ตอนที่ 84 : ข้าคือเหลียงจื่อซิ่น ยินดีที่ได้รู้จัก
ยามค่ำคืนมาถึงอย่างรวดเร็วเมื่อดวงอาทิตย์ลับปลายเมฆ อากาศในแดนใต้คืนนี้ถือว่าไม่หนาวไม่ร้อนนักพอจะหลับสบาย แม้ชายแดนจะมีเหตุให้ตึงเครียดแต่นอกจากเวรยามที่เฝ้ารักษาการดุแลเมืองในจุดต่างๆแล้วทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ข้ามองเมืองถานเฟิ่งในยามค่ำคืนด้วยความตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ถนนหนทางร้านรวงต่างๆที่ขึ้นอยู่สองฝั่งถนนดูไม่ต่างจากภาพในละครย้อนยุคที่ดูแต่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวา ข้ามองโคมไฟสีสันสดใสประดับหน้าร้านรวงต่างๆฟังเสียงพ่อค้าร้องบอกราคาพลางเชิญชวนผู้คนให้ลองแวะซื้อหาด้วยรอยยิ้ม ที่ผ่านมาแม้อยู่ในฐานะจวิ้นอ๋องแต่ก็มีบางสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้เฉกเช่นการมาเดินเที่ยวตลาดยามค่ำคืนด้วยตัวเองเช่นนี้ด้วยสำหรับคนชั้นอ๋องการไปที่ไหนเท่ากับต้องพ่วงคนติดตามมาเป็นพรวนจนไม่อาจหาความเป็นส่วนตัว ดังนั้นถ้ามองในมุมของคนที่ต้องการเที่ยวเพื่อซึมซับบรรยากาศแล้วเป็นคนธรรมดาไปย่อมดีกว่า
“เชิญๆครับทุกท่าน..อ๊ะ ท่านแม่ทัพ” บุรุษร่างท้วมยืนอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ข้าเงยหน้าขึ้นมองป้ายเหลาสุรานำพาสุขแล้วเหลือบมองไปยังหลินจวินเจ๋อที่เข้าไปคุยกับอีกฝ่าย ท่าทางคุ้นเคยนั้นบอกได้อย่างชัดเจนว่าแม่ทัพแดนใต้มาใช้บริการที่นี่บ่อยครั้งพอสมควร ข้ามองสำรวจร้านนั้นเงียบๆพลางยิ้มแย้มส่งไปให้เจ้าของร้านอย่างอารมณ์ดี เหตุที่มาใช้บริการร้านนี้แทนที่จะสั่งให้คนของร้านนำอาหารไปให้เป็นเพราะข้าอยากจะออกไปชมเมืองด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็คงเป็นพราะห้องครัวที่ว่างเปล่านั่น ขนาดจะสั่งอาหารมายังเกรงใจว่าจะไม่มีถ้วยชามพอ
บอกกับตนเองว่าจากนี้ต้องค่อยๆขยับขยายหาทางปรับปรุงบ้านของสามีตามประสาคคนอยู่ว่างแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสองตามหลังคนรักกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน จากที่เดินเข้ามาข้าเห็นสายตาของลูกค้าหลายคนในชั้นหนึ่งเมียงมองมาอย่างใคร่รู้ พวกเขาคงจำได้ว่าข้าเป็นชายหนุ่มผู้ขวัญกล้าอาจหาญด่าท่านแม่ทัพหลินหน้าประตูเมืองคนนั้นและแน่นอนก็จำได้เช่นกันว่าหลินจวินเจ๋อคือเทพสงครามที่พวกตนเคารพนับถือ เมื่อเห็นว่าบัดนี้กลายเป็นคนยืนเคียงต่างก็มีสีหน้างวยงงปนอยากรู้อยากเห็น ข้าซึ่งรู้วิธีสกัดกั้นสายตาสอดรู้นั้นอย่างดีโปรยยิ้มหวานไปให้..หากแต่บ่งบอกด้วยสายตาว่าถ้ามีใครมาขัดจังหวะอาหารมื้อนี้มันผู้นั้นต้องรับเคราะห์
ยิ้มแย้มอารมณ์ดีเต็มที่แล้วข้าก็เข้าไปนั่งรออาหาร มองคนขานเมนูเลิศรสทั้งยังเป็นของชอบของตนแล้วก็โปรยยิ้มเรี่ยรายให้ไม่ขาดปากอย่างเห็นเจ้าของร้านเป็นของประดับห้อง รอจนอีกฝ่ายรับรายการอาหารเสร็จพร้อมปิดประตูห้องให้แล้วก็มองสำรวจดูรอบๆไปพลาง ห้องอาหารของเหลาสุรานี้ประดับตกแต่งได้อย่างสวยงามลงตัวดีทีเดียว ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดสวยๆซ้ำมีเครื่องเรือนมีค่าหลายอันอยู่ ข้ามองดูหน้าต่างที่เปิดแง้มออกเล็กน้อย เห็นพระจันทร์ดวงโตสบตากลับมาก็ยิ้มรับ กลิ่นอายความสงบและเป็นส่วนตัวทำให้อารมณ์ดีอย่างยิ่ง
“เจ้าชอบหรือไม่?” หลินจวินเจ๋อนั่งจิบชามองดูข้าสำรวจดูห้องเปรยถามขึ้นเบาๆด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ชอบมาก ถ้าอาหารที่นี่อร่อยเลิศรสข้าจะยิ่งชอบ” ตอบอีกไปพลางหัวเราะเบาๆแล้วเอนตัวพิงไปเรื่อยเพื่อรออาหารอย่างอารมณ์ดี ซึ่งอีกฝ่ายก็ปล่อยให้ข้าลวนลามอย่างไม่อิดออดชวนให้บันเทิงเริงใจเป็นอย่างยิ่ง อย่าได้กล่าวว่าข้าหื่นหน้ามืดไม่เห็นแก่สถานที่เลย ที่หลินจวินเจ๋อขอจองห้องส่วนตัวไว้สาเหตุก็เนื่องจากสภาพแขนของข้าซึ่งคงไม่พ้นต้องถูกป้อนอีกทั้งเพราะอยากพูดคุยกันเป็นส่วนตัว ดังนั้นหากจะทำตัวตามสบายแตะนิดจับหน่อยใครจะว่าอะไรได้ เรื่องแขนเดียวนั่นหาได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ซ้ำเมื่อล้วงจับมากเข้าคนยังจับมือข้าออก ชิ
“แม้จะไม่เลิศรสเท่าอาหารจากห้องเครื่องวังจวิ้นอ๋อง แต่ฝีมือก็ดีมาก” ได้ยินคำตอบข้าก็พยักหน้ารับรู้ ความสนใจยังคงจดจ่กับแผ่นอกหนาใต้ชุดลำลองสีเปลือกไม้น่าค้นหา พอลองวางมทอลงไปสามีก็แบ่งรับแบ่งสู้พลางลูบศีรษะข้าเผ่านเส้นผมที่เขาเป็นผู้บรรจงมัด
“ข้าไม่ได้เรื่องมากถึงเพียงนั้น” ไม่ทันได้แตะจนพอใจข้าก็ต้องละมือออกมาเกี่ยวปลายนิ้วอีกฝ่าย สบตาคู่นั้นแล้วคลี่ยิ้มให้อีกคนวางใจเพราะดูหมือนหลินจวินเจ๋อจะยังมีปมในใจเรื่องความด้อยกว่าของตนเองและอยากดูแลข้าให้ดีได้ไม่แพ้ยามอยู่ในร่างของหวงเทียนหยาง จากคนที่ปล่อยบ้านช่องทิ้งร้างไม่ใส่ใจและมักหมดตัวอยู่ในค่ายกลายมาเป็นคนรักที่ใส่ใจทุกสิ่งเช่นนี้ใช่ข้าจะไม่ยินดี สมแล้วกับคำกล่าวที่ว่าบุรุษมักจะอยากดีกว่าที่เคยเป็นเพื่อคนที่ตัวเองรัก แต่จะอย่างไรเหลียงจื่อซิ่นคนนี้ก็ไม่ใช่ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์มาจากไหน ต่อให้เคยลิ้มรสความเป็นอยู่หรูเลิศแล้วอย่างไรในเมื่อสุดท้ายก็เป็นแค่คนธรรมดา
“แต่เจ้าเป็นภรรยาของข้า เป็นคนของข้า หลินจวินเจ๋อย่อมต้องดูแลไม่ให้เจ้าลำบากไม่ให้เจ้าต้องอายใคร” คำพูดหนักแน่นมั่นคงพร้อมมือที่ประสาแล้วบีบเบาๆทำเอาหัวใจอ่อนยวบ ดูเหมือนตั้งแต่กลับมาพบกันหลินจวินเจ๋อจะขยันโจมตีหัวใจกันเหลือเกิน ทั้งคำหวานทั้งคำมั่นโถมเข้าใส่ไม่หยุดยังกับกลัวจะไม่ได้พูดแล้ว ข้ามองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ใช้มองพ่อพันธ์ชั้นดีเลิศแต่ไม่ทันขยับปากพูดเสียงร้องบอกจากภายนอกดังขึ้นพร้อมประตูเปิดออก การขัดจังหวะชวนอารมณ์เสียแต่เพราะนี่เป็นอาหารจึงทำได้เพียงขยับตัวนั่งหลังตรงและมองดูของกินที่ถูกลำเลียงเข้ามา ได้แต่จ้องไก่ตุ๋นน้ำแดง ปลาผัดสามรส กุ้งอบเกลือ เป็ดย่าง เต้าหู้แปดเซียน ดูเมนูแต่ละอย่างที่อีกฝ่ายเลือกสรรแล้วจึงอารมณ์ดีขึ้นด้วยคิดว่าเจตนาคือหลินจวินเจ๋ออยากจะขุนข้าให้อ้วนเป็นหมูแน่แท้
“เจ้ากินเยอะๆ ดูสิ ผอมไปมากเชียว” รอจนคนออกไปสามีคนดีก็คีบเป็ดย่างใส่ปากข้าอย่างไม่รีรอ ลองชิมดูแล้วพบว่าอาหารเลิศรสตามที่กล่าว แม้จะไม่ถึงขั้นอาหารในวังอ๋องอย่างที่หลินจวินเจ๋อว่าแต่อร่อยมากพอจะให้ข้าลืมความทุกข์ร้อนเรื่องของกินหลังจากข้ามผ่านกาลเวลามาได้ ข้าไม่อยากจะบ่นหรอกนะแต่ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉายุ่นจื่อน่ะอาหารแต่ละอย่างช่างชวนให้ถอนใจซะเหลือเกิน
คิดๆพลางมองไปยังจานกุ้งอบเกลือท่าทางน่ากินอย่างน้ำลายสอ ไม่ทันอ้าปากพูดคนเป็นสามีก็กลายร่างเป็นสาวใช้คอยคีบอาหารจากโต๊ะเข้าปากอย่างรวดเร็ว ดังนั้นข้าจึงอ้าปากงับกุ้งตัวใหญ่เข้าปากด้วยอารมณ์สุนทรีอย่างยิ่ง สามีก็หล่อ เพลงพิณที่บรรเลงอยู่ห้องข้างๆก็ไพเราะ จะหาสุขกว่านี้ไม่มี แต่ถ้าจะดีขอกวางน้อยสักสองสามตัว..แค่กๆ ข้าพูดเล่น
“ท่านเพิ่งได้เห็นข้า จะรู้ได้อย่างไรว่าผอมไปหรืออ้วนขึ้น” จู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังเหมือนอีกคนจะล่วงรู้ความคิดจึงรีบปรับสีหน้า พอกินจนหมดแล้วก็เอ่ยปากทักท้วงพลัน แม้ข้าจะผอมลงจริงๆก็เถอะแต่ยังไม่ถึงขั้นปลิวลมแน่ๆ คิดพลางมองหลินจวินเจ๋อที่ทดลองสำรวจร่างกายมาแล้วและพอทราบถึงรูปร่างใต้ร่มผ้าว่าซูบซีดลงไม่น้อยก็ยิ้มมุมปาก “ท่านต่างหากที่ผอมไปมาก ท่านพี่กินให้มากๆเข้า อย่าเอาแต่ดื่มสุรา ท่านเป็นแม่ทัพใช้ร่างกายทำศึกจะไม่ดูแลตัวเองได้อย่างไร”
กล่าวไปแล้วก็ปรายตามองขวดสุราที่เด็กในร้านยกมาให้เพิ่มโดยไม่ต้องสั่งแล้วตีมือคนที่กำคอขวดไว้ทีหนึ่ง ขนาดไม่ได้สั่งยังเตรียมมาแสดงว่าอีกฝ่ายย่อมดื่มสุราจนชินแล้ว นึกถึงนิสัยของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นิยมใช้เหล้าดับทุกข์แล้วรู้สึกว่าเป็นภาระที่ต้องเตือนก่อนอีกฝ่ายจะตายด้วยโรคพิษสุราเรื้อรังหากไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ซ้ำนิสัยเมาทีไรก็ปากเปราะไปเรื่อยของหลินจวินเจ๋ออาจจะสร้างความลำบากให้ตนเองภายหน้าอีกอย่าง
“ได้ ข้าจะไม่ดื่มมาก” หลินจวินเจ๋อพยักหน้าแต่โดยดีอย่างชวนสงสัยครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวประโยคถัดมาซึ่งทำให้ข้าตัดสินใจเลื่อนบัญชีแค้นให้โม่เยียนเฉวียนขึ้นมาเป็นเป้าหมายที่หนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง “ผู้เป็นภรรยาล้วนชมชอบห่วงใยและดูแลควบคุมสามี ข้อนี้แม่ทัพโม่บอกข้ามาแล้ว”
“แล้วท่านพี่อยากลองไม่เชื่อฟังข้าบ้างหรือไม่?” หมายหัวแม่ทัพโม่ในใจจบแล้วข้าก็กระตุกยิ้มมุมปาก มองมือที่ยังคำขวดสุราไว้แล้วหรี่ตาลง
“ไม่เลย ข้าจะเชื่อฟังภรรยาทุกอย่าง” หลินจวินเจ๋อผละออกจากขวดเหล้าในที่สุดพลางหัวเราะแก้เก้อ ดูแล้วบอกได้ชัดว่าเริ่มมีอาการกลัวเมียกำเริบ
“เชื่อฟังก็ดี คืนนี้อยากดื่มก็ดื่มไปเถอะ ข้าไม่ได้ห้ามท่านดื่มกินถึงเพียงนั้น แค่อยากให้เพลาๆลงบ้าง” ใช้ตะเกียบด้วยมือซ้ายคีบเนื้อปลาใส่ปากหลินจวินเจ๋อแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ เรื่องที่ห่วงใยห้ามปรามไม่อยากให้กินมากก็เป็นเพราะสุขภาพของเขาทั้งนั้นแต่ก็ใช่จะไม่ให้แตะอย่างสิ้นเชิง จะอย่างไรข้าก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่ผ่านมาก็เที่ยวกินเหล้าเมายามามากมายจึงเข้าใจเรื่องดื่มสุราดับทุกข์ดีไม่ต่างกับอีกฝ่าย ตัวเองก่อนจะมาที่นี่ได้ยังดื่มเบียร์เมาแอ๋สำมะหาอะไรจะไล่ห้ามชาวบ้าน
“คืนนี้เดิมทีอยากฉลองเรื่องที่เราได้พบกัน..” หลินจวินเจ๋อกล่าวก่อนจะมองแขนของข้า “แต่คิดดูแล้ว เจ้ายังต้องดื่มยาหม้อเช่นนี้ไม่ควรดื่มสุรา เช่นนั้นข้าก็ไม่ดื่ม”
มองคนวางขวดเหล้าอย่างจงใจประจบพูดจาให้ยินดีแล้วข้าก็อมยิ้ม “หากอยากฉลองด้วยกัน ท่านกินมากๆก็พอ ผอมกะหร่องมากไปเวลากอดแล้วข้าไม่ชิน”
“แล้วจากที่เจ้าลองกอดดู สามียังรูปร่างดีอยู่หรือไม่?” พูดจาแบบนั้นแล้วทำไมต้องทำตาวิบวับ ข้ามองอย่างรู้ดีในความหื่นกามของหลินจวินเจ๋อแล้วเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ พิจารณาอีกฝ่ายด้วยสายตาอย่างมีเลศนัยยิ่ง
“จากที่ลองลูบดูแล้ว...” หรี่ตาลงพลางมองมือตัวเองไปด้วยก่อนจะกระตุกยิ้ม “เนื้อยังแน่นดี แต่ถือว่าผอมลงไปเล็กน้อย มีรอยแผลเพิ่มนิดหน่อย ส่วนเรื่องกำลังวังชานั้น..ต้องถอดออกก่อนจึงจะทราบ”
กล่าววาจายั่วเย้าอีกคนอย่างหน้าทนแล้วมองดูคนแซ่หลินเคี้ยวตีนเป็ดระบายอารมณ์ ข้าหัวเราะแล้วยิ้มหวานออกมาอย่างชั่วร้าย ดวงตาพราวระยับกวาดมองคนตรงหน้าขึ้นๆลงๆอย่างประสงค์จะกลั่นแกล้งอย่างติดเป็นนิสัย ใครใช้ให้เขาแกล้งยั่วข้าก่อนเล่า ให้ถอดออกนี้ไยมิใช่ทรมารอีกฝ่าย เราต่างก็เป็นบุรุษเต็มวัยเรี่ยวแรงดีทั้งคู่มีหรือถอดเสื้อเผยเนื้อหนังอยู่ใกล้กันแล้วจะสามารถงดเว้นเรื่องในร่มผ้า แต่ตอนนี้ข้าบาดเจ็บอยู่ซ้ำดูจากนิสัยแล้วหลินจวินเจ๋อเองก็คงไม่คิดหักหาน สุดท้ายคำพูดคำจากที่แกล้งยั่วกันไปมาไม่ใช่วิ่งวนกลับไปทำร้ายเจ้าตัวหรอกหรือ มองแล้วดูน่าขบขันปนสงสารเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ทัพหลิน มีคนขอเข้าพบขอรับ”
อารมณ์ดีอยากแกล้งสามีระบายความคิดถึงเพิ่มเติมแต่ไม่ทันเอ่ยปากด้านนอกกลับมีเสียงดังมาก่อน ข้าผละออกจากไหล่ของอีกฝ่ายพลางเงยหน้าสบตาหลินจวินเจ๋ออย่างแปลกใจยิ่ง ขอพบที่เหลาสุรา? ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญเทียมฟ้าอย่างไรคนจึงมาขอเจอตัวในยามนี้ทั้งที่ทราบดีว่าเป็นการรบกวนผู้อื่น พอคิดว่าตัวเองถูกขัดขวางเรื่องดีงามข้ายังต้องยอมผละจากจานเต้าหู้และวางตะเกียบอย่างหงุดหงิดไม่น้อย จำได้ว่าก่อนขึ้นมายังใช้สายตากล่าวเตือนผู้คนด้านล่างไปแล้ว ไม่ทราบว่ามีใครกินอิ่มจนไม่มีอะไรทำอยากหาเรื่องใส่ตัวมาก่อกวนมื้ออาหารของเหล่าจือ
“ใครรึ?”
“คนผู้นั้นกล่าวว่าชื่อเสี่ยวเจี๋ย เป็นเด็กรับใช้ของวังจวิ้นอ๋องขอรับ”
เจ้าคนแซ่เฉานี่แค่เผลอนึกถึงยังโผล่มาหา คำตอบที่ได้รับทำให้ข้านิ่งงันไปอีกคราเมื่อสำนึกได้ว่าตนเองก็ทิ้งคนผู้หนึ่งไว้ ซ้ำเฉายุ่นจื่อคนนี้ดูจะมีความอดทนและหูตาว่องไวอย่างยิ่งจึงสามารถรอคอยจนมีโอกาสขอพบหน้าหลังผ่านเรื่องวุ่นวายตรงกำแพงเมือง คิดไปถึงบุญคุณที่ช่วยเหลือและความกวนประสาทของอีกฝ่ายแล้วข้าก็หันไปมองสบตาหลินจวินเจ๋อ พวกเราทั้งสองต่างขมวดคิ้ว แต่คนหนึ่งกำลังครุ่นคิด ส่วนอีกคนนั้นหากข้าคาดไม่ผิด..ชื่อของวังจวิ้นอ๋องนำพาความหงุดหงิดมาให้
“ให้เขาเข้ามาเถอะ” เลือกวันมิสู้สบวัน คนมีเรื่องราวอันใดมิสู้กล่าวให้จบเรื่อง ข้าถอนหายใจพลางบอกกับสามีแล้วหยิบตะเกียบอีกครั้ง คิดถึงปฏิกริยาของหลินจวินเจ๋อที่มีต่อวังจวิ้นอ๋องแล้วยังอยากไขข้อข้องใจด้วยส่วนหนึ่ง อยากทราบถึงเจตนาของคนมาด้วยอีกส่วน ทั้งเรื่องของเฉายุ่นจื่อที่เกี่ยวพันกับวังจวิ้นอ๋องไปจนสาเหตุที่อีกฝ่ายมายังเมืองถานเฟิ่งพร้อมกันกับข้า นึกขึ้นได้ว่าตัวเองบอกกับเฉายุ่นจื่อไว้ว่าเป็นคนของค่ายธงดำก็กระซิบบอกสามีอีกที ก่อนจะเปลี่ยนท่าอิงแอบแนบชิดเอนศีรษะซบไหล่สามีเปลี่ยนเป็นนั่งตรงขวามือและวางท่าเคร่งขรึมเป็นนายใหญ่และลูกน้องผู้มาปรึกษาราชการกันที่เหลาสุราอย่างมุกยอดนิยมในละครที่ข้าเคยติดหนักตอนนอนโรงพยาบาล
มองบานประตูเปิดออกแล้วร่างของคนแซ่เฉาก้มหน้าทำเรียบๆร้อยๆเดินเข้ามา อีกฝ่ายทำท่านอบน้อมอย่างยิ่ง แล้วพอเงยหน้าขึ้นก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ เห็นดวงตาดั่งจันทร์เสี้ยวคู่นั้นเพ่งตัวข้าอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะหันไปจ้องหลินจวินเจ๋อด้วยท่าทีดั่งสาวน้อยได้พบบุรุษในดวงใจ เห็นการแสดงชั้นยอดของอีกฝ่ายแล้วข้ารู้สึกอยากถอนใจยิ่งนัก คนแซ่เฉานึกไม่ออกหรืออย่างไรว่าเราสองต่างรู้เห็นธาตุแท้กันตั้งแต่เดินทางแล้วจะเสแสร้งแกล้งดัดไปเพื่ออันใด แต่มองตาที่จ้องคนบนหัวโต๊ะแล้วข้าก็คันยิกๆที่ฝ่าเท้า ทราบแล้วว่าแท้จริงคนเล่นละครเพื่อท่านแม่ทัพหลินฉายาเทพสงครามแห่งเทียนจิ้น แต่กระนั้นยังต้องวางท่าไม่รู้ไม่ชี้และยิ้มหวานหยด บอกกับตัวเองว่าต่อให้ทำท่าใสซื้อบริสุทธิ์แค่ไหนหรืออีกฝ่ายจะมีธุระสำคัญอะไรก็ตาม แต่เหล่าจือไม่มีทางลืมท่าทีอยากจะปีนขึ้นเตียงท่านแม่ทัพซะจนตัวสั่นของเจ้าเด็กตรงหน้าแน่ๆ
แม้นั่งหมายหัวลอบอาฆาตอยู่ในในยังต้องยิ้มวางท่า ข้ามองดูเฉายุ่นจื่อด้วยแววตา(พยายาม)เป็นมิตรขณะปั้นท่าขึงขัง หางตามองเห็นหลินจวินเจ๋อซึ่งนั่งนิ่งและกลับมาแผ่รังสีกดดันเย็นชาห้ามผู้คนเข้าใกล้อีกครั้ง เห็นดังนั้นก็ต้องปรบมือกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของสามีไปด้วย ไม่สิ..นี่ไม่ถือว่าเป็นการแสดง ถือเป็นท่าทียามออกรบทัพจับศึกและยามพบหน้าผู้อื่น ส่วนเจ้าลูกเต่าหลินจวินเจ๋อที่เป็นสามีคนดีปากหวานช่างเอาใจกันอย่างชวนนิสัยเสียคนนั้นเป็นของข้าคนเดียว
“เสี่ยวเฉียวคารวะท่านแม่ทัพ คารวะ--”
“มีธุระอันใดก็จงพูด อย่าได้ชักช้าเสียเวลา”
ไม่ทันทีข้าจะได้ยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองน้ำเสียงของหลินจวินเจ๋อก็แทรกเข้าในห้วงคิด ข้ามองดูสีหน้าของเสี่ยวเจี๋ยเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ดวงตาภายใต้ใบหน้าที่ก้มต่ำนอบน้อมนั้นหรุบต่ำลงอย่างชวนระแวดระวังถึงความนัยแล้วใบหน้าหวานๆของเจ้ากวางน้อยมากพิษจึงเงยขึ้น
“ตอนนี้วังจวิ้นอ๋องกำลังลำบาก ท่านแม่ทัพโปรดช่วยเหลือ”
“หึ” คนฟังเช่นหลินจวินเจ๋อยิ้มออกมา หากรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าไร้ความรื่นรมย์น่ากลัวเข้าขั้นฆาตกรโรคจิตเสียจนข้าต้องหลบตาอีกฝ่าย “ข้าหลินจวินเจ๋อได้รับราชโองการห้ามเข้าเมืองหลวงชั่วชีวิต หรือนายของเจ้าไม่ทราบ”
“แต่ท่านแม่ทัพ ยามนี้ผู้ที่จะช่วยท่านอ๋องได้คือท่านคนเดียว ท่านแม่ทัพจะใจแข็งไม่ยอมช่วยเหลื--”
“คนเลิกรากันสะบั้นวาสนาแล้ว ไยข้าต้องสนใจ” ไม่ทันจบคำท่านแม่ทัพแดนใต้ก็เล่นงานกลับและสวนขึ้นมาอีกไม่ให้กล่าวได้จบประโยค ข้ามองดูคำอ้อนวอนและสีหน้าอันไร้เดียงสาซึ่งแสดงออกมาไม่ถึงครึ่งบทตรงหน้าตาไม่กระพริบ นึกเวทนาเจ้ากวางน้อยเสี่ยวเจี๋ยขึ้นมาบ้างแล้ว
“..พี่ชายท่านนี้ ถือว่าเราเคยร่วมทางกันมา ได้โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมท่านแม่ทัพด้วย”
ไม่ทันได้คิดอย่างอื่นคนแซ่เฉาก็เหมือนทราบจึงรีบหันมาวอนเว้า ข้านึกสรรเสริญความว่องไวของเฉายุ่นจื่อในใจขณะที่เหลือบมองหลินจวินเจ๋อ สามีทำหน้าเครียดไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกฝ่ายจึงร้องขอซ้ำ “ท่านเคยบอกว่าได้พบท่านแม่ทัพอาจมีทางช่วยเหลือท่านอ๋อง..”
หลินจวินเจ๋อหันมา สามีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัยในสิ่งที่เสี่ยวเจี๋ยได้กล่าว ส่วนข้าก็ยิ้มออกมาอย่างชืดชาหนึ่งครั้ง นึกนับถือในความพยายามของเฉายุ่นจื่ออย่างยิ่ง แต่พูดก็พูดเถอะ ยิ่งเห็นสีหน้าจริงจังดั่งบ่าวผู้จงรักที่ยอมทำทุกสิ่งเพื่อจวิ้นอ๋อง ข้ากลับคิดไปถึงการกระทำที่ผ่านมาของเจ้าตัว ทำทุกสิ่งเพื่อท่านอ๋องรึ? บ่าวที่ทิ้งนายหนีเอาตัวรอดเช่นนี้น่ะหรือ แม้จะกล่าวว่าทำเพื่อเอาตัวรอดแต่ถือว่าไม่สมควรเอาไว้ใกล้ตัว กระทั่งที่สู้อุตส่าห์ช่วยเหลือดูแลข้าก็เป็นการทำเพื่อหวังผล จะให้เชื่อว่าอีกฝ่ายมาด้วยธุระที่ทำเพื่อวังจวิ้นอ๋องจริงๆถือว่ายากนัก
“อยากให้ข้าเกลี้ยกล่อมท่านแม่ทัพเสี่ยงชีวิตเพื่อวังอ๋องหรืออยากให้ทำสิ่งใดกันแน่?”
ข้าหยิบน้ำชาในกามารินใส่จอกให้กับสามีและตนเองโดยไม่คิดมองดูสีหน้าของเด็กหนุ่มเบื้องหน้า ปล่อยเวลาทอดยาวโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคือบ่าวไพร่ผู้แสนจงรักและมีจิตใจคิดทำเพื่อนาย เฉายุ่นจื่อตามติดไม่เลิกราเช่นนี้ที่คิดทำเพื่อหวงเทียนหยางนั้นไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อยหรือแม้อีกฝ่ายจะทำเพื่อนายจริงๆ ก็ต้องเป็นกาคิดตัดสินใจเอง จวิ้นอ๋องผู้ดื้อรั้นและถือศักดิ์ศรีเยี่ยงชีพคนนั้นน่ะหรือจะให้คนมาอ้อนวอนหลินจวินเจ๋อที่อุตส่าห์ขอหย่าแล้วเขี่ยทิ้ง
“ข้า.....” เสียงของเฉายุ่นจื่อดังขึ้นหลังจากข้าวางจอกชาลงตรงหน้าหลินจวินเจ๋อ “ข้าหลบหนีออกมาจากวังอ๋อง บัดนี้ไม่มีที่ไป ท่านแม่ทัพโปรดรับตัวเสี่ยวเจี๋ยไว้ด้วย!!”
ข้าวางกาน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก แม้จะพยายามยิ้ม แต่รอยยิ้มที่ออกมาคงไม่หวานนักสำหรับคนเห็น มองดูใบหน้าอันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นสุดชีวิตของคนแซ่เฉาแล้วยังต้องยิ้มให้กว้างขึ้นทั้งที่ในใจเริ่มรู้สึกเหมือนมีมดไต่พล่าน ไม่ทำเพื่วังจวิ้นอ๋องไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจ คิดอยากหมายปองสามีข้าไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่ไอ้ความกล้าที่พูดออกมาตรงๆนั่นมัน..น่าควักอกนัก!
แต่เจ้ากวางน้อยเลเวลต่ำแบบนี้ คิดอยากแย่งของๆข้ารึ ?
ข้าหันไปมองสามีผู้สเน่ห์แรงเป็นที่สุดแล้วโปรยยิ้มหวานอีกครั้ง กระพริบตาหนึ่งครั้งก็ยิ้มหวานมาก กระพริบตาสองครั้งก็ยิ้มหวานยิ่งขึ้น ทว่าหลินจวินเจ๋อที่เผชิญกับเหล่าจือเวอร์ชั่นจวิ้นอ๋องมาแล้วมีหรือจะเดาเจตนาของยิ้มนี้ว่าเป็นยิ้มยินดี แค่ได้เเห็นดวงตาข้าไม่ได้ยิ้มเช่นใบหน้าเขาก็รู้แล้วว่าควรอยู่นิ่งๆไม่หาเรื่องใส่ตัวเป็นดีที่สุดจะได้ไม่ถึงคราวเคราะห์
“เจ้าพูดจาชวนเข้าใจผิด” กระนั้นท่านแม่ทัพแดนใต้ยังพยายามหาทางรอดให้ตัวเองสายหนึ่ง
“เสี่ยวเจี๋ยไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ” คนหน้าทนก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น มองแล้วข้าคิดว่านี่คงมาจากความรักตัวกลัวตายด้วยส่วนหนึ่ง “ขอเพียงรับตัวข้าที่ไร้ที่พึ่งไว้ ไม่ว่าท่านแม่ทัพต้องการอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น เป็นวัวเป็นม้าข้าก็ยอม!”
“ข้าไม่ต้องการเด็กรับใช้!”
“ก่อนหน้านี้...” ดูความพยายามเสนอตัวกับความพยายามบอกปัดของคนสองคนแล้วข้าก็รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมาวูบหนึ่ง ยิ่งเห็นเสี่ยวเจี๋ยตั้งหน้าตั้งตาก็ยิ่งขำ “ก่อนท่านแม่ทัพออกมาจากเมืองหลวง ท่านยังได้รับตัวอดีตคนรักมาจากองค์รัชทายาท รัชทายาทกล่าวว่าอยากช่วยส่งเสริมวาสนาของท่านแม่ทัพและแม่นางจ้าว ขอเสี่ยวเจี๋ยเป็นคนรับใช้ของแม่นางผู้นั้นก็ได้”
อ ดี ต ค น รั ก
ข้อมูลใหม่ล่าสุดที่ตนเองไม่รู้ทำให้หัวคิ้วกระตุกวูบ อะไรคืออดีตคนรัก อดีตคนรักที่ว่าคือจ้าวลี่เซียนมิใช่หรือ แล้วสิ่งใดคือการรับนางมา นางที่เป็นภรรยาของคนอื่นแล้วก็ยังรับมางั้นรึ นี่รับตัวคนทั้งคนมาแล้วเอาไปไว้ที่ไหน หรือแอบซ่อนรักแท้ที่ไร้วาสนาของตนเองไว้ในค่ายทัพถึงได้กลับบ้านนานๆทีจนจวนแม่ทัพนั่นมีสภาพยังกับบ้านผีสิง
“ท่าน แม่ ทัพ...”
ปากเรียกขานเบาๆ ฟังดูไร้เรื่องราวหากคลี่ยิ้มมืดทะมึนให้คนที่เหงื่อตกหน้าซีดอย่างขอคำตอบ ข้าจ้องมองหลินจวินเจ๋อผู้นั่งตัวแข็งทื่อเขม็ง หลังจากขำกับความดันทุรังของเฉายุ่นจื่อมาตอนนี้ชักไม่ขันแล้วเพราะเรื่องนี้ชวนให้อยากสังหารคนแทนที่ ดังนั้นข้าจึงเลิกสนใจเฉายุ่นจื่อผู้ปรารถนาจะเป็นสาวใช้ของแม่นางอกแฟ่บชั่วคราวและยิ้มหวานมากขึ้น ดั่งจะบอกว่าถ้าเจ้าตอบไม่เข้าหูคืนนี้คงมีใครสักคนนอนนอกห้อง
“ข้าไม่ได้รับตัวนางมา ไม่ได้พาใครมาจากเมืองหลวง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว” มองหลินจวินเจ๋อกล่าววาจาย้ำสองครั้งดั่งกลัวไม่ได้ยินแล้วข้ารู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ยังจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง
“แต่...” เฉายุ่นจื่อยังอึกอัก
“อย่าได้พูดอีก แค่เป็นแค่แม่ทัพยากจน ในจวนไม่เลี้ยงบ่าวไพร่เลี้ยงแต่ภรรยาเท่านั้น!”
ก็ได้..ข้ายอมปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน
หรี่ตามองคนที่พยายามบอกอย่างรวดเร็วทั้งยังร้อนตัวอย่างยิ่งแล้วหลุดยิ้มในที่สุด เมื่อยืนยันถึงขนาดนี้จะยอมปล่อยก็ได้ ในเมื่ออย่างไรคนไม่ได้รับมาจริงๆก็ถือว่าเป็นข่าวลือไปซะ จะอย่างไรข้าก็ไม่ได้ลงไปตบตีแย่งชิงสามีของตัวเองกับสตรีผู้หนึ่งนับว่าดีแล้ว ไม่สิ..เหมือนตอนนี้ต้องตบตีกับบุรุษอ่อนวัยคนหนึ่งแทน
“ท่านพี่” ไว้อาลัยกับสเน่ห์อันเกิดไม่ถูกที่ของสามี คิดเรื่องหนึ่งจบไปข้าก็เตรียมจัดการคนแซ่เฉาต่อ ข้าเอียงคอเล็กน้อย โปรยยิ้มด้วยท่าทีทรงสเน่ห์ซึ่งตนเองทราบดีว่ามันกวนเบื้องต่ำไม่แพ้กัน ร่างที่เคยนั่งอยู่ขวามือของหลินจวินเจ๋อเปลี่ยนเป็นขยับเข้าไปใกล้แล้วเอนซบหัวไหล่หนาอย่างออดอ้อนออเซาะโดยไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของเจ้าหนูแซ่เฉา “อย่าเพิ่งใจร้อน ยามนี้แม้เราบอกว่าไม่เลี้ยงดูบ่าวไพร่ แต่มีคนคิดอยากให้จวนแม่ทัพรับตัวไว้ แท้จริงแล้วท่านพี่คิดเห็นเป็นอย่างไร?”
“ข้าไม่อยากรับ แต่ทุกอย่างล้วนแต่ตามใจฮูหยิน” หลินจวินเจ๋อกล่าวอย่างรวดเร็วเป็นที่สุดแบบคนไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวอีกกระทง
“จะว่าไปเรื่องราวน่าสนใจที่กล่าวมาเมื่อครู่ทำให้ข้าคิดบางอย่างออก” จรดตะเกียบคีบเนื้อเป็ดย่างรสเลิศแล้วคีบใส่ปากหลินจวินเจ๋อ แววตาข้าก็วาววับขึ้นมา “น้องชายแซ่เฉาเมื่อครู่นี้กล่าวว่าก่อนจะออกมาจากเมืองหลวง องค์รัชทายาทยังคิดประทานแม่นางจ้าวลี่เซียนให้ ช่วยเสริมวาสนาที่เคยขาดให้กลับมาอีกครั้ง ไม่ทราบท่านพี่กล่าวปฏิเสธเช่นไร”
“ข้า..ข้าบอกว่าในใจมีผู้อื่นแล้วจึงไม่อาจรับ อีกทั้งต่อมาแม่นางจ้าวแจ้งว่ากำลังตั้งครรภ์จึงไม่อาจพรากทายาทมังกรจากอกมารดาได้” สามีอ้าปากกินเนื้อเป็ดย่างด้วยสีหน้าเหมือนข้ากำลังวางยาเขา
“แล้วท่านพี่พอจะตอบข้าได้หรือไม่ว่าบัดนี้สกุลจ้าวมีชะตากรรมเช่นใด?” ข้าหันไปคีบขิงจากจานปลาสามรสอย่างช้าๆ ชิ้นใหญ่กว่าปกติเป็นธรรมเนื่องจากใช้มือข้างเดียวเลยไม่สะดวก
“ประหารทั้งตระกูล...อุ๊บ--แค่กๆๆ”
ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เกลียดขิงเข้าชีวิต‘เผลอ‘รับประทานเข้าไปและสำลักไอเสียแล้ว ช่างน่าเวทนายิ่ง ข้าถอนหายใจเล็กน้อยพลางส่งน้ำชาให้เขาอย่างภรรยาที่ดีก่อนจะวางตะเกียบลงแล้วยิ้มน้อยๆส่งไปให้เฉายุ่นจื่อซึ่งนิ่งค้างไปตั้งแต่คำว่าฮูหยินออกมาจากปากของหลินจวินเจ๋อแล้ว จากนั้นจึงขยับตัวตรงวางท่าเคร่งขรึม กล่าวถามไปทั้งใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านพี่นี่ช่างเคราะห์ไม่ดีเอาเสียเลย สกุลเจ้าอดีตคนรักก็ถูกประหาร จวิ้นอ๋องอดีตภรรยาตอนนี้ก็ตกที่นั่งลำบาก นึกแล้วน่าเวทนานัก..แล้วตอนนี้คุณชายเฉายังสนใจให้สามีข้ารับเจ้าเป็นบ่าวอีกหรือไม่?”
เฉายุ่นจื่อไม่กล้าพูดอะไรต่อหากก้มหน้างุด ตัวสั่นระริก
“แม้ทราบว่าท่านอยากได้คนคุ้มครองจากภัยเรื่องของวังจวิ้นอ๋อง แต่ต่อให้สามีข้ายิ่งใหญ่ปานใดก็ไม่ใหญ่เท่าราชสำนัก ท่านจะหาเรื่องลำบากให้พวกเราหรือ?” ข้าถามกลับด้วยสีหน้าใสซื่อเป็นที่สุดแล้วยิ้มออกมา “ยิ่งพยายามยิ่งไม่เข้าที นี่เห็นแก่ที่ท่านเคยช่วยเหลือ ให้ข้าได้แนะนำเถอะว่าจงไปอยู่กับผู้ดูแลจวนจวิ้นอ๋องของเมืองถานเฟิ่งจะดีกว่า มิฉะนั้นข้าเองก็ไม่อาจรับประกันเรื่องที่ตามมา....”
ลากเสียงช้าๆพลางทอดถอนหายใจอย่างคนคิดมากยากจะกล่าว ข้าก็ตัดสินใจแทนอีกฝ่ายเรียบร้อยพลางรินน้ำชาให้ท่านแม่ทัพผู้สำลักกระอักกระไอจนตัวโยนอีกครั้ง ข้ารู้ดีว่าเขาไม่ได้อยากอยู่กับหลินจวินเจ๋อมากเท่าอยากให้ตัวเองปลอดภัย ทราบมาแต่แรกแล้วนับแต่ได้ตกลงกันมาเมืองถานเฟิ่งแต่ก็ยังตกใจไม่น้อยที่คนผู้นี้ถึงขั้นคิดเสนอตัวเป็นอย่างอื่นกับเขาจึงจำเป็นต้องเขี่ยทิ้งโดยไว นี่ไม่ใช่ว่าคิดอยากข่มขู่ผู้คนจึงได้กล่าวเรื่องทำนองสามีเป็นตัวโชคร้ายออกไป ข้าก็แค่พูดไปตามจริงและอยากรู้ว่าเขาจะกล้าเสี่ยงไหมก็เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าเพราะเหตุใดท่านแม่ทัพหลินจึงกลายเป็นสามีของข้า คิดอยากเข้าใจอย่างไรก็ตามสบาย
“ขะ..ขอบคุณพี่ชาย”
“อย่าได้เกรงใจเลย แค่ฟังท่านเรียกข้าว่าพี่ชายแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ ตอนเดินทางข้าไม่ได้บอกนามของตนแก่คุณชายเลย มาพบกันตอนนี้พอดี คงต้องขอแนะนำตัวสักหน่อย..” มองคนตอบด้วยน้ำเสียงเบาเหมือนยุงแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ เรื่องชื่อนั้นเพราะตอนแรกคิดว่าชื่อของตัวเองที่คล้ายจวิ้นอ๋องมากไปอาจทำให้อีกฝ่ายสงสัย ที่ผ่านมาข้าจึงพยายามหลบเลี่ยงไม่บอกข้อมูลกับเฉายุ่นจื่อมาตลอดแม้จะอยู่ด้วยกันมาหลายวัน แต่ตอนนี้พอมีสามีหนุนหลังแน่นอนว่าอะไรๆก็ย่อมดีขึ้นพอจะพูดได้ไม่ยาก
“ข้ามีนามว่าเหลียงจื่อซิ่น ยินดีที่ได้รู้จักเฉายุ่นจื่อ”
เห็นคนแซ่เฉาชะงักไปวูบหนึ่งอย่างที่คาด แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าและยิ้มตอบแสดงความยินดีอย่างปากคอสั่น ข้ามองคนคิดอยากแย่งหลินจวินเจ๋อจากตัวเองแล้วทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ โดนแค่นี้ก็ยอมแพ้ไปเสียแล้ว ถือว่าเป็นเด็กน้อยวัยสมองยังไม่โตจริงๆ
“จะว่าไปคุณชายเฉาเองก็ช่วยเหลือข้ามาหลายอย่าง วันนี้เราให้คุณชายเฉาร่วมโต๊ะด้วยดีหรือไม่ท่านพี่?” ข้ารู้สึกว่าตัวเองเล่นสนุกมากเกินไปแล้วแต่ก็ยังบันเทิงจนอยากเล่นต่อดังนั้นจึงใช้มือเกาะไหล่หนาซึ่งเจ้าของกำลังพยายามลืมเลือนขิงที่ตัวเองรับประทานไปแล้วโปรยยิ้มหวาน
“ดีสิ”
“เช่นนั้นคุณชายเฉาเชิญเลย วันนี้เราสามีภรรยาขอตอบแทนท่านที่ช่วยดูแลมาเป็นอย่างดี ดื่มกินได้เต็มที่อย่าได้กังวล” วางท่าเป็นเจ้าภาพผู้เอื้ออารีแล้วจึงยิ้มหวาน มองดูเฉายุ่นจื่อผู้ตัวแข็งทื่อคีบตะเกียบชิมอาหารด้วยท่าทีพยายามระมัดระวังจนตัวเกร็งแล้วอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ที่จริงข้าก็ไม่คิดอยากกลั่นแกล้งผู้เยาว์ให้ขวัญเสียหรอก แต่เพื่อจะทำให้เลิกคิดฟุ้งซ่านถึงสามีคนอื่นและประกาศตัวต่อหน้าแล้วไม่ใช้ไม้ฟาดหวดเสียทีย่อมเป็นไปไม่ได้
อย่าได้พูดเชียวนะว่ามาขัดวาสนาผู้อื่น วันนี้เหล่าจือต่างหากถูกขัดอารมณ์สุนทรี ไม่ระบายอารมณ์ แค่ก ไม่ตอบแทนผู้มีพระคุณตอนนี้จะทำตอนไหน
“ท่านพี่ข้าหิวแล้ว อยากกินเต้าหู้ของท่าน” ยิ้มแย้มกล่าวคำสองแง่สองง่ามให้ชาวบ้านสะดุ้งเล่นแล้วจึงกระซิบต่อยิ้มๆ “ถ้าวันนี้เอาใจข้าดีๆ เดี๋ยวกลับไปจะให้ท่านดูผีเสื้อสวยๆ”
หลินจวินเจ๋อมีสีหน้างงงันวูบตอนข้ากล่างถึงผีเสื้อ แต่ว่าสามีที่ป่วยเป็นโรคหลงภรรยาระยะสุดท้ายกลับโรคกลัวเมียระยะเริ่มต้นก็ยังขยับตะเกียบป้อนข้าอย่างรวดเร็วทันทีท่ามกลางใบหน้าที่หดเหลือสองนิ้วของเฉายุ่นจื่อ อ้าปากรับเอาเนื้อปลาเข้าปากยิ้มๆ ข้ารอรับประทานอย่างสำเริงสำราญใจ คิดว่าเรื่องทั้งหมดจัดการได้ด้วยดีแล้วแต่ก็พลันสะดุดกับแววตาวูบหนึ่งของเฉายุ่นจื่อซึ่งบ่งบอกว่าเขาไม่ได้มีท่าทีรู้สึกผิดหวังจริงๆแม้แต่น้อย
หรี่ตาลงและน้อยๆ แววตานั้นเพียงกระพริบตาก็จางหายราวกับไม่มีอยู่ แต่ใครเล่าจะลืมได้ ทว่าทุกเรื่องวุ่นวายหรือจุดหมายที่แท้จริงของคนตอนนี้ยังคงต้องวางไว้ก่อน จะอย่างไรข้าก็กลับมาเพื่ออยู่กับหลินจวินเจ๋อไม่ใช่มารบรากับใครที่ไหน เหลียงจื่อซิ่นเลือกจะหยิบตะเกียบขึ้นมา คลี่ยิ้มและกระซิบบอกแม่ทัพแดนใต้เบาๆว่าผีเสื้อตัวนั้นเกาะอยู่ที่บั้นเอวตัวเอง..
-----------------------
ตอนหน้าไปดูผีเสื้อกันค่ะ /ยิ้มใสใส--
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แล้วสุดท้ายยินดีต้อนรับท่านแม่ทัพสู่สมาคมพ่อบ้านใจกล้าค่ะ //ปรบมือ เป็นเกียรติมากที่ได้พบท่านในสมาคมค่ะ 5555