ตอนที่ 85 : เราสองต่างก็เป็นเพียงคนธรรมดา
โคมรูปปลาทองในมือข้าส่องสว่างไม่แพ้แสงจันทร์ ส่วนในมือของหลินจวนเจ๋อคือกระจกเงาทองเหลืองบานหนึ่ง เราทั้งสองเดินผ่านถนนสายที่หนึ่งอันเป็นถนนเส้นใหญ่มุ่งตรงสู่จวนเจ้าเมืองตรงไปยังถนนที่สองบ้านของหลินจวินเจ๋อ เคียงคู่กันภายใต้ทิวทัศน์ของเมืองถานเฟิ่งยามราตรีที่ร้านรวงเริ่มปิดและผู้คนบางตา ที่ยังคึกคักอยู่คงเป็นช่วงถนนที่สามอันเป็นสถานเริงรมยเช่นหอนางโลมชื่อดังหลายแห่งชวนให้เจ้าของฉายาผีเสื้อราตรีไปเยี่ยมชมยิ่งนัก เสียแต่เมื่อข้าทำท่าสนอกสนใจท่านแม่ทัพข้างกายก็ตีหน้าบึ้งขึ้นมาจนได้แต่หยิบโคมมาดูแก้เกี้ยวกลัวชะตาขาด ไม่ได้พบกันมาสักพักสามีที่รักยังคงขี้หึงจับใจเหมือนเดิม
เฉายุ่นจื่อลาไปแล้วหลังทนรับประทานอาหารตามมารยาทสักพัก คนที่โดนโจมตีด้วยภาพข้าลวนลาม..หมายถึงข้าป้อนปรนนิบัติหลินจวินเจ๋อเอ่ยปากขอตัวแล้วเดินออกจากห้องสีหน้าจืดเจื่อน ปากกล่าวอย่างนอบน้อมตามธรรมเนียมว่าจะไปขอเคาะประตูวังจวิ้นอ๋องแห่งเมืองถานเฟิ่งขอความช่วยเหลือตามคำแนะนำ เสร็จแล้วจึงเดินเรียบๆร้อยๆออกไปโดยทิ้งสายตาน่าเวทนาไว้ให้
“ท่านเชื่อที่เขาพูดหรือไม่?” คิดถึงเรื่องนี้แล้วยังรู้สึกสงสัยจึงหมุนโคมรูปปลาทองหน้าโง่ในมือแล้วเอ่ยถาม ข้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองท้องฟ้า เห็นพระจันทร์ดวงโตสาดแสงมาก็ยิ้มแย้มอย่างเรื่อยเปื่อยเสียที
“ไม่เชื่อ”
คำตอบรวบรัดสั้นห้วนอย่างยิ่งทำให้ต้องชะงัก หันไปมองเสี้ยวหน้าคมคายซึ่งสะท้อนแสงจันทร์อย่างรวดเร็ว ไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ? มองใบหน้าที่ยังฉาบฉายด้วยความไม่พอใจเมื่อคิดถึงคนของวังจวิ้นอ๋องแล้วข้าก็ถึงความเปลี่ยนแปลงของหลินจวินเจ๋ออย่างชัดเจน จากที่เคยบอกว่าจะปกป้องวังจวิ้นอ๋องแต่บัดนี้กลับเป็นเขาไม่พอใจหวงเทียนหยาง หลินจวินเจ๋อเองก็ต้องเจอกับเรื่องราวเลวร้ายมามากช่วงที่เราจากกัน ข้าต่อให้อยากปลอบว่าอย่าคิดมากหรืออยากทราบเรื่องทั้งหมดอย่างไรก็ได้แต่เงียบ คิดอยากเอื้อมมือไปหายังติดโคมปลาทองที่มือซ้ายจึงได้แต่เดินเข้าไปใกล้แล้วเกยคางบนไหล่หนาออดอ้อน แท้จริงข้าเองก็มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ทราบความเป็นไปหลายอย่างจากปากของเฉายุ่นจื่อแล้วยังอยากรู้ทุกสิ่งจากคนตรงหน้า ถึงจะคิดว่าสามีคงเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียมากคนเช่นหลินจวินเจ๋อจึงมีท่าทีเคืองขัดไม่เลิกรา แต่จะอย่างไรก็ไม่อยากตัดสินเรื่องทุกอย่างโดยไม่ฟังเหตุผล
“แล้วท่านคิดว่าใครเป็นคนวางแผนให้เขาทำเช่นนี้?”
“จวิ้นอ๋อง”
เฮ้อ...
คิดอยากถอนหายใจก็คงจะช้าไปเสียแล้ว ข้ามองท่านแม่ทัพแดนใต้ที่กล่าวอย่างเชื่อมั่นสุดๆว่าจวิ้นอ๋องคือผู้วางแผนอย่างชัดถ้อยชัดคำตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าคนเราพอไม่ชอบแล้วไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็อคติอยู่ดี ไม่ใช่เห็นว่าหลินจวินเจ๋อผิด ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะปกป้องจวิ้นอ๋อง เพียงแต่รู้สึกว่ามันแปลกยิ่งนักถ้าหวงเทียนหยางสั่งให้เสี่ยวเจี๋ยทำแบบนี้จริงๆ เท่าที่ผ่านมาแม้ไม่ได้รู้จักสนิทสนมแต่ข้าคิดว่าจวิ้นอ๋องไม่ใช่คนโง่ พูดอย่างใจร้ายคือด้วยนิสัยอย่างคนชั้นอ๋องเช่นเขาเมื่อตัดสินใจโยนหมากตัวไหนทิ้งแล้วก็ไม่น่าสิ้นหนทางจนหยิบมันมาใช้อีกครั้ง ยิ่งวิธีน่าสังเวชอย่างส่งเสี่ยวเจี๋ยมาขอร้องยิ่งฟังดูผิดหู คนเช่นจวิ้นอ๋องน่ะรึจะทำเช่นนี้ เสี่ยวเจี๋ยกลายเป็นบ่าวคนสนิทของหวงเทียนหยางตั้งแต่เมื่อใด เฉายุ่นจื่อจะเป็นตัวเลือกที่จวิ้นอ๋องส่งมาขอความช่วยเหลือยามลำบากจริงๆน่ะหรือยิ่งคิดแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ และต่อให้อีกฝ่ายจะตกที่นั่งลำบากถึงขั้นถูกปิดประตูวังจริงๆข้าก็เชื่อว่าหวงเทียนหยางไม่มีทางถูกกำจัด
ถามว่าทำไมข้ามั่นใจ คำตอบคือประวัติศาสตร์และหนังสือประวัติศาสตร์อย่างไรเล่า อย่างน้อยข้าก็ยังได้เปรียบคนอื่นที่รู้เรื่องราวหลังจากนี้ เมื่อได้กลับไปครานั้นข้าก็ลายเป็นคนติดละครกับคนชอบตามติดประวัติศาสตร์ไปโดยปริยายดังนั้นจึงค่อนข้างจำได้ชัดว่าจวิ้นอ๋องจะไม่ตายไปเร็วๆนี้ แม้ประวัติศาสตร์มันจะไม่ตรงในเรื่องของสามีและจวิ้นอ๋อง แต่อย่างน้อยบันทึกของราชวงศ์พวกใครตายตอนไหนยังไงก็ไม่น่าจะบิดเบือน
“ข้าว่าเป็นแผนของฉู่เหวิน”
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?” หลินจวินเจ๋อหันมามองข้าตาไม่กระพริบแถมขมวดคิ้ว คิดว่าเป็นเพราะชื่อฉู่เหวินนั่นส่วนหนึ่ง
“เดิมทีข้าก็ลังเลระหว่างรัชทายาทกับองค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยน” หัวเราะหึๆทำตัวลึกลับไปได้ครู่เดียวสุดท้ายก็ยอมเอ่ยปาก “แต่คิดดูแล้ว เรื่องแบบนี้ใครจะได้ประโยชน์ที่สุดหากไม่ใช่ไห่เยี่ยนที่กำลังจ้องอยู่ ชาวนาสองคนวิวาทกัน ท่านคิดว่าคนที่จะเดินมาคว้าพุงปลาจะเป็นใคร?”
“ทั้งที่องค์ชายผู้นั้นกลายเป็นกบฏของไห่เยี่ยนน่ะรึ?” หลินจวินเจ๋อชี้ให้เห็นถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อแล้วกล่าวซ้ำ
“แล้วมิใช่ว่าเทียนจิ้นก็ให้ฉู่เหวินเป็นผู้ร้ายหรอกหรือ ระหว่างบ้านเกิดที่ทำความดีความชอบแล้วอาจได้รับการให้อภัยกับแคว้นศัตรูที่ถูกหลอกใช้ จอมอาฆาตเช่นนั้นคิดเลือกทางใดท่านย่อมรู้ดี” ข้าสบตาหลินจวินเจ๋อ กล่าวอย่างคนพอจะทราบถึงนิสัยขององค์ชายผู้นั้น สิ่งที่ฉู่เหวินต้องพบเจอหลังจากตกลงกับจวิ้นอ๋องมิใช่ถูกทรยศในที่สุดหรอกหรือ แม้คนที่ตกลงคือข้าและคนกระทำต่อจากนั้นคือหวงเทียนหยางแต่เขาก็คงมิอาจให้อภัยทั้งเทียนจิ้นและข้าอย่างแน่นอน
ความรู้สึกหดหู่ผุดขึ้นในใจเงียบๆเมื่อคิดถึงเจ้าของตาสีฟ้าคู่นั้น ข้าลอบถอนหายใจ มองฟ้ายามค่ำคืนแล้วคิดไปถึงองค์ชายที่มีชะตากรรมอันน่าเศร้า ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกสงสารและเห็นใจเขาอย่างยิ่ง ซ้ำจู่ๆก็คิดย้อนไปถึงตอนนั้นแล้วนึกเสียใจภายหลังว่าข้าไม่น่าพยักหน้าตกลง บางทีถ้าข้าไม่ตกลงเขาอาจจะไม่เจอกับเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ปัดมันออกจากห้วงคิด ต่อให้สงสารข้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว มันผ่านไปแล้ว มานึกเศร้าเพราะอยากคลายความรู้สึกผิดให้ตัวเองหากอีกฝ่ายทราบคงรู้สึกเวทนาข้าเกินทน
“ข้าเข้าใจที่เจ้ากล่าวแล้ว เจ้าหมายถึงองค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนคิดร้ายกับเทียนจิ้น หมายวางแผนให้คนมากระตุ้น ทำให้ข้ากังวลเรื่องจวิ้นอ๋องจนยอมผละออกจากชายแดนกลับเมืองหลวง เมื่อข้าไปชายแดนจะไร้การป้องกัน ซ้ำยังเป็นเหตุให้ราชสำนักที่รอท่าสั่งประหารได้..” หลินจวินเจ๋อมองหน้าข้าครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เขาเอาความมั่นใจจากไหนมาว่าข้าจะทำเช่นนั้น”
“คิดว่าท่านรักจวิ้นอ๋องมากกระมัง”
“หึ” เจ้าของใบหน้าคมเผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วหันมามองข้าด้วยแววตาหวานๆ “ที่ข้ารักคืออาซิ่นต่างหาก”
“รู้แล้วน่า...” มองคนพูดจาหวานหูแล้วแอบยิ้มใส่คนที่โจมตีกันมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เจ้าคนแซ่หลินนี่มันนัก ตั้งแต่เจอกันแล้วก็เล่นงานข้าด้วยคำหวานไม่หยุดหย่อน ซ้ำรู้ตัวว่าข้าจะเขินแล้วก็ยังพูดต่อแล้วที่น่าหงุดหงิดคือพูดยังไงข้าก็เลิกยิ้มไม่ได้เสียอีก พอเห็นแบบนั้นคนเลยพอใจจะกลั่นแกล้งต่อไปทั้งที่กำลังคุยกันเรื่องจริงจังแท้ๆ นับว่าเป็นเต่าบ้ารักที่อาการหนักควรรักษาแล้ว..
นี่ควรกลับเข้าเรื่องสำคัญก่อนมิใช่รึ? ข้าวกกลับมาคิดเรื่องจริงจังพลางแสร้งกระแอมปั้นหน้าเคร่งก่อนจะรั้งแขนสามีให้มายืนอยู่ริมแม่น้ำสายเล็กสายหนึ่ง พร้อมกับบ่นอยู่ในใจว่าการพยายามเป็นการเป็นงานทั้งที่ก่อนหน้ายิ้มรื่นเริงจนแก้มแตกนี่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน..
“เอาล่ะ มาคุยกันก่อน ทั้งเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆด้วย” กระแอมขรึมพาตัวเองหลุดออกมาจากความหวานจนน้ำเน่าของสามีได้ข้าก็นั่งลงบนผืนหญ้าฉ่ำน้ำค้าง รู้สึกถึงความชื้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่สนใจอะไร “ท่านพี่ อีกสาเหตุที่ข้าคิดว่าเรื่องนี้คือแผนของฉู่เหวินเป็นเพราะข้ารู้เรื่องราวล่วงหน้า ท่านเชื่อหรือไม่?”
“อะไรนะ?” นี่เป็นครั้งแรกจริงๆนับจากจำกันได้ที่หลินจวินเจ๋อมีสีหน้าเหมือนเห็นข้าเป็นคนสติไม่ดี
“ข้าบอกว่า ข้ารู้” เน้นคำตอบด้วยน้ำเสียงหนักๆ แฝงความจริงจัง ข้ายังคงไม่ใส่ใจท่าทีของอีกฝ่ายและบอกออกไปอย่างชัดเจนด้วยสีหน้าไร้รอยยิ้มบ่งชัดว่านี่มิใช่เรื่องชวนขัน แท้จริงในฐานะคนที่ถูกดึงตัวเหวี่ยงข้ามกาลเวลาไปมาข้าทราบว่าในนิยายหรือละครเรื่องอื่นมักมีการห้ามเป็นพิเศษเรื่องอย่าได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ เดิมทีข้าก็คิดเช่นนั้นจึงทำตัวดีๆตามขนบตามเรื่องราว ไม่เผยว่าที่แท้ตนเองเป็นใครและไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องราวอะไรไม่พูดอะไรแม้จะรู้หลายเรื่องดีมาแต่ต้นเช่นว่าผลของสงครามหรือความล่มสลายของผู้อื่น แต่มาตอนนี้ไม่ใช่แล้ว จะมาใจดีอะไรอีกหากต้องเป็นฝ่ายเสียหาย ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปสิ จะอย่างไรก็ไม่ตรงมาแต่แรกอยู่แล้ว ข้าไม่คิดจะเงียบอีกต่อไปเมื่อมีคนอยากลากคนรักของข้ามาเป็นเหยื่อ
เรื่องที่เกิดในครั้งนี้ข้าตัดสินใจชี้ไปยังฉู่เหวินว่าเป็นผู้ต้องสงสัย สาเหตุสำคัญกว่าใครจะมาฉกพุงปลาคือในหน้าประวัติศาสตร์ ก่อนหน้านั้นหลังจากลืมตาขึ้นมาในร่างจวิ้นอ๋อง ข้าจดจำเรื่องต่างๆได้อย่างคร่าวๆ เช่นที่เกี่ยวกับประวัติของราชวงศ์เทียนจิ้น หรือที่ว่าเรื่องหลังจากนี้อีกไม่นานจะถึงคราวแคว้นไห่เยี่ยนล่มสลาย แต่หลังกลับไปและได้ออกจากโรงพยาบาลก็มาตั้งใจศึกษาอย่างจริงจังอีกครั้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ ข้าพบข้อสงสัยและข้อสันนิษฐานที่สามารถนำมาร้อยเรียงกับอดีตมากมาย เช่นที่มีการบันทึกว่ารัชสมัยของหวงไท่หยางไร้สงครามเป็นเพราะก่อนหน้านั้นทำศึกใหญ่ช่วงปลายสมัยฮ่องเต้หวงจื่อหานไปแล้ว ซ้ำช่วงปลายรัชสมัยนั้นฮ่องเต้ป่วยกระเสาะกระแสะแทบมิได้ออกว่าราชการจนมอบอำนาจที่มีให้รัชทายาทไปหมด มีขุนนางใหญ่ถูกจัดการไปมากมายมีทั้งขุนทัพทั้งบัณฑิตกระทั่งตระกูลของฮองเฮา ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนรัชสมัยเป็นของหวงไท่หยางมันจึงกลายเป็นรัชสมัยที่สงบสุขอย่างยิ่งเพราะงูพิษเจ้าเล่ห์ตนนั้นได้จัดการทุกอย่างล่วงหน้าไว้แล้ว
เท่าที่ข้าทราบตอนนี้คือฮ่องเต้ยังมีพลานามัยสมบูรณ์ หากเรื่องราวบางอย่างก็คงเริ่มต้นไปแล้ว ใจหนึ่งนึกยินดีที่สามีอยู่ถึงเมืองถานเฟิ่งจะได้ไม่ต้องเผชิญอันตรายที่เมืองหลวง แต่ตอนนี้กลับนึกขันไม่ออกเมื่อสังหรณ์ใจว่าเขาอาจจะถูกลากเข้าไปด้วย เดิมทีพอสะกิดใจจากคำพูดของเฉายุ่นจื่อข้ายังคิดว่าเป็นฝีมือรัชทายาทส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรหวงไท่หยางก็ไม่ใช่คนเสียสติที่จะทุบหม้อข้าวตนเอง ต่อให้เกลียดแค่ไหนคงไม่คิดทำลายหลินจวินเจ๋อในช่วงที่ยังต้องใช้คน ดังนั้นพอลองคิดดูแล้วผู้ที่ลงมือกระทำเรื่องนี้ซ้ำอีกไม่นานจะกลายเป็นชนวนเหตุให้ไห่เยี่ยนมีศึกกับเทียนจิ้นคงไม่พ้นฉู่เหวิน..
“ฮูหยิน แม้เรื่องของเจ้ากับจวิ้นอ๋องจะประหลาดไปบ้าง ทว่า...”
“หลินจวินเจ๋อขอสมรสพระราชทานตบแต่งกับจวิ้นอ๋องอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกชั่วชีวิต หวงไท่หยางครองราชย์ต่อจากหวงจื่อหานอยู่สามสิบแปดปีจึงสิ้นพระชนม์ นี่คือสิ่งที่ถูกจารึกไว้ในหนังสือของข้า สิ่งที่พวกข้าเรียกว่าอดีต ประวัติศาสตร์ เรื่องที่ผ่านมาแล้วซึ่งสำหรับท่าน นี่คืออนาคต” ข้าสบตาหลินจวินเจ๋อแล้วยิ้มน้อยๆ “เรื่องของข้า ต่อให้ท่านไม่อยากฟังก็ยังต้องฟัง ไม่บังคับให้เล่าข้าก็ต้องเล่า อีกสามปี..ไม่สิ ไม่ถึงสามปีแล้ว อีกไม่ถึงสองปีหลังจากนี้ไห่เยี่ยนจะถูกเทียนจิ้นยกทัพตีจนสิ้นชาติ จากนั้นฮ่องเต้หวงจื่อหานก็จะสิ้นพระชนม์ แล้วหวงไท่หยางก็จะ---”
“พอแล้ว” แม่ทัพแดนใต้กล่าวเสียงเครียดแทรกบทสนทนาขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว”
“ข้าไม่ได้พูดเล่น”
หลินจวินเจ๋อไม่ตอบอะไรหากเงยก้มหน้ามาสบตาข้าเงียบๆ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองมา ข้าเองก็จ้องกลับ จากความมืดรอบกายที่รายล้อมทำให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาไม่ชัดนัก ทว่าอารมณ์ที่ดูจะนิ่งสงบหากก็แฝงความแปรปรวนของอีกฝ่ายทำให้ข้ารู้สึกตกใจไม่น้อย ทุกสิ่งที่สะท้อนในแววตาคู่นั้นทำให้ข้านึกหวั่นใจขึ้นมาว่าจะถูกกล่าวหาว่าเสียสติหรือโกหก..
“อย่าได้พูดอะไรอีกเลย เพราะตอนนี้ข้ากลัวนัก” หลินจวินเจ๋อถอนหายใจหนักๆ ที่สุดก็เบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตา
“กลัวอะไร ท่านพี่?” เห็นท่าทางเหมือนไม่อยากพูดอยากกล่าวถึงแล้วข้ารู้สึกตกใจจนต้องรีบผุดลุก เลิกสนใจโคมปลาทองพลางเดินเข้าไปหาและคิดทบทวนอยู่ในใจอย่างหนักว่าเพราะเหตุใดกันอีกฝ่ายถึงพูดว่ากลัว เป็นเพราะข้าพูดจาไม่รู้เรื่อง เพราะคิดว่าจะถูกหลอกอีกหรือเพราะสิ่งใด
“กลัวว่าหากเจ้าหายไปอีก ข้าจะไม่มีทางตามหาเจอ”
มองแววตาที่สั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจซึ่งเบือนกลับมาสบแล้วหัวใจอ่อนยวบ ข้ารู้สึกว่าถูกรั้งไปกอดไว้หลวมๆขณะที่อีกฝ่ายถอนหายใจเสียงหนักกลับทำได้เพียงยกมือที่ดีอยู่ข้างหนึ่งลูบแผ่นหลังหนาอย่างเก้ๆกังๆเมื่อคิดไปถึงความรู้สึกของหลินจวินเจ๋อก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง สภาพที่ไร้หนทางเช่นนั้นมีหรือข้าจะไม่เคยประสบ ยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมามองหลอดนีออนและเพดานสีขาว บอกตัวเองว่าให้พยายามอย่างไร ให้ตามหาแค่ไหนก็ไม่อาจเจอเพราะคนที่ตัวเองอยากพบคือบุรุษเมื่อหลายพันปีก่อน ความสิ้นหวัง ความท้อแท้ ความรู้สึกที่เคยมีแล้วต้องไม่มีนั้นเจ็บปวดยิ่งนัก
ถอนหายใจอีกครั้งแล้วซุกหน้าลงกับแผ่นหลังหนา ข้ากอดกับหลินจวินเจ๋อสักพักจนพอใจแล้วจึงผละออกมาคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย ตระหนักขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็วว่าตอนนี้สิ่งที่ควรทำมิใช่มานั่งวิเคราะห์เรื่องราวประวัติศาสตร์หรือการเมืองของใคร ข้าควรจะกลับบ้านของเราสองแล้วชวนสามีดูผีเสื้อแทนที่จะมานั่งคิดมาก ตอนนี้ข้าไม่ใช้จวิ้นอ๋องแล้ว ข้าเป็นคนธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร ข้าเป็นคนของหลินจวินเจ๋อ ข้ามีเขาคอยดูแล ข้าไม่ต้องสนใจแล้วว่าทางวังจวิ้นอ๋องหรือราชสำนักจะเกิดอะไรขึ้น..
ถ้าทำแบบนั้นได้ง่ายๆก็ดีสิ
ถอนหายใจให้กับตนเองขณะที่หลินจวินเจ๋อช่วยเก็บโคมปลาทองให้ ข้ามองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของคนรักอย่างรักใคร่แล้วคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย ต่างคนต่างค่อยๆปรับอารมณ์กลับมาอย่างเงียบๆ ข้ามองดูทุกอากัปกิริยาของคนรัก ของๆตนเองเบื้องหน้าตาไม่กระพริบ ต่อให้จะบอกว่าไม่สนว่าใครจะเป็นจะตาย แต่ทิ้งวังจวิ้นอ๋องได้แล้วทิ้งหลินจวินเจ๋อได้หรือ ไม่สนใจการเมืองในราชสำนักได้หรือหากคนรักของตนเองอาจตกเป็นเหยื่อเช่นนี้ ข้าจะต้องปกป้องเขา ข้าจะต้องช่วยเขา ทำทุกสิ่งด้วยทุกอย่างที่ตัวเองมีให้หลินจวินเจ๋ออยู่รอดปลอดภัยและสามารถอยู่กับข้าจนกระทั่งศีรษะมีหงอกขาวโพลน
“เรื่องที่เจ้าพูดมาทั้งหมด ข้าเชื่อ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้ายุ่งกับเรื่องในเมืองหลวงอีก”
“เข้าใจแล้ว”
“อย่าได้คิดมากเรื่องของผู้อื่นอีกเลย ตอนนี้เจ้าคือภรรยาของข้า ถ้าเอ่ยถึงฉู่เหวินหรือจวิ้นอ๋องอีกข้าจะหึงหวงแล้ว”
“ได้ๆ กลับกันเถอะ ท่านพี่”
ฟังคนขี้หึงพูดแล้วข้าก็หัวเราะ พยักหน้าถี่ๆหวังให้อีกคนพอใจพลางดึงรั้งแขนของหลินจวินเจ๋อให้เดินทางกลับไปด้วยกัน แค่ได้ยินคำตอบที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดถึงข้าก็พอใจแล้ว ขอเพียงแค่หลินจวินเจ๋อเชื่อก็พอ หลังจากนี้พวกเรายังมีเวลาวางแผนและช่วยกันรับมือ หากเรื่องราวนี้ลุกลามมาถึงเขาจริงๆจะได้ไม่ยากแก้ไข ส่วนข้อห้ามของสามีข้ายิ่งไม่มีปัญหา ที่หลินจวินเจ๋อพูดเพราะเป็นห่วงข้าทราบดีและไม่คิดปฏิเสธแต่อย่างใด อยู่เมืองถานเฟิ่งไม่มีเรื่องให้ปวดหัว ไม่มีสาเหตุใดทำให้ข้าคิดอยากหาเรื่องใส่ตัวแล่นไปขวางทางใคร ส่วนเรื่องของวังจวิ้นอ๋องแม้อยากช่วยอยู่บ้างแต่ใครจะฟังคนธรรมดาไร้ที่มาไร้ตัวตนเช่นข้ากันเล่า ตอนนี้ที่ต้องทำคือข้าต้องคอยระวังหลังให้สามี และดูแลหลินจวินเจ๋ออย่างที่ภรรยาดีๆควรทำให้เท่านั้น เรื่องปวดหัวเรื่องอื่นๆ..ก็ช่างมันก่อนเถิด
----------------------------
ภาพที่อยู่เบื้องหน้าข้าคือเงาสะท้อนของบุรุษคนหนึ่งซึ่งตัวเองแสนคุ้นตา คุ้นสุดๆคุ้นมากๆ ไม่ว่าจะยิ้มหรือขมวดคิ้วบึ้งเงาสะท้อนในกระจกทองเหลืองมัวๆก็ยังทำตามทุกประการ ข้ายกมือขึ้นอีกครั้ง ปลายนิ้วแตะบนกระจกทองเหลืองเบื้องหน้าแล้วเคาะเบาๆ สีหน้าหนุ่มหล่อตาหวานมาดดูดีมีผมยาวประบ่าก็ยังคงเป็นคนเดิม ตัวข้าที่เห็นจนชินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หาได้อัปลักษณ์หรือหล่อเหลาขึ้นสักกี่มากกี่น้อย ถูกล่ะว่าทียบกับเมื่อก่อนนับว่าหน้าตาดีขึ้นเพราะศัลยกรรมใบหน้าจากอุบัติเหตุ เท่าที่ดูแล้วเหมือนจะตาสวยขึ้นอีกหน่อยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เหมือนหรืองดงามเท่าจวิ้นอ๋องอยู่ดี อืม..ก็ได้ พูดอย่างเข้าข้างตัวเองสุดๆคือคล้ายนิดหน่อย แต่มันก็คล้ายในระดับของก๊อปเกรดซี คงพอเรียกว่าเหมือนจวิ้นอ๋องได้อยู่บ้างสำหรับคนตาถั่วที่เคยเห็นหวงเทียนหยางเมื่อสามชาติที่แล้ว สรุปคือยังไงข้าก็ไม่เหมือนคนงามขนาดนั้น ถ้าหน้าตาดีเท่านั้นจริงๆเหล่าจือคงเข้าวงการเป็นดาราไม่ก็นายแบบนานแล้ว
ข้ายกมือลูบรอยแผลงจางๆเหนือคิ้วแล้วพ่นลมหายใจใส่เงาตัวเอง รู้สึกอยากด่าคนมาบ้างเหมือนกันที่มารุมพูดว่าเหมือนจวิ้นอ๋องเสียจนเกือบมีอุปาทานว่าเหลียงจื่อซิ่นหน้าตาดีหาใดเปรียบ ถือว่ายังเป็นดีที่เบรกตัวเองทันและสั่งให้สามีซื้อกระจกมาด้วยก่อนโรคหลงตัวเองของข้าจะกำเริบ
“เจ็บแผลหรือ?” สุ้มเสียงถามเบาๆด้านหลังดังขึ้นพร้อมกับเงาร่างที่มีหยดน้ำเกาะพราวปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ข้าสบตาหลินจวินเจ๋อผ่านกระจกบานเล็กแล้วยิ้มน้อยๆ เห็นคนสวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวบางแล้วอยากขบกล้ามเล่นเบาๆสักทีเสียแต่ว่าสภาพแขนไม่อนุญาต
“ไม่ใช่หรอก แต่มีคนทักว่าข้าหน้าเหมือนจวิ้นอ๋องมาหลายคนแล้ว ก็เลย...”
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?” สามีเบียดแก้มเย็นๆกับข้างแก้มข้าอย่างคนรู้จักอ้อนขึ้นมาแล้วชวนให้กระโจมขย้ำนัก—แค่กๆ
“ไม่เหมือน” ดึงสติเข้าตัวก่อนจะละเมอจับสามีปล้ำแล้วข้าก็ยักไหล่ “ไม่รู้มองอย่างไรกันแต่ข้าเห็นว่าไม่เหมือนเลย หวงเทียนหยางหน้าตาดีกว่าข้าเป็นสิบเท่า คนงามน่ะทั้งใครจะสู้ได้ หน้าตารึก็ไม่ต้องพูดถึง ใครได้เห็นเป็นต้องเพ้อไปหลายวัน ข้าจำได้ว่าตอนเห็นเขาครั้งแรกถึงกับจ้องกระจกตาไม่กระพริบเชียวนะ คนอะไรหน้าตาดีขนาดนั้น อยากจะกอดจูบลูบคลำตั้งแต่หัวจรดเท้าจริงๆ ผมสวย ผิวขาวเนียนไปทั้งตัว แล้วยังตรงนั้....”
ฝ่ามืออันแสนเคยคุ้นวางลงบนไหล่แล้วบีบบ่าเบาๆ หากความเบานั้นกลับเจอด้วยความสยองขวัญให้ขนลุกวาบ คนที่พูดพล่ามอย่างไม่ทันรู้ถึงหายนะอย่างข้าถึงกับหุบปากและคลี่ยิ้มเจื่อนพร้อมกับเงียบเสียงอย่างรวดเร็วด้วยรู้สึกถึงความโชคร้ายที่คืบคลานเข้ามา ตอนนี้ข้าไม่กล้ามองสบตาสามีที่รักซึ่งยิ้มให้ตนเองผ่านกระจกแล้วซ้ำจู่ๆก็รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาตามไขสันหลัง ข้า..ข้าจำได้ถึงคำขู่ของหลินจวินเจ๋อก่อนเราจะจำได้อย่างชัดเจน เช่นบอกว่าอย่าได้พูดถึงจวิ้นอ๋องหรือฉู่เหวินอีกให้ระคายใจ แล้วนี่ข้า..
“ท่านพี่..”
โคมปลาทองที่อยู่ในมือสวยดี ดวงจันทร์คืนนี้ก็งามดี ท้องฟ้าก็...เอ่อ แท้จริงข้าไม่ควรมานั่งพร่ำเพ้อถึงแสงดาวแสงจันทร์อะไรตอนนี้ กระทั่งโคมโง่ๆที่แขวนไว้นอกห้องนอนก็ไม่สมควรเอ่ยถึง แต่นี่ดูเหมือนเป็นกิจกรรมอย่างเดียวที่ทำได้นอกจากนั่งเงียบอยู่ท่ามกลางบรรยากาศน่าอกสั่นขวัญแขวน เห็นแววตาวิบๆวับๆของหลินจวินเจ๋อแล้วพลันก็รู้สึกเจ็บก้นขึ้นมาทันที ไม่ได้หื่นแต่นึกภาพตัวเองโดนจับถลกกางเกงฟาดเข้าให้ก็น้ำตาแทบเล็ด ข้าขอโทษ! ข้าไม่พูดแล้ว! เหล่าจือจะประมาทความขี้หึงของเจ้าเต่าอีกแล้ว!
“เจ้าดูจะชมชอบจวิ้นอ๋องมาก...” ปลายนิ้วเย็นๆลากผ่านหัวไหล่แล้วผละออกช้าๆ เจ้าของใบหน้าคมคายคลี่ยิ้มน่ามองแต่ก็สยองขวัญเป็นที่สุด หลินจวินเจ๋อผู้ยังไม่ได้รวบผมด้วยซ้ำส่งเสียงหึเบาๆ ไม่แม้แต่จะอ้าปากตำหนิข้าเพียงครึ่งคำแล้วจึงเดินออกไปนั่งลงบนขอเตียงเงียบๆ
ขอโทษ ถึงจะเงียบ แต่ไอ้หน้าบึ้งๆนั่นน่ะยังไงก็ดูเป็นปกติไม่ได้ อีกฝ่ายนั่งลงแล้วรอ..ไม่ได้พูดอะไรแต่กดดันด้วยความเงียบ เงียบเฉยๆไม่ว่ายังมานั่งยั่วกันอีก ไม่ทราบว่าใครสั่งใครสอนมาแต่น่ากินมาก ข้ามองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ตัวสูงใหญ่ ผิวสีแทนเร้าใจพร้อมเส้นผมยาวที่ยังมีหยดน้ำประปรายแล้วลอบกลืนน้ำลาย สามีคนดี อาซิ่นผู้นี้ยอมแล้ว อย่าได้ทำหน้าตาบูดบึ้งอีกเลย ขอให้ข้าจับกลืนลงท้องเถอะ!
“ข้าชอบคนหน้าตาดี ท่านน่าจะทราบ” ร้องขอกินสามีอยู่ในใจแล้วเลิกสนไอ้กระจกมัวๆเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเลแม้ครึ่งนาที ข้าลุกขึ้นไปหาหลินจวินเจ๋อ ยิ้มอ้อนไปปากก็กล่าวแก้ตัวไป แต่ดูเหมือนจะแก้ตัวได้ดีเกินคนเลยหน้าบึ้งไปหน่อย แต่นี่พูดมาจากใจแล้วนะ!
“......” ความจริงใจใช้ผิดเวลาก็กลายเป็นเรื่อง ข้าทราบถึงความจริงข้อนี้อย่างลึกซึ้งเมื่อมองเห็นสีหน้าของคนแซ่หลิน สามีหล่อล่ำหุ่นดีที่สุดในปฐพีกำลังปั้นหน้าปึ่งชาและปรายตามองอย่างเยือกเย็นเมื่อข้าบอกถึงนิสัยตัวเองไปให้เขาทราบ ดังนั้นข้าจึงเอาอกเอาใจเพิ่มเติมด้วยการนั่งลงบนตักอีกฝ่าย
“ข้าชอบคนหน้าตาดี ชอบมองคนหน้าตาดีๆ สนใจคนหน้าตาดี โดยเฉพาะจวิ้นอ๋องที่หน้าตาดีเป็นพิเศษ ข้าจึงชอบเขาเป็นอย่างมาก” ไล่เรียงสันดาน แฮ่ม นิสัยของตัวเองด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วชัดเจนแล้วข้าจึงเอนตัวซบแผ่นอกล่ำๆของสามีอีกที “แต่ข้ารักท่านมากที่สุด”
“มากที่สุด?”
ขอโทษ ข้าพูดผิดไป “ข้ารักท่านคนเดียวและมากที่สุด”
“แล้วยังจะกล่าวถึงจวิ้นอ๋องอีกหรือไม่?” เหมือนคำบอกรักจะทำให้อารมณ์ดีไม่น้อยหลินจวินเจ๋อจึงค่อยๆสอดมือมาโอบเอว ข้ารู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็นลงแล้วก็ลอบถอนใจเงียบๆ
“ไม่แล้ว ข้าจะไม่พูดถึง..อืม ถ้าไม่จำเป็น” ตอบแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มแทรกสีหน้าบึ้งๆนั้นไว้ก่อนไม่ให้สามีอารมณ์เสีย “ก็เผื่อมีเรื่องที่ต้องกล่าวถึง แต่สัญญาว่าคืนนี้จะไม่พูดถึงจวิ้นอ๋องอีกแล้วแม้แต่คำเดียว”
“บุรุษอื่นก็ด้วย” ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบที่ลำคอแล้วจูบเบาๆออดอ้อน
“บุรุษอื่นก็ด้วย”
ยิ้มแย้มรับคำอยางดี เพื่อสวัสดิภาพของตนเองข้ามีหรือจะพูดโยกโย้มากความหาเรื่องใส่ตัวอีก พอทำให้สามีพอใจได้ก็ถือว่าโล่งไปเปราะหนึ่ง เตือนตัวเองว่าให้ปิดปากสนิทๆอย่าได้เอ่ยวาจาให้ตัวเองพบเคราะห์กรรมเด็ดขาดแล้วก็หันมาสนใจกับท่านแม่ทัพหนุ่มสุดหล่อหุ่นน่ากินคนนี้ต่อ ข้ามองมือของหลินจวินเจ๋อที่วางอยู่บนเอว ครุ่นคิดเพียงครู่ก็คลี่ยิ้ม ใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่ดึงมืออีกฝ่ายให้แตะลงตรงสายรัดเอวพลางยิ้มอ้อน
“แขนอีกข้ายังไม่หายดี ท่านพี่แกะให้หน่อยสิ”
หลินจวินเจ๋อมองหน้าที่ยิ้มหวานแล้วกระพริบตา แน่นอนว่าแค่มองเห็นแววตาพราวระยับของข้าอีกฝ่ายก็ทราบแล้วว่าแท้จริงจุดมุ่งหมายอยู่ที่ไหน เรื่องของเรื่องไม่ใช่ว่าใช้มือได้หรือไม่ได้ แต่เป็นคนแก้เชือกต่างหาก
“ข้าจำได้ว่า..” มองปลายนิ้วที่เกี่ยวเอาสายรัดบั้นเอวออกช้าๆแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ “วันนั้น ตอนที่เราพบกันครั้งแรก ข้าก็ให้ท่านช่วย แต่เป็นช่วยใส่”
“ร้ายกาจนัก”
“ต้องเรียกว่าร้ายกาจเสมอต้นเสมอปลายสิ” หลินจวินเจ๋องับแก้มข้าข้างที่ไม่มีแผลเป็นการทำโทษ แต่เนื่องจากมันไม่ได้น่ากลัวแม้แต่น้อยข้าจึงหัวเราะเบาๆ หวนคิดไปถึงเรื่องตอนนั้นยังต้องอมยิ้มแล้วขยับตัวเล็กน้อย ดิ้นอยู่บนตักอีกฝ่ายเพื่อปลุกอะไรๆที่ควรตื่นให้เหมือนคราวนั้น
“ฮูหยินคนดี เอาแต่ดิ้นแบบนี้เมื่อไหร่สามีจะแก้สายรัดบั้นเอวนี่ได้เล่า” ท่านแม่ทัพแดนใต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเริ่มจะแหบพร่า ไม่ต้องใช้เวลามากแม้แต่น้อยส่งที่ควรตื่นก็ตื่นไปหมด ส่วนเรื่องจะแก้ทันหรือไม่นั้นใครจะสน ทันก็ถือว่าทันไม่ทันก็ปล่อยไว้แบบนี้ออกจะเซ็กซี่เร้าใจ
“ไม่ทันข้าก็ไม่ว่า” หัวเราะเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายดึงสายรัดเอวคลายออกในที่สุด แต่พอสายรั้งหลุดออกเผยผิวเนื้อใต้ร่มผ้า ข้ากลับใช้มือที่วางอยู่เพียงข้างเดียวตะปบสาบเสื้อตรงเอวเอาไว้ ยังไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เห็นผีเสื้อที่ป่าวประกาศมาเสียดิบดีอย่างน่าตียิ่งซ้ำกระพริบตาอ้อนวอน “ตอนนี้ข้ายังเจ็บอยู่”
“....” หลินจวินเจ๋อไม่พูดอะไร แต่คนกำลังทำสีหน้าคล้ายจะบอกว่าแล้วจะแกล้งกันให้อารมณ์ปั่นป่วนทำไมเล่า
“แต่ข้าทนไหว” บอกเสียงใสเมื่อเห็นคนที่ทำหน้าตาเหมือนโดนรังแกเช่นนั้น ข้าผละออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยใช้มือจับเสื้อผ้ารุ่มร่ามไว้และโน้มตัวมาสบตาอีกฝ่ายภายใต้แสงเทียน “แต่ข้ามีบางอย่างที่อยากให้ท่านดู...ซึ่งท่านอาจไม่ชอบมันก็ได้”
“ข้าไม่มีทาง--”
ข้าแตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายแล้วยิ้มหวาน “ใครจะรู้ ต้องลองดูก่อนสิ”
คลี่ยิ้มบางๆสบตาหลินจวินเจ๋อภายใต้แสงเทียนในห้องนอนว่างเปล่าขนาดใหญ่ ข้ามองสามีที่นั่งอยู่บนขอบเตียงด้วยสีหน้าคนที่อยากกินแต่กินไม่ได้แล้วอมยิ้ม อยากจะขำแต่ยังก่อน ข้ายังมีบางเรื่องที่ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะชอบไหม เช่นที่ว่า อืม..ร่างกายตอนนี้ที่ไม่ได้สวยงามเช่นของจวิ้นอ๋อง
เกี่ยวเสื้อนอกสีน้ำเงินออกจากไหล่ เผยให้เห็นร่างกายแบบผู้ชายที่ไม่ได้งดงามหรือบอบบางน่าทะนุถนอม ถึงแม้ว่าผิวกายจะขาวจัดต่างกับอีกฝ่ายแต่ก็ยากจะให้จินตนาการว่านี่คือร่างกายของสตรี ไม่เหมือนร่างของจวิ้นอ๋องที่งดงามไปทุกอย่างด้วยซ้ำ เนื้อหนังของข้าก็คนธรรมดานี่แหละ ซ้ำตอนนี้มีรอยช้ำอยู่ตรงเอวเนื่องจากโดนรถชนเป็นรอยใหญ่สีม่วงปนเขียวน่าสยดสยองน้อยไปเมื่อไหร่ สำหรับหลินจวินเจ๋อที่เคยลิ้มลองของดีอย่างจวิ้นอ๋องมาแล้วเปรียบเทียบกันกับข้า..เฮ้อ เหล่าจือผู้หลงตัวเองยังคิดว่าลองได้กินของชั้นเลิศมาเจอแบบนี้อาจจะต้องกร่อย
“...ผู้ใดกันทำร้ายเจ้าถึงขนาดนี้” หากแต่คนไม่สนใจสิ่งอื่นนอกจากบาดแผลของข้าแม้แต่น้อย หลินจวินเจ๋อแตะปลายนิ้วลงบนรอยแผลเบาๆและมีสีหน้าเจ็บปวดอย่างยิ่ง “ข้า..ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย”
“ท่านก็ให้ที่พักข้า เลี้ยงข้าวข้า หาหมอให้ข้าแล้วอย่างไร อย่าได้คิดมากเลย” อดจะยิ้มออกมาไม่ได้กับท่าทางแสนน่ารักของสามี ข้าจับมือของเขาเลื่อนจากรอยแผลมายังหน้าท้องแบนราบที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย จับลากขึ้นสู่แผ่นอก ขณะสบตาอีกฝ่ายไม่กระพริบ “นี่คือตัวข้า ท่านพี่ ร่างกายของข้า เหลียงจื่อซิ่น อาซิ่นของท่าน ไม่ใช่จวิ้นอ๋อง ข้าเป็นบุรุษธรรมดา มิได้งามเลิศขนาดนั้น มิได้--”
“ข้าเองก็เป็นบุรุษธรรมดาคนหนึ่ง” หลินจวินเจ๋อไม่รอให้ข้าพูดจบ หากเขาแทรกขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าเองก็เช่นกัน อาซิ่น ข้าคือหลินจวินเจ๋อ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งในเมืองถานเฟิ่ง เจ้าก็เห็นแล้วว่าบ้านข้าเป็นอย่างไร ตัวข้าเป็นอย่างไร ข้าเป็นคนธรรมดา หาได้สูงส่งกว่าผู้ใด หาได้กลายเป็นเทพสงครามหรือจอมทัพเช่นที่ผู้อื่นเปรียบเปรย ข้าก็เป็นคนธรรมดาเท่านั้น”
กล่าวแล้วพลินจวินเจ๋อเองก็ดึงเอามือของข้าทาบทาลงไปบนรางเพื่อสัมผัสหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ก่อนจะถูกดึงให้เลื่อนมือขึ้นมายังแผ่นอกขวา และฝั่งซ้ายมือ ข้าลูบไล้รอยแผลที่ตนเองจำได้ดีเบาๆสัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจอีกฝ่าย ขณะที่เราทั้งสองสบตากัน ความกังวลใจลึกๆเกี่ยวกับเรื่องร่างกายและความเข้ากันได้ของเราทั้งคู่ถูกปัดเป่าจนหายไปในที่สุด
“ข้าคือสามีของเจ้า รักทุกอย่างที่เป็นเจ้า เหลียงจื่อซิ่น”
“ข้าก็เช่นกัน ข้าเหลียงจื่อซิ่นรักท่าน ไม่ว่าจะเป็นเต่าโง่หรือคนบ้าอย่างไรก็ตาม หลินจวินเจ๋อ” ข้าบอกเขาเสียงแหบพร่า หลังได้ยินคำรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากบุรุษที่ถือว่าเป็นสามีของตน คำรักนี้อาจไม่แตกต่างแต่เพราะเรียกว่าเหลียงจื่อซิ่น ชื่อของตัวเองกับคำรักที่เป็นของตัวเองทำให้ข้าซาบซึ้งเสียจนน้ำตาคลอ พอแล้วเรื่องความกังวลไร้สาระ ปัดทิ้งให้หมดเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง เขารักข้า ข้าเองก็รักเขา นี่คือหลินจวินเจ๋อของเหลียงจื่อซิ่น ไม่ใช่จวิ้นอ๋อง ไม่ใช่ของคนอื่น เป็นของตัวเองที่ไม่ต้องไปแย่งชิงมาจากใคร เป็นของเหลียงจื่อซิ่นคนแรกที่ข้าจะไม่ยอมให้ใครพรากเขาไปอีก
“เอ่อ..เรื่องว่าข้าเป็นเต่าโง่นั่นหยุดก่อนได้หรือไม่”
ข้าฟังคำพูดของสามีที่หยุดอาการบ่อน้ำตาตื้นของตัวเองได้อย่างรวดเร็วแล้วหลุดหัวเราะในที่สุด
ผ้าม่านสีทึบถูกปลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงหัวเราะขำขาดหายเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่หลุดออกจากร่างของเราทั้งคู่ ข้าถอดมันออกอย่างทุกลักทุกเลเล็กน้อย ต้องขอความช่วยเหลือจากสามีนิดหน่อยเพราะแขนอีกข้างยังใช้การไม่ได้อยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะเมื่อหลินจวินเจ๋อทำตาโตใส่รอยสักรูปผีเสื้อที่บั้นเอวของข้าพร้อมกับบ่นว่าผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นผิวกายนี้ ซึ่งข้าที่ไม่อยากทำลายความฝันเขาเรื่องความเสเพลในอดีตก็ตัดสินใจหุบปากพร้อมกับอวดผีเสื้อตัวงามให้เขาได้เห็นชัดๆอย่างอารมณ์ดี
เพราะอาการบาดเจ็บยังไม่หายดีข้าจึงไม่เหมาะที่จะนอนรับความต้องการของผู้อื่น เดี๋ยวจะกระเทือนบาดแผล ดังนั้นทางแก้ย่อมเป็นการผลักให้สามีนอนลงอย่างว่าง่าย ยิ้มหวานแล้ววาดลวดลายในฐานะผีเสื้อราตรีให้สามีได้ลองลิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ ให้เขาได้นอนมองผีเสื้อขยับปีกไปมาตามใจปรารถนาทั้งคืน..
...โดยลืมคิดว่าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลข้าก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวเตร่เหมือนเดิม ผลของการไม่มีเซ็กส์มาเกือบครึ่งปีแล้วหักโหมเอาอีกรอบคืออะไร ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหม บัดซบ!
------------------
///ตัดฉับฉากผีเสื้อก่อน เพราะเด็กดีไม่อนุญาตแน่ๆ
ส่วนเหล่าจือก็รักษาเอวดีๆนะคะ ถถถถ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอให้ฉูเหวินปลอดภัยน่ะค่ะ
อาซิ่นก็หลงใหลคนงามมากที่สุดอยู่ดี 5555555
ยังจำตอนแรกๆที่เอากระจกมาส่องตัวเอง
นั่งพร่ำเพ้อถึงคนงามจนเหล่าไท่กลัวได้อยู่เลยค่ะ
จนปานนี้ก็ยังไม่เลิกพร่ำเพ้อเลย
ถ้าเจอจวิ๋นอ๋องในร่างอาซิ่นนี่จะเป็นอย่างไรหนอ
คาดการณ์ไม่ถูกเลยค่ะ
เนื้อหาสนุกดี
จองหนังสือยังไง ราคากี่บาทค่ะ
เนื้อหาสนุกดี
จองหนังสือยังไง ราคากี่บาทค่ะ
แต่ตอนนี้อาซิ่นได้ สิ้นสมชื่อ สลบคาเตียงแน่นอน =w=
กริ๊ดด บินกันยาวไป
เจ้าเต่าเจอเมียหื่น ฮ่าๆ