ตอนที่ 76 : กรีดโลหิตหลั่งเลือดมังกร
“หลินจวินเจ๋อเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท ข้ามารับตัวจวิ้นอ๋องกลับวัง!”
เสียงตะโกนของบุรุษผู้โง่งมดังขึ้นเบื้องนอก ร่างสูงใหญ่ใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะถือดาบไว้ในมือมั่น คนสู้อุตส่าห์บุกบั่นเข้ามาในวังตะวันออกทั้งที่ทราบดีถึงโทษทัณฑ์ทั้งหลาย ข้าแม้ร่างกายจะยังมึนชาด้วยฤทธิ์ยายังต้องเบิกตาจ้องมองเขาไม่กระพริบ แม้กลับมาถูกพันธนาการด้วยอ้อมแขนของหวงไท่หยางกลับทำได้เพียงจ้องมองหลินจวินเจ๋อด้วยดวงตาหรี่ปรือและมึนงง ในห้วงคิดนั้นข้ายังอยากเอ่ยถามเขาว่าโง่งมใช่หรือไม่ เสียสติไปหรือไม่ หลินจวินเจ๋อยามนี้ควรรออยู่ที่ประตูหน้าวังหลวง ยืนรอคอยอยู่พร้อมรถม้าของเขา มิใช่เข้ามาในนี้ มิควรถือดาบเข้ามาอย่างยิ่ง
“แม่ทัพหลิน..” น้ำเสียงแม้เรียบเฉย หากความรื่นรมย์ที่เจืออยู่มีหรือข้าไม่อาจรับรู้ ข้าเม้มปากแน่น หัวอกเย็นวาบไม่หายขณะเห็นประกายรื่นรมย์ในแววตาของหวงไท่หยาง แววตาที่เต็มไปด้วยความพอใจเมื่อทุกสิ่งเป็นไปตามที่คิด
มองร่างในอาภรณ์สูงศักดิ์ที่ผละจาก ชายเสื้อคลุมขลิบลายมังกรปักด้ายสีทองกระจ่างสะบัดไหว หวงไท่หยางลุกขึ้นอย่างแช่มช้าพลางก้าวเดินออกไปยังลานเบื้องหน้าด้วยแววตาพึงพอใจอย่างยิ่ง ทางหนึ่งองครักษ์ของวังตะวันออกรั้งร่างหลินจวินเจ๋อไว้ อีกทางแม่ทัพผู้โง่เขลาบุกถือดาบเข้ามาในวังตะวันออกยังคงยืนหยัดไม่ยอมความ แสดงท่าทีมีโทสะยิ่ง
“แม่ทัพหลินมาที่วังตะวันออกด้วยเหตุอันใด?”
“ข้ามาตามตัวจวิ้นอ๋องกลับวัง”
จิกปลายนิ้วลงกับฝ่ามือจนแน่น ข้าพยายามพยุงกายลุกขึ้น ในใจยังหวังจะหยุดยั้งเรื่องราวทุกอย่างก่อนจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ ท่ามกลางเรื่องราวที่ไม่อาจควบคุม ในอกกลับเหมือนมีบางสิ่งกำลังร้องร่ำร้อง ร่างทั้งร่างสั่นเกร็งขึ้นชั่วขณะหนึ่งเมื่อมองเห็นเปลวเพลิงในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ความรู้สึกบางอย่างท้วมท้นเสียจนไม่อาจหยุดได้
ข้าก้มหน้าลง ไม่อาจมองดูหลินจวินเจ๋อ ในห้วงคิดเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจลบ สำหรับข้าผู้เป็นอ๋อง นอกจากราชวงศ์เทียนจิ้นและราชบัลลังก์กับคนของวังจวิ้นอ๋อง นอกจากนั้นไม่ว่าผู้ใดล้วนเหมือนกัน มีประโยชน์ก็ถูกใช้ ไร้ประโยชน์ย่อมถูกขว้างทิ้ง ทุกสิ่งทำเพื่อแว่นแคว้น ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีวันใดที่ตนรู้สึกละอายเมื่อได้ลงมือกับผู้อื่นมาก่อน ทว่าตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว..
เสี้ยวหน้าคมคายเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วและหมายมาด สีหน้าแววตาของหลินจวินเจ๋อผู้เดินเข้ามาหา แม้ตนทราบดีว่าจะต้องพบเจอสิ่งใดหลังจากนี้ก็ยังไม่หวาดกลัว ทุกการกระทำที่ลงมือด้วยจิตใจของแม่ทัพแดนใต้ทำให้ข้าสูดลมหายใจลึก เดิมทีเป็นหมากที่สักวันคงต้องถูกทิ้งแต่บัดนี้ข้าคงไม่อาจ...
“นายน้อย” เสียงครางแผ่วของเหล่าไท่ดังอยู่ด้านข้างเมื่อข้าทรุดตัวเอนกายลงอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยา สีหน้าของบ่าวคนสนิทเต็มไปด้วยความห่วงใย คิดถลาเข้ามาหาแต่ไม่อาจทำได้เพราะถูกคุมตัวอยู่ด้วยฝีมือองครักษ์ของวังตะวันออกที่กระทำราวกับไม่รู้ไม่เห็นถึงสภาพน่าสมเพชของข้าผู้นี้
“ตามตัวกลับวังด้วยเหตุอันใด ข้ากับจวิ้นอ๋องกำลังสนทนากันอยู่”
“ข้าไม่เห็นว่าเป็นการสนทนา”
“เหตุใดจึงไม่เป็นการสนทนา ในเมื่อ--”
เพล้ง!
“ท่านอ๋อง!!”
เสียงตะโกนด้วยความตกใจของเหล่าไท่ทำให้ข้าเพียงยิ้มเย็น ข้าไม่อยากเห็นแววตาอันตระหนกของอีกฝ่ายนัก แต่ทว่าก็ไม่อาจปล่อยให้ไท่หยางคุยกับหลินจวินเจ๋อต่อไปได้ ข้าต้องหยุดยั้งเรื่องเหล่านี้ให้ทัน ฉะนั้นจะเป็นไรเล่าหากต้องเจ็บตัวสักนิด..
โลหิตสีแดงเข้มหลั่งรินจากปลายนิ้วขาว ถ้วยน้ำชาชุดโปรดของไท่หยางถูกข้าทำลายเสียแล้ว เสียงตะโกนนั้นของเหล่าไท่ช่วยให้บุรุษทั้งสองคนเบื้องนอกหันกลับมาให้ความสนใจ ข้าเห็นแววตาแฝงความตกใจของไท่หยางแล้วยิ้มเย็น เพียงแค่ถูกข้าที่โดนวางยาจนไม่อาจขยับตัวได้ตามใจขว้างปาทำลายของรักจะโกรธเคืองไปไย คนมิใช่พยายามยั่วยุ ต้องการให้ข้ามีโทสะมาตลอดหรอกหรือ
“ลี่เซียน เช็ดเลือดให้ท่านอ๋อง”
เพราะไม่อาจเดินเข้ามา หวงไท่หยางจึงสั่งอนุภรรยาของตนที่นั่งตัวสั่นไม่กล้าเคลื่อนไหวอยู่มุมห้อง ข้ามองเห็นนางสะดุ้งแล้วค่อยๆลุกขึ้นอย่างหวาดกลัวพลางก้าวเข้ามาช้าๆ แต่ก่อนจะมาถึงข้ากลับสะบัดมือ เหยียดรอยยิ้มเยาะเบาบาง
“ไม่ขอลำบากแม่นางลี่เซียน ให้ทำแผลแล้วข้ากลัวว่าในร่างจะมีพิษเพิ่มอีก”
“จื่อซิ่นช่างเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยนัก” หวงไท่หยางหรี่ตาลงเนิบช้า เขาจ้องมองข้าตาไม่กระพริบ
“องค์รัชทายาททราบดีว่าข้าเป็นคนเช่นไร” ข้ากล่าวอย่างท้าทายพลางจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ไปเก็บเศษถ้วยเสีย”
ผ่านไปชั่วขณะหวงไท่หยางก็กล่าว ใช้ให้องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามาจัดการถ้วยชาและหยดเลือดจากมือข้าโดยไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย ข้ามองดูสีหน้าและแววตาของเขาไปจนอีกฝ่ายหันไปคุยกับหลินจวินเจ๋อ ครู่หนึ่งเผลอกำมือแน่น เม้มริมฝีปากเมื่อได้ยินเสียงตะโกนด้วยความไม่พอใจของแม่ทัพแดนใต้แทรกเข้ามาไม่หยุด
ข้าจ้องมองใบหน้าอันสงบนิ่งขององครักษ์ผู้หนึ่งที่ก้มตัวอยู่เหนือตนเอง เฝ้าบอกให้หวงเทียนหยางตัวข้าเองใจเย็นอย่างยิ่ง..
“รอยแผลเป็นอย่างไรบ้างเล่า จื่อซิ่น?” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นประชิดเสี้ยวหน้าทำให้ข้าชะงัก ลืมตาขึ้นและปรายตามองไปยังเจ้าของแววตาเย็นเยือกอย่างเงียบงัน หลังจากผ่านไปอึดใจหนึ่งแล้วบุรุษผู้กุมชุยชนะในกระดานหมากนี้ไว้ในมือก็เดินหลับมา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มอันเป็นบ่อลึกของหวงไท่หยางเต็มไปด้วยแววมาดร้าย ยิ่งเห็นท่าทีของข้าคนกลับหัวเราะขัน
“องค์รัชทายาท ได้โปรดปล่อยตัวจวิ้นอ๋อง!!”
เสียงตะโกนของหลินจวินเจ๋อดังขึ้นเบื้องหลัง ข้ามองเห็นร่างในชุดขุนนางนั้นถูกองครักษ์หลายนายล้อมเอาไว้ พลันก็รู้สึกแสบแปลบที่ฝ่ามือมากขึ้นไปอีก “ข้าสบายดี”
“ข้าหลินจวินเจ๋อผู้เป็นสามีของจวิ้นอ๋อง ขอร้องเรียนให้ท่านปล่อยภรรยาของข้าซะ!”
“จับตัวไว้”
ไม่ทันที่บทสนทนาจะถูกต่อ และท่ามกลางเสียงตะโกนด้วยโทสะของหลินจวินเจ๋อข้ายังได้ยินเสียงหัวเราะของหวงไท่หยางดังข้างหู ร่างของข้าถูกรั้งให้ยืนขึ้นขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับกระชาก ยิ่งได้เห็นท่าทีไม่พอใจของแม่ทัพแดนใต้ข้ากลับมองเห็นว่าหวงไท่หยางพอใจมากขึ้น ดังนั้นฝ่ามือที่กระชับกอดเอวไว้จึงมิใช่เรื่องแปลก ทุกสิ่งล้วนเป็นการดิ้นรนที่เปล่าประโยชน์เมื่อเรื่องราวทั้งหมดกลับกลายเป็นเช่นนี้ เราต่างตกหลุมพรางแล้ว แม้หลินจวินเจ๋อตะโกนเรียกร้องเช่นไรมีแต่เพิ่มความบันเทิงให้คนผู้นี้เท่านั้น ยิ่งหยามหมิ่นมากเท่าไหร่ขาที่จมลงไปในแม่น้ำยมโลกก็จะลึกขึ้นเสียจนไม่อาจหนีพ้น
“ดูสิ” ด้วยข้าหลับตาลงแล้วปลายนิ้วเย็นเยียบจึงเชยคางให้หันไปมองภาพเบื้องหน้าอีกครั้ง ภาพนั้นทำให้ข้ายิ่งรู้สึกว่าพื้นที่ยืนอยู่กำลังสั่นไหว หลังคำสั่งอันเยือกเย็นของหวงไท่หยางทุกอย่างก็ถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เสียงตะโกนของหลินจวินเจ๋อหายไปแล้วเนื่องจากต้องรับมือกับคนที่กรูกันเข้าหา แต่สุดท้ายให้เก่งอย่างไรก็แพ้คนมาก ที่สุดแม่ทัพแดนใต้ก็ถูกเหล่าองครักษ์ของวังตะวันออกซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็มีจำนวนมากกว่ากุมตัวไว้ ร่างสูงใหญ่ถูกจับไพล่หลัง คุกเข่าลงบนลานหินที่บัดนี้มีแต่หิมะขาวโพลนถมทับ ปากไม่อาจกล่าวคำใดได้อีกเพราะถูกผ้าอุดไว้ คนได้แต่เงยหน้ามองมาด้วยแววตาวาวโรจน์และเต็มไปด้วยความชิงชัง
“นั่นน่ะหรือคนที่เจ้าเลือก..ดูสภาพน่าสมเพชเช่นนั้นมีอันใดดี ดูสิจื่อซิ่น นั่นคือมดปลวกตัวหนึ่ง แม้พยายามดิ้นรนหรือต่อให้ไม่ยินยอมเพียงไรก็ยังต้องก้มหน้ายอมแพ้ มีค่าอันใดให้ต้องซาบซึ้งใส่ใจ” ฟังวาจาที่ได้ยินมาหลายครั้งต่อหลายครั้งผ่านหู ข้ามองรอยยิ้มของหวงไท่หยางด้วยหัวอกที่เย็นชืดและชาหนึบ เขาสนุกสนานยิ่ง พอใจยิ่ง ทั้งที่ข้าไม่เคยพอใจเลยสักนิด ที่อยู่เบื้องหน้าคือหลินจวินเจ๋อ ที่อยู่เบื้องหลังคือเหล่าไท่ที่ยังไม่ได้รับอิสระ กระทั่งข้าเองท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งกลับไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เรื่องราวตอนนี้ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก
“ที่ผ่านมาแม้เจ้าคลุกคลีเกี่ยวข้องกับเจ้าคนชั้นต่ำนี้ข้าก็ทำหลับตาไปข้างหนึ่ง แต่จากนี้คงไม่ได้เสียแล้ว จื่อซิ่น..ข้าเป็นคนเช่นไรเจ้าย่อมทราบดี หวงไท่หยางผู้นี้ไม่ว่าสิ่งใดที่ขัดขวางนัยน์ตาล้วนต้องนำออก นี่เป็นทางเลือกของเจ้าแล้วว่าปรารถนาจะเป็นจวิ้นอ๋องเช่นนี้ หรือคิดตกลงโคลนตมร่วมกับบุรุษโง่เง่าผู้หนึ่ง” กล่าวแล้วเจ้าของวาจานั้นจึงปรายตามองไปยังมือของข้าซึ่งซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ “กระทั่งเมื่อครู่ก็ถึงกับควบคุมตนเองไม่ได้ หรือเจ้ากำลังเพียรทำให้ข้าเห็นว่าเป็นคนคลั่งรัก?”
“....” ข้าฟังคำกล่าวจนจบนั้นแล้วกระทำเพียงแค่นยิ้ม ไม่ตอบคำ
“พวกเราราชวงศ์เทียนจิ้น มีหน้าที่ทำเพื่อแว่นแคว้น สิ่งนี้จื่อซิ่นเองก็ทราบมาแต่แรกมิใช่หรือ เหตุใดจึงยังดื้อรั้นไม่ยอมความ” หวงไท่หยางออกแรงผลักและประคองลากข้าให้เดินไปตามไปด้วยท่วงท่าราวกับสามีกำลังประคองภรรยาอันเป็นที่รักเข้าห้องหอ สีหน้าเปี่ยมสุขเหลือล้นและรอยยิ้มสดใสนั้นช่างแตกต่างกับบรรยากาศรอบกายเสียจนข้ารู้สึกเจ็บปวดในหัวอก ครั้นเมื่อมาถึงประตูที่กั้นระหว่างลานหินเบื้องหน้าและเขตตำหนักใหญ่ หวงไท่หยางก็ผายมือออกราวกับเชื้อเชิญข้าชมดูหลินจวินเจ๋อถูกดาบพาดคออยู่ในสภาพที่สามารถตกตายได้ทุกเมื่อ
“เจ้าดู คนผู้นี้บุกรุกตำหนักตะวันออก ด่าทอดูหมิ่นเหยียดหยามรัชทายาทของแว่นแคว้น ซ้ำยังคิดปองร้ายข้า แม่ทัพผู้นี้น่ะหรือคู่ควรให้เจ้าอยู่กับเขา มองดูสิ จื่อซิ่น..สภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้ ในฐานะอ๋องคนหนึ่งเจ้าว่าดีหรือไม่หากจำกำจัดทิ้งเสีย”
“ข้าไม่เคยทราบว่าองค์รัชทายาทของเทียนจิ้นสามารถสังหารขุนนางได้ตามใจ” ข้ากำมือแน่นพลางสูดลมหายใจลึก..
“โทษกบฏเช่นนี้ย่อมได้รับการยกเว้น” หวงไท่หยางคลี่รอยยิ้มเบิกบานอย่างยิ่งก่อนจะเอื้อมมือเช็ดเกล็ดหิมะที่ปลิวต้องเรือนผมของข้าอย่างแผ่วเบา “ที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะความดึงดันของเจ้านั่นเอง”
ข้านิ่งฟังเสียงกระซิบแผ่วเบา คล้ายจะหวานหากมองรอยยิ้มผู้กล่าว แต่ขมยิ่งนักกับความนัยที่โถมซ้ำและทุบดวงใจจนแหลกยับอีกครา ข้าจ้องมองสบตาเขา ที่สุดแล้ววางแผนมากมายก็เพื่อการนี้ ข้ารู้จักและทราบดีว่าหวงไท่หยางเป็นคนเช่นไรเฉกเดียวกับที่อีกฝ่ายรู้จักข้า เขาพยายามมากมายเช่นนี้ก็ด้วยความต้องการที่ไม่อาจเป็นจริง วิปริตบิดเบี้ยวเช่นนี้ก็เพราะคนผู้หนึ่งที่ไม่อาจตอบรับ บุรุษผู้นี้ไม่อาจทนหากมีสิ่งใดขวางในตา ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดเพื่อทำลายสิ่งนั้นคนก็ยอมลงมือ
ข้ารู้จักหวงไท่หยางมานับแต่ลืมตาแล้วข้อนี้ไหนเลยจะไม่มองเห็นและประจักษ์อย่างลึกล้ำ ตอนนี้ก็เป็นหวงไท่หยางเองพยายามทำทุกสิ่งเพื่อกำจัดหลินจวินเจ๋อออก ต้องการมากเสียจนไม่สนว่าคนจะมีประโยชน์หรือความสามารถใดแก่แว่นแคว้น สำหรับรัชทายาทแล้วแม่ทัพสามารถมีใหม่ได้แต่ศัตรูและผู้ที่ตนชิงชังนั้นไม่อาจปล่อยให้ลอยนวลไปได้นาน
รัชทายาทของเทียนจิ้นสมควรเป็นเช่นนี้หรือ หวงไท่หยางสมควรแล้วหรือที่จะทุ่มเททำทุกอย่างขนาดนี้ มันน่ากลัวเกินไปแล้วเขาทราบหรือไม่ หวงไท่หยางไม่ควรปล่อยให้ตนมีจุดอ่อน เกล็ดย้อนมังกรตนนี้ไม่ควรเป็นข้า ไฉนเขาจึงไม่ยอมเข้าใจ
ข่มความรู้สึกบางสิ่งในใจแล้วจึงสังเกตรอบข้างอีกครั้ง บัดนี้ทางรอดของข้ามีแต่ก็คล้ายไม่มีเหลือด้วยเรื่องราวเลวร้ายเสียจนไม่อาจเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีก ข้าจ้องมองหลินจวินเจ๋อที่ยังดิ้นรนอยากลุกด้วยแววตาสับสน ขณะที่อ้อมกอดของหวงไท่หยางกระชับแน่น คนไม่พอใจอย่างยิ่งที่ข้าไม่ยอมเอ่ยปากและกระทำเพียงจ้องใบหน้าผู้อื่นอยู่อย่างนั้นราวกับยั่วโทสะ นี่คือการยั่วโทสะ ข้าทราบดีว่าทำให้เขามีโทสะ..และข้าต้องการให้หวงไท่หยางมีโทสะเช่นกัน
“ขอรัชทายาทโปรดปล่อยตัวสามีข้าด้วย”
“จื่อซิ่น”
ข้าขยับริมฝีปาก คลี่ยิ้มอย่างงดงามเมื่อได้ยินน้ำคำเย็นเยียบหากแววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองด้วยแม้ทำถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ไม่อาจบังคับข้าได้..ข้ามองเห็นความโกรธเคืองขุ่นใจในแววตาของหวงไท่หยางอย่างชัดเจน แต่โกรธแล้วอย่างไร มีโทสะแล้วอย่างไร สิ่งใดที่หวงเทียนหยางผู้นี้ตั้งมั่นแล้วไม่มีวันสั่นคลอนเขาเองก็ทราบ แม้บีบบังคับข้าอย่างไรหากไม่ปรารถนา ข้ายอมตาย ข้ายอมสละ แต่ไม่ยอมสยบ!
“เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีกแล้ว”
เสียงสะบัดอาภรณ์ลากผ่าน ประกายโลหะวาววับ ข้อมือที่ยังดูไร้เรี่ยวแรงถูกยกขึ้นอย่างรวดเร็วเกินใครจะทันรู้ตัวแล้วคมมีดก็ทาบลงบนลำคออันสูงส่งของบุตรมังกรหวงไท่หยางอย่างไม่ลังเล โดยเจ้าของมีดนั้นคือจวิ้นอ๋องผู้อยู่ในอ้อมแขนด้วยท่าทีอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง และเป็นคนเดียวกับที่ถูกกล่าวขานว่าสนิทชิดเชื้อกันอย่างยิ่ง
ชั่วขณะที่ทุกอย่างเงียบงันไร้สรรพเสียง กระทั่งหิมะที่ตกลงบนหลังคายังดังชัด ไม่มีแม้กระทั่งผู้คนกล้าหายใจแรงหากทำได้เพียงเบิกตาจ้องมองภาพเบื้องหน้าราวกับไม่เชื่อสายตาเป็นที่สุด ผู้คนในตำหนักรัชทายาทไม่ว่าผู้ใดก็ไม่คิดว่าจะมีคนขวัญกล้าไม่กลัวตายคิดลงมือกับหวงไท่หยาง หรือต่อให้มีคนผู้นั้นก็ควรเป็นมือสังหารมิใช่ท่านอ๋องผู้หนึ่ง ทว่าไม่มีก็มีแล้ว ที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นแล้ว คมมีดในมือจวิ้นอ๋องแม้เป็นมีดสั้นขนาดเล็กแต่ยังมองออกว่าใช้งานได้ดีอย่างยิ่ง ซ้ำที่น่ากลัวและคมปลาบยิ่งกว่าโลหะใดคือแววตาของหวงเทียนหยาง ดวงตาของข้าเองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารอย่างไม่มีปิดบัง
นี่เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ของข้าแล้ว...
ต้องการให้หลินจวินเจ๋อต้องโทษกบฏฐานถือดาบบุกเข้าวังตะวันออก แล้วข้าเล่า?
อยากให้หลินจวินเจ๋อต้องตายเพราะการบุกมาช่วยข้า แล้วยามนี้เล่า?
คิดวางแผนมาตลอดหวังให้คนตกหลุมพราง แล้วหากหลุมนั้นมีข้าตกลงไปด้วย หวงไท่หยางจะทำเช่นไร?
“ข้าขอกล่าวอีกครั้ง องค์รัชทายาทโปรดปล่อยข้าและคนของข้าออกจากวังตะวันออกด้วย”
ข้าจ้องมองแววตาตะลึงลานของหวงไท่หยางอย่างเงียบงันไม่กล่าวคำ เขาคงไม่คิดว่าข้าจะเป็นฝ่ายหันอาวุธเข้าทำร้าย ที่ผ่านมาแม้หวงไท่หยางจะกลั่นแกล้งบีบคั้นเพียงไรหากไม่นิ่งข้าก็เพียงยิ้มเฉยเสีย กระทั่งการแตะต้องทำร้ายร่างกายก่อนหน้าก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เราทั้งคู่เติบโตขึ้นมาด้วยกันอย่างเคารพเข้าใจกันอย่างยิ่ง ทว่ามันก็แค่เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นที่ข้าทำจึงมีเพียงกล่าวถึงความต้องการของตนเองและรอคอยคำตอบอย่างไม่ยอมแพ้
ข้าคิดอยากได้ยินเสียงเอะอะหรืออาการแสดงความไม่พอใจ แต่หากแสดงออกมานั่นย่อมไม่ใช่หวงไท่หยาง แต่หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความเงียบงันนั้นข้ากลับรู้สึกว่าอ้อมแขนที่พยุงร่างของตนไว้ถูกกอดลึกกระชับแน่นขึ้นอย่างชัดเจน กอดแน่นขึ้น รั้งเอาไว้อย่างชัดเจนขึ้น และปฏิเสธให้ข้าได้ทราบอย่างรวดเร็ว การดึงดันนี้คือสิ่งที่เขาตัดสินใจอย่างนั้นหรือ..ข้ามองดูแววตาที่กลับแปรเปลี่ยนมานิ่งสงบแต่เจือพายุร้าย ไม่ได้กระทำสิ่งใดไปมากกว่ากระชับมีดสั้นในมือและเตรียมกดใบมีดลงไปอย่างไม่ลังเลหากอีกฝ่ายส่ายหน้า
“เจ้าดวงตามืดบอดไปแล้วจริงๆ” โลหิตที่บาดผิวจากเศษถ้วยชาหลั่งรินอาบใบมีดอย่างน่ากลัวขณะที่เสียงหัวเราะแผ่วเบาของรัชทายาทดังขึ้นเมื่อความเงียบงันผ่านพ้น คำพูดราวกับไม่เชื่อว่าเป็นเพราะหลินจวินเจ๋อข้าจึงกล้าทำกระทั่งหันคมมีดใส่
ข้าเองก็อยากถามว่าผู้ใดแววตามืดบอด เป็นข้า เป็นเขา หรือเป็นเราทั้งคู่?
ข้าหาได้ทำเพื่อหลินจวินเจ๋อ เราทั้งสองทราบดี แต่หากหวงไท่หยางคิดประชดประชันหรือเข้าใจไปเช่นนี้ข้าก็พอใจ ให้เขาคิดว่าคนผู้นี้สำคัญกับข้าอย่างยิ่งไปเถิด ให้เชื่อว่าข้ารักหลินจวินเจ๋อมากอย่างที่ข้าต้องการมาตลอดได้ยิ่งดี หากเขาเชื่อได้สนิทใจเท่าไหร่จะดียิ่งขึ้นเท่านั้น
“หากไท่หยางเข้าใจแล้วก็หยุดเถิด” ข้ากล่าวออกไปแผ่วเบา
“หึ”
มองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าเจือความขมครู่หนึ่งขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าประชิดและจุมพิตข้าอย่างรุนแรง
ข้าสะท้านเฮือกด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมมาอย่างไม่ทันตั้งตัวทั้งที่มีมีดของข้าทาบอยู่บนลำคอ เมื่อคืนถึงมีดข้าก็รีบผ่อนแรงทันทีด้วยกลัวว่าอาจทำให้อีกฝ่ายเกิดแผลใหญ่ เพราะแรงกดที่คลายออกนั้นเองทำให้ข้าได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอหนา ครู่หนึ่งที่ทุกอย่างเบื้องหน้าดูจะถูกลบเลือนหายไปด้วยการรุกรานนี้ ข้าทราบดีว่าหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะแตกดับของตนเองมาจากผู้ใด ครู่หนึ่งที่ปรารถนาจะโยนทุกอย่างทิ้งไปแล้วกระโจนเข้าหาอ้อมแขนอีกฝ่าย แต่มันก็เป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ผ่านไปเพียงอึดใจอ้อมแขนที่กอดรัดและริมฝีปากที่ยังไม่ยอมผละออกง่ายๆราวกับจะบดขยี้ข้าให้แหลกยับในมือนี้เองก็ทำให้ข้าต้องดิ้นรนอย่างรุนแรง
ข้าไม่อาจ..ไม่อาจกระทำ..
มีดในมือแม้ไม่อยากทำร้ายก็ต้องกดแน่นอีก ข้าขบริมฝีปากของหวงไท่หยางอย่างไม่ยอมความขณะที่อ้อมแขนอีกฝ่ายผละออกไปในที่สุด ข้ารู้สึกดั่งเราสองคนเป็นคนเสียสติ ผู้หนึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิงถือมีดข่มขู่อีกคนเล่าแววตาบ้าคลั่งราวกับท้าทายให้ลงมือมาได้ รสเลือดที่ริมฝีปากทำให้ข้าทราบว่าหวงไท่หยางเองก็เหลือจะทน แววตาที่ปั่นปวนราวกับระลอกคลื่นสาดซัดไม่หยุดบอกข้ามาเช่นเดียวกับรอยแผลบนลำคอหนาที่เสียดแทงหัวอก
กำมือแน่นไม่ให้ตนเองโยนอาวุธทิ้งแม้จะรู้สึกใจหายวาบยามเห็นโลหิตหลั่งริน คนตายคนเจ็บหาใช่เรื่องที่ข้าจะตกใจแต่เพราะคนผู้นั้นคือหวงไท่หยางที่ข้าไม่เคยคิดว่าจะต้องลงมือทำร้าย ข้าเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ ทว่ามีทางเลือกอื่นหรือ อีกฝ่ายบีบคั้นจนต้องลงมือแล้วจะนิ่งเฉยได้อย่างไร หากขอร้องแล้วเขาพยักหน้าข้าจะปาถ้วยชาทำตัวมีโทสะเพียงเพื่อเรียกความสนใจหรือ หากไท่หยางไม่บังคับข้าจะลอบชิงมีดสั้นจากองครักษ์ของเขาผู้นั้นหรือ หากข้าสามารถทำสิ่งอื่นได้ข้าจะกล้าหันมีดใส่ราชวงศ์เทียนจิ้นที่ตนเองสาบานว่าจะปกป้องรึ ถ้าเพียงแต่เขาหยุด..ข้าจะต้องหันปลายดาบทำร้ายทั้งที่ตนเองไม่อยากทำแม้แต่นิดหรือไร ข้าจะทำให้เขาต้องหลั่งเลือดเพราะความเอาแต่ใจของเราทั้งคู่ได้ลงคอหรือ
ทำร้ายตนเองไม่ได้ หวงไท่หยางไม่ยอมรับ แม้กระทั่งข้าก็ไม่อาจจับตนเองใช้ข่มขู่อีกฝ่าย ดังนั้นจึงได้แต่กดปลายมีดกระชับลำคอแกร่ง เลือกจะเสือกมีดเข้าหาบุรุษผู้นี้ที่ตนคิดภักดีจะทำทุกสิ่งมาถวายให้และไม่เคยคิดทำร้ายให้เลือดตกสักครั้งด้วยดวงใจที่ฝาดขมทุกข์ทรมาน..
ความปวดปร่าแล่นวาบในใจทำให้ฝ่ามือยิ่งสั่นไหว ข้าต้องสูดหายใจลึกระงับอารมณ์ไม่ให้พลุ้งพล่าน ได้แต่กระซิบบอกตนเองให้ควบคุมสติ ป่านนี้แล้วจะมามัวอาวรณ์อาลัยสิ่งใดอีก คนเราหากร่วมทางไม่ได้มีแต่ต้องเผชิญหน้าหรือหันหนี ทั้งที่รู้ว่าไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แล้วเหตุใดหวงไท่หยางไม่หยุดเล่า ที่ผ่านมาข้าพยายามหลบเลี่ยงเขามาตลอดแต่จนแล้วจนรอดคนก็ไม่คิดจะปล่อย วันนี้เขาเอาหลินจวินเจ๋อมาขู่ เอาเหล่าไท่มาขู่ วันหน้าข้าไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอันใดได้อีก ซ้ำหากไม่รีบหนีตนเองก็อาจหนีไม่พ้นไปตลอดกาลซึ่งข้าไม่อาจยอมได้
“เจ้ารักมันจริงๆรึ?” ชั่วขณะที่ความคิดจดจ่อมุ่งมั่นกับเป้าหมาย ข้าได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาหากเจือแววขมปร่าจางๆ..
ข้าหลับตาลง กดปลายมีดลงมากขึ้นเพื่อหยุดหัวใจที่สั่นไหว “องค์รัชทายาทโปรดปล่อยพวกเราไป”
“จื่อซิ่น”
“ข้าจำต้องกลับวังแล้ว”
“เจ้าเลือกเช่นนี้หรือ?”
ปลายมีดในมือสั่น หากข้ายังไม่ยอมลืมตาราวกับหวาดกลัวบางสิ่ง บางครั้งอาจกำลังหวาดกลัวว่าเมื่อลืมตาขึ้นตนเองจะเปลี่ยนใจ
“ได้โปรดเถิดพะยะค่ะ”
ข้าลืมตาขึ้นแล้วและมองดูโลหิตมังกรหลั่งรินผสมกับหยาดเลือดสีเข้มของตนเองที่ปลายมีดพลางคลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่ทราบว่ามันเจือด้วยความรู้สึกเช่นไร หัวอกที่สั่นระรัวอย่างไม่อาจระงับนั้นเย็นเฉียบไม่ต่างกับผืนหิมะสีขาว ยามได้ยินข้ากล่าวขอร้องตนด้วยถ้อยคำที่ไม่เคยเอ่ย แววตาที่เต็มไปด้วยพายุโทสะของหวงไท่หยางกลับสะท้อนความเจ็บปวดออกมาเหลือล้น ภาพนั้นตรึงแนบติดอยู่กับหัวใจของข้า แล้วอ้อมแขนที่เคยกอดข้าเอาไว้ก็ผละออกอย่างรวดเร็วเสียจนแข้งขาที่ไม่มีแรงนั้นแทบยืนไม่อยู่
“ท่านอ๋อง”
อ้อมแขนที่มีกลิ่นหิมะเจือความเย็นเยียบคอยรองรับ ข้ากระพริบตามองหลินจวินเจ๋อซึ่งถูกปล่อยตัวกระโจนมารับร่างของตนไว้ด้วยแววตาบางอย่าง พลันก็รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือรุนแรงเสียจนต้องปล่อยมีดให้ตกลงไปและซุกอยู่ในอ้อมแขนของแม่ทัพแดนใต้อย่างเงียบงันไร้ถ้อยคำ
มีดสั้นเล่มนั้นกระเด้งกระดอนตกลงไปถึงพื้นหิมะขาว เลือดในมือข้า เลือดที่ลำคอของเขาผสมเป็นหยุดเดียวกับแล้วสาดกระเซ็นลงไป หนทางเดียวที่หวงไท่หยางกับหวงเทียนหยางจะอยู่ร่วมกันได้เคยมีแต่ถูกทำลายลงไปแล้ว..
+++++++++++++++++++
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอาจริงๆ ท่านอ๋องน่าจะบอกออกไปนะ ไล่คนออกไปแล้วพูดกันให้รู้เรื่องไปเลย อมพะนำไปก็เท่านั้น ฮ่่องเต้ไร้ใจยังไงก็ต้องจัดการอะไรสักอย่างแน่ถ้ารัชทายาทกับท่านอ๋องยังมีสายสัมพันธ์คลุมเครือแบบนีั ทั้งเรื่องนี้ยังเป็นการลากคนอื่นมาพัวพัน คนตายไปยี่สิบคนแล้วไม่รวมคนของรัชทายาทเองอีก ยังจะดึงดันให้มีคนตายเพิ่มเพื่ออะไร ถ้ารูู้ความจริงไม่แน่รัชทายาทอาจจะต้องการเวลาปรับตัว หรือไม่ถ้าจะแตกหักก็คงได้รู้กันไปเลย จวิันอ๋องไม่บ่ายเบี่ยง รัชทายาทไม่วางกับดัก ฮ่องเต้ชัดเจน อาซิ่นอาจจะหลุดไปอยู่ในร่างใครสักคนทีีไม่ใช่ในวังวนของคนเหล่านี้ และท่านแม่ทัพอาจจะเจออาซิ่นที่ไหนสักแห่งแทน
หรือๆๆ
ถ้ามีอาซิ่นเข้ามาตามเนื้อเรื่องจริง บุรุษสองคนต้องหันหน้าตกลงกันอย่างสันติแล้วว่า วันไหนเป็นเทียนหยางอยู่กับไท่หยาง วันไหนเป็นอาซิ่นอยู่กับแม่ทัพ แบบนี้ก็แฮปปี้ได้เหมือนกัน เพียงแค่พวกแกหันหน้าคุยกันสิ ทิ้งศักดิ์ศรีที่จะครอบครองเพียงผู้เดียวไปซะ เพราะร่างกายคนงามก็เป็นของพวกแกสองคนนั่นแหละ ดีจะตาย คนอ่านก็ฟินสุด
งือออออออ ส่งอาซิ่นมาให้ท่านพี่ที อยากให้มาแบบแยกร่างไปเลยงะ
ยังไงดี ทั้งที่มีใจให้กันแต่รักกัน
ไม่ได้ มันทรมาน บีบหัวใจ
หน่วงสุดๆอ่ะ
คนหนึ่งถอยหนี อีกคนพยายามเข้าหา
คนหนึ่งปากแข็ง
อีกคนก็ปากหนักไม่แพ้กัน
ความรักต้องห้าม. ที่ไม่อาจ
ครองคู่กันได้
ที่เทียนหยางทำไปก็เพื่อปกป้องไท่หยาง. ทำโดยที่ไท่หยางไม่รู้เจตนา ว่าเพื่อตัวเองเพื่อตัวของ
ไท่หยางเองทั้งนั้น
แต่เจ้จะไม่ปลื้ม ก็ตอนที่ทั้งคู่ดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเป็นเครื่องมือประชดประชันความรักของทั้งสองนี่แหละ. ทำคนอื่นวุ่นวายไปหมด
เฮ้ออออ
บางทีนะ บางที
ถ้าลองหยุดคนละก้าว
แล้วลองเผชิญกับปัญหา
ตรงหน้ามันอาจจะทำให้
้อะไรดีขึ้นก็ได้
# ไท่เทียน คู่โหดฮาดคอร์