ตอนที่ 78 : น้ำฝนร่วงคืนเหมันต์
ท้องฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยเมฆครึ้ม แม้พระจันทร์ดวงใหญ่จะสถิตอยู่เหนือม่านฟ้าแต่กลับถูกบดบังรัศมีจนเหลือเพียงแสงหม่น สายลมเย็นยะเยือกพัดพาหิมะหล่นลงบนพื้นทับถมจนสูง ค่ำคืนเช่นนี้ชวนให้ผู้คนเยือนสู่นิทรา ทว่าเขตตำหนักกลางของวังจวิ้นอ๋องซึ่งใหญ่โตโอ่อ่าซ้ำปลูกสร้างอย่างวิจิตรกลับยังมีแสงโคมลอดออกมาให้เห็น ทหารยามยืนประจำการ บ่าวรับใช้ก้มหน้านิ่งรอคอยอยู่เบื้องนอกอย่างสงบราวกับรูปปั้น มีเพียงดวงตากระจ่างใสเท่านั้นที่บอกว่านี่คือคนมีชีวิต
ในตำหนักยังมีห้องโถงใหญ่ซึ่งสามารถเปิดโล่งออกเห็นทิวทัศน์ด้านนอก แต่บัดนี้สวนดอกไม้อันงดงามมีแต่ต้องถูกกลบด้วยหิมะขาวโพลนเท่านั้น ภายในห้องหับอบอุ่นด้วยกระถางไฟส่งกลิ่นหอม ภายในห้องโอ่โถงกลับมาเพียงร่างบุรุษสองคนนิ่งเงียบอยู่กับถ้วยชากรุ่นไอร้อน แม้นั่งอยู่ตรงข้ามหากไร้ถ้อยคำใดๆมอบต่อกัน มีเพียงดวงตาที่ต่างเหม่อมองออกไปยังเบื้องนอกเท่านั้นราวกับรอคอย
ข้าจิบชาจนพอใจแล้วจึงผ่อนลมหายใจเนิบช้า วางจอกชาลงบนโต๊ะและหันมองคนที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่ง ผู้ที่นั่งนิ่งอยู่ตรงข้ามข้ามิใช่ใครหากเป็นหลินจวินเจ๋อ ใบหน้าอีกฝ่ายยังมีรอยฟกช้ำ ท่าริ้วรอยความสกปรกบนวงหน้าคมเข้มจางลงไปมาก เส้นผมที่รุ่ยร่ายถูกมักรวบไว้อย่างเรียบร้อย ร่างสูงใหญ่สวมชุดเสื้อผ้าสีเข้มเนื้อดี จากสภาพนักโทษคืนกลับสู่บุรุษสง่างามผู้หนึ่งอีกครา ทว่าใบหน้าที่นิ่งจนไม่อาจบอกความนัยและแววตาที่เรียบเฉยจนเกินไปบ่งบอกว่าคนอยู่ในสภาพอารมณ์ที่ไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งตัวข้าเองก็ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด
วลีเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายตายฆ่าสุนัขล่าเนื้อ ที่ข้าเคยบอกไว้ทั้งยังกระตุ้นเตือนให้ฝ่าบาทได้ตระหนักว่าไม่ควรลงดาบกับหลินจวินเจ๋อมิฉะนั้นอาจกระทบกับขวัญกำลังใจของทหาร ที่สุดแล้วกลับถูกใช้ออกโดยจวิ้นอ๋องผู้นี้นั่นเอง หลังกล่าวประโยคขอยกเลิกสมรสพระราชทาน สายตาของเหล่าขุนนางในท้องพระโรงก็แปรเป็นเห็นอกเห็นใจหลินจวินเจ๋อเสียเจ็ดส่วน ที่สุดแล้วจวิ้นอ๋องผู้ยอมประกาศตัวว่ารักมั่นถึงขั้นใช้สมรสพระราชทานกักตัวบุรุษผู้หนึ่งซ้ำพรากคู่ยวนยางออกจากกันก็ปล่อยมือแล้ว กระนั้นกลับไม่มีคนเชื่อสักน้อยว่านี่คือการยอมปล่อยเพราะรัก หากแต่เป็นเพราะหลินจวินเจ๋อนั้น ‘ไร้ประโยชน์’ ให้ใช้สอยแล้ว
เดิมทีเป็นแม่ทัพหลินฉายาเทพสงครามแห่งเทียนจิ้น ผู้คนก็ให้การยอมรับนับถือต้องการตัวเป็นพวกพ้องมากมายอยู่ ทว่าเอาเข้าจริงแล้วจะมีคนสนใจเนื้อแท้ของหลินจวินเจ๋อสักกี่คน ขุนน้ำขุนนางในเมืองหลวงต่างทราบดีว่าการคบหากันนี้หาได้ทำด้วยใจแต่ทำด้วยตำแหน่ง เมื่อขึ้นสูงก็มีผู้อยากเข้าร่วมและผู้ฉุดลงมา เมื่อถึงยามตกต่ำที่มีแต่คนรอเหยียบย้ำเติม เดิมทีจวิ้นอ๋องก้มหน้าขอสมรสพระราชทานแสดงความรักลึกซึ้งคนก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างอยู่แล้ว แต่ด้วยบทละครของวังจวิ้นอ๋องที่แสดงออกมานานปีทำให้ไม่มีใครคิดเป็นอื่น แต่ยามนี้เมื่อคนหมดประโยชน์ลงรักที่ลึกซึ้งกลับหายไปง่ายๆ ผู้ใดก็ต้องมองออกว่าสมรสพระราชทานที่ผ่านหาใช่เรื่องสเน่หาของคนหนุ่มสาว แต่ว่าด้วยการงัดข้อกันของรัชทายาทและจวิ้นอ๋องเท่านั้น
รัชทายาทยิ้มแย้มพอใจ ฮ่องเต้พยักหน้าอนุญาตโดยง่าย กล่าวเพียงหมดสิ้นวาสนาแล้วก็ไม่คิดรั้ง ไยจะมีผู้ใดกล้าสอดปากว่ายามนั้นคนไม่คิดอยากได้วาสนายังถูกยัดเยียด หลินจวินเจ๋อยามนี้หมดประโยชน์ก็เป็นเพียงหมากที่กำลังถูกเขวี้ยงทิ้ง ไม่มีใครออกหน้าให้ทั้งยังทราบอย่างชัดเจนว่าวังจวิ้นอ๋องที่เคยเป็นกำแพงอยู่เบื้องหลังแม่ทัพแดนใต้ผู้นี้แปรเปลี่ยนไปแล้ว
ราชโองการยกเลิกสมรสพระราชทานถูกประกาศออกมา ผู้คนในเมืองหลวงต่างรู้และโจษจันกันทั่ว บ้างถอนหายใจสงสารแม่ทัพหลินก็ดี บ้างส่ายหน้ากับเรื่องราวในแวดวงข้าราชการก็ดี ข้าหาได้สนใจ ที่เลือกก็เลือกไปแล้ว ที่ควรกล่าวก็กล่าวออกไปแล้ว รักษาชีวิตหลินจวินเจ๋อได้ย่อมต้องยอมเสียไปอย่างหนึ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายไปชายแดนในสภาพมีสมรสพระราชทานติดตัวไม่อาจตบแต่งหญิงใดได้นั้นน่าเวทนาจนเกินไป เฉพาะเมื่อตระหนักถึงใจความในจดหมายฉบับนั้นซึ่งถูกส่งต่อมา ทว่าหลินจวินเจ๋อถูกเชิญมายังตำหนักกลางแล้วยังเอาแต่นิ่งเงียบ ท่าทีพื้นอารมณ์ไม่สดใสเช่นนั้นยากจะคาดเดาว่าคิดเช่นไร
“ได้คิดเรื่องนี้ไว้แต่แรกนับแต่ยื่นมือมาหาข้าหรือไม่?”
ข้าเงยหน้าขึ้นช้าๆ นึกขันปนสังเวชในใจเมื่อหลังจากงานแต่งงานผ่านพ้น ที่เราได้มีโอกาสพูดคุยกันอย่างจริงจังเช่นนี้กลับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็ตระหนักอย่างเงียบงันว่าสิ่งสำคัญในใจผู้นี้คือเรื่องการถูกหลอกใช้ เช่นเดียวกับที่เคยผิดหวังในความรักของตนกับแม่นางสกุลจ้าวซึ่งเป็นไท่หยางจัดการมาจนเอ่ยปากตัดพ้อในความทรงจำ ดังนั้นจึงสบเนตรคมปลาบ ตอบอย่างแช่มช้า “ไม่”
“หึ” รอยยิ้มที่ริมฝีปากติดจะเหยียดหยัน สายตาที่มองมาเจือยิ้มเยาะ ข้ามองเขาแล้วตระหนักว่าคนผู้นั้นกลับมาแล้ว มิใช่หลินจวินเจ๋อซึ่งหลงรักอาซิ่นและคอยมองละห้อยหา แต่เป็นหลินจวินเจ๋อซึ่งดื้อดึงต่อต้านข้าทุกทางแม้ถูกผูกมัดด้วยสมรสพระราชทานนับขวบปี
“เดิมทีก็คิดว่าเป็นเพียงดาบที่ใช้การได้เท่านั้น” ข้ากล่าวออกไปช้าๆอย่างไม่คิดปิดบังพลางนึกย้อนไปถึงวันเวลาที่เคยพบกันครั้งแรก ที่เมืองถานเฟิ่ง ริมกำแพงเมือง ดาบที่ตนเองยื่นให้อีกฝ่ายและคอยหนุนนำทุกสิ่งนับแต่นั้น “ข้าหาได้เป็นเพียงอ๋อง แต่ยังเป็นพ่อค้าผู้หนึ่ง ย่อมรู้จักสอดส่องหาข้าวของที่สามารถใช้งานได้และสร้างกำไรให้กับตน”
“ซึ่งประจวบเหมาะว่าข้าคือคนผู้นั้น”
“ไม่ผิด” ข้ายังคงกล่าวต่อแม้เห็นว่าสีหน้าของหลินจวินเจ๋อจะออกมาไม่น่าดูนัก แต่ความจริงยังคงเป็นความจริง หากหลินจวินเจ๋ออยากทราบข้าก็จะบอกให้เขาได้ทราบ คืนนี้ที่นั่งสนทนากันผู้ใดจะทราบว่าเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ จะอย่างไรคนก็ถูกราชโองการบังคับไปไกลถึงเพียงนั้น ข้าเองต้องเผชิญคลื่นลมต่อที่เมืองหลวงหัวขาดวันนี้วันพรุ่งก็สุดจะรู้ “ท่านแม่ทัพบูดบึ้งไม่พอใจด้วยเรื่องใด ในเมื่อท่านก็ได้ประโยชน์เช่นเดียวกัน”
“หากไม่มีท่านอ๋องคอยผลักดันอุ้มชู ข้าหลินจวินเจ๋อคงไม่อาจปีนป่ายมาไกลถึงเพียงนี้ ไหนเลยข้าจะไม่ทราบ” นัยน์ตาของบุรุษเบื้องหน้าฉายแววดุดันวาบก่อนจะหยิบชาขึ้นมาดื่ม คนกระดกด้วยชาลงคออย่างรวดเร็วไม่คิดรับรู้รสบ่งบอกว่าอารมณ์ไม่เบิกบานอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ข้าเอื้อมมือไปหากาน้ำชา รินลงไปใหม่ช้าๆ
“ยามนี้ที่คิดเขวี้ยงทิ้ง คงไร้ประโยชน์แล้วใช่หรือไม่”
“ข้าคิดว่าแม่ทัพหลินอยากขอยกเลิกการแต่งงานมาตลอด” นามเรียกขานแปรเปลี่ยนแล้ว ทันทีที่ราชโองการประกาศออกมาเราสองก็เป็นเพียงใครอื่นมิใช่สามีภรรยาอีก ข้าสบตาหลินจวินเจ๋อมองเห็นระลอกคลื่นในแววตานั้นแปรปลี่ยนไปมา ในใจก็ลอบยิ้มด้วยทราบถึงสิ่งที่คนผู้นี้คิดเสียแปดส่วน “แต่กล่าวไปแล้ว คงเป็นเพราะท่านหมดประโยชน์จริงๆ..”
“แม่ทัพที่อยู่ไกลถึงชายแดนมิอาจช่วยเหลือหรือทำประโยชน์แก่ข้าได้ แม้ท่านจะมีทหารในมือแต่นั่นคือทหารของฝ่าบาทมิใช่ทหารของท่าน แม่ทัพหลินมิได้มาจากตระกูลขุนศึกดังนั้นจึงมิได้มีรากฐานยาวนานอันใด ที่ของท่านคือเมืองถานเฟิ่งซึ่งจะมีประโยชน์ในยามสงครามเท่านั้น เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ถูกผูกติดตัวกันต่อไปย่อมส่งผลกระทบ หากข้าทำผิดท่านเองก็อาจโดนประหารร่วมด้วย อีกทั้งสมรสพระราชทานก็ผูกมัดมิให้ท่านตบแต่งกับสตรีอื่น ท่านไปอยู่ไกลถึงชายแดนแล้วกลับต้องมีชีวิตเช่นนั้นออกจะทำให้ข้ารู้สึกผิดอยู่บ้าง”
“หรือไม่ก็เป็นท่านพูดคุยตกลงกับรัชทายาทแล้ว” หลินจวินเจ๋อกล่าวเสียงเข้ม
“ข้ามิได้พูดคุยอันใด” เมื่อนึกถึงคนผู้นั้นยังต้องชะงักมือ ข้าวางกาน้ำชาลงแล้วหยิบถ้วยชาของตนมาจิบชิมรส ผ่านเรื่องราวเช่นนั้นมาไหนเลยจะได้พูดคุยสนทนาอันใดกับหวงไท่หยางอีก
“เช่นนั้นคงเป็นรัชทายาทที่มีจิตใจเอื้ออารีลึกล้ำ” หลินจวินเจ๋อจ้องมองข้าขณะหัวเราะขบขัน แม้ยิ้มแต่ดวงตามิได้ฉายประกายรื่นรมย์ “หลังจากข้าออกจากท้องพระโรงยังสั่งให้คนของตนเดินเข้ามาพูดคุย กล่าวว่าเห็นแก่ที่ถูกพรากคู่ยวนยางจะช่วยให้สมปรารถนาด้วยการมอบลี่เซียนให้กับข้า เห็นได้ชัดว่าทรงพึงพอใจในการตัดสินใจของท่านอ๋องครั้งนี้อย่างยิ่ง”
ข้าฟังแล้วชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหรุบตาลง เรื่องความพึงพอใจของไท่หยางนั้นข้าทราบดีอยู่แล้ว จะอย่างไรท่าทางในท้องพระโรงของเขาก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน แม้สาเหตุที่ลงมือขอยกเลิกสมรสพระราชทานมิได้ต้องการอยากได้ความโปรดปรานจากผู้ใดแต่ไม่อาจปฏิเสธว่าการที่ข้ายอมถอยไปก้าวหนึ่งทำให้ไท่หยางยินดียิ่งนัก เขาเองก็ขัดหูขัดตาเรื่องงานแต่งนี้มานานแล้วซ้ำเพียรพยายามทุกวิถีทางให้ข้าเลิกรากับหลินจวินเจ๋อ เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ที่ไม่ว่าอย่างไรตนก็เดินตกหลุมพรางและตกเป็นหนี้บุญคุณก็ต้องเอาใจเขาสักอย่าง ทว่าการเอ่ยปากยกอนุภรรยาของตนให้ผู้อื่นโดยไม่ลังเลนี้ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ
ปรกติแล้วธรรมเนียมนี้สามารถทำได้ การได้รับพระราชทานอะไรก็ตามจากราชวงศ์นั้นผู้คนมีแต่ต้องก้มหน้ารับและเปล่งเสียงถวายพระพรแม้ว่านั่นจะเป็นของเหลือใช้ ฮ่องเต้มอบหญิงงามที่ตนมีให้กับขุนศึกยามเสร็จสงครามก็มีมาแต่โบราณ ไท่หยางเองก็มิได้รักใคร่ในตัวแม่นางผู้นั้นซ้ำบิดาของนางยังถูกขังอยู่ในคุกหลวง จ้าวหนิงเฉิงไร้ประโยชน์แล้วจะเก็บห่อพกของคนผู้นั้นไว้เพื่ออันใด ส่งมอบไปให้ผู้อื่นโดยอ้างว่าให้สานต่อวาสนา ส่งเสริมคู่รักให้เคียงกันสร้างชื่อเสียงดีงามย่อมดีกว่า
ประจักษ์แจ้งในการใคร่ครวญของรัชทายาทที่ยังคงฉกฉวยประโยชน์เอาจากตนได้แล้วข้าก็มองดูสีหน้าของหลินจวินเจ๋อ คนไม่ได้มีท่าทียินดีแม้แต่น้อยบ่งบอกว่าใจได้เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับเวลาที่ผ่านผัน ทว่าคนที่เขาปักใจยามนี้มีเพียงกระดาษมอบให้ข้าแทนตัวเท่านั้น แม้ทราบดีว่าคนผู้นั้นรักหลินจวินเจ๋อแต่จะอย่างไรนี่ก็คือร่างของตน ข้าไม่เคยต้องการให้อีกฝ่ายกลับมา
“หากท่านแม่ทัพไม่ต้องการข้ายินดีช่วยปฏิเสธ”
“ไม่จำเป็น” หลินจวินเจ๋อกล่างพลางผ่อนลมหายใจ “ดูเหมือนนางเองก็ไม่ยินดีจะมานัก เราสองสะบั้นวาสนากันแล้ว”
ข้าพยักหน้าเงียบๆ จ้าวลี่เซียนเองก็มิใช่สตรีบูชาความรักจนมองไม่เห็นสิ่งอื่น ไม่ว่าที่ผ่านมานางจะรักหลินจวินเจ๋อมากเพียงไร แต่เป็นอนุภรรยาของรัชทายาทจะอย่างไรก็ดีกว่าไปตกระกำลำบากกับแม่ทัพที่ถูกส่งไปชายแดน
“ท่านมีทุนรอนติดตัวบ้างหรือไม่ ข้าจำได้ว่าเงินเดือนที่ได้มาเคยมอบให้ข้า เรื่องเงินทองที่ผ่านมาควรแล้วต่อกันไปสิ่งไหนที่รับมาข้าควรมอบคืน” ตระหนักถึงเรื่องที่อีกฝ่ายต้องกลับไปตกระกำลำบากแล้วจึงเอ่ยถึงเรื่องเงินขึ้นมา ข้าจำได้ว่ายามอาซิ่นผู้นี้เข้ามาอยู่ในร่าง ที่เขาพูดคือเรื่องค่าใช้จ่ายที่จวนแม่ทัพมิเคยสนใจช่วยเหลือสักครั้ง คนช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้โดยไม่ทราบว่าแท้จริงที่ข้าไม่เคยเอ่ยถึงมิใช่เพราะอยากช่วยเหลือสามีตน แต่เป็นเพราะข้าแย่งชิงความสุขของผู้อื่นมา การตอบแทนด้วยเงินทองเล็กน้อยไยทำมิได้
“ไม่จำเป็น ข้ากลับไปอาศัยกินอยู่หลับนอนในกองทัพ มิได้คิดวุ่นวายอย่างอื่น”
“จะอย่างไรควรมีบ้านของตนไว้บ้าง” ข้ามองดูท่าทีดื้อดึงของบุรุษตรงหน้าเต็มตาแล้วกล่าวเตือน “อย่างน้อยก็ซ่อมแซมบ้านของท่านในตัวเมือง”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋องแล้ว ข้าไม่ขอรบกวน”
คนกล่าวด้วยน้ำเสียงสะบัดฉุนเฉียวถึงเพียงนั้น ข้าจึงยอมเงียบไปแต่โดยดี
หิมะยังคงหล่นร่วงลงจากท้องฟ้าไม่ขาดสาย ฤดูหนาวนี้ดูแล้วคงจะรุนแรงกว่าปกตินัก ข้ามองดูดวงจันทร์ครึ้มหม่น นึกไปถึงแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยล่วงหน้าเพราะดูท่าปีนี้ภัยหนาวคงหนักพอสมควร มองเหม่ออยู่แบบนั้นจนได้ยินเสียงทอดถอนใจแผ่วเบา กาน้ำชาถูกวางลงบนโต๊ะหนักๆหนึ่งครั้ง ข้าจึงได้หันไปมองดวงตาสีดำสนิทของแม่ทัพแดนใต้
“ท่านโกรธแค้นข้าหรือไม่?” เรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาเคี่ยวกรำผู้คนจนแทบเสียสติล้วนเป็นข้าที่ลากเอาหลินจวินเจ๋อข้ามาพัวพันในกระดานหมากนี้ เรื่องวิวาทของพวกเราพี่น้องสกุลหวงกลับทำให้ชีวิตผู้อื่นยุ่งยากวุ่นวาย ยากจะหวังว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกดี
“แล้วท่านอ๋องรู้สึกผิดหรือไม่?” คำถามของหลินจวินเจ๋อทำให้ข้านิ่งเงียบ มิได้กล่าวคำใดออกมา
รู้สึกผิดหรือ..ย่อมมีบ้าง ทว่าที่สุดแล้วข้าก็ยังคงดำเนินทุกสิ่งไปตามแผนที่ตนวางไว้ การเป็นหนึ่งในราชวงศ์จำต้องไร้ใจ การเป็นดาบเป็นปราการด่านสุดท้ายปกป้องบัลลังก์มังกรยิ่งไม่อาจใจอ่อน แม้สงสารเวทนาในชะตากรรมของผู้อื่นสุดท้ายยังต้องคิดถึงส่วนรวม กระทั่งหัวใจตนเองก็ต้องถูกวางไว้ ข้าแม้คิดเสียใจ แม้คิดละอายยังต้องเก็บอย่างมิดชิด ไม่ให้ผู้อื่นรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจตน
“หากบอกว่าพอมีอยู่บ้าง ท่านแม่ทัพคิดเห็นเช่นไร” ข้ากล่าวออกไปตามตรง
“เพียงแต่พอมีอยู่ จะชดใช้ได้อย่างไร หรือต่อให้รู้สึกผิดมากจนท้นฟ้าก็มิอาจย้อนเวลากลับมาได้ ข้าหลินจวินเจ๋อแม้จะทั้งใจอ่อนและโง่งม แต่ก็เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มิใช่ชนชั้นถือศีลกินเจ คงต้องรบกวนท่านอ๋องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต”
“รู้สึกผิดไปชั่วชีวิต..” ฟังแล้วประหลาดหูไม่น้อยดังนั้นจึงมองรอยยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย
“เห็นได้ชัดว่าท่านไม่มีทาง”
“ข้าไม่ขอให้ท่านยกโทษให้หรอก หากต้องตามก้มหน้าขอร้องทุกคนโปรดอภัย ข้าจวิ้นอ๋องคงไม่มีเวลาว่าง” ข้ายกชาขึ้นจิบพลางยิ้มน้อยๆ “ที่ผ่านมาล่วงเกินคนมามากมายเหลือคณานับ ข้าคงได้แต่สร้างความลำบากให้ผู้อื่นต่อ แต่กระนั้นยังมีบางสิ่งที่ข้าอยากทราบ เรื่องที่ท่านบุกไปวังตะวันออก”
“....ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงบุกไปช่วย” ข้าเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปและสบตาอีกฝ่ายตรงๆ
หากเป็นอาซิ่นผู้นั้นประสบภัย ข้ายังพอทราบว่าเพราะเหตุใดหลินจวินเจ๋อจึงได้บากบั่นเข้าช่วยเหลือ แต่นี่เป็นตัวข้ามิใช่เขา หลินจวินเจ๋อเองก็ทราบเรื่องนี้แล้วทว่าก็ยังเสี่ยงบุกเข้าไปหาข้าอีก ข้าไม่อาจคาดว่าอีกฝ่ายจะทำด้วยมโนธรรมหรืออยากช่วยเหลือ ทั้งที่รู้ว่าข้าลงมือทำร้ายตนไว้ไม่น้อยกลับยังวิ่งเข้ามาหา นี่ต่างหากเป็นเรื่องที่ทำให้ข้าแปลกใจอย่างมาก เขาช่วยข้าจนตนเองมีสภาพอเนจอนาถถูกผู้คนกระทำเช่นนี้ ไม่ทราบว่าตอนนี้คิดเสียใจอยู่หรือไม่
“ข้าไม่อยากเสียใจภายหลัง”
หลินจวินเจ๋อได้ยินคำถาม แม่ทัพแดนใต้นิ่งไปอึดใจก่อนจะสบตาข้าตรงๆ แววตาคู่นั้นยังมั่นคงและฉายแววจริงจังสัตย์ซื่ออย่างที่เป็นเหตุให้ข้าหยิบเขามาใช้งานใกล้เขา เจ้าของร่างสูงใหญ่ลอบถอนหายใจเล็กน้อย สีหน้าที่ปรากฏออกมาฉายแววรำลึกขณะที่สาเหตุซึ่งออกมาจากปากแม่ทัพแดนใต้ทำให้ข้าพูดไม่ออก “เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว ที่ท่านมิใช่อาซิ่นและที่อาซิ่นมิใช่ท่านย่อมไม่ต้องพูดถึงอีก ไม่แน่ใจว่าท่านอ๋องได้ทราบหรือไม่ถึงเรื่องที่ลี่เซียนได้กล่าวออกมา...”
“จ้าวลี่เซียนสั่งให้เสี่ยวเฉียววางยาข้าและกล่าวว่าท่านมีส่วนด้วย ข้าทราบ” ตระหนักไปถึงเรื่องนั้นแล้วข้าจึงพยักหน้า หากมิใช่เพราะความกล้านี้ของสองพ่อลูกสกุลจ้าว มีหรือข้าจะรอดจากคดีกบฏ
“เป็นเช่นที่ท่านกล่าว” หลินจวินเจ๋อนิ่งไปอึดใจก่อนจะมองออกไปด้านนอก “เช่นนั้นท่านคงทราบที่ข้าพูดว่าตนเองรู้สึกเช่นไรกับท่าน ข้าเกลียดชังท่านถึงเพียงนั้น ถึงขั้นเป็นเหตุให้ท่านต้องถูกปองร้ายหมายชีวิต ข้าคิดว่าตนเองถูกแย่งชิงความสุขที่เฝ้าใฝ่หาจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าหรือทำดีด้วย แท้จริงแล้วถึงขั้นนี้ก็ยังไม่รู้สึกผิด แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ข้าหลินจวินเจ๋อก็มิใช่คนไม่รู้จักบุญคุณคน”
บุญคุณ..ข้านิ่งฟังแล้วชะงักไปครู่ก่อนจะหรุบตาลง บุญคุณอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะบุญคุณจึงวางความขุ่นเคืองทั้งหมดแล้วช่วยเหลือ เป็นด้วยบุญคุณจึงยอมตกต่ำถึงขั้นนี้ ข้าตระหนักขึ้นอย่างเงียบงันว่าบุรุษเบื้องหน้านั้นมีคุณธรรมสูงส่งเพียงใด เพราะข้าช่วยฉุกเขาจากเมืองถานเฟิ่งให้ได้เป็นใหญ่ เป็นแม่ทัพออกรบเพื่อแผ่นดินจึงยอมเสี่ยงบุกเข้าวังตะวันออกมาทั้งที่ชังหน้ายิ่งนัก ช่างเป็นคนประเสริฐล้ำ และอาจเพราะเป็นคนเช่นนี้นี่เองหลินจวินเจ๋อจึงไม่เหมาะจะอยู่ในเมืองหลวง ไม่เหมาะที่จะตกอยู่ในปลักตมแห่งอำนาจอย่างยิ่ง นั่นอาจเป็นสิ่งที่ข้าคิดเช่นกันยามเห็นอีกฝ่ายอุตส่าห์บากหน้าถือดาบวิ่งเข้ามา ความละอายที่เกิดขึ้นบอกข้าว่าควรหยุดได้แล้ว และควรปลดปล่อยคนผู้นี้ออกจากกระดานหมากของตนเสียที
“ที่สำคัญกว่านั้น หากอาซิ่นกลับมาแล้วทราบว่าข้านิ่งเฉยไม่ยอมช่วยเหลือ เขาไม่ให้อภัยข้าแน่”
อย่างนั้นหรือ..
ข้ามองดูใบหน้าที่สะท้อนแสงจันทร์ของหลินจวินเจ๋อ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายลึกล้ำทั้งยังแฝงความคะนึงหาอย่างไม่มีสิ้นสุดยามเอ่ยคำ คนๆนั้นจะไม่ให้อภัยเขารึ ข้าคิดว่าหากอาซิ่นผู้นั้นทราบว่าเขาเป็นฝ่ายถูกข้าใช้ประโยชน์และทำให้เจ็บช้ำพบเคราะห์กรรมมามากอาจหันมาเล่นงานข้าแทนก็เป็นได้ เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแม้มีเรื่องไม่ชอบใจแต่ยากจะปฏิเสธว่าบางอย่างก็ชวนให้เผยรอยยิ้ม ความคิดต่อต้านและไม่พอใจอีกฝ่ายที่เข้ามายึดครองร่างค่อยเบาบางลงตามวันเวลา แน่ล่ะว่ายังคงเหลือรอยขุ่นทว่าเมื่อตัดปัญหาที่ต้องเผชิญออกไป หลายอย่างที่คนผู้นั้นทำเพื่อข้าก็นับว่าน่าซึ้งใจไม่น้อย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็มิอาจปล่อยให้เขากลับมาได้..
มองเห็นแววตาหวนอาลัยคล้ายวอนขอจากหลินจวินเจ๋อ ใช่ว่าข้าจะมิทราบถึงความต้องการของอีกฝ่าย หากเป็นไปได้เขาคงอยากพบคนรักอีกครั้ง และหากมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะพบคนของเขา แม้ต้องอยู่กับข้าชั่วชีวิตก็ไม่เป็นไร ที่เขากำลังไม่ขอใจอย่างลึกซึ้งนี้มิใช่เพราะตนถูกขว้างทิ้ง แต่เป็นเพราะจะไม่มีโอกาสได้พบอาซิ่นอีก..
ท่านแม่ทัพผู้นี้เป็นคนบ้ารัก เมื่อครั้งรักจ้าวลี่เซียนก็ทุ่มเทงมงาย ยามนี้ไยมิต่าง ข้ามองตาเขาแล้วทราบถึงความนัยในแววตาทันที ทว่าแม้อ้อนวอนขออย่างไรยังคงต้องส่ายหน้า ให้อีกฝ่ายได้ตระหนักและชิงชังซ่ำว่าข้าจวิ้นอ๋องก็ยังคงเป็นคนพรากรักจากอก ทั้งแม่นางลี่เซียนทั้งอาซิ่นคนนั้นต่างก็ไม่อาจกลับมาเคียงคู่หลินจวินเจ๋อได้ทั้งคู่ คนหนึ่งย่อมจากไปเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า อีกคนเล่าแม้ไม่อยากจาก ข้าก็บังคับให้เขาต้องจากไป
“ท่านรักเขามากหรือไม่?” ข้าเอ่ยถาม ทั้งอยากรู้และอยากทราบเพื่อตัดสินใจบางสิ่ง
“รัก” แม่ทัพแดนใต้จ้องหน้าข้าเงียบๆ ท่าทีจริงจัง
“ทั้งที่เขาใช้ร่างของข้า ทั้งที่เขามีรูปลักษณ์ของข้าอย่างนั้นหรือ?” เอ่ยถามไปพลางคลี่ยิ้มน้อยๆ ข้ายิ้มอย่างที่พยายามให้เหมือนอาซิ่นผู้นั้นและจ้องสบตาสีเข้มไม่กระพริบ “ท่านไม่เคยเห็นตัวจริงของเขาด้วยซ้ำ ที่กอดจูบลูบคลำผ่านมาก็เป็นตัวข้าทั้งสิ้น แล้วท่านรักเขาอย่างไร?”
“จวิ้นอ๋องอยากให้ข้ารับผิดชอบรึ” ได้ยินคำว่ากอดจูบลูบคลำ สีหน้าของหลินจวินเจ๋อก็ดูแปลกตา
“เรื่องแค่นั้นหาได้มีค่าให้ใส่ใจ” ข้าฟังคนกล่าวแล้วลอบส่ายหน้า จะอย่างไรข้าก็เป็นบุรุษ แม้ทราบจากสิ่งที่เห็นว่าร่างกายของตนถูกผู้อื่นกกกอดแล้วอย่างไรหาใช่สตรีที่ต้องรักษาความบริสุทธ์มิให้แปดเปื้อนดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถือสาเรื่องเล็กน้อย
“ก็จริง หากอยากให้ข้ารับผิดชอบ ท่านคงไม่ขอยกเลิกสมรส” แม่ทัพแดนใต้หัวเราะแผ่วเบาแล้วเหยียดริมฝีปากออก “เช่นนั้นก็อย่าได้ถามเรื่องนี้แล้ว ข้ารักเขาก็คือรักเขา ไม่เกี่ยวกับรูปโฉมหรือสิ่งอื่น มิได้เพ้อพกหลงใหลเพราะใบหน้าของจวิ้นอ๋อง แม้ท่านอ๋องจะงามมากเพียงไร แต่ท่านคงทราบกระมังว่าเพียงรูปลักษณ์ของท่านมิอาจทำให้ข้าหวั่นไหวได้แม้แต่น้อย”
“หากท่านเป็นเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้คืนแต่งงานล่วงมาเป็นปีโดยไม่กระทำสิ่งใด” ข้าเลิกคลี่ยิ้ม แต่พยักหน้ายอมรับก่อนจะสบตาบุรุษเบื้องหน้าเงียบๆ “แต่ต่อให้ท่านพูดอย่างไร ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้อาซิ่นผู้นั้นกลับมา”
ล้วนกระดาษแผ่นหนึ่งมาต่อหน้า จดหมายอันเป็นตัวแทนของคนผู้นั้นซึ่งข้าอ่านจนจบในที่สุด ที่เหลือแทนตัวบุรุษประหลาดซึ่งข้าไม่ทราบว่าเป็นใครกันแน่ สิ่งที่เป็นของคนผู้นั้นจริงๆคงมีเท่านี้กระมัง เป็นจดหมายฉบับเดียวที่เขียนมาให้ข้าและยามนี้ควรถูกส่งต่อ
“เช่นนั้นข้าก็หมดธุระแล้ว”
สีหน้าหลินจวินเจ๋อตึงขึงบ่งบอกว่าไม่พอใจเมื่อได้ยินข้ากล่าวเช่นนั้น ที่ยังยอมนั่งอยู่ตรงนี้หลังจากถูกข้าเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ไยดีเป็นเพราะอาซิ่นทั้งนั้น ข้าลูบจดหมายในมือ สัมผัสได้ถึงห้วงอารมณ์อันไม่แจ่มใสของอีกฝ่ายก็ได้แต่สูดหายใจลึก
“มันควรอยู่ที่ท่านมากกว่า นี่เป็นของขวัญจากลา โปรดรักษาตัวด้วย”
หลินจวินเจ๋อไม่กล่าวคำใด ใบหน้าตึงขึงของท่านแม่ทัพแดนใต้มองจดหมายที่เป็นของอาซิ่นคนนั้นแล้วจึงเอื้อมมือมารับ กริยาแม้เต็มไปด้วยความหงิดหงิดแต่คนยังคงเก็บเข้าไปในอกเสื้อด้วยท่าทีทะนุถนอม ไม่แสดงความอาลัยใดๆทั้งสิ้นขณะที่ลุกขึ้น เขาเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ต่างไปตรงข้าลุกขึ้นเพื่อคุกเข่าขออภัย ส่วนอีกฝ่ายลุกขึ้นเพื่อเดินจากไปไม่หันกลับมา
“ที่ผ่านมา ขอโทษด้วย”
นิ่งมองผืนพรมขนสัตว์นุ่มเท้าขณะที่ฝีเท้าของหลินจวินเจ๋อจากไป คนไม่ได้หันมามองหรือกล่าวสบถก่นด่าข้าที่พังชีวิตเขาแทบไม่เหลือชิ้นดีแต่ก็มิได้หันมายกโทษให้ ความมึนตึงเฉยชาที่ข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจนทำให้ตระหนักว่าเรื่องราวทั้งหมดจบลงแล้ว จากหมากตัวหนึ่งในมือที่ถูกข้าจับวางแล้วโยกเล่น ถูกทำลายสิ้นทั้งศักดิ์ศรีและความสุขในชีวิต จนถึงจุดเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ข้าตัดสินใจปล่อยออกไปด้วยไม่อาจฝืนรั้งและเหนื่อยหน่ายเหลือเกินในการต้องมาตั้งรับยุทธวิธีทำลายความสัมพันธ์มากมายของหวงไท่หยาง
แต่เขาก็มิได้กล่าวจะยกโทษให้..
ข้าไม่ได้รู้สึกผิดคาด ถูกคนผู้หนึ่งกระทำเช่นนี้ใครจะมีแก่ใจวางตนเป็นผู้มีเมตตาได้อีก ซ้ำที่ข้าคุกเข่าขออภัยก็ด้วยอยากทำให้ตนเองสบายใจมิใช่ด้วยสิ่งอื่น ใต้เข่าของผู้ชายมีทองคำก็จริงแต่เทียบกับเรื่องราวที่ผ่านมานับว่าเล็กน้อยยิ่ง ศักดิ์ศรีจะเสียไปก็ต่อเมื่อตนคิดว่าเสียเท่านั้น ดังนั้นแม้คุกเข่าให้ข้าก็มิได้ก้มศีรษะและยังเชิดหน้าทรนงทั้งลุกขึ้นมาด้วยตนเอง
เสียงของสายฝนดังขึ้นเบาๆ ฝนโปรยลงมาแล้วพร้อมหิมะทำให้ความเหน็บหนาวยิ่งรุนแรง ข้ามองเห็นแผ่นหลังของหลินจวินเจ๋อเดินตัดผ่านสวนเพื่อกลับยังจวนแม่ทัพของตน เงาร่างของเขายังคงสูงใหญ่เยี่ยงนักรบผู้แกร่งกล้า ทว่ากลับมองดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงายิ่งนักเมื่อไร้คนข้างกาย
ข้าหลอกใช้ ทำร้ายเขา ช่วยเหลือเขา เขาเองก็เกลียดชัง ทำร้าย แต่ยังช่วยเหลือข้า ต่างให้และต่างฉวยเอาไปเป็นของตนตามแต่โอกาสจะมี ความรักความแค้นในชีวิตนี้ล้วนสับสนปนเปจนยากจะแยกออก
ที่สุดก็จบสิ้นกันเสียที...
-----------------------
แปะเพลงนี้บิวท์อารมณ์ แล้วตอนหน้ามาพบกับเหล่าจือกันค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พยายามสงสารท่านอ๋องให้ได้อย่างช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้มันบิ้วไม่ขึ้นจริงๆค่ะ เราว่าท่านอ๋องเป็นคนน่าสงสารที่หัวแข็ง ปากแข็ง จริยธรรมมีปัญหาเป็นรองแค่ฮ่องเต้ ฮองเฮา และรัชทายาท การรู้สึกผิดทำให้เสียเวลา สำหรับท่านแม่ทัพที่เสียยวนยางเก๊ๆ อย่างลึ่เสียนยังพอทน แต่องครักษ์หรือพ่อบ้านหรือคนอื่นๆที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อแผนการต่างๆนาๆ คิดว่าท่านอ๋องควรหาเวลามานั่งเสียใจรู้สึกผิดบ้าง หากมีเวลาว่างต้องลองมองย้อนกลับไปทบทวนชื่อผู้ตายด้วย
ท่านอ๋องน่าสงสาร แต่คำพูของท่านอ๋องนี่แหละที่ไม่น่ารักเลย ????
เห็นแก่ตัวได้
ผีเน่าโลงผุคู่กะรัชทายาทดีจริงๆ
อยากให้คนงามคู่กับไท่หยาง คู่นี้มีความลงตัววว