้วยใจที่หนักอึ้งและมีแต่ความรู้สึกผิดมากมายทับถม ทุกคำพูดที่หวงเทียนหยางกล่าวมาราวกับรู้ว่าในใจตนคิดอะไรอยู่ช่างชัดเจนแจ่มแจ้งจนต้องละอาย แม่ทัพหนุ่มทอดสายตามองเจ้าของเรือนร่างโปร่งระหง คิดอยากจะพูดจาปลอบใจหรือออกปากขอโทษก็ดูจะพูดไม่ออกเสียหมด
“วันนี้หลังประชุมช่วงเช้าเสร็จ ข้าจะไปที่จวนเสนาบดี หลังคุยกับเสนาบดีจ้าวเรียบร้อยแล้ว เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที”
“..หึ...ท่านพี่เดินทางดีๆ” คนฟังยิ้มแล้วปรายตามองไปอีกทาง ท่าทีมองดูอย่างไรก็บอกได้ว่าไม่คิดจะเชื่อถือและมีความหวังกับการมาคุยเรื่องนี้กันอีกรอบสักนิด หลินจวินเจ๋ออยากจะประท้วงบอกให้เจ้าเชื่อข้า แต่ก็ต้องเงียบเพราะไม่รู้เช่นกันว่าผลจะออกมาแบบไหน
หลินจวินเจ๋อลุกออกจากเตียงในที่สุดพลางหยิบเสื้อและกางเกงมาสวมใส่ลวกๆ ดวงตาคมวาวตวัดมองร่างเจ้าของห้องที่ยืนหันหลัง มีทีท่าเหมือนกำลังวุ่นวายกับอะไรสักอย่าง แต่แม่ทัพหนุ่มทราบดีว่าอีกฝ่ายก็แสร้งยุ่งไปแบบนั้น ที่จริงคนกำลังหลบหน้าไม่อยากสบตาต่างหาก และอาจจะต้องขอเวลาคิดเช่นเดียวกับเขา เมื่อทราบดังนั้นแล้วดึงดันอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ แม่ทัพแดนใต้จึงคว้าเสื้อคลุมพาดแขน บอกลาเบาๆแล้วก้าวออกไปจากห้อง หางตายังมองเห็นร่างโปรงเคลื่อนตัวไปที่เตียง ก่อนเขาจะงับประตูลงด้วยความหนักใจ
เสียงปิดประตูดังขึ้นเบาๆ ขณะที่ร่างงามยืนอยู่หน้าเตียงขนาดใหญ่ หวงเทียนหยางกระพริบตามองม่านมุ้งมีขาวเบื้องหน้า ดวงตาคู่นั้นยังมองไปที่ประตูอยู่จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่ทำนิ่งเฉยมาตลอดจึงแหวกม่านออก ดวงตาคู่งามจ้องมองเตียงนอนที่บัดนี้ยังปรากฏร่องรอยของคนสองคนซึ่งเคยนอนเคียง ทั้งยังมีกลิ่นอายที่ไม่คุ้นแต่แสนอบอุ่นของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีประทับอยู่...
เมื่อย เมื่อยชะมัด!!
ทุ่มตัวลงบนเตียงก่อนจะพลิกนอนหงายแล้วกางแขนกางขา ข้าอ้าปากหาวออกมาอย่างไม่สำรวมกริยาอีกทีด้วยความง่วงเหงาหาวนอน ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วจึงยกขากระดิกเท้าไปมาได้ตามสบาย สีหน้าเปลี่ยนจากนิ่งขรึมมากเป็นยิ้ม เอ้อ..จริงๆกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่อยู่ต่างหาก ถ้าปล่อยก๊ากเดี๋ยวถูกคิดว่าเป็นบ้าไป
ข้าคว้าหมอนมซบแล้วกลั้นขำกึกๆ บทละครโศกที่ลงมือเขียนและกำกับเองนี่ได้ผลดีเกินคาด จุ๊ๆ ว่าแล้วว่าคนอย่างหลินจวินเจ๋อต้องโจมตีที่ต่อมคนดีและมโนธรรมสำนึกสูงปรี้ดนั่น เจ้าขี้เมาที่พาตัวเองมาให้เป็นเหยื่อถึงที่พอถูกเล่นมุกเสียตัวแต่ไม่เสียใจถึงกับไปไม่เป็น ก็นะ..ใครให้เขาเป็นพวกซื่อสัตย์ยึดมั่นถือมั่นขนาดนั้น แล้วยังกล้าประกาศต่อหน้าคนงามในวันแต่งงานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอีก โถ..ถ้าเป็นพวกเจ้าชู้คลำดูไม่มีหางก็ลากไปกินแบบข้า..เอ๊ย ถ้าเป็นคนเจ้าชู้ ใช้วิธีนี้คงไม่ได้ผล แต่กับคนซื่อแบบหลินจวินเจ๋อแล้วถือเป็นยารักษาถูกโรคเลยทีเดียว
ก่อนอื่นก็ต้องทำตัวต่างไปจากปกติเสียก่อน เอาจริงๆถึงข้าจะเล่นมุกพออีกฝ่ายเมาแอ๋ก็ถอดเสื้อผ้าออกแล้วแสร้งทำเป็นถูกขืนใจแบบในนิยาย แต่เล่นแบบนั้นหมดไม่ประยุกต์สักนิดจะกลายเป็นโง่ไปเสียสิ คิดลากคนขึ้นเตียงทำตัวเป็นนางร้ายแล้วก็ต้องรับมือด้วยกลวิธีของนางเอก คนเราถ้าตื่นขึ้นมาในสภาพเปลือยเจออีกฝ่ายร้องห่มร้องไห้ขอให้รับผิดชอบ หากคนลงมือเป็นข้า ด้วยนิสัยอย่างหลินจวินเจ๋อมีหรือจะไม่ระแวงบ้าง ตรงกันข้ามถ้าแสร้งทำตัวเป็นนางเอกโดนกดขี่ ทำเหมือนถูกปล้ำแท้ๆแต่ก็ไม่อยากพูดถึงเพราะรู้ดีว่าพูดไปก็เท่านั้น ดราม่าไปก่อน ด่าตัวเองไปก่อนให้อีกคนพูดไม่ออก แค่นี้สามีที่รักก็คงรู้สึกผิดและเชื่อไปโดยปริยายว่าตัวเองทำลงไปจริงๆไม่ใช่ถูกข้าจัดฉากเล่น
คิดๆแล้วก็สงสารหลินจวินเจ๋อนิดหน่อย ทั้งๆที่ฉลาดขึ้นอีดนิด อุตส่าห์ระแวงและเดาอะไรๆถูกไปก็เยอะแล้ว สุดท้ายก็แพ้ทางความดีของตัวเองซะได้ ถ้าเขาเป็นคนหน้าด้านอีกนิด..ย้ำว่าอีกนิด หลินจวินเจ๋อคงต้องเข้ามาขอดูร่องรอยบนตัวนี่แล้ว และจากนั้นก็คงรู้ว่ามันมีแค่รอยฟันที่เกิดจากการละเมอของเขา(คนบ้าอะไรละเมอกัดชาวบ้าน) ส่วนรอยแดงๆที่เหลือเหล่านั้นก็มาจากการจัดการด้วยน้ำมือข้าเอง ก็แหม..ผิวของคนงามน่ะทั้งสวยทั้งเนียนขาว แค่หยิกนิดเกาหน่อยก็แดงเป็นแถบ ไอ้การจะปลอมเป็นรอยคิสมาร์ก โดนขบนั่นนิดนี่หน่อยไม่ใช่เรื่องยาก
อยากจะปรบมือให้ฝีมืออันร้ายกาจของตัวก็ดูจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไปข้าจึงนอนขำอีกรอบ ก่อนจะชักผ้าห่มที่ถูกถีบไปปลายเตียงมาคลุมตัว คิดจะนอนต่อีกสักหน่อยเพราะง่วงเหลือเกินแถมปวดหัวจี้ดๆ หลินจวินเจ๋อตื่นตอนเช้า หากคิดว่าข้าเพิ่งตื่นพร้อมเขาถือว่าคิดผิด ข้าตื่นก่อนหน้านั้นนานมาก แถมซ้อมว่าตื่นแบบไหนถึงจะดีอยู่นานพอกัน
พูดก็พูดเถอะ ทั้งคืนต้องหลับๆตื่นๆเพราะถูกแขนล่ำๆนั้นรัดเอาใช้เป็นหมอนข้างและผ้าห่มทั้งทรมารและอึดอัดแทบตาย ความโรแมนซ์รึอะไรอย่าได้ฝัน แค่ไม่ถูกไอ้บ้าพลังอย่างหลินจวินเจ๋อรัดจนตายก็ถือว่าดีแล้ว ข้าเลยได้แต่ฝากแค้นระบายความอัดอั้นด้วยการงับๆเลียๆแผงอกล่ำนั่นเล่น ถือเป็นกำไรเล็กๆน้อยๆ และถือเป็นการเทสต์ผลิตภัณฑ์ก่อนลงมือกิน นี่ถือว่าดีนะที่ไม่ลงไปตรงหว่างขา...เอ่อ จริงๆก็แอบจับนั่นนิดดูนี่หน่อย ก็แหม..คนมันตื่นเช้า แถมจากการลองจับนิดจับหน่อย เลยรู้ว่าค่อนข้างมีคุณภาพน่าดูชม
นอนมองเพดานเตียงอย่างสำราญใจขณะคิดไปถึงเรื่องที่จะเกิดไปด้วย วันนี้แผนวางเพลิงของข้าสำเร็จไปได้ด้วยดี หลังจากนี้ก็ต้องรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ข้ามเรื่องตาแก่เสนาบดีนั่นไปก่อนเลยเพราะเป็นแค้นส่วนตัวของคนงามที่ข้าต้องเตะก้นมันด้วยตัวเอง แต่จากเรื่องในเช้าวันนี้ ด้วยนิสัยของสามีที่รัก ข้าแน่ใจว่าความรักของคุณหนูจ้าวและหลินจวินเจ๋อกำลังจะไม่ราบรื่นอยากมากเลยทีเดียว
ท่านแม่ทัพแดนใต้คนนี้ เดิมทีบอกว่าไม่คิดข้องเกี่ยวกับร่างของข้า ไม่นับเป็นสามีภรรยา ไม่มีอะไรกันจริงๆ ดังนั้นที่ผ่านมาก็ถือว่าเขาไม่ได้ทำผิด จึงลอยหน้าลอยตาคบหากับคุณหนูจ้าวต่อ แต่หลังจากหลินจวินเจ๋อเข้าใจว่าตัวเองล่วงเกินปลุกปล้ำข้าไปแล้วและกลายเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องทุกอย่าง เขาคิดจะทำยังไง เขาจะรักกับผู้หญิงคนนั้นอย่างหน้าชื่อตาบานได้อีกหรือ ด้วยระดับมโนธรรมของเขาข้าเชื่อว่าเป็นไปได้ยาก และต่อให้เป็นไปได้ ก่อนหน้านั้นก็คงรู้สึกผิดต่อข้าอย่างมหาศาลและข้าก็สามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อีกมากเลยทีเดียว
เอนหลังอย่างสบายใจพลางลูบริมฝีปากที่เมื่อเช้าจงใจเผลอจูบกับท่านแม่ทัพอย่างน่ารักด้วยรอยยิ้มหวานหยด แม้จะนึกเซ็งนิดหน่อยที่ต้องแบ่งปันริมฝีปากคนงามกับชายอื่น แต่จะให้เก็บไว้จูบกระจกก็ไม่ไหว ดังนั้นใช้ปากน้อยๆนี่แลกกับอาการสับสนอลหม่านในหัวอก ทำสามีหน้าโง่ใจเต้นระรัวก็ไม่แย่อะไร ข้าหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าซึ่งเปลี่ยนไปมาของหลินจวินเจ๋อ อย่างที่คิดไว้ การตื่นเช้านี่มันช่างดีจริงๆ
+++++++++++++++++
คนงามยามเช้า
เปิดฉากมาด้วยมุมมองท่านแม่ทัพก่อนจะมาทำลายโมเมนต์ด้วยความจริงฉบับอาซิ่น นางร้ายอัพเกรด55
ส่วนอันนี้เป็นเพลงตีมของเรื่องค่ะ ชื่อเพลงคนในภาพเขียน (กดเลย)
ซึ่งจริงๆสำหรับอาซิ่นอาจต้องใช้คำว่าคนในกระจก
ยืนยันว่าลาสบอสเรื่องนี้คือ หวางเทียนหยาง(หน้ากระจก)ค่ะหนุ่มๆที่เหลือก็ฝ่าฟัน
(ทั้งๆที่ทำยังไงก็แพ้)กันเอาเอง555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดีงามยิ่งนัก*-*