ตอนที่ 77 : เสร็จศึกฆ่าขุนพล
ประตูตำหนักรัชทายาทเปิดให้คนออก ทว่าประตูวังหลวงกลับปิดแน่น ทหารองครักษ์ในเกราะหนานับร้อยยืนอยู่อย่างสงบ ในมือมีหอกสีเงินเป็นประกาย เบื้องหน้าคือขันทีผู้หนึ่งประสานมือนบน้อมหากสีหน้าที่ปรากฏเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว รถม้าของวังจวิ้นอ๋องอยู่เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านั้นประตูที่ไม่กี่ก้าวก็จะสามารถเดินออกถูกปิดไว้แล้วไยมิทราบว่าถึงคราวเคราะห์ของตน
ข้าแม้ไม่แปลกใจแต่หัวอกก็เหน็บหนาว หลินจวินเจ๋อปล่อยให้ข้าลงยืนขณะที่เหล่าไท่ปราดมาประคอง มือเหี่ยวย่นของข้ารับใช้คนสนิทยังคงสั่นน้อยๆ หลังผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย ข้าบีบมือเหล่าไท่ มองดูทหารและผู้คนเบื้องหน้าอย่างทราบดีถึงชะตากรรม ยามเห็นขันทีคนสนิทของโอรสสวรรค์สะบัดชายเสื้อคุกเข่ากล่าวให้น้อมรับพระกระแส ข้าก็ทราบดีว่าเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดนั้นล่วงถึงพระเนตรพระกรรณของพระองค์แล้ว
คำว่า ‘บุกเข้าตำหนักตะวันออก คิดปองร้ายทายาทบัลลังก์มังกร’ หาได้ผิดแผกไปจากที่คิด ข้อกล่าวหานี้ถูกเตรียมมาไว้ให้กับหลินจวินเจ๋อเรียบร้อยแล้ว ทว่าขณะกำลังคุกเข่ารอฟังถ้อยคำที่กล่าวโทษตนฐานทำให้หวงไท่หยางเลือดตกกลับถูกเหล่าไท่ฉุดให้ลุกขึ้น ข้าคิดแปลกใจว่าไฉนตนไม่ได้ยินหรือเป็นเพราะฤทธิ์ยา ทว่าขันทีผู้นั้นเดินออกไปแล้ว ภาพที่เห็นคือหลินจวินเจ๋อยอมคุกเข่าถูกนำตัวไปจองจำในคุกหลวงแต่เพียงผู้เดียว
“นายน้อยกลับวังเถิด”
เหล่าไท่เข้ามาประคองให้ข้าเดินออกไปยังรถม้าที่จอดรอท่า เห็นเสี่ยวเจี๋ยสีหน้าเผือดขาวรีบร้อนมาประคอง ยังมองเห็นคนขัยรถม้าซึ่งศีรษะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนปรากฏความวุ่นวายใจ คนของข้าเข้ามารับเอาตัวไว้พลางนำขึ้นไปนั่งในรถม้าได้อย่างปรกติ หาได้ถูกทหารรักษาการณ์จับกุมตัวไว้ เหล่าไท่ขึ้นมานั่งอยู่เบื้องหน้า จับมือของข้าที่เป็นรอยแผลมาสำรวจดูขณะที่รถม้าค่อยๆแล่นออกเพื่อกลับถึงวังจวิ้นอ๋อง
ข้ากระพริบตามองรอยแผลที่ฝ่ามือ ความเจ็บแสบและหยดเลือดที่ถูกเค้นออกบ่งบอกว่าเรื่องที่ผ่านมาหาใช่ความฝัน ข้าได้หยิบมีดพุ่งเข้าหาไท่หยาง เป็นผู้ทำให้เจ้าของวังตะวันออกต้องหลั่งโลหิต ความผิดที่ไม่อาจให้อภัยก่อขึ้นแล้วกลับไม่ถูกผู้คนกล่าวถึง ที่ต้องรับกรรมกลับมีเพียงหลินจวินเจ๋อเท่านั้น
“นายน้อย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยของเหล่าไท่ทำให้ข้าหลุดออกจากห้วงคิด ยามนี้ทำได้เพียงคลี่ยิ้มอันไร้ความหมายมิอาจเอ่ยคำ ข้านิ่งเงียบใช้เวลาตรึกตรองเรื่องราวทั้งหมดด้วยห้วงความคิดที่แจ่มใสขึ้น ใช่ว่าข้าจะไม่ทราบว่าการกระทำของตนบ้าบิ่นเพียงไรและส่งผลเสียมากเพียงไหน วันนี้เรื่องราวยังไม่ถูกเปิดเผย มีเพียงหลินจวินเจ๋อถูกจัดการไปก่อนแต่ใช่ว่าสิ่งที่ข้าทำจะไม่หลุดออกมา ผู้ที่รอคอยโจมตีวังจวิ้นอ๋องมีมากมายซ้ำความผิดในเรื่องนี้ชัดเจนยิ่งนัก ข้าอาจไม่ถูกจัดการเพราะอำนาจที่มีในมือ แต่ที่สุดแล้วก็เลี่ยงผลเสียที่จะเกิดไม่ได้ สตรีผู้มีศักดิ์เป็นถึงแม่ของแผ่นดินผู้นั้นคงไม่ปล่อยให้ข้าซึ่งทำร้ายบุตรชายตนได้ลอยนวล
แต่หากต้องเลือกระหว่างเสือกมีดเข้าหาหวงไท่หยางเพื่อให้เขามีสติกับงอมืองอเท้ายอมแพ้ทุกอย่าง ข้ายังคงเลือกทำร้าย มีทางเดียวที่ทำได้คือขยี้ดวงใจอีกฝ่ายด้วยมือของตนแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด คลี่ยิ้มให้กับการกระทำอันโง่งมของตนเองอีกครั้ง รอยแสบที่ริมฝีปากทำให้ข้ายกมือขึ้นลูบอย่างเผลอไผล หากแตะแล้วก็ยังต้องถอนใจ หลับตาแล้วพยายามตั้งสติแล้ว แววตาของหวงไท่หยางที่เจือความเจ็บแปลบกลับยังไม่อาจลบเลือนไปจากห้วงคิด คละเคล้ากับเรื่องราวในอดีตเป็นรสชาติสุดบรรยาย เพราะไม่อาจลืมดังนั้นจึงทำได้เพียงรู้สึกเจ็บอย่างยิ่ง..
“นายน้อย นายท่านหลิน..” ข้าปรือตาขึ้นจ้องมองเหล่าไท่ที่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ข้านึกถึงหลินจวินเจ๋อ เจ้าของตำแหน่งแม่ทัพแดนใต้ บุรุษที่สู้อุตส่าห์ถือดาบเข้ามาช่วยเหลือและต้องถูกลากไปจองจำผู้นั้น การกระทำของเขากล้าหาญไม่กลัวตายยิ่งนัก ทว่านับจากถูกอุ้มออกจากวังตะวันออกข้ากลับไม่ได้พูดคุยกับหลินจวินเจ๋อสักครึ่งคำ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับไท่หยางทุกคนที่นั่นย่อมทราบหมดแล้ว ข้าไม่คิดเพ้อฝันว่าแววตาอันชืดชาของหลินจวินเจ๋อยามเผลอสบมองไม่ได้หมายถึงโทสะบางอย่างที่มีต่อตน คนผู้นี้เกลียดนักที่ถูกหลอกใช้ บัดนี้เมื่อเขาทราบว่าที่แท้ผ่านมาตนเองกลายเป็นหมากถูกข้าจับวางเพื่อรับหน้าไท่หยาง ต้องถูกพรากทั้งคนรักทั้งเกียรติยศศักดิ์ศรีย่อมมีโทสะถึงที่สุด ความเงียบและการก้มหน้ารับผิดอย่างไม่ปริปากใดๆสำหรับข้านั้นช่างไม่น่าไว้วางใจ ปรารถนาให้อีกฝ่ายได้ตะโกนด่าทอเช่นที่ผ่านมายิ่งนัก
“จัดคนของเราไปดูแล อย่าให้ท่านแม่ทัพในคุกหลวงต้องลำบาก”
ข้าเอนศีรษะพิงผนังรถม้าแล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงอันแหบพร่า สิ่งที่ช่วยได้ยามนี้มีเพียงคอยดูแลอีกฝ่ายไม่ให้เกิดเรื่องถึงชีวิต แม้คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังขุนนางผู้ทำความผิดนั้นจะได้รับการดูแลอย่างดีแต่ก็ไม่อาจวางใจว่าจะไม่ได้รับอันตราย อย่างน้อยก็ต้องดูแลจนถึงเวลาพิจารณาโทษก่อน ดูจากอากัปกริยาของขันทีซึ่งมาแจ้งพระราชกระแสไม่ได้เหลือบแลข้าบ่งชัดว่าโอรสสวรรค์ไม่ต้องการพูดคุย หากคนผู้นั้นไม่ปรารถนาจะพบหน้าข้าเช่นนั้นหมายถึงพรุ่งนี้หากคิดอยากช่วยเหลือหลินจวินเจ๋อย่อมต้องลงมือและคิดกระทำเองอย่างไร้ผู้ช่วยเหลือ
รู้สึกเหนื่อยล้าและเป็นกังวลยิ่งนัก ข้าไม่อาจรักษารอยยิ้มบนใบหน้าได้จึงกระทำเพียงทอดถอนใจ ไม่นานก็สัมผัสถูกบางอย่างที่อยู่ในอกเสื้อ จดหมายจากคนประหลาดผู้นั้นยังถูกซุกไว้หลังจากอ่านเพียงบางส่วนไม่ได้อ่านต่อ ข้าล้วงมันออกมาและคลี่ออกช้าๆ ไม่ทราบเป็นอย่างไรตอนนี้จึงคิดอยากทราบเนื้อหาด้านในขึ้นมา
สวัสดี
เคยอ่านมาแล้วกลับต้องมาอ่านอีกครั้ง มองตัวหนังสือราวกับคนผู้หนึ่งกำลังพยักหน้าทักทายอย่างเงียบงัน ข้าจ้องมองลายมือที่คล้ายเหมือนตนเสียแปดส่วนแล้วแตะปลายนิ้วลงไป ข้าอ่านมันอย่างจริงจังกว่าทุกครั้ง ปล่อยให้เวลาก่อนไปถึงวังของตนกลายเป็นสถานที่ทำความรู้จักกับ ‘อาซิ่น’ ที่จนบัดนี้ข้าทราบเพียงเขามีชื่อเดียวกับตน
‘ผมรักหลินจวินเจ๋อ’
ข้าจ้องมองข้อความนั้นซ้ำๆ ความเงียบลอยอยู่เช่นนั้นเมื่อไม่มีใครเอ่ยปาก เหล่าไท่ได้แต่ส่งสายตาห่วงใยและเป็นกังวลมา ขณะที่ข้าจดจ่ออยู่กับจดหมาย จนใกล้ถึงประตูวังนั้นเองทุกข้อความจึงหมดลง เมื่ออ่านจบนั้นเองจึงถอนใจออกมาอย่างยาวนาน
-----------------------------
รุ่งเช้าของอีกวัน ผู้คนในเมืองหลวงไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย ที่เป็นขุนนางรับใช้เจ้าชีวิตหรือเป็นบ่าวไพร่ก้มหน้าให้ผู้อื่นต่างได้ทราบข่าวกันแล้วว่าแม่ทัพแดนใต้เจ้าของฉายาเทพสงครามแห่งเทียนจิ้น หลินจวินเจ๋อกระทำการอุกอาจถือดาบเข้าวังตะวันออกล่วงเกินองค์รัชทายาทหวงไท่หยางและบัดนี้ถูกคุมตัวอยู่ในคุกหลวงรอการไต่สวน ข่าวลือลอยลมมีมากมายทั้งกล่าวว่าถึงขั้นทำให้ทายาทบัลลังก์มังกรเลือดตกยางออก บ้างก็กล่าวว่าที่ทำไปเพราะแม่นางจ้าวลี่เซียนคนรักตน บ้างก็กล่าวว่าคนคิดตามตัวจวิ้นอ๋องที่ถูกเชิญไปก่อนหน้า ไม่ว่าเรื่องราวแท้จริงจะเป็นอย่างไร ที่รอคอยอยู่คือความตกต่ำของแม่ทัพแซ่หลิน ซึ่งบัดนี้ไม่ว่าเบื้องหลังจะยันไว้ด้วยวังจวิ้นอ๋องหรือมีคุณความดีสะท้านแผ่นดินก็ไม่อาจช่วยเหลือได้แล้ว
เรื่องราวเก่าๆถูกขุดค้น ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นคนรักของแม่นางจ้าวแล้วถูกสมรสพระราชทานของจวิ้นอ๋องบังคับ เรื่องที่ว่าก่อนแต่งข้าหายตัวไปและถูกพบอยู่ที่วังตะวันออก ทั้งราชโองการห้ามข้าและหวงไท่หยางพบปะโดยไม่มีเหตุอันควร เหตุการณ์เสนาบดีกลาโหมต้องโทษฐานกล่าวว่าจวิ้นอ๋องเป็นกบฏ บุญคุณความแค้นที่พัวพันถึงบุคคลสำคัญระดับแคว้น ไม่ว่าใครต่างตกเป็นขี้ปาก ไม่ว่าผู้ใดล้วนโดนลากมาลงน้ำครำกันถ้วนหน้า
ข้าก้าวเข้าไปในที่ประชุมขุนนางอย่างสงบท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คน แม้ทราบดีถึงสายตาอยากรู้ของผู้อื่นแต่ก็ได้แต่ดำรงตนนิ่งเงียบไว้ รอยแผลที่มือถูกใส่ยาอย่างดีแล้วและสมานได้ไม่ยากแต่หากเปิดช่องให้ผู้อื่นเอาเปรียบจะกู้คืนได้คงสาย ข้าทบทวนเรื่องราวทั้งหมดพลางยืนอยู่อย่างสงบที่ฝั่งซ้ายของโอรสสวรรค์ อยู่หน้าแถวเหล่าขุนนางบู๊บุ๋นด้วยตนเองมีฐานะศักดิ์สูงกว่า ยามนี้ฮ่องเต้ยังไม่มาถึงจึงมีเสียงพูดคุยกันเบาๆไม่ขาดหู แม้จะไม่มีใครอาจหาญกล้าถามข้าถึงเรื่องราวที่เกิดแต่ทุกสายตาต่างก็มองอย่างใคร่รู้ว่าข้าผู้เป็นอ๋องจะจัดการอย่างไร
“ฮ่องเต้เสด็จ”
เสียงร้องบอกของขันทีประจำพระองค์ดังขึ้น ทำให้ผู้คนในท้องพระโรงต่างคุกเข่าลงสะบัดแขนเสื้อก้มหน้าทำความเคารพ ข้ามองเห็นเพียงชายฉลองพระองค์สีทองสูงค่าเช่นเดิม ขณะที่ร่างอันเต็มไปด้วยรัศมีเรืองรองของเจ้าแผ่นดินประทับลงบนบัลลังก์มังกร เจ้าของอาภรณ์สีเปลือกไม้ที่ถอยออกมาข้าแจ้งใจว่าคงเป็นหวงไท่หยาง ดังนั้นเมื่อฝ่าบาทกล่าวให้ทุกคนลุกขึ้นตนเองจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แม้เมื่อวานเกิดเรื่องราวใหญ่โตเยี่ยงไรข้าก็ปรารถนาจะเห็นเขาสบายดี
ร่างสูงสง่าของรัชทายาทหวงไท่หยางยืนอยู่เบื่องขวาของฝ่าบาท คนอยู่ตรงข้ามกับข้ามีท่าทีปรกติ ข้ามองใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆเช่นเดิมหากที่ลำคอกลับมีผ้าขาวพันไว้ ตอกย้ำให้ผู้คนตระหนักว่าเรื่องราวข่าวลือที่เกิดขึ้นหาได้เป็นเท็จ ราวกับจะทราบว่าตนถูกจ้องมอง ดวงตาสีน้ำตาลขุ่นข้นไร้ก้นบึ้งนั้นวันนี้ดูจะมืดดำกว่าเดิมจ้องกลับมาและคลี่ยิ้ม สร้างความปวดแปลบที่ฝ่ามือจนข้าเผลอกำมือแน่น เมื่อวานยามเช้าในท้องพระโรงคนของรัชทายาทถูกข้าเล่นงาน จ้าวหนิงเฉิงยังโดนจำคุกและเตรียมถูกถอดออกจากตำแหน่ง ยามบ่ายหลินจวินเจ๋อกลับก่อเรื่องสะเทือนเลือนลั่นจนโดนจับขัง ต่างฝ่ายต่างเสียหายต่างล้มตัวหมากของกันและกันลงไป ทั้งได้และเสียชกไปหนึ่งหมดก็โดนกลับมาหนึ่งมัดจริงแท้
“นำตัวเข้ามา”
ไม่ทันที่ผู้ใดจะกล้าวถึงเหตุการณ์บ้านเมือง สุรเสียงของโอรสสวรรค์ก็ดังขึ้น ข้าได้ยินแล้วรู้สึกได้ว่ามันเรียบเฉยหากแฝงไปด้วยโทสะ ถึงขั้นให้ลากตัวคนเข้ามาไม่ยอมพิจารณาเรื่องอื่นก่อนแสดงว่าฝ่าบาทมีโทสะยิ่งแล้ว และคงไม่คิดช่วยเหลือไว้ชีวิตผู้ใด..
ข้านิ่งงันไปครู่หนึ่งกับลางสังหรณ์ที่เป็นจริงขณะร่างหนึ่งเดินเข้ามาในท้องพระโรง ขุนนางที่แหวกออกเป็นสองแถวทั้งบุ๊และบุ๋นต่างได้มองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน หลินจวินเจ๋อผู้เคยสวมชุดขุนนางบู๊ยืนอยู่แถวหน้าหายไปแล้ว บัดนี้เหลือเพียงนักโทษในชุดขุนนางใบหน้าสกปรกมอมแมมถูกจับมัดมือไพล่หลัง ข้ามองรอยช้ำบนใบหน้าของอีกฝ่าย นึกในใจว่ากระทั่งส่งคนไปดูแลกลับมิอาจช่วยให้แม่ทัพแดนใต้หลุดพ้นจากการถูกลอบทำร้าย กระนั้นร่างของขุนทัพที่ถูกพันธนาการยังเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันและท่วงท่าสง่า ร่างสูงใหญ่ของเขายืนทระนงไม่ก้มหัวลงแม้แต่น้อยกระทั่งถูกบังคับให้คุกเข่าลง
“กระหม่อมหลินจวินเจ๋อถวายบังคมฝ่าบาท”
“เมื่อวานเราได้ทราบข่าวถึงความกล้าของคนผู้หนึ่ง ทราบว่าบุรุษผู้นั้นถือดาบมุ่งเข้าวังตะวันออกเพื่อปองร้ายรัชทายาทของแผ่นดิน” ข้านิ่งฟังฮ่องเต้ผู้สลัดท่าทีโอบอ้อมอารีทิ้งไปสู่เนื้อแท้อันเย็นเฉียบกร้าวแข็ง กระทั่งอีกฝ่ายถวายเคารพก็ไม่มีท่าทีรับรู้ด้วยความตระหนักว่าฝ่าบาทมีโทสะแล้วกำมือแน่น “ว่าอย่างไร ท่านแม่ทัพหลิน เทพสงครามแห่งเทียนจิ้น..ท่านมีข้อโต้แย้งใดเชิญกล่าว”
“ฝ่าบาท...”
“จวิ้นอ๋องอย่าเพิ่งสอดปาก” ดวงเนตรสีดำสนิทเต็มไปด้วยความเฉียบคมและฉายประกายเยือกเย็นชวนให้หนาวเหน็บไปทั้งสรรพางค์กายตวัดมองเพียงครั้ง หากหยุดยั้งทุกคำพูดที่จะออกมาจากปากข้าอย่างง่ายดาย “เราไว้ชีวิตคนผู้นี้ซ้ำยังให้เข้ามาร่วมไต่สวนในสภาขุนนางด้วยอยากทราบเหตุผลว่าเทพสงครามผู้นี้คิดทำร้ายรัชทายาทด้วยเหตุใด หากไม่พูดแม้คนนับร้อยคุกเข่าขอชีวิตก็ไร้ผล”
“...”ข้าฟังแล้วได้แต่นิ่งเงียบ ก้มศีรษะลง
“กระหม่อม..” หลินจวินเจ๋อเอ่ยปากขึ้นหลังจากนิ่งเงียบไปครู่ ข้าเหลือบมองเขาเงียบๆและเห็นว่าร่างของแม่ทัพแดนใต้กำลังโขกศีรษะเพื่อกล่าวอธิบาย “ถือดาบเข้าไปในวังตะวันออก บุกเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง”
“แล้วทราบหรือไม่ว่ามีโทษใด?”
“ทราบพะยะค่ะ” แม่ทัพแดนใต้นิ่งเงียบเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่มอมแมมและมีรอยแผลมองไปยังโอรสสวรรค์ชั่วแล่นแล้วก้มหน้าลง “แม้ทราบ ทว่ากระหม่อมก็ต้องทำ เนื่องจากต้องตามตัวจวิ้นอ๋องให้พบ”
“ท่านมิทราบหรือว่าจวิ้นอ๋องถูกข้าเชิญพบที่ตำหนักเฟิ่งเทียน แล้วจะอยู่ที่วังตะวันออกได้อย่างไร”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขออธิบาย” ข้าฟังโอรสสวรรค์กล่าวถึงเรื่องนี้ทั้งที่ทรงทราบดีว่าหลังจากนั้นตนถูกพาตัวไปไหนแล้วทราบดีว่าต้องพูด หากไม่สอดปากแล้วหลินจวินเจ๋อคงไม่พ้นต้องหัวหลุดจากบ่า เรื่องนี้ฮ่องเต้นอกจากไม่คิดช่วยข้าแล้วยังซ้ำเติมด้วยปรารถนาจะเห็นคนดิ้นรน..ช่างนิยมความสนุกสนานไม่ต่างกับหวงไท่หยางแม้แต่น้อย
“เดิมทีฝ่าบาทเรียกตัวกระหม่อมไปที่ตำหนักเฟิ่งเทียน และหม่อมฉันเองก็เดินทางไปแล้วพะย่ะค่ะ” กล่าวแล้วข้าก็ปรายตาไปยังองค์รัชทายาทที่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ว่างตนราวกับไม่เกี่ยวข้อง “ทว่ายามนั้นฝ่าบาทเสด็จไปเยี่ยมไข้องค์ชายสิบสอง หลังรออยู่ครู่หนึ่งองค์รัชทายาทจึงเข้ามาเชิญข้าไปสนทนาที่วังตะวันออก...โดยลืมคิดถึงราชโองการที่ฝ่าบาทมอบให้”
“ว่าต่อไป” ฮ่องเต้ไม่กล่าวสิ่งใดหากปลายนิ้วที่ทรงเคาะเบาๆบนพนักบัลลังก์มังกรบ่งบอกว่าฝ่าบาทกำลังรอชมอยู่..
“เมื่อสองปีก่อน” ข้าเกริ่นขึ้นเบาๆพลางสูดหายใจเล็กน้อย ที่สุดก็ต้องหยิบเอาราชโองการนี้มาใช้จนได้ “ฝ่าบาทเคยมอบราชโองการแก่กระหม่อมว่ามิให้วังจวิ้นอ๋องกับวังตะวันออกติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร ที่รัชทายาทเชิญหม่อมฉันไปวังตะวันออกด้วยอยากเล่นหมากนั้นก็ทราบอยู่ เพียงแต่เทียนหยางยังอยู่ในช่วงป่วยไข้ ร่างกายได้รับพิษจึงต้องดื่มยาให้ตรงเวลา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วไม่พบคน แม่ทัพหลินจึงได้ออกตามหา”
“เราทราบมาว่ารัชทายาทเชิญจวิ้นอ๋องและพ่อบ้านที่มียาอยู่กับตัวไปด้วย” ดวงเนตรคมปลาบมองมา ดั่งจะถามว่าข้าคิดแก้ตัวอย่างไร
“พะยะค่ะ แต่แม่ทัพหลินไม่ทราบ” ข้าไม่อาจปฏิเสธว่าตนเองดื่มยาไปแล้วจึงตอบรับ “ก่อนจะไปพบฝ่าบาทที่ตำหนักเฟิ่งเทียน แม่ทัพหลินมารอกระหม่อมคิดสนทนาด้วย แต่เนื่องจากถูกตามตัวไปที่ห้องอักษรจึงได้ขอให้ท่านแม่ทัพรออยู่ที่รถม้า เมื่อถึงเวลารับประทานยาแล้วข้ายังไม่กลับจึงได้ออกตามหา กลัวว่าหากดื่มยาไม่ตรงเวลาจะเกิดอันตรายได้”
“จวิ้นอ๋องจะบอกว่าเหตุที่แม่ทัพหลินบุ่มบ่ามบุกเข้าไปในตำหนักตะวันออกเป็นเพราะห่วงใยสุขภาพของเจ้าจนลืมตระหนักถึงกฏเกณฑ์อื่น”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้พะยะค่ะ” ข้ากลืนน้ำลายช้าๆและกล่าวตอบรับ “แม้คนมีความผิดแต่ก็เป็นความผิดสุดวิสัย หาได้ตั้งใจทำอันตรายใดๆแก่รัชทายาทไม่”
“หากไม่ได้ตั้งใจทำร้าย แล้วไยจึงถือดาบติดมือมา?”
ข้อคำถามนั้นทำให้ข้าเงียบนิ่ง ไม่อาจกล่าวคำ ทำได้เพียงเหลือบมองดูสีหน้าของฮ่องเต้เพื่อหยั่งพระอารมณ์เท่านั้น ทว่าไม่ทราบเพราะบัลลังก์อยู่ไกลไปหรือไม่ ข้าจวิ้นอ๋องจึงไม่อาจทราบว่าพระองค์คิดเห็นเช่นไร เห้นเพียงรอยยิ้มของหวงไท่หยางอันรื่นรมย์ยิ่งนัก..
“เป็นเพราะกระหม่อมเข้าไปไม่ได้พะยะค่ะ” นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งอย่างไม่คิดว่าจะมีใครกล่าวคำใดขึ้นหลินจวินเจ๋อกลับเอ่ยแทรก น้ำเสียงของแม่ทัพแดนใต้ดังกังวานเป็นอย่างยิ่งทำให้ข้าต้องหันไปมองด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจ แววตาที่เปล่งประกายของอีกฝ่ายบอกให้ทราบว่าคนผู้นี้ไม่คิดยึดติดลาภยศใดๆและพอใจจะสังเวยชีวิตไปกับเรื่องนี้แล้ว แต่ข้าจะยอมได้อย่างไรเล่า
“กระหม่อมทราบจากขันทีผู้หนึ่งว่าจวิ้นอ๋องถูกเชิญไปที่ตำหนักตะวันออก” หลินจวินเจ๋อเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างชัดเจน “กระหม่อมจำได้ดีว่าจวิ้นอ๋องไม่ควรไปตำหนักตะวันออกเพราะราชโองการของฝ่าบาทห้ามไว้ แม้ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงยอมไป แต่คิดว่าควรกลับมาก่อนจะเกิดเรื่อง อีกทั้งเลยเวลาดื่มยาแล้วจึงได้เดินทางไปวังตะวันออก คิดไม่ถึงว่าขอพบไม่ได้ ที่สุดด้วยความร้อนใจจึงต่อสู้กับองครักษ์วังตะวันออกและชิงอาวุธมา”
ถ้อยคำสารภาพอย่างหมดจดชัดเจนของหลินจวินเจ๋อเรียกเสียงพึมพำดังทั่วท้องพระโรง กระทั่งรัชทายาทและฝ่าบาทยังจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ นี่คือคามจริงแน่นอนที่หลินจวินเจ๋อกล่าว คนไม่บอกคำเท็จสักครึ่งคำแต่ความจริงนี้หาใช้สิ่งที่ผู้คนอยากได้ยินดังนั้นจึงมีแต่สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจไม่หยุด มองจากตรงนี้ข้าทราบดีว่าคนที่ฝ่าบาทตั้งใจจะปกป้องคือไท่หยาง ระหว่างบุตรในสายเลือดกับแม่ทัพผู้หนึ่งคนย่อมเลือกเขาอยู่แล้ว ซ้ำตอนนี้หลินจวินเจ๋อยังมีชื่อเสียงโด่งดังเกินไป ดีงามเกินไป ทั้งข้าและเขาจับมือกันรุ่งโรจน์เสียจนแทบก้าวนำราชวงศ์เทียนจิ้น นี่หาใช่เรื่องที่โอรสสวรรค์ต้องการให้เกิด
จดหมายกล่าวว่าข้าเป็นกบฏของจ้าวหนิงเฉิงคือการเล่นงานจากฝั่งรัชทายาทและฮองเฮา ต่อมาเรื่องของหลินจวินเจ๋อก็เป็นการวางแผนของไท่หยางที่ฝ่าบาททำเป็นหลับหูหลับตาไม่รู้ไม่เห็น ในเมื่อไม่อาจตัดใจทำลายข้าลงได้ก็เลือกจะบั่นขาข้าด้วยการทำตัวหลินจวินเจ๋อออกไปไม่ให้วังจวิ้นอ๋องแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ไท่หยางได้กำจัดคนที่เขาชังนัก ส่วนฮ่องเต้ได้กำจัดผู้ที่อาจสั่นคลอนราชวงศ์เทียนจิ้น ทุกอย่างสอดคล้องกันเช่นนี้แล้วจึงต่างทราบดีว่าไร้ทางรอด กระทั่งหลินจวินเจ๋อเอ่ยเรื่องราชโองการออกมา นี่มิใช่บอกว่าคิดตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับผู้ถือครอบัลลังก์มังกรหรือหรือ
“แม่ทัพหลินจะกล่าวว่าเป็นเพราะรัชทายาทละเมิดราชโองการของข้า ดังนั้นจึงได้ถือดาบวิ่งเข้าไปในวังตะวันออกด้วยเจตนารับตัวคนกลับอย่างนั้นหรือ และเป็นเพราะรัชทายาทเมินเฉยราชโองการก่อน จึงคิดว่าตนสามารถทำให้โอรสของข้าหลั่งโลหิตได้?” น้ำเสียงของฝ่าบาทเรียบเฉย หากมีเค้าลางแห่งความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น”
“ฝ่าบาท เรื่องรอยแผลของรัชทายาท...”
“เสด็จพ่อ”
คิดว่าที่สุดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของฮ่องเต้ได้แล้วแล้ว ด้วยความผิดที่ทำให้ไท่หยางเกิดแผลถูกยื่นไปป้ายสีหลินจวินเจ๋ออย่างเต็มที่ข้าจึงเตรียมจะเอ่ยปากยอมรับว่าผู้ที่ทำให้ไท่หยางต้องบาดเจ็บคือตนเอง แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงกล่าวนำรัชทายาทกลับเป็นฝ่ายคุกเข่า ประสานมือกล่าวเสียงกังวานหนักตัดบทข้าไม่ให้เอ่ยจนจบได้
“เรื่องบาดแผลของหม่อมฉัน หาได้เป็นความผิดของแม่ทัพหลิน” คำกล่าวของรัชทายาทสร้างเสียงพูดคุยซุบซิบทั่วท้องพระโรงอีกครั้ง ใบหน้าของผู้คนต่างเต็มไปด้วยความสงสัยขณะที่ข้ากำมือแน่น จ้องมองใบหน้าผ่องใสเต็มไปด้วยความจริงใจของหวงไท่หยางอย่างไม่อาจทราบถึงเจตนา “ยามนั้นแม่ทัพหลินบุกมาถึงวังตะวันออกก็จริง แต่ไม่ถึงตัวก็ถูกหม่อมฉันสั่งองครักษ์จับตัวไว้ แผลนี่...เป็นความผิดของกระหม่อมเองพะยะค่ะ”
“เป็นความผิดของเจ้า หมายถึงสิ่งใด?” ฝ่าบาทมองไปยังหวงไท่หยางอย่างไม่เข้าใจ ข้าเองก็เช่นกัน
“เนื่องจากยามนั้นกระหม่อมและจวิ้นอ๋องกำลังเดินหมากและจิบชาด้วยกันอยู่ เมื่อแม่ทัพหลินมาถึงตำหนักตะวันออกด้วยความตกใจจวิ้นอ๋องจึงเผลอทำจอกชาหล่นจากมือ ซ้ำเศษจอกชานั้นกระเด็นมาถูกหม่อมฉัน นี่เป็นอุบัติเหตุหาได้เกิดขึ้นเพราะแม่ทัพหลินแต่อย่างใด ทรงสามารถตรวจสอบรอยแผลที่มือของจวิ้นอ๋องได้”
“เป็นความจริงรึ?” สุรเสียงดำรัสคาดคั้น
“เป็นความจริงพะยะค่ะ” ข้ากล่าวพลางสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย เผยฝ่ามือที่เป็นรอยบาดจากของมีคมอย่างเงียบงันไร้วาจา
ข้าเหลือบมองหวงไท่หยาง ไม่ทราบว่าเหตุใดเขาจึงช่วยเหลือหลินจวินเจ๋อ แต่ก็ทราบอยู่เช่นกันว่าเป็นเพราะอะไรจึงช่วยเหลือข้า..
เรื่องถือดาบบุกมาวังตะวันออก ข้อนี้อย่างไรก็ปฏิเสธความผิดไม่พ้น ทำได้แต่ทูลขอพระเมตตาของโอรสสวรรค์ให้ผ่อนปรนโทษตาย แต่เรื่องราวหลังจากนั้นที่ทำให้รัชทายาทบาทเจ็บกลับมิอาจปล่อยไปได้ หลินจวินเจ๋อว่าทำผิดหนักแล้ว ข้าเล่ากลับทำผิดยิ่งกว่า เมื่อวานสาเหตุที่หวงไท่หยางปล่อยตัวออกมาก็เพราะแบบนี้เช่นเดียวกัน แม้คนไม่อยากยอมความแต่หากปล่อยให้ข้าทำร้ายเขาสุดท้ายเมื่อมีการสืบสาวราวเรื่องจวิ้นอ๋องก็จะเดือดร้อน เมื่อครู่เป็นข้าคิดอ้าปากเอาความผิดนั้นใส่ตนเองหวงไท่หยางจึงชิงกล่าวก่อนไม่ให้ข้าถูกอาญา
เขาตั้งใจปกป้องข้า..ข้าทราบ และทราบดีเช่นกันจึงคิดพูดไปเมื่อครู่ ข้าเองก็เดิมพันไว้กับเขาว่าหวงไท่หยางจะเหลือความเมตตาให้กันสักเท่าไหร่ เพียงเท่านี้ก็ทราบแล้วว่าแม้ความสัมพันธ์จะสะบั้นไปแต่เขาก็ไม่ปรารถนาให้ข้าพบความลำบากหรือความตาย แต่ขณะเดียวกันก็มุ่งหมายอยากควบคุมข้าไว้ในมือตนเอง..
ไม่ยอมบอกว่าข้าเป็นคนลงมือ ไม่พูดว่าหลินจวินเจ๋อเป็นคนทำเพราะรู้ดีว่าข้าจะกระโจนรับไว้ แต่การบอกว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจาดฝีมือข้าก็เป็นการชี้นำอย่างหนึ่ง ในวันหน้าหากมี ‘บางคน’ เผลอปากมากพลั้งพูดไปว่าผู้ที่ลงมือกับรัชทายาทคือจวิ้นอ๋อง ผู้ที่ตกที่นั่งลำบากย่อมเป็นข้า หวงไท่หยางมีแต่จะถูกสรรเสริญที่เห็นแก่น้ำใจพี่น้องไม่เอาความ แต่กับข้าเล่า หากไม่อยากถูกเปิดโปงเรื่องนี้ก็ทำได้แต่ยอมก้มศีรษะให้แก่เจ้าของวังตะวันออกมิใช่หรือ ไม่เรียกว่าอยู่ในกำมือของหวงไท่หยางจะเรียกอะไรได้อีก
“หากเป็นเช่นนั้น ความผิดของแม่ทัพหลินคือบุกรุกวังตะวันออกซ้ำถืออาวุธเข้าไปใช่หรือไม่?”
นิ่งเงียบไปนานราวกับจงใจปล่อยผู้คนให้ตกอยู่ในห้วงคิด ฝ่าบาทก็กล่าวออกมา
“เป็นเช่นนั้นพะยะค่ะ” ข้าเงยหน้ามองใบหน้าของคนผู้นั้น ยามนี้ยังไม่อาจเห็นชัดเช่นเดิมแต่สัมผัสได้จากน้ำเสียงแล้วว่าโทสะค่อยจางลงไปเช่นกัน ดังนั้นจึงก้มศีรษะและประสานมือกล่าวอีกครั้ง “ฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมอยากทูลขอพระเมตตาแทนแม่ทัพหลิน”
“เมตตา?” ฟังแล้วเสียงสรวลของพระองค์คล้ายเย้ยเยาะ “เอาอะไรให้ข้าเมตตา”
“สิ่งที่เกิดขึ้นแม้แม่ทัพหลินบังอาจก็จริง แต่เกิดจากต้นเหตุที่ความผิดพลาดของกระหม่อมที่ไม่ได้แจ้งข่าว จะอย่างไรดีก็ตบแต่งเป็นสามีภรรยา ดังนั้นหากมองในฐานะคู่สมรสแล้ว การที่สามีผู้หนึ่งวิ่งตามหาตัวภรรยาของตนเพราะเป็นห่วงไม่นับเป็นความผิดอันใด” ข้าทำหน้าทนกล่าวเรื่องตนตบแต่งกับบุรุษอย่างสงบท่ามกลางเสียงพึมพัมไม่พอใจของผู้คนรอบกาย “แม้ที่กระหม่อมเป็นฝ่ายขอความเมตตาแทนสามีตน นับเป็นการใช้สัมพันธ์ส่วนตัวในเรื่องบ้านเมือง ถือว่าไม่เหมาะสม แต่หากกระหม่อมไม่กระทำแล้วผู้ใดเล่าสมควรกระทำ ความผิดที่แม่ทัพหลินก่อแม้เป็นความผิดมีโทษประหาร แต่ที่ผ่านมาก็ทำความดีความชอบไว้ไม่น้อย ขอฝ่าบาทได้โปรดพิจารณา!”
“กล่าวคือจวิ้นอ๋องจะทูลขอชีวิตแก่สามีของตนใช่หรือไม่?...รักลึกล้ำยิ่งนัก” สุรเสียงของฝ่าบาทดังเจือสรวล ข้าทราบดีว่าพระองค์หาได้มีโทสะเรื่องนี้ด้วยการที่จวิ้นอ๋องทำลายชื่อเสียงตนว่าเป็นคนบ้ารักงมงายย่อมดีกว่าจวิ้นอ่องที่ไร้จุดอ่อน ยังคงทรงเป็นบุรุษที่สามารถระแวงได้ทุกคนเช่นเดิม ดังนั้นข้าจึงจงใจทำลายตนเองให้ฝ่าบาทได้เห็น
“...ทั้งในฐานะสามีภรรยาและสหายศึก กระหม่อมทูลขอชีวิตแม่ทัพหลินพะยะค่ะ”
“กระหม่อมเช่นกัน”
“กระหม่อมด้วยพะยะค่ะ”
“กระหม่อมด้วย”
หลังข้าคุกเข่าลงกล่าวขอชีวิตให้หลินจวินเจ๋อ มิได้มีเพียงข้าจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่อ้อนวอน ยังมีสหายของอีกฝ่ายเช่นแม่ทัพเจิ้ง แม่ทัพเหลียง หรือแม่ทัพโม่ ขุนนางฝ่ายบู๊ที่ร่วมทำศึกเป็นตายด้วยกันมาต่างคุกเข่าขอชีวิตแก่หลินจวินเจ๋อด้วยเห็นแก่มิตรภาพและคุณความดีที่อีกฝ่ายสร้างทั้งนั้น เมื่อแม่ทัพบู๊ที่อยู่ร่วมกันในศึกไห่เยี่ยนที่ผ่านมาคุกเข่า สีหน้าแววตาของผู้คนจึงแปรเป็นครุ่นคิด
“ฝ่าบาท ศึกกับไห่เยี่ยนเพิ่งจบ แม้เรามีตัวองค์ชายเจ็ดเป็นประกันแต่บัลลังก์ไห่เยี่ยนยังไม่แน่นอนว่าผู้ใดจะครอง แม่ทัพหลินเดินทางเข้ามารับความดีความชอบกับข้าทั้งที่ชายแดนยังไม่เรียบร้อย หากไห่เยี่ยนคิดทำสงครามต่อเมื่อนั้นเราเทียนจิ้นจะลำบาก” ข้าเอ่ยขึ้นช้าๆ กล่าวโดยอ้อมทั้งให้ฝ่าบาทตระหนักว่าคนผู้นี้ยังเป็นประโยชน์ และกล่าวโดยนัยว่าหากคิดประหารหลินจวินเจ๋อ จะกลายเป็น*ข้ามสะพานได้รื้อแม่น้ำทิ้ง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เป็นเช่นนี้แม่ทัพคนใดจะก้มหัวรับใช้เทียนจิ้นด้วยใจ
“....เช่นนั้นจวิ้นอ๋องคิดว่าเราควรทำเช่นไร” ฟังสุรเสียงตรึกตรองแล้วข้าทราบว่าที่ตนกล่าวไปได้ผล
“แม้ทำความผิดที่ถืออาวุธบุกรุกวังตะวันออก แต่แม่ทัพหลินนำทัพได้ชัยแก่ไห่เยี่ยนก็ถือเป็นความชอบประการหนึ่ง ใช้ความดีลบล้างความผิด ขอให้งดเว้นโทษประหาร”
“รัชทายาทเห็นเป็นอย่างไร?”
“หม่อมฉันเห็นด้วยพะยะค่ะ” แม้คนมีท่าทีไม่พอใจแต่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดมากกว่านั้น บางทีอาจเป็นเพราะหวงไท่หยางกลัวว่าตนจะเสียคะแนนนิยมในหมู่แม่ทัพบู๊ ข้านึกเบาใจขึ้นไม่น้อย
“ดี” ฮ่องเต้พยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะสะบัดแขนเสื้อให้ข้าและเหล่าแม่ทัพที่คุกเข้าอยู่ลุกขึ้น เนตรคมปลาบมองไปยังร่างของหลินจวินเจ๋อชั่วครู่แล้วจึงกล่าว
“แม่ทัพหลินทำความผิดฐานบุกรุกวังตะวันออกโดยไม่ได้รับอนุญาต เดิมทีมีความผิดขั้นประหาร แต่จากความชอบจากศึกไห่เยี่ยนจึงลดโทษให้ เปลี่ยนจากประหารเป็นย้ายไปประจำค่ายทักษิณที่เมืองถานเฟิ่ง ไม่มีราชโองการเรียกตัวห้ามกลับเมืองหลวงตลอดชีวิต ฝ่าฝืนให้ประหารทันที!”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”
หลินจวินเจ๋อแม้ถูกมัดแขนไพล่หลังยังกล่าวเสียงกังวาน โขกศีรษะแนบแผ่นหินอย่างไม่เบามือจนเกิดเสียงทึบหนัก
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีอีกเรื่องอยากจะขอ” ไม่ทันที่คนจะนำตัวหลินจวินเจ๋อออกไปท้องพระโรงเมื่อจบคำตัดสิน ข้ากลับชิงคุกเข่าลงก่อนและประสานมือขอร้องด้วยใบหน้าเด็ดเดี่ยวยิ่ง เรียกให้สายตาทุกคู่หันมามอง
“....จวิ้นอ๋องมีอะไร?” ข้ารู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของพระองค์เริ่มส่อแววไม่พอพระทัย หากก็ยังคลี่ยิ้ม..
“กระหม่อมเองก็ทำความดีความชอบจากศึกไห่เยี่ยนเช่นกัน ไม่ทราบว่าจะทูลขอบำเน็จจากฝ่าบาทได้หรือไม่”
“จวิ้นอ๋องต้องการสิ่งใด” เนตรมังกรคมปลาบหรี่ลงน้อยๆ อย่างครุ่นคิด กระทั่งหวงไท่หยางยังมองมาที่ข้าด้วยความสงสัย
ข้าคลี่ยิ้มน้อยๆ สบมองดวงตาทั้งสองคู่อย่างแน่วนิ่งไม่ยอมหลบ จากคำตัดสินของฝ่าบาทเมื่อครู่นอกจากจะทรงประกาศไว้ชีวิตหลินจวินเจ๋อเพื่อเอาใจแม่ทัพบู๊และไม่อยากสร้างข้อครหาให้ราชวงศ์แล้ว การกระทำของพระองค์ยังมีนัยยะอีกอย่าง การสั่งให้หลินจวินเจ๋อเฝ้าเมืองถานเฟิ่งตลอดกาลหมายถึงสิ่งใดถ้ามิใช่ต้องการกีดกันเขาออกจากศูนย์กลางแห่งอำนาจ เมื่อไม่ได้อยู่เมืองหลวง แม้เก่งกาจเพียงไรก็เป็นได้เพียงแม่ทัพธรรมดาถึงจะมีจวิ้นอ๋องหนุนหลังแต่อยู่ไกลเพียงนั้นจะทำอันใดได้ หมากตานี้นอกจากกันให้ชื่อเสียงของหลินจวินเจ๋อไม่อาจสั่นคลอนราชวงศ์เทียนจิ้นได้อีกต่อไป ยังเป็นการทำลายฐานอำนาจที่ข้าสู้อุตส่าห์สร้างมาหลายปีเพียงครั้งเดียว
“กระหม่อมขอฝ่าบาทยกเลิกสมรสพระราชทานระหว่างตนเองกับแม่ทัพหลินพะยะค่ะ”
สิ้นเสียงของข้าผู้คนรอบข้างต่างเบิกตากว้างบ้างก็มีสีหน้างวยงงยิ่งนัก หลินจวินเจ๋อเงยหน้าขึ้น มองข้าด้วยแววตาบางอย่างที่ไม่อาจเรียกว่าเป็นความยินดี ฝ่าบาทเพียงแปลกใจแต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใด ส่วนหวงไท่หยางนั้นจ้องมองข้าด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มกดลึกที่มุมปากกว้างจนแทบเป็นการแสยะยิ้มยินดี..
------------------
ข้ามสะพานได้รื้อแม่น้ำทิ้ง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล หมายถึงใช้ประโยชน์แล้วก็โยนทิ้ง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รื้อแม่น้ำไม่ได้นะคะ
อยากให้จวิ้นอ๋องกับไท่หยาง ลงเอยกันนนนนนนที่สุดเลยย
อยากรู้ อดีตของสองคนนี้อะ คงจะเอสเอ็มน่าดู อิอิ
องค์รัชทายาทกับฮ่องเต้ก็ลำเอียงอย่างไม่มีสิ้นสุดจริงๆ
อ่านไปก็คิดไปด้วยว่า ถ้าหากเราเป็นท่านอ๋องจะทำอย่างไร
เป็นเราคงหาทางแก้ไม่ได้แน่ๆเลยค่ะ คนเขียนเก่งจริงๆ
ท่านอ๋องจะยกเลิกสมรสเพราะอะไรก็ยังคาดเดาไม่ได้
เห็นใจก็แต่แม่ทัพคนซื่อ จะเสียใจน้อยใจหรือเปล่า เห้อ
สงสารรร
สงสารรร
ช่วงนี้ฟินคู่พี่น้อง ร้ายกาจใส่กันดี
สมรสเพราะไม่อยากให้
ท่านแม่ทัพเดือดร้อนสินะ
แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกับ
อาซิ่นล่ะ. ท่านแม่ทัพผู้น่า
สงสาร
ไท่หยางกับเทียนหยางรักกันใช่มั้ย
แต่มันเป็นไปไม่ได้
เทียนหยางพยายามหนีมาตลอดไท่หยางก็ตามติด
ลากคนโน้นคนนี้มา
เกี่ยวข้องอิลุงตุงนังมั่วไป
หมด