ตอนที่ 81 : พันขุนเขาหมื่นสายน้ำ วันเวลาดุจหมอกควัน
ยามเช้าตรู่ที่แสงแดดยังไม่ล่วงพ้นเหนือยอดเขา ทหารยามเฝ้าประตูเมืองสือหลินต่างอยู่ในอาการง่วงเหงาหาวนอนอย่างยิ่ง ร่างในชุดเกราะใหญ่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเพื่อเปิดประตูเมือง มีชาวบ้านด้านนอกต่อแถวอยู่หลายคนแต่พวกเขาก็ไม่คิดรีบร้อนด้วยไม่เห็นว่าจะเร่งกำหนดการให้ชาวบ้านพ่อค้าเหล่านี้ไปเพื่ออันใด เมื่อเสร็จแล้วจึงเริ่มตรวจตราสัมภาระและผู้คนอย่างปรกติ คนส่วนมากที่เข้ามาก็เป็นชาวบ้านจากเมืองรอบๆแต่พวกเขาก็มิอาจวางใจด้วยมีคำสั่งมาจากเบื้องบนไว้ให้ระแวดระวังตรวจตรากันข้าศึกแฝงตัวเข้ามาเนื่องจากความวุ่นวายที่ชายแดน
จนตะวันเริ่มเลื่อนขึ้นเหนือยอดเขาและแสงงแดดทวีความร้อนแรง นายทหารเฝ้าประตูเมืองคนหนึ่งจึงรับรู้ถึงความผิดปกติ ที่อยู่ไม่ไกลจากนี้มากนักปรากฏม้าตัวหนึ่งวิ่งห้อตลบมาจนฝุ่นคละคลุ้ง มองแล้วทราบได้ทันทีว่าคนกำลังเร่งรีบ ซ้ำที่อยู่บนหลังม้านั้นหากมองไม่ผิดก็มีถึงสอง น่าแปลกอย่างยิ่งจนคิดว่าต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ดังนั้นจึงต่างมองหน้าคล้ายจะปรึกษา บ้างก็รอดูว่าคนที่มาจะมีเรื่องราวอันใด
“หลีกทาง” คนที่มานั้นบ้างก็คุ้นหน้าคุ้นตาไม่น้อย บุรุษในชุดรัดกุมสีเทาที่ควบคุมม้าอยู่คือเฉายุ่นจื่อหลานชายของนายอำเภอเฉาผู้เป็นนายเป็นแน่ แต่ก็ต่างทราบข่าวว่าเฉายุ่นจื่อผู้นี้สามารถพาตนเองไปถึงคนรับใช้ข้างกายของจวิ้นอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังได้แล้ว มิทราบว่าเพราะเหตุใดจึงยังกลับมา แต่ด้วยข่าวลืออีกสายหนึ่งและบุรุษปริศนาที่มีเลือดอาบหน้าอยู่เบื้องหลังนั้นเองทำให้ต่างส่งสายตาปรึกษากัน
“หลานชายมีธุระใดในเมืองหรือ อย่างไรก็ดีช่วยแจ้ง...”
“พวกท่านต่างทราบดีว่าข้าคือใคร ไยเอ่ยถึงธุระ เฉายุ่นจื่อผู้นี้ขี่ม้ามาจากเมืองหลวง ต้องการเข้าพบท่านลุงและต้องการหมอด่วน โปรดให้ข้าเข้าไปด้วย” ใบหน้าของผู้กล่าวเชิดขึ้นน้อยๆอย่างค่อนข้างหยิ่งยโสพลางกระตุ้นม้า ทำท่าจะขี่เข้าไป
“น้องชาย แม้พวกเรารู้จักเจ้าแต่คนบนหลังม้าผู้นี้เล่า จะอย่างไรทางการก็มีคำสั่งให้คอยตรวจสอบ..”
“เขาคือคนของวังจวิ้นอ๋อง ข้ารับรองเอง ให้ข้าเข้าไปได้แล้ว!”
“อ๊ะ—ประเดี๋ยว!..”
ทหารนายนั้นไม่ทันกล่าวจนจบคำหลานชายของนายอำเภอเฉาก็สะบัดสายบังเหียนให้ม้าที่ตนขี่ให้พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วไม่ทันที่ใครจะเอ่ยปากห้าม คิดจะใช้หอกดาบกันเอาไว้ก็ยังกริ่งเกรงโทสะท่านนายอำเภออีกทั้งกลัวว่าหากทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดตนเองอาจถูกจัดการภายหลัง ที่สุดแล้วจึงทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของหลานชายนายอำเภอเฉาและบุรุษปริศนาผู้นั้น เห็นรอยเลือดเปื้อนบนอาภรณ์แปลกประหลาดของอีกฝ่ายแล้วได้แต่ส่ายหน้า ไม่ว่าจะมีอันใดเกิดขึ้นก็ตาม เรื่องราวที่ลามไปถึงชีวิตนี้ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นพอ
ม้าของเฉายุ่นจื่อขี่เข้าไปในตัวเมืองก่อนจะหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง แม้จะเป็นบ้านหลังเล็กทว่ามีการปัดกวาดและดูแลอย่างดีพอสมควรบ่งบอกว่าฐานะเจ้าของบ้านมิใช่ชั่ว ไม่ทันที่ข้าจะได้กล่าวอันใดเจ้าตัวก็ขี่ม้าเข้าประตู จากนั้นโดดลงหน้าลานบ้านพลางตรงเข้าไปล้างหน้าด้วยน้ำจากถังน้ำที่อยู่ใกล้ชายคาที่พักอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีอัดอั้นตันใจ สุดท้ายเมื่อข้าเดินไปถึงตัวเจ้ากวางน้อยจอมมารยานั่นก็สะบัดหน้าพรืด หันมาเท้าสะเอวแล้วจ้องด้วยสีหน้าปานแม่เสือสาว
“บอกมาได้แล้วว่ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือใคร”
เรื่องอะไรเหล่าจือจะต้องกลัวเจ้า ข้าเหลียงจื่อซิ่นลอบเบื่อหน่ายในใจกับการกางกรงเล็บที่ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยเมื่อนับจากเรื่องอดีตที่รู้เช่นเห็นชาติอีกฝ่ายไปหมด เฉายุ่นจื่อชื่อนี้ของเสี่ยวเจี๋ยก็เป็นข้าสั่งคนให้ไปสืบมา ไอ้หน้ายิ้มๆของเด็กนี่ก็เป็นข้าพยักหน้ารับเขาจึงมาเชิดหน้านั่งเป็นเด็กรับใช้ที่หวังปีนเตียงจวิ้นอ๋อง ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามวางท่าแค่ไหน ในสายตาข้าแล้วก็มองเป็นกระต่ายน้อยตัวหนึ่งอยู่ดี
เดินเข้าไปใกล้ถังน้ำพลางใช้มือซ้ายตักน้ำสะอาดมาล้างหน้า เบียดเจ้าเด็กแซ่เฉาออกไปอย่างแนบเนียนและไม่คิดเกรงใจใดๆทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าข้าติดมาดจวิ้นอ๋องเลยทำท่าหยิ่งยโสคับฟ้าอะไรหรอกนะ แต่ลองได้เจอความแสบของไอ้เด็กหน้ายิ้มแต่เนื้อในน่ารำคาญสุดใจแล้วเป็นใครก็เหนื่อยหน่ายทั้งนั้น ถ้าหากไม่ใช่พราะการขมขู่ปนใช้กำลังเล็กน้อย(?) เฉายุ่นจื่อคงไม่พยักหน้ายอมให้ข้าขึ้นม้าง่ายๆ คิดถึงความเรื่องมากของเจ้าเด็กนี่ตอนขอร้องให้ช่วยพามาแล้วปวดหัวจริงๆ ตอนอยู่ในร่างจวิ้นอ๋องยังพอทนเพราะเจ้าตัวยังสามารถนอบน้อมเก็บนิสัยเสียๆนั่นไว้ได้บ้าง แต่พอมาเจอข้าที่ตอนนี้ไม่ใช่ท่านอ๋องผู้สูงส่งหรือเป็นหนุ่มหล่อมาดคุณชาย เฮอะ..ก็แสดงนิสัยเสียๆออกมาให้เห็น
แต่ก่อนหน้านั้น..ข้ามองเงาสะท้อนของตนจากถังน้ำใบนั้นแล้วขบริมฝีปาก ความเจ็บทั่วตัวเริ่มรุมเร้า นี่ถ้าไม่เกรงว่าตัวเองจะตายตกกลางป่าล่ะก็คงไม่มีทางเดินทางมากับเฉายุ่นจื่อ และตอนนี้ต่อให้เดินทางมากับเฉายุ่นจื่อ ที่ข้าต้องการคือทางรอดมากกว่ามานั่งถกเถียงแบบนี้ เพราะนี่ก็เกือบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
“นี่! เจ้า!”
“คุณชายน้อย ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นสายสืบของวังจวิ้นอ๋อง” นี่คือสาเหตุนึ่งที่เฉายุ่นจื่อไม่กล้าทิ้งข้ากลางทางเนื่องจากอ้างไว้เช่นนี้ ข้าบอกทั้งเรื่องที่เขาถูกจวิ้นอ๋องตั้งชื่อว่าเสี่ยวเจี๋ย ทั้งเรื่องที่จริงชื่อเฉายุ่นจื่อ เล่าว่าเจ้าเด็กนี่ตอนเดินทางถูกสั่งให้ไปดูแลกวางน้อยลู่ซุน เมื่อนั้นคนถึงเริ่มสงบไม่มองข้าเป็นอริได้แต่ก็ยังมองอย่างมุ่งร้ายไม่เลิกรา
“หากเป็นสายสืบของวังจวิ้นอ๋องจริง ไยมาตามตัวข้า”
“เป็นเจ้าบอกว่าตนเองได้รับคำสั่งจากคนง—ท่านอ๋องให้ออกจากเมืองหลวงมามิใช่หรือ ข้าเองถูกสั่งให้ตามเจ้ามาเช่นกัน” จับเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดมั่วๆเป็นการแก้ตัวไปก่อนแล้วข้าก็เงยหน้าขึ้นจากอ่างน้ำในสภาพที่หน้าตาพอจะดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง “ตามหมอให้ข้าด้วย”
“ท่านอ๋องจะสั่งให้คนตามข้าทำไม ในเมื่อตอนนี้---!” เฉายุ่นจื่อมีท่าทีเหมือนอยากจะตะโกนด่าข้าแต่แล้วก็ชะงักพร้อมเอามือปิดปากเหมือนตัวเองกำลังจะกล่าวสิ่งที่ไม่ควรแล้วสูดลมหายใจลึก “เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ใช่สายสืบของวังจวิ้นอ๋อง สายสืบจะไม่ทราบเรื่องราวใดๆเลยได้อย่างไร”
ทีอย่างนี้ละมาทำเป็นฉลาด แต่ถึงจะรู้ตัวก็รู้ตัวช้าไปแล้วไอ้หนู ข้าตอบเขาในใจแล้วเอามือเกาะขอบถังน้ำไว้ไม่ให้โซเซทรุดลง การต้องทนกับบาดแผลที่ถูกรถชนมาเกือบคืนหนึ่งนี่ถือว่าแทบใช้ความอึดทั้งชีวิตหมดไปแล้ว นี่ถ้าไม่คิดว่าจะต้องไปเจอสามีละก็นะ.. “หมอ”
“ข้าจะให้คนพาตัวเจ้าไปมอบแก่ท่านลุง”
“พาตัวข้าไปมอบให้ตาเฒ่านั่นแล้วได้อะไร ข้าบอกว่าขอหมอ! เจ้าคนไร้มนุษยธรรม!!” โอ้ย ยิ่งแหกปากยิ่งเจ็บ! ข้าร้องครวญอยู่ในใจขณะพยายามวางท่าเข้มแข็งอย่างสุดความสามารถ
“ข้าไม่เรียกเสียอย่างแล้วจะทำไม เจ้าต้องเป็นสายลับจากต่างแคว้นมาแน่ๆ แต่งตัวก็ประหลาดซ้ำยังบาดเจ็บแบบนี้ คงไม่พ้นถูกไล่ล่าด้วยคนของเทียนจิ้นน่ะสิ!” ว่าแล้วเฉายุ่นจื่อก็มองมาที่ข้า ปลายนิ้วชี้หมับไปยังเส้นผมบนหัวแล้วโพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง “นั่นไงล่ะหลักฐาน!”
นี่ เอาจริงๆนะ ใครมันจะจับคนอื่นด้วยท่าทางแบบนั้นกัน แหกปากปาวๆชี้หน้าคนอื่นอย่างนี้ถ้าเป็นสายลับจริงก็เชือดคอให้ตายไปแล้วโว้ย ข้าถลึงตาใส่อีกฝ่ายแล้วด่าอย่างดุเดือดทั้งยังลอบสบถในใจใส่ปลายนิ้วนั้น นอกจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวแปลกกว่าชาวบ้านที่เห็นกันเต็มตาก็นับว่าคนโง่ยังรู้จักสังเกตอยู่บ้างจริงๆถึงพบข้อแตกต่างเรื่องผม เพราะปกติแล้วชาวเทียนจิ้นนั้นมักจะไว้ผมยาวกันเสียส่วนใหญ่ ก็เหมือนรายละเอียดในชั่วโมงประวัติศาสตร์ว่าด้วยวัฒนธรรมของบรรพบุรุษนั่นล่ะที่กล่าวว่าเส้นผมคือจิตวิญญาณ ยิ่งผมยาวแค่ไหนแสดงให้เห็นถึงความสูงส่งอะไรก็ว่าไป แต่โดยรวมคือชาวเทียนจิ้นจะไม่นิยมตัดผม กระทั่งมีคำกล่าวว่าการถูกตัดผมเท่ากับเป็นการเสียงศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง ทำให้มีธรรมเนียมตัดผมเชลยศึกขึ้นมา ดังนั้นจากการอุปโลกน์ของเฉายุ่นจื่อที่ไม่รู้จะฉลาดขึ้นมาทำไมตอนนี้ เห็นเหล่าจือที่มีผมยาวแค่ประบ่าเลยมองเป็นพวกชาวต่างแดนไปซะฉิบ
แต่อีกครั้งนะ เฉายุ่นจื่อ ความฉลาดผิดเวลาและสถานที่มักนำพาความซวยมาให้ ข้าหมายหัวเจ้าคนตรงหน้าเงียบๆแล้วพยายามคลี่ยิ้มหวาน ที่จริงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยชุดที่ตัวเองแต่งกับความยาวเส้นผมเท่านี้เป็นจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวง แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อปีสองพันเขาไม่นิยมผมยาวกันแล้ว นี่ขนาดเพราะนอนเป็นผักอยู่หลายเดือนบวกกับอยู่โรงพยาบาลเลยไม่ได้จัดการตัวเอง แถมพอออกมาได้ก็รู้สึกไม่อยากตัดผมเสียแบบนั้นเลยปล่อยให้ยาวเลยบ่ามาได้ ถ้าเป็นปรกติชาวบ้านเขาตัดกันตั้งแต่เข้าเดือนที่สองแล้ว ถึงขนาดนี้แล้วยังจะมาจับผิดอะไรอีกวะ
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ใช่” คำรามอีกครั้งพลางสบถเบาๆในลำคอเมื่อความเจ็บปวดรุมเร้า แต่เดิมทีแขนขวาที่ไม่มีความรู้สึกแม้จะไหล่หลุดแต่ยังดีกว่าต้องเจ็บจนต้องร้องครวญคราง แต่ตอนนี้ล่วงเข้าวันที่สองอันที่ไม่เจ็บก็เริ่มเจ็บแล้ว ไม่นับรอยฟกช้ำรอยแผลที่ใบหน้าและลำตัวอีก ทั้งที่อุตส่าห์ขึ้นมาหวังได้รับการรักษาแต่กลับ..ข้าร้องครางอีกครั้งเบาๆแล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้ถังน้ำด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เสี่ยวเจี๋ย ตามหมอให้ข้า...”
“ชื่อแบบนั้นหากไม่ใช่จวิ้นอ๋องข้าไม่ยอมถูกเรียกหรอกนะ” นี่ก็คนตั้งให้เรียกอยู่นะเว้ย ประท้วงในใจพลางมองอาการกัดฟันกรอดแล้วคิดว่าเจ้าตัวคงยินดีกับชื่อนี้นักแต่ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์จะสนใจแล้ว ได้แต่หอบหายใจเบาๆพลางขยับปากมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอนก็ไม่ผิด
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว..เร็ว”
“หึ! ไม่” ไอ้เวรนิสัยเสียเอ๊ย ข้าสบถคำหยาบออกมาอีกครั้งพลางมองเฉายุ่นจื่อที่ชะโงกตัวมามองใบหน้าซีดขาวของตนและกอดอกยิ้มแย้มอย่างเหนือกว่า มองดวงตารูปจันทร์เสี้ยวแล้วเหล่าจือคันเท้ายิกๆอยากถีบมันสักที นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในสภาพจะตายแหล่มิตายแหล่ เหลียงจื่อซิ่นจะใช้มวยข้างถนนเล่นงานให้ไอ้เด็กบ้านี่ไปไม่เป็น หน้าตาดีนักก็ไม่สน!
“ข้าล่ะเหม็นหน้าเจ้าตั้งแต่จู่ๆมาขวางทางม้าเมื่อคืนแล้ว ที่พาตัวมาเพราะคิดว่าเป็นคนของวังอ๋องจริงๆ ใครจะนึกว่าที่แท้เป็นผู้ใดก็ไม่รู้” ตาคู่นั้นกวาดมองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มเหยียดๆใส่ เจ้าของใบหน้าหวานๆของกวางน้อยที่ข้าเคยคิดว่าน่ากินกำลังเริ่มปฏิบัติการเอาคืนแก่เหล่าจือโดยไม่รู้ตัว “หรือต่อให้เป็นคนของวังจวิ้นอ๋องข้าก็ไม่กลัวเจ้าแล้ว ข้าน่---”
กล่าวแล้วเจ้าของวาจาก็ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาหยีโค้งคู่นั้นเบิกออกกว้างเท่าที่จะทำได้พลางมองกำไลตรงข้อมือขวาของข้าไม่กระพริบ นั่นสินะ ข้ายังมีสิ่งนี้อยู่ คิดดังนั้นจึงเชิดหน้ายิ้มแย้มมองเฉายุ่นจื่อที่อึกอักนิ่งไปและเริ่มเล่นงานเจ้าตัวกลับ
“เป็นอย่างไร เจ้ารู้ใช่ไหมว่านี่คือของสำคัญของท่านอ๋อง”
เฉายุ่นจื่อไม่ตอบอะไร นอกจากมองข้าตาไม่กระพริบ
“หรือเจ้ายังจะกล้าปล่อยข้าให้นอนอยู่ตรงนี้ เจ้าคงรู้นะว่าหากท่านอ๋องทราบแล้วจะเกิดอะไรขึ้น” ได้ทีแล้วยังรุกไล่ไม่หยุดพลางมองหน้าอีกฝ่าย ข้าคลี่ริมฝีปากยิ้มแย้ม แสดงท่าทางเหนือกว่าขณะสบตาคู่นั้น “คิดจะปล่อยข้าทิ้งไว้ตรงนี้ ไม่กลัวว่าท่านอ๋องจะพิโรธหรือ”
“ก็แค่เคยสำคัญเท่านั้น” ข้าชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเฉายุ่งจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เด็กหนุ่มดูจะตั้งตัวจากคำขู่ของข้าได้แล้วจึงคลี่ยิ้มเย็น “หากเป็นคนของท่านอ๋อง ย่อมต้องทราบว่าบัดนี้ท่านอ๋องคิดเห็นเช่นไรกับเจ้าของกำไลนี่ สะบั้นไมตรีไร้เยื่อไยต่อกันแล้วก็เป็นแค่กำไลหยกธรรมดาชิ้นหนึ่ง เอามาขู่ข้าให้ได้อะไร”
ของเคยสำคัญ คนสำบั้นไมตรีไร้เยื่อใยต่อกัน คำนี้ทำให้ข้าชะงักและนิ่งเงียบอยู่นานด้วยความไม่เข้าใจ ในหัวยังมีหนังสือประวัติศาสตร์และถ้อยคำที่บอกถึงเรื่องราวของจวิ้นอ๋องและหลินจวินเจ๋อ แล้วเหตุใดยามนี้ถึงกลายเป็นคนสะบั้นสัมพันธ์ ข้าจ้องมองไปยังเฉายุ่นจื่อด้วยสีหน้าคล้ายไม่เชื่อถือ ทว่าก็ไม่อาจหาพิรุธจากแววตานั้นได้ ซ้ำหากคนทั้งสองจะสะบั้นไมตรีกันจริงเฉายุ่นจื่อจะได้ประโยชน์อะไรนอกจากปีนขึ้นเตียงคนงามแล้วก็ถูกถีบลงมาอย่างรวดเร็วเท่านั้น
อึดใจหนึ่งที่ความเงียบลอยผ่านและกระทั่งตัวข้าก็ลืมถึงความเจ็บปวดที่ตัวเองได้รับหมดสิ้น แถมในความตกตะลึงเสี้ยวหนึ่งยังมีความดีใจที่จากนี้ไม่ต้องไล่แย่งแฟนชาวบ้านแล้ว..แต่เดี๋ยวก่อน แล้วเรื่องหลังจากนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วนี่เวลามันผ่านไปนานแค่ไหน..?
คิดพลางหรี่ตามองเฉายุ่นจื่อที่กำลังกอดอกท่าทางเหนือกว่าอยู่ตรงหน้า มองเห็นดวงตาวิบวับบ่งบอกชัยชนะขณะที่คนกำลังอ้าปากบอกว่าจะเอาตัวข้าไปให้ใครที่ไหน จะเป็นท่านลุงของเขาหรือทหารรักษาการประจำเมืองก็ช่างเถอะ ข้าเลิกสนใจมันไปแล้วขณะกวาดตามองเฉายุ่นจื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า มองดูสารรูปที่แต่งตัวรุดกุมปิดบังหน้าตาทั้งยังอ้อระเหยลอยชายมายุ่งอยู่กับข้าทั้งที่ตัวเองกล่าวว่าเป็นบ่าววังจวิ้นอ๋อง มองแล้วข้าก็นะลึกได้อย่างเดียวว่า..
“เจ้าทำผิดกฏอะไรจึงโดนไล่ออกมา ไม่ก็แอบหนีมาจากวังอ๋องล่ะสิ”
“เจ้าพูดอะไร” คำพูดของข้าทำให้เฉายุ่นจื่อชะงักเท้าแล้วเผยสีหน้าหวั่นเกรงวูบ ข้าคิดว่าข้าจับจุดอ่อนของคนผู้นี้ได้แล้ว ต่อให้อยู่ต่อหน้าจวิ้นอ๋อง เจ้าเด็กนี่จะถนัดประจบผู้มีอำนาจซ้ำยังทำได้ดูน่ารักแนบเนียน แต่อย่างไรของปลอมก็คือของปลอม เขาที่คิดจะปีนเตียงท่านอ๋องเรียกได้ว่าไม่ใช่ข้ารับใช้ที่ภักดีนักซ้ำพร้อมขายนายตลอดเวลาด้วยต่างหาก แล้วยังพออยู่กับคนที่คิดว่าระดับเดียวกันก็จะเชิดหน้าทำเหนือกว่า อ้างตัวแบบนั้นแบบนี้พอถูกจับได้ถึงหัวหดขึ้นมา
“ข้าพูดอะไรรึ ไม่รู้สิ แต่บ่าวไพร่ที่เอาเจ้านายมาแอบอ้างเช่นนี้จะว่าอย่างไรดีนะ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าไม่กลัวจวิ้นอ๋องแล้วใช่ไหม บอกว่าไม่กลัววังอ๋องแล้วคิดว่านายอำเภอเมืองเล็กๆอย่างลุงของเจ้าจะช่วยได้หรือ รึว่าคิดจะซุกหัวอยู่ในเมืองสือหลินชั่วชีวิต...” ข้าพูดพลางยิ้มน้อยๆแล้วมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า มองเห็นความลนลานผุดขึ้นมาก่อนจะกล่าวต่อเสียงหนักๆ “ไม่สู้ทำความดีชดใช้ ช่วยข้าแล้วข้าจะช่วยเจ้าเอง”
“เฮอะ อย่าคิดว่าจะหลอกข้าได้ง่ายๆ” เฉายุ่นจื่อฟังแล้วเชิดหน้า
เออ แต่บางทีข้าก็อยากให้เจ้าโง่บ้างโว้ย ข้ากัดฟันกรอดมองอีกฝ่ายแล้วถลึงตาวูบ “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว อย่าคิดว่ามือของจวิ้นอ๋องจะยื่นมาไม่ถึงที่นี่ ข้าเป็นคนของค่ายธงดำ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าที่นั่นคืออะไร..”
เฉายุ่นจื่อชะงัก ขบริมฝีปากมองข้าด้วยแววตาลังเล ชื่อของค่ายธงดำดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวขึ้นมาบ้างด้วยที่นั่นคือขุมกำลังของวังจวิ้นอ๋อง หากทำอันใดให้คนในกลุ่มธงดำเคืองใจนั่นคงมิใช่เรื่องดี ข้ามองเห็นเขานิ่งอยู่อึกใจอย่างที่ชวนให้คิดใจหายแล้วถอนหายใจเฮือก คนวิ่งออกไปอย่างรีบร้อนไม่น้อยและตะโกนโหวกเหวกถามหาหมอจากเพื่อนบ้านแถวๆนั้น ท่าทางนั้นทำให้ข้านึกเบาใจขึ้นมา ดีใจที่อย่างน้อยก็ทานถูกและที่สุดก็สามารถหลอกล่อคนแบบนี้ได้ด้วยผลประโยชน์ ไม่ว่าเขาจะทำความผิดใดก็ตาม คิดดังนั้นจึงเอนหลังพิงถังน้ำอย่างใจเย็นขึ้นและหอบหายใจเบาๆเพื่อคลายความเจ็บปวด กระนั้นก็เตือนว่าตนเองไม่อาจไว้ใจได้จนกว่าจะเห็นหมอวิ่งเข้ามาจริงๆ
หรี่ตาลงและปรือตามองร่างของเฉายุ่นจื่อเดินมาอีกครั้ง เขามาบอกว่ามีคนไปตามหมอมาแล้วและกำลังจะมาถึง อีกฝ่ายพยุงร่างของข้าให้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อพาเดินเข้าห้องตัวเอง ข้ามองเห็นสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายยังฉายแววหวาดระแวงแต่ก็จนใจหน่อยๆ ข้าเดินเข้าไปในห้องและถูกอีกฝ่ายพาลงนอนบนเตียง เห็นเขาส่ายหน้ากับเสื้อผ้าอาภรณ์แปลกประหลาดและสั่งให้ข้าถอดออกท่ามกลางความเจ็บปสดปนสะลึมสะลือ นอกจากคิดถึงเป้าหมายอย่างการพบหลินจวินเจ๋อเพื่อประคองสติแล้ว ในหัวของข้าก็กำลังคาดเดาว่าคนผู้นี้ทำเรื่องอะไรจึงได้ลอบหนีออกมา และกำลังพยายามคาดเดาอีกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด
จากจวิ้นอ๋องที่เคยรักหลินจวินเจ๋อมาเป็นคนสองคนสะบั้นสัมพันธ์และของสำคัญกลายเป็นไม่สำคัญแล้ว ข้าสวมเสื้อป่านราคาถูกที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ลวกๆ พลางนั่งกุมแขนผ่อนลมหายใจรอท่านหมอ บางครั้งมองดูเฉายุ่นจื่อที่มองหน้าตนสลับกับกำไลในมือตาไม่กระพริบจนอีกฝ่ายละสายตาไปเองด้วยความสงสัย
ช่วงเวลาที่เหลียงจื่อซิ่นหายไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
--------
“ที่แท้เจ้าเป็นคนของท่านแม่ทัพ”
ข้านอนพิงหมอนนั่งนิ่งบนเตียง มองดูเฉายุ่นจื่อในอาภรณ์สีเขียวเข้มนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกที่มีเพียงตัวเดียวในห้องและรินน้ำชาให้ตนเองด้วยความเชี่ยวชาญ อากัปกริยาพยายามเลียนแบบคุณชายตระกูลสูง ทั้งการถือพัดและการวางท่าทำให้ข้าถอนหายใจด้วยความคิดประเภทเจอห่านป่าคิดทำตัวเป็นหงส์ แต่เนื่องจากตอนนี้ตนเองพึ่งพาอีกฝ่ายอยู่จึงไม่คิดปากมากให้โดนโยนออกไป หลังจากวันนั้นที่มาถึงเมืองสือหลินก็ผ่านมาได้สี่วันแล้ว บาดแผลทั่วร่างเริ่มสมานและรอยช้ำรอยบวมก็เริ่มจางลง มาตอนนี้เหลียงจื่อซิ่นขอขอบคุณร่างกายอันแข็งแรงกว่าเดิมของตัวเองจริงๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าร่างกายที่ทรงๆทรุดๆแบบของจวิ้นอ๋องล่ะนะ
คิดพลางมองดูเฉายุ่นจื่อที่ยังคงวางท่าสูงส่งด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายประเภทหนึ่ง แต่จะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้มีพระคุณและกำลังคุยกันเรื่องสำคัญจึงพยักหน้าแต่โดยดี อีกฝ่ายคิดเอาจากการที่ข้าเอ่ยถึงค่ายธงดำและกล่าวเรื่องกำไลของหลินจวินเจ๋อจึงคิดว่าข้าเป็นคนของสามีแล้วตอนนี้ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีดังนั้นข้าจึงปล่อยให้อีกฝ่ายเชื่อเช่นั้นต่อไป ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเนื้อแท้ของคนผู้นี้ไม่ใช่คนเลวร้าย ต่อให้จะเห็นแก่ตัวขี้โอ๋หรือช่างประจบไปสักหน่อยก็ยังพอไหว อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังมีมโนธรรม(ซึ่งไม่ถูกเรียกว่ามนุษยธรรม) ช่วยดูแลข้าที่สองวันแรกป่วยหนักถึงนอนไม่ได้สติ ไม่ได้โยนเหล่าจือออกไปจากบ้านของตัวแต่อย่างใด แต่ก็คงจะดีกว่านี้ถ้าคนแซ่เฉานี่จะเลิกขยับตัวก็บ่น อ้าปากทีก็บ่นเสียจนน่ารำคาญ
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพก็คงทราบเรื่องแล้ว ดี ข้าเองก็คิดหนีไปพึ่งพาท่านแม่ทัพอยู่พอดี” ฟังคนบอกคำก็แม่ทัพสองคนก็แม่ทัพแล้วรู้สึกคันฝ่าเท้าหน่อยๆ ข้าในสภาพแขนข้างหนึ่งยังใช้การไม่ได้หรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความคิดจำพวกระแวงแมลงและตัวประกอบมาเกาะแกะสามีล่วงหน้า แต่ที่สุดก็โยนทิ้งด้วยความสงสัยซึ่งผุดมาก่อน..ทราบเรื่องนี่ทราบเรื่องอันใด
เฉายุ่นจื่อไม่ได้มองเห็นแววตาสงสัยของข้า อีกฝ่ายมองข้อมือข้างขวาของข้าที่ยังสวมกำไลหยกแกะสลักอยู่แล้วหรี่ตาลง ถอนใจน้อยๆ “ถือว่ายังดีที่ท่านแม่ทัพมีใจรักมั่น ผ่านมานับครึ่งปีแล้วยังส่งคนมาหาของ เสียดายก็แต่ท่านอ๋อง...เฮ้อ...”
“...เกิดอันใดขึ้นกับท่านอ๋อง”ไอ้ท่าทีข้ารู้ทุกเรื่องของเจ้านี่มันอะไร ข้ารู้สึกหมั่นไส้อย่างมากขณะเอ่ยปากถามและทอดสายตามองเฉายุ่นจื่อที่จิบชาทำหน้าผู้รู้
“เจ้าไม่ทราบหรือ?” คนมองข้าเหมือนโง่มากๆอีกทีก่อนจะเอามือเกี่ยวปลายผมเล่น “แต่เอาเถิด ไม่ทราบก็ไม่แปลก เรื่องนี้ที่เมืองหลวงปิดกันอย่างมาก แต่ให้ปิดอย่างไร สุดท้ายก็ยังมีข่าวลอดออกมา...”
“แล้วเป็นเรื่องใด?”
“เจ้าจะเอาเรื่องใดก่อนเล่า เป็นเรื่องของท่านอ๋อง เรื่องท่านแม่ทัพ หรือเรื่อง---”
“เรื่องใดก็เล่ามาให้หมดเถอะ!” ข้าถอนหายใจเฮือกอย่างสุดกลั้นกับไอ้ท่าทีกวนประสาทของคนตรงหน้า
“จะว่าไป เจ้าก็มีใบหน้าคล้ายกับท่านอ๋องไม่น้อย” คนตอบในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยพลางหรี่ตามองข้าด้วยรอยยิ้มละไม “ตอนที่ใบหน้ามีรอยฟกช้ำว่าไม่ได้สังเกต แต่ยามนี้พอร่องรอยหายไปข้าจึงเห็นได้ชัดขึ้นมาก ถึงจะไม่งดงามเท่าท่านอ๋องแต่ก็คลายคลึงกันเสียเจ็ดส่วนเลยทีเดียว เจ้ามีความเกี่ยวข้องใดกับท่านอ๋องหรือ ข้าเคยได้ยินว่าองครักษ์เงามักถูกเลือกสรรให้มีใบหน้าและรูปร่างคล้ายกันกับนายตน ต่อให้เจ้าจะดูแก่กว่าท่านอ๋องและไม่เหมือนถึงกับเป็นคนเดียวกัน แต่ก็....”
“คุณชายเฉา ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับท่านอ๋องทั้งนั้น ได้โปรดเล่าเรื่องทั้งหมดมาด้วย”
เห็นคนเพ้อเจ้อแล้วทนไม่ไหวต้องรีบเบรกมันแรงๆ ข้ามองคนตาถั่วแซ่เฉากำลังทำตาหวานใส่ตัวเองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายฉายชัด อะไรคือการบอกว่าเหล่าจือหน้าคล้ายท่านอ๋องคนงาม เจ้านี่อยู่ห่างจากหวงเทียนหยางแล้วสมองเสื่อมหรือถึงคิดว่าอาซิ่นคนนี้จะเทียบเคียงปลายเท้าของอีกฝ่ายได้ ความงามของจวิ้นอ๋องน่ะเหนือสามโลกนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว สวยไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า งดงามอย่างที่อยากเอาใส่กล่องแล้วล็อคกุญแจไม่ให้ใครเห็นเดี๋ยวจะโดนแย่ง ดูดีขนาดอยากแทะอยากกลืนลงท้องให้หมด จะว่าไปตอนนี้เหลียงจื่อซิ่นก็มาที่นี่ทั้งตัวและหัวใจ ถ้าหากว่าลองไปจีบจวิ้นอ๋อง---โอเค ไม่ก็ได้
รีบสลัดความเพ้อเจ้อออกเมื่อรู้สึกหนาวสันหลังดั่งถูกลูกเต่าแซ่หลินจ้องอาฆาต ข้าพยายามสงบจิตสงบใจฟังเรื่องราวจากปากเฉายุ่นจื่อแต่ฟังไปยิ่งต้องอ้าปากค้าง อย่างแรกคือดูเหมือนเวลาจะผ่านไปนานหลายเดือนแล้วจริงๆ อย่างที่สองคือเวลาผ่านไปยังไม่เท่าเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งหลินจวินเจ๋อบุกเข้าวังตะวันออก ถูกลงโทษแต่จวิ้นอ๋องร้องขอชีวิตไว้จึงถูกให้มาคุมทัพอยู่ชายแดนเมืองถานเฟิ่งห้ามกลับเข้าเมืองหลวง ต่อมาจวิ้นอ๋องหวงเทียนหยางก็เป็นฝ่ายขอยกเลิกสมรสพระราชทาน แล้วหลังจากนั้นเมื่อหลินจวินเจ๋อเดินทางมาถึงเมืองถานเฟิ่ง องค์ชายสามฉู่เฟิ่งหลิวที่นำคนชิงราชบัลลังก์ของไห่เยี่ยนก็ถูกกำจัด องค์ชายเจ็ดฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนกลายเป็นนักโทษคดีกบฏที่ไห่เยี่ยนขอร้องให้ส่งตัวกลับเพื่อไมตรีของทั้งสองแคว้น แต่อีกหลบหนีออกจากวังอ๋องกลายเป็นนักโทษในประกาศจับ แล้วต่อมาจวิ้นอ๋องถูกคนของฮองเฮากล่าวโทษว่าคิดปองร้ายรัชทายาท ตอนนี้ถูกกักตัวอยู่แต่ในวังไม่ออกไปไหน...
“ข้าหลบหนีออกจากวังก่อนจะถูกทหารปิดล้อม คิดมาที่เมืองสือหลินเพื่อหลบหนีก่อนจะเดินทางไปที่ค่ายใหญ่ของท่านแม่ทัพ เรื่องของวังจวิ้นอ๋องนั้นถูกปิดเป็นความลับแต่อย่างไรอีกไม่นานข่าวก็คงหลุดมาอยู่ดี คงต้องรีบไปแล้วก่อนจะถูกจับได้ ที่จริงเดิมทีข้าไม่แน่ใจเลยว่าหากมาขอความช่วยเหลือจากท่านแม่ทัพหลินแล้วจะได้รับการดูแล แต่ดูจากการที่ท่านแม่ทัพให้เจ้ามาหาของแล้ว คิดว่าในใจคงยังมีท่านอ๋องอยู่หลายส่วน เช่นนี้ข้าที่มาขอพึ่งพาอาศัยคงสบายแล้ว”
“แล้วคนอื่นในวังอ๋องเล่า...” ข้ามองเฉายุ่นจื่อที่เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบด้วยแววตานิ่งสงบหากเรืองรองด้วยความไม่พอใจ ทำให้อีกฝ่ายซึ่งกำลังวางท่าจิบชาอยู่ชะงัก แววตาเกลื่อนไปด้วยความละอายชั่ววูบแล้วกระแอมไอแผ่วเบา
“ข้ารีบหนีมา ข้า..ข้าก็ไม่รู้!”
“ข้าว่าแล้วว่าทำไมเจ้าถึงมีท่าทีแปลกๆ ที่แท้ก็แอบหนีเอาตัวรอด!” ข้าขึงตาใส่เฉายุ่นจื่อพลางกัดฟันกรอด “แล้วคิดหรือว่าจะหนีพ้น หากข่าวคราวมาถึงอีกไม่นานเจ้าคงถูกท่านลุงที่รักยิ่งจับโยนกลับเมืองหลวง แล้วคิดจะไปขอให้ท่านพี---ท่านแม่ทัพช่วยเหลือหรือ นี่ไม่ใช่เอาความเดือดร้อนไปให้เขารึ!”
“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า” เฉายุ่นจื่อฟังคำประณามของข้าแล้วหน้าแดงจัด อีกฝ่ายรีบกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้น่ากลัวเพียงไร ข้าเป็นแค่ข้ารับใช้ธรรมดาๆของท่านอ๋อง ทำไมจะต้องมาโดนโทษกักบริเวณหรือต้องตายไปกับนายตัวเองด้วย ใครทำผิดก็ให้คนนั้นรับไปสิ เหตุใดข้าต้องถูกประหารอีก อย่าได้เอาเรื่องความจงรักภักดีมาพูดกับข้านะ ข้าแค่ต้องการมีชีวิตที่ดีเท่านั้น!”
ข้าจ้องมองเฉายุ่นจื่อแล้วนั่งนิ่ง ไม่เอ่ยคำใด ในหัวแม้มีคำกล่าวว่ามากมายสุดท้ายกลับเงียบเสีย ต่อให้คิดอยากต่อว่าอีกฝ่ายแต่ที่เฉายุ่นจื่อพูดออกมาก็สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของข้าที่เคยมีไม่น้อย เหล่าจือเองก็ไม่ได้ภักดีอะไรกับราชวงศ์ ข้าเองก็เป็นคนเสนอให้หลินจวินเจ๋อทรยศบ้านเกิดเพื่อมีชีวิตรอด แล้วมันจะต่างอันใดกับเฉายุ่นจื่อที่ตอนนี้สละทิ้งนายตัวเองเพื่อมาหาหลินจวินเจ๋อ เรียกว่ายังดีกว่าด้วยซ้ำเพราะคิดใช้ท่านแม่ทัพแดนใต้มาช่วยให้นายตนรอดชีวิต
แต่หลินจวินเจ๋อ...
ข้าคิดไปถึงคำพูดของเฉายุ่นจื่อที่ว่าแม่ทัพหลินถูกจวิ้นอ๋องขอยกเลิกพระราชทานสมรสแล้วใจเต้นไม่น้อย ทั้งใจหายแต่ก็ดีใจอยู่ส่วนหนึ่งที่บัดนี้สามารถเคียงคู่อีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องมีปัญหา แต่ว่าสิ่งที่สามีพบเจอก็ทำให้ข้านึกสงสารเขาอยู่บ้าง ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับจวิ้นอ๋อง แต่การบอกว่าจวิ้นอ๋องขอยกเลิกการสมรสนี้บ่งบอกว่าไม่ใช่ความปรารถนาของหลินจวินเจ๋อ ซ้ำดูไปแล้วเหมือนถูกหลอกใช้เอาเสียด้วย..
ข้าจ้องมองกำไลบนแขนตนพลางขมวดคิ้วน้อยๆ นึกไปถึงคนซื่อบื้อขี้หึงและลูกเต่าโง่ตัวนั้นแล้วใจอ่อนยวบ ไม่ว่าตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น ต่อเรื่องราวจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน สู้อุตส่าห์ได้กลับมาแล้วไม่ว่าเป็นหรือตายข้าก็ไม่เสียใจ ขอเพียงได้เจอกับหลินจวินเจ๋อ ข้าก็ไม่หวั่นเกรงอะไรอีกแล้ว
“เจ้าอย่าเงียบไปสิ..เจ้าคงไม่คิดจะทิ้งข้าไปใช่หรือไม่?” เห็นข้าตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่เฉายุ่นจื่อก็กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ ข้าเขม้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วลอบส่ายหน้าเล็กน้อย เห็นสีหน้าก็พอเดาออกได้ว่าอีกฝ่ายกลัวข้ารังเกียจ ถ้าวัดตามมาตรฐานข้ารับใช้ที่ดี ไอ้เด็กนี่มันสอบตกจริงๆนั่นล่ะ
“เราจะไปเมืองถานเฟิ่ง” ข้ากล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วพลางมองแขนที่ยังใช้การไม่ได้ของตนเองแล้วยิ้มนิดๆ “ไปพบแม่ทัพหลิน แต่ก่อนหน้าคงต้องลำบากเจ้าเป็นคนขี่ม้าแล้ว”
เฉายุ่นจื่อพยักหน้าในทันที เด็กหนุ่มยิ้มแย้มแล้วเริ่มมองข้าด้วยดวงตาที่แฝงประกายเลื่อมใสปะปนกับบางสิ่งที่ทำให้..ข้าขอหลับตาพักผ่อนก่อนแล้วกัน
----------------------------
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เรื่องคนงามโดนกักตัวไม่ค่อยหวาดวิตก ให้มันรู้ไป๊ว่าไท่หยสงจะไม่มีปัญญาปกป้อง ฮรึ! ทำคนงามเครียดมานานเมื่อไหร่จะเข้าใจซะทีว่าคนงามทำเพื่ออะไร แต่น้องจื้อซิ่นนี่สิเมื่อไหร่จะได้เจอทั่นพรรรรรรี่(ตีอกชกหัว) รีบเดินทางไปเรยนะเสี่ยวเจี๋ยแกรีบพาน้องจื่อซิ่นไปบรรณาการทั่นพรี่ผุ้อาภัพเด๊ยวเนนนนน้
กลับมาแล้ว......
อาซิ่น
รอต่อขอรับ