ตอนที่ 74 : สุราชั้นเลิศผนึกแข็งค้าง
ด้านนอกไร้ทางหนี แม้มีคนอยู่แต่คนผู้นั้นก็ทำตนเสมือนปราศจากหูและดวงตา กระทั่งองครักษ์หน้าตำหนักก็อาจเป็นเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงไม่ลังเลในการกล่าววาจาและลงมืออย่างไม่ไว้หน้า บัดนี้ข้าทราบแล้วว่าห้องอักษรในตำหนักเฟิ่งเทียนเป็นกับดัก หรืออาจกล่าวได้ว่าสงครามในท้องพระโรงคือกับดักชนิดหนึ่ง ที่หวงไท่หยางต้องการอย่างแท้จริงคือสิ่งนี้
ใบหน้าอันสูงส่งขององค์รัชทายาทปรากฏรอยแดงช้ำ ข้าเพียงหวังอยากให้เขาได้สติขึ้นมามิใช่คิดลงมือด้วย จะอย่างไรอีกฝ่ายก็มีศักดิ์ฐานะสูงกว่า แต่หวงไท่หยางไม่ได้สนใจเลย ไม่ว่าจะลงมือซ้ำไปอีกกี่ครั้งก็ยังไม่อาจทำให้คนผู้นี้ยอมปล่อย ปลายนิ้วเยียบเย็นกำแขนข้างหนึ่งไว้แน่น ตอกตรึงร่างนี้ไว้อย่างไม่อาจดิ้นรน ยังคงเป็นแววตาเช่นนี้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไร้ก้นบึ้งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ไม่ว่าจะพยายามหลีกหนีสักเพียงไร คนผู้นี้ก็ยังไม่ยอมปล่อย
ความเย็นยะเยียบจากหัวอกแทรกเข้าสู่แผ่นหลัง เป็นความหวาดกลัวอย่างเดียวที่ไม่อาจสลัดหลุดพ้น ข้าพยายามอย่างยิ่งที่จะหลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่หวงเทียนหยางเคยทำสำเร็จด้วยหรือ ข้ามองดูรอยยิ้มของบุรุษเบื้องหน้าพลางสูดหายใจลึก ยิ่งดิ้นรน ยิ่งหวั่นไหว หวงไท่หยางยิ่งพอใจมากขึ้น และมีความสุขกับการดิ้นรนของข้ายิ่งนัก
“ยอมเสียเสนาบดีผู้หนึ่งเพื่อเรื่องเช่นนี้ น่าประทับใจยิ่ง” ข้าเค้นเสียงตอบ พลางสะบัดมือลง
“ผู้ที่กำเริบเสิบสานถึงขั้นแพร่พิษวางยาเชื้อพระวงศ์ อย่างไรก็เอาไว้มิได้”
ข้ามองรอยยิ้มอันไปไม่ถึงดวงตาอีกฝ่ายและคำพูดคล้ายกล่าวว่าทำเพื่อตน ข้าคงเชื่อว่าเขาคิดปกป้องหากไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เขากระทำต่อข้ายามเมื่อมีผู้อื่นสิงสู่ร่างกาย แม้นั่นจะเป็น ‘อาซิ่น’ มิใช่หวงเทียนหยาง แต่การกล่าวว่ามิแยแสความเป็นตายของข้านั้นออกจะเป็นเรื่องที่น่าจดจำเกินไป และมิอาจคลายใจไปได้
“ผู้ไร้ประโยชน์ต่องานในภายภาคหน้าจึงจะถูกกว่า”
หวงไท่หยางคลี่ยิ้ม “สุนัขดีแต่เห่า หมดหน้าที่แล้วย่อมต้องกำจัด”
“ข้าหาใช่หินลับมีด*ของผู้ใด”
“ถูกแล้ว เป็นจ้าวหนิงเฉิงที่กลายเป็นหินลับมีดของจื่อซิ่น”
“พระองค์แน่ใจแล้วหรือว่าฝ่าบาทและฮองเฮายินดีจะให้ข้าคมมากขึ้นไปอีก”
แววตาและสีหน้าของหวงไท่หยางพลันเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง นั่นจึงเป็นหนทางให้ข้าสลัดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย รัชทายาทมีจุดอ่อนที่ใดมีหรือข้าจะมิทราบ เหนือศีรษะยังวางไว้ด้วยพระมารดาอันเป็นฐานของอำนาจและพระบิดาซึ่งสามารถใช้อำนาจกุดหัวตนได้ทุกเมื่อ ความไร้หัวใจของคนผู้นั้นทุกคนต่างรู้กันดี หากกล้าล่วงเกินพระราชอำนาจ ไม่ว่าเป็นรัชทายาทหรือผู้ใดล้วนต้องประสบเคราะห์กรรม
“แล้วอย่างไร”
ข้ามิได้เหลือบแลไปมองหวงไท่หยางแม้แต่น้อย “หากคิดเช่นนั้นข้าก็ไม่ขอรับความปรารถดีนั่น เกรงจะนำภัยร้ายมาสู่ตัว”
“นับแต่เจ้าคิดร่วมมือกับองค์ชายต่างแคว้น นั่นถือเป็นการนำภัยร้ายมาสู่ตัวแล้ว”
“หากไม่ทำเช่นนั้น ข้าจวิ้นอ๋องคงไม่มีชีวิตอยู่จนได้ตบหน้าเจ้ายามนี้” แม้ข้าไม่อาจปฏิเสธได้เรื่องการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนต่างแคว้น แต่จุดอ่อนนี้จะอย่างไรก็แลกมาด้วยชีวิตของตน หวงไท่หยางทราบดีแต่ก็ยังคงจงใจกล่าว เขายังคิดจะบีบให้ข้าพลั้งพลาดจนได้ใช่หรือไม่ คิดแล้วพลันรู้สึกเสียดายที่ลงมือฟาดใบหน้านั้นเบาไปอยู่บ้าง
“แรงตบนั้นเบามาก ให้ข้าคาดเดา จื่อซิ่นคงอาการไม่ดีนัก”
“ต้องขอบคุณองค์รัชทายาทที่ช่วยคว่ำยาชามนั้นไปจริงๆ”
“แต่เจ้าก็ยังไม่ตาย”
“ขออภัยด้วยที่ข้าจวิ้นอ๋องยังไม่สิ้นชีพตามความต้องการของเจ้าและอีกหลายๆคน”
หวงไท่หยางมองข้าที่กล่าวคำนั้นแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง คงเป็นเพราะนอนไม่พอและด้วยอาการป่วยแน่ๆข้าจึงมองเห็นว่าแววตาคู่นั้นอ่อนลงจนเกือบเป็นความอาดูรล้ำลึก แต่จะอย่างไรก็ไม่ควรมากกว่านั้น ข้ากล่าววาจาแล้วเตรียมขยับออกห่าง ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้ข้าระมัดระวังอย่างยิ่งในการเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย กับหวงไท่หยางผู้นี้ ต้องทุ่มเทหมดหน้าตักเท่านั้น..
“ข้ามิได้ต้องการให้เจ้าตาย..แน่นอนว่าย่อมหมายถึงเจ้าในยามนี้ มิใช่หมายถึงผู้อื่นไม่”
ผู้อื่น...แม้มีโทสะอย่างยิ่งแต่คำพูดของหวงไท่หยางกลับทำให้ต้องชะงักเท้า ผู้อื่นที่เขากล่าวถึงคงไม่พ้นอาซิ่นผู้นั้น แม้ข้าทราบว่าบุรุษเบื้องหน้ารู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตนดี แต่ก็ไม่คิดว่าวิธีมากมายที่ผ่านมา ทั้งเล่ห์กลที่ใช้ในราชสำนัก ทั้งยามบีบบังคับถึงทางตันจะเป็นอีกฝ่ายอยากกำจัด ‘ข้า’ซึ่งไม่ใช่ ‘ข้า’ ที่พูดว่ามิแยแสความตาย นั่นเพราะคนตายมิใช่ข้าอย่างนั้นหรือ?
“ไม่ว่าลงมือกับผู้ใด ผลลัพท์ไม่แตกต่าง”
“แต่สำหรับข้านั้นแตกต่าง”
ฝ่ามือหนากดลงบนไหล่อย่างเงียบเชียบ แม้จะไม่ได้ลงมือรุนแรงแม้แต่น้อย ทว่ากลับทำให้สะดุ้งเฮือกอย่างลืมตน ข้าเม้มปากแน่นเมื่อตนเองเผลอแสดงอาการหวาดกลัวให้อีกฝ่ายประจักษ์ ชัดเจนเสียจนได้ยินเสียงหัวเราะข้างหูและรอยยิ้มอันสดใสแต่ชวนหนาวยะเยือกไปถึงหัวใจดวงนั้น ..ฝ่ามือเผลอกำแน่นแล้วจิกเล็บลงไป
“เรื่องในท้องพระโรงวันนี้เปิดหูปิดตาข้าอย่างยิ่ง เทียนหยางของข้าช่างมากความสามารถยิ่งนัก แต่กล่าวถึงลายมือ เหตุใดต้องย้อนไปดูบันทึกเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นบันทึกของเดือนนี้มิได้หรือ ข้าจำได้ว่าก่อนกลับมาจวิ้นอ๋องยังพากเพียรเขียนรายงานขอความดีความชอบให้กับทหารในกองทัพด้วยลายมือที่มิต่างจากนี้ หากมีผู้ได้ฉุดคิดแม้เพียงเล็กน้อยคงได้ทราบว่าแท้จริงเจ้าเปลี่ยนไปเพียงใด เปลี่ยนไปกระทั่งลายมือราวกับมีผู้อื่นมาสวมแทน ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก “ เสียงหัวเราะแผ่วเบาหากเจือแววข่มขู่ ข้าจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นเงียบๆ “เจ้าก็ทราบดีว่าแม้ขุนนางอื่นอาจเอาเรื่องมาโจมตีไม่ได้ แต่เมื่อฝ่าบาทเกิดความสงสัย ต่อให้โดดลงแม่น้ำหวงโหเจ้าก็ไม่อาจล้างมลทิน”
“เจ้าต้องการสิ่งใด?”
“เราไม่ได้เล่นหมากล้อมกันมานานแล้ว ไปวังตะวันออกกันเถิด”
“ข้าต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ข้าตัดสินใจปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าหวงไท่หยางคิดข่มขู่อันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุผลที่แท้จริงคือข้ายังคงถูกใช้งานต่อ แม้ฝ่าบาทจะสงสัยหรือมีร้อยพันพิรุธก็ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้
“บริวารที่ถือยามารอรับเจ้าอยู่หน้าวัง ช่างเอาใจใส่อย่างยิ่ง ข้าว่ารอเข้าเฝ้าแล้วจะทูลขอกับเสด็จพ่ออยู่พอดี คนของเจ้านั้นใช้งานได้ดีเสมอเช่นเดียวกับองครักษ์เงาทั้งยี่สิบคนนั้น..”
“เจ้าจะให้ข้าลงมือที่นี่ หรือจะไปที่วังตะวันออกกันเดี๋ยวนี้”
-----------------------------------
หวงเทียนหยางทราบดีมาตั้งแต่รู้ความว่าการเกิดเป็นคนในราชวงศ์หาใช่โชคดีแต่อย่างใด..
ในสายตาไพร่ฟ้าหรือคนภายนอก ผู้ที่เกิดภายใต้บัลลังก์มังกรนั้นเปี่ยมด้วยยศศักดิ์และมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภูเขาเงินทอง มีบริวารคอยรับใช้ ไม่ว่าต้องการสิ่งใดล้วนได้มาในมือ ถึงขั้นมีคำกล่าวว่าสามารถบันดาลฟ้าฝน ทว่าความโชคดีในข้อนี้กลับต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นที่ว่าราชนิกูลนั้นไม่อาจมี ‘หัวใจ’
จวิ้นอ๋องผู้ลวงลับ หวงอี้หงนั้นแม้มีชายาเอกเพียงคนเดียว ทว่าข้างกายก็มิเคยขาดสาวงามปรนนิบัติ ทว่าผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปีหวงเทียนหยางยังเป็นโอรสเพียงองค์เดียวของพระองค์ จึงเป็นที่กล่าวว่าจวิ้นอ๋องผู้นั้นมีชะตาบุตรน้อยเป็นแน่แท้ ทว่ายังเป็นเรื่องที่โชคดีอยู่บ้างด้วยทายาทเพียงหนึ่งนั้นเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและสติปัญญาความสามารถ
หวงเทียนหยางได้ยินแล้วเพียงคลี่ยิ้มบางๆตอบรับคำเชยชม
ผู้คนเหล่านั้นกล่าวได้ด้วยมิทราบถึง ‘ความลับ’ ของวังจวิ้นอ๋อง
ฤดูหนาวปีที่สิบห้า บิดาเสียชีวิตลง จวิ้นอ๋องหวงอี้หงคล้ายป่วยด้วยโรคปัจจุบันจนลาจากไปอย่างรวดเร็ว หวงเทียนหยางสวมชุดขาวไว้ทุกข์ หน้าผากคาดด้วยผ้าแพรขาวนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพ ตอนนั้นเป็นยามดึกแล้ว บ่าวไพร่ที่รับใช้ต่างก็ง่วงงุนสัปหงก แม้หลายคนยังคอยทำหน้าที่เติมกระถางกำยานธูปเทียนแต่ก็มีอาการเอื่อยเฉื่อย ทว่าอาการนั้นหายไปทันทีที่มีร่างของบุรุษผู้นั้นเดินเข้ามา
เงาร่างอันสูงศักดิ์ทรุดกายลง จุดธูปไหว้โลงศพผู้ตาย อันเป็นการให้เกียรติสูงสุดแก่ผู้ล่วงลับ
ดวงตาของพญามังกรนั้นทอดมองมาที่ตนเอง ขยับริมฝีปากคล้ายจะกล่าวปลอบอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็นิ่งเงียบ เพียงถอนปัสสะเบาๆแล้วหยัดกายขึ้น สะบัดชายอาภรณ์แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“จวิ้นอ๋องไปดื่มชากับข้าสักครู่”
“พะยะค่ะ”
แม้ทราบดีว่า ‘บิดา’ ที่แท้จริงเป็นผู้ทำให้ ‘บิดา’ ผู้เลี้ยงดูตนมาเสียชีวิต แต่หวงเทียนหยางก็ทำได้เพียงค้อมศีรษะน้อมนบ ก้าวเท้าตามแผ่นหลังของบิดาอันสูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน ทราบดีว่าอนุภรรยาคนล่าสุดผู้ลอบวางยาหวงอี้หงคือคนของฮ่องเต้ ทราบว่าจวิ้นอ๋องผู้ล่วงลับนั้นมีโรคประจำตัวทำให้มิอาจมีทายาท ทราบมานานแล้วว่าแท้จริงตนคือบุตรชายที่เกิดจากการคบหาอันผิดธรรมเนียม ทุกสิ่งนั้นยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนและสวมหน้ากากของตนต่อไป
หัวใจของหวงเทียนหยางเย็นเยือก แม้ถูกพร่ำสอนมาตลอด ทว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ได้ประสบคำว่าไร้ใจอย่างแท้จริง ยามมองโอรสสวรรค์กล่าวเรื่องลงมือกับบิดาผู้ล่วงลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก สั่งสอนเรื่องการเมืองและการดำรงอยู่ในที่ๆถูกที่ควรของวังจวิ้นอ๋อง เมื่อได้สบดวงเนตรอันลึกล้ำคู่นั้นแม้คำต่อขานสักครึ่งคำยังมิอาจกล่าว รู้สึกราวกับรอบกายคือดงหนาม กระทั่งฝ่าเท้ายังคาวไปด้วยกลิ่นโลหิต
ยังคงต้องก้มศีรษะ คลี่ยิ้มนอบน้อมเอ่ยปากถวายพระพร น้อมส่งฮ่องเต้ผู้ครองแผ่นดินจากไป แม้ในใจกำลังหลั่งโลหิตออกมาอย่างเงียบงัน
เป็นราชนิกูลได้ต้องทิ้งหัวใจของตนเองไปแล้ว..นี่น่ะหรือโชคดี?
หลังงานศพไว้อาลัยแล้วจึงเป็นงานมงคล หลังรับตำแหน่งหวงเทียนหยางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้างจึงปั้นหน้ายิ้มไปขออนุญาตโอรสสวรรค์เดินทางไปยังเมืองถานเฟิ่งซึ่งถือว่าเป็นเมืองในกรรมสิทธิ์ปกครองของผู้ได้ศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง สวมชุดดำคลุมเสื้อขาวไว้อาลัย เดินทางไปพร้อมกับพ่อบ้านคนสนิท ไม่คาดว่าไปเยือนเพียงไม่นานกลับต้องเผชิญศึกแรกในชีวิต
เวลาล่วงเลยมาถึงฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม ดอกมู่ตานสีแดงเข้มบานซ้อนกันนับพันชั้นส่งกลิ่นหอมแรงอวลไปทั่วตำหนักรัชทายาท เสริมกลิ่นอายมงคลให้ผู้คนยิ่งเบิกบาน องค์รัชทายาทหวงไท่หยางหมั้นหมายพระชายาเอกแล้ว ว่าที่ชายาเอกเป็นหลานสาวสกุลเยว่สกุลเดิมของฝั่งมารดา เรื่องราวมงคลนี้ต่างแพร่หลายไปทั่ว แม้ยังมิได้ตบแต่งแต่ก็ถือว่าได้ส่งมอบสินสอด ดังนั้นหากจะพบว่าที่ชายาขององค์รัชทายาทที่ตำหนักตะวันออกนับว่ามิผิดแผกอันใด
หลังกลับจากศึกใหญ่ที่เมืองถานเฟิ่ง จวิ้นอ๋องมาเยือนวังตะวันออกเพื่อแสดงความยินดี ในฐานะพระญาติที่ร่ำเรียนเขียนอ่านด้วยกันมาแต่ยังเยาว์ หวงไท่หยางและหวงเทียนหยางนั้นสนิทสนมกันอย่างยิ่ง ต่างประดุจเป็นดวงอาทิตย์ส่องใต้หล้าเป็นความหวังของแว่นแคว้นในอนาคต สำหรับจวิ้นอ๋องแล้วยังคิดมาขอโทษขอโพยญาติสนิทตนด้วยอีกสาเหตุหนึ่ง เพราะติดศึกที่ชายแดนใต้จึงไม่อาจมาร่วมงาน ได้แต่มอบของขวัญแสดงความยินดี
มาวังตะวันออกครั้งใดเป็นต้องได้ประลองหมาก ฝีมือผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมานับครั้งไม่ถ้วน ขณะวางหมากขาวกล่าวแสดงความยินดี และจิบชาลอบสังเกตสตรีที่มีอนาคตเป็นแม่ของแผ่นดินอย่างเงียบเชียบ มองเห็นเพียงรอยยิ้มอย่างสุภาพของหญิงงามที่วางถ้วยชาแล้วจากไป นั่นเป็นครั้งแรกที่หวงเทียนหยางสามารถรับรู้ถึงความผิดปกติ
ต่อมาในอีกสองเดือน ได้แนะนำนายทหารคนหนึ่งที่ผ่านศึกด้วยกันที่เมืองถานเฟิ่ง สำหรับจวิ้นอ๋องเดิมทีด้วยอายุและประสบการณ์อย่าได้กล่าวถึงออกทัพจับศึก ทว่าเพราะเป็นการรบที่เกิดขึ้นเพราะถูกจู่โจมกะทันหัน สามารถเอาชนะและรักษาเมืองไว้ได้จึงมีความดีความชอบยิ่งนัก
คนผู้นั้นที่ร่วมทำศึกด้วยนับว่าฝีมือดี นิสัยสัตย์ซื่อ ถือว่าถูกชะตาอย่างมาก จึงคิดสนับสนุนส่งเสริมและยังคิดให้วังตะวันออกใช้งานเป็นแขนขาในอนาคต ครั้งที่สองนี้แววตาคู่นั้นมืดดำยิ่งกว่าเคย
ครั้งที่สามเป็นเพราะฮ่องเต้มีพระราชประสงค์คิดอยากหาคู่ครองให้ ครานี้จะบอกว่าตนเองตาฝาดไปย่อมไม่ได้แล้ว..
“ดื่มชาสักหน่อย นี่เป็นชาเข็มเงินที่เจ้าชอบ”
ข้าหลุดออกจากภวังค์ความคิด พลางจ้องมองจอกชาที่วางลงเบื้องหน้า ชาอุ่นนั้นกรุ่นไอร้อนส่งกลิ่นหอมจางๆ เช่นเดียวกับกลิ่นบางอย่างที่สัมผัสได้ แม้ดอกมู่ตานไม่ผลิบาน หากก็ราวกับยังมีกลิ่นหอมบางอย่างอบอวลอยู่ภายในตำหนักแห่งนี้เสมอ มันหาใช่กลิ่นกำยานหากเป็นกลิ่นหอมเอียนของโลหิต พื้นที่เหยียบย่ำราวกับกระตุ้นความทรงจำย้อนคืน กลับไปยังท้องนภาอันมืดดำและเสียงโลหิตสาดกระเซ็นที่ดังขึ้นทุกครั้งยามหมากตัวใดตัวหนึ่งถูกหยิบออกไป
จิบชาปกปิดอาการอันไม่ปกติของตน ไม่นานก็วางจอก ได้กลิ่นกำยานลอยอ้อยอิ่ง กลิ่นหอมจางหากแต่ชวนอึดอัดไม่คลาย ภายในห้องอบอุ่นแต่ใจกลับเหน็บหนาว ข้ายังคงถือหมากสีขาว หวงไท่หยางยังคงคีบหมากสีดำ ทิวทัศน์ของตำหนักรัชทายาทงดงามหาใดเปรียบ มองออกไปเห็นสวนดอกไม้พุ่มไม้น้อยใหญ่ ดอกไม้แม้ร่วงโรยยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
หิมะโปรยปรายลงมาแล้ว เหล่าไท่ที่ยืนรออยู่คงเป็นกังวลยิ่ง..
“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนเจ้าเกิดอาการหนักขึ้นมาอีก”
ได้ข่าว ข้ามองบุรุษผู้มีหูตาอยู่ทุกสารทิศอย่างไม่กล่าวคำใด เพียงจิกเล็บลงบนอุ้งมือแรงขึ้นและคีบหมากสีขาวลงไปวาง
“ตอนนี้เกือบถึงเวลารับประทานอาหารแล้ว ข้าทราบว่าเจ้าต้องดื่มชาเป็นประจำทุกมื้อ ให้ไปเชิญพ่อบ้านของเจ้าผู้นั้นมาดีหรือไม่?”
“ไม่ต้อง”
ข้าจิกเล็บแน่นขึ้น พลางเงยหน้าขึ้นจ้องมองหวงไท่หยางด้วยใจที่มีโทสะวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามกดมันลงไป เพียรบอกและย้ำให้ตนเองทราบว่าอย่าได้หวาดกลัวและยอมตกหลุมพราง กระนั้นก็ยังรู้สึกมีโทสะ ข้ามองดวงตาคู่นั้น กล่าวว่าผิดหวังหรือยังนับว่าน้อยไปเมื่อลองเทียบกับการกระทำที่ผ่านไปนานกี่ปีคนก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
หวงไท่หยางก็เป็นเช่นนี้ แม้ยิ้มแย้มแต่ก็เป็นหน้ากากชนิดหนึ่ง สิ่งใดที่ต้องการย่อมคว้ามาครองโดยไม่สนใจถูกผิด เขาเอาแต่ใจอย่างยิ่ง ข้าทราบดีมาแต่ต้นด้วยคุ้นเคยยิ่งนัก แต่ก็ไม่คิดว่าต้องได้ประสบกับตนเองเมื่อเขาต้องได้ แต่ข้ามิอาจให้
ข่มขู่แล้ว บังคับแล้ว พยายามก็แล้ว ระหว่างเราสองคนมีผู้คนถูกม้วนกลืนเข้ามามากมาย เป็นเครื่องมือถูกส่งเสริมเยินยอจนสูงส่ง เป็นทั้งผู้ที่โชคร้ายต้องตกลงมาพบกับหายนะ ทีเจ้าก็ดี ทีข้าก็ดี ออกแรงชกไปหมัดหนึ่งยังสะเทือนมาถึงตนอีกหมัดหนึ่ง ยิ่งดิ้นรนไม่ยอมความคนยิ่งหนักข้อมากขึ้น ยิ่งหนีมากเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้นเท่านั้น
“ยังคงเป็นจวิ้นอ๋องผู้มากเมตตาเช่นเดิม”
เสียงวางหมากยังคงดังคลอเคล้ากับเสียงหิมะร่วงบนหลังคา คนทอดถอนใจคล้ายเชยชมที่ข้าเป็นนายผู้รักห่วงชีวิตของบ่าวไพร่อย่างยิ่ง แต่ฟังแล้วหาได้ต่างกับลมพัดผ่านหู แค่อยากยั่วโทสะให้ข้าตอบกลับ ชอบข่มขู่เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ไม่ต่างกับเหตุผลที่หวงไท่หยางเชิญข้ามาเดินหมากเบื้องหน้าทิวทัศน์เช่นนี้ ใกล้กับสวนดอกมู่ตานที่เราสองต่างทราบดีว่ามันมีสิ่งใดซ่อนอยู่
ดอกไม้ที่ฮองเฮาเยว่ทรงโปรดปรานยิ่ง รัชทายาทจึงปลูกมันไว้รอบตำหนักเพื่อแสดงความกตัญญู เสียงร่ำลือของดอกมู่ตานเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อมองเห็นกอดอกไม้งามสะพรั่งข้ากลับเอาแต่หวนคิดถึงศพที่ต้องทอดร่างรองก้นหลุม
สวนดอกไม้ที่งดงาม ดอกมู่ตานสีแดงเข้มที่ส่งกลิ่นหอมจัดทั้งหลายนั้น ล้วนเติบโตและเจริญงอกงามได้ด้วยศพขององครักษ์เงายี่สิบคนของข้า ทุกครั้งที่หมากขาวถูกกิน ดาบจะกดลึกลงไปอีกหนึ่งชุ่น* ทุกครั้งที่เก็บหมากดำได้ วังตะวันออกจะมีศพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง
หวงไท่หยางหัวเราะเมื่อมองเห็นคนของข้าถูกลากตัวออกไป ทุกครั้งที่มีศพหนึ่งกองลงตรงหน้า เขาจะคลี่ยิ้มอย่างบอกบานแล้วถามซ้ำๆ
“จะยอมแพ้หรือยัง?”
ข้าคิดถึงเรื่องเล่าชวนหัวของชาวบ้านร้านตลาดเกี่ยวกับท่านอ๋องวิปริตหวงเทียนหยาง ว่ากันว่าก่อนวันแต่งงานหนึ่งอาทิตย์จวิ้นอ๋องหายตัวไป สามวันหลังเลยฤกษ์แต่งกลับพบตัวที่ตำหนักตะวันออก ผู้คนต่างหัวเราะว่าข้อกล่าวอ้างของรัชทายาท ‘เดินหมากจนลืมวันเวลา’ กล่าวกันว่าที่แท้รัชทายาทคิดอาศัยความเป็นมิตรเกลี้ยกล่อมให้จวิ้นอ๋องยอมเลิกราเรื่องงานแต่ง แต่ผู้ใดจะทราบดีเท่าข้าและแท้จริงใครจะรู้เล่าว่ามิใช่เรื่องเท็จ
จวิ้นอ๋องและรัชทายาทเดินหมากกันจริง แต่มิใช่หมากธรรมดา การเอาเลือดล้างวังตะวันออกของรัชทายาทเป็นผลให้ฮ่องเต้พิโรธอย่างยิ่งถึงขั้นมีโองการลงมาห้ามข้าพบปะกับหวงไท่หยาง กลบเรื่องราวเหลวไหลของพวกเราไปกับกระแสงานแต่งอันน่าขบขันของข้า ปิดข่าว การละเล่นอำมหิต ฆ่าคนเป็นผักปลาให้เงียบหายไปกับสายลม
การพยายามเกลี้ยกล่อมข้าของหวงไท่หยางเป็นวิธีพิสดารจริงแท้ แม้คนตั้งใจเช่นไรแต่จุดมุ่งหมายคือต้องการให้ข้ายกเลิกงานแต่ง ขัดผลประโยชน์ ทำให้เสียหมากที่ใช้งานได้ไปตัวหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งใดล้วนไม่ใช่คำตอบ หมากที่สำคัญกว่านี้หวงไท่หยางยังสละทิ้งได้ มีหรือจะพิโรธโกรธเคืองที่ถูกข้าใช้สมรสพระราชทานมาทำลายแผนการดึงคนในกองทัพของเขา คนผู้นั้นอยากให้ข้ายกเลิกงานแต่งจริงๆ มีโทสะจริงๆ แต่ที่โกรธเคือง เป็นเพราะเขามิอาจได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
ยิ่งข้าส่ายหน้าปฏิเสธ เขายิ่งโกรธเคืองมากขึ้น และมากขึ้น..
ข้าเองก็มิอยากทำอย่างนี้ ไม่อยากใช้วิธีเช่นนี้ แต่แววตาคู่นั้นที่มองมาน่าหวาดกลัวเกินไป
น่ากลัว...กลัวว่าผู้อื่นจะมองเห็น โดยเฉพาะ ‘บิดา’ ของเราสองคนผู้นั้น
เรื่องราวผ่านมาแล้ว แต่ดวงตาแดงก่ำราวกับคลุ้มคลั่งของหวงไท่หยาง กรอกสุราจอกหนึ่งในข้า ตนเองถืออีกจอกหนึ่งจิบแล้วเหวี่ยงทิ้งยังคงติดตรึงในห้วงคิด คนหัวเราะเมื่อได้เก็บหมากขาวแล้วสั่งกุดคอองครักษ์ที่บุกมาช่วยเหลือข้าทีละนิด ยังคงหัวเราะเมื่อเห็นว่าข้าเก็บหมากดำได้แล้วสั่งลากคอคนของตนไปตัดหัว หวงไท่หยางยิ้มอย่างเปี่ยมไมตรี เดินหมาก จิบสุรา วนเวียนถามข้าซ้ำๆว่า เพราะเหตุใด ถามคำหนึ่งก็แค่นยิ้มเสียทีหนึ่ง เป็นแววตาของเขานั่นเองที่ทำให้ข้าทราบว่าสายไป..แม้คิดจะหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว
‘เจ้าอาจหลอกผู้คนได้ทั้งใต้หล้า แต่มิอาจหลอกลวงข้าที่เจ้าต้องการตบตาที่สุด’
เชื่อไปเถิด..ขอร้องให้เจ้าเชื่อไปเสียเถิด หากเจ้าเชื่อแล้วอย่างน้อยข้าก็ยังอาจตบตาบุรุษบนบัลลังก์ทองผู้นั้นได้บ้าง..
“เจ้าเหม่อคิดถึงสิ่งใดอยู่?”
“ตั้งสมาธิวางหมาก”
“ล้อเล่นแล้ว เรื่องเดินหมากไหนเลยจะสำคัญเพียงนั้น”
ข้าเงียบลงอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบ คนยังคงรู้ใจกันดีอย่างน่าชัง ดังนั้นจึงไม่ตอบหากแต่หรุบตาลงแล้วหยิบหมากขาว ตั้งใจจะเล่นให้จบกระดานแล้วเร่งหากทางออกไป สำหรับตัวข้าการอยู่ใกล้หวงไท่หยางเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย
แก๊ก...
“ข้าถามเจ้า”
ปลายนิ้วเรียวหยิบหมากขาวลงไปวาง แต่ข้อมือกลับถูกคว้าไว้อย่างไม่รอท่า เสียงเม็ดหมากหล่นกระทบกระดานดังขึ้นเบาๆท่ามกลางการจับจ้องของดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ไร้ก้นบึ้งกับนัยน์ตาสีดำสนิทซึ่งบัดนี้เจ้าของพยายามข่มเก็บอารมณ์ หากปลายนิ้วยังคงสั่น เม็ดหมากขาวยังเจือสีโลหิต ฝ่ามือที่ถูกพลิกให้หงายออกยังมีรอยเล็บที่กำแน่นจนเลือดซึมชื้น
ข้าได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบา ไม่ได้ฉายแววรื่นรมย์หากขมปร่า ปลายนิ้วของหวงไท่หยางเกลี่ยไล้รอยแดงบนฝ่ามือ เสี้ยวหน้าคมคายที่ก้มมองรอยแผลนี้ช่างเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างน่าหวาดกลัว
“เจ้ายังคงเป็นเช่นเดิม ดื้อรั้นอย่างโง่เขลา แม้ตัวตายสิ่งที่ไม่คิดปริปากยังไม่เคยออกจากปาก ให้ข้าลงมืออีกพันครั้งก็เท่านั้น”
“....แต่เจ้ายังคงกลัวข้าอยู่” เสียงทุ้มกล่าว ท่าทางอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาคู่นั้นหยักโค้ง ริมฝีปากคลี่ยิ้มจนเห็นคมเขี้ยว ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ไม่หายกลัวข้าสักทีหรือจื่อซิ่น?”
“..อึ่ก”
รอยแดงถูกกรีดซ้ำ ย้ำให้เห็นเป็นรอยแผลชัด โลหิตซึมออกมาแดงก่ำคล้ายอัญมณี หวงไท่หยางลากปลายนิ้วเกลี่ยหยดเลือด คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจขณะแววตาอันลึกล้ำจ้องมองไม่คลาดสายตา
“เรื่องราวผ่านมาเป็นปีแล้ว เห็นได้ชัดว่าได้ผล เช่นนั้นเราเดินหมากกันอีกทีดีหรือไม่ คราวนี้ใช้เป็น...”
เพี๊ยะ!
ที่อดทนอดกลั้นมาแล้วกลับสะบั้นลงเพราะเรื่องนี้นี่เอง ในใจข้ากึ่งนึ่งนึกมีโทสะที่คนผู้นี้ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าที่ทำลงไปทุกสิ่งเพื่ออะไร แต่อีกกึ่งหนึ่งก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเหลือล้นเมื่อนึกถึงชีวิตคนสนิทของตนที่ต้องเสียไป ยามเห็นหมากถูกเก็บไปข้ารู้สึกเช่นใด ยามเห็นเขาหัวเราะด้วยแววตาที่บ้าคลั่งเช่นนั้นข้ารู้สึกอย่างไร เมื่อได้เห็นเขาแปรเปลี่ยนเป็นปีศาจไร้ใจที่ข้าเกลียดชังข้าสิ้นหวังเพียงใด หวงไท่หยางไม่ทราบ ไม่ทราบเลยแม้แต่น้อย..
เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังขึ้นแทนคำตอบ ข้าสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแล้วใช้ฝ่ามือเปื้อนโลหิตวาดประทับรอยบนใบหน้านั้นซ้ำ ข้าลงมือ ฟาดมือลงไปครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยแรงโทสะจนเห็นหยดเลือดจากมือของตนเองบนใบหน้าคมคาย แต่หวงไท่หยางยังคงยิ้มราวไม่รู้สึกรู้สา บอกกล่าวข้าอย่างดื้อรั้นและหนักแน่นว่าต่อให้หนีสักเท่าไหร่หรือลงมือทำสิ่งใดก็ไม่เปลี่ยนต่อให้ลงมือรุนแรงกว่านี้ มากกว่านี้ไปก็ไร้ค่า..
ฝ่ามือสั่นระริก ข้าหาได้เจ็บกายแต่ในใจกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังร่ำร้องอยู่ ขณะที่แทบหมดสิ้นความอดทนดวงตาของหวงไท่หยางกลับกระจ่างวาบ แววตาแปรเปลี่ยนไปครู่หนึ่งแล้วจึงออกแรงกระชากร่างของข้าให้เข้าหาตัว
ในอ้อมกอดนั้นบันดาลให้เนื้อตัวเย็นเยียบ ข้าพยายามดิ้นรนแต่เรี่ยงแรงที่มีกลับลดน้อยลง พอมองเห็นแววตาพึงใจบางอย่างจากนัยน์ตาคู่นั้นที่สุดจึงนึกถึงชาเข็มเงินที่ตนเองดื่มไป เคยวางใจว่าหวงไท่หยางไม่คิดวางยาพิษ อีกฝ่ายก็ไม่วางยาพิษทว่ากลับเป็นอย่างอื่น
“อย่าได้กังวลว่าดื่มยาไม่ตรงเวลาแล้วอาการจะกำเริบ ข้าพาพ่อบ้านของเจ้าพร้อมยามาให้แล้ว” น้ำเสียงทุ้มพร่าดังขึ้นข้างหูขณะข้าที่ไร้เรี่ยวแรงอ่อนเปลี้ยไปทั้งตัวถูกจับให้หันหน้าไปมองยังประตูห้อง ร่างของเหล่าไท่ถูกทหารสองนายควบคุมตัวไว้ คนยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมยาที่ถูกอุ่นเก็บไว้ในกล่อง ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางคู่นั้นฉายแววแตกตื่นเป็นกังวล ขณะที่ข้าขยับริมฝีปาก คิดบอกให้หนีออกไปแต่กลับไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมา
“ตัวหมากก็พร้อมแล้ว แม้คราวนี้จะมีคนเดียวต่างกับเมื่อก่อน แต่เราเดิมพันกันเป็นกระดานดีหรือไม่...” หวงไท่หยางกระซิบออกมาอย่างรื่นรมย์ ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยสงบนิ่งฉาบทับด้วยแววปั่นป่วนบ้าคลั่งที่ข้าหวาดกลัว มันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับอ้อมแขนที่กอดเอาไว้ เห็นรอยแดงที่ฝ่ามือข้าก็เพียงหัวเราะแล้วเกลี่ยปลายนิ้วลงบนหยาดโลหิตอย่างพออกพอใจยิ่ง
“ข้าถามเจ้าแล้วว่าเพราะเหตุใด ถามไปกี่ครั้งกี่คราวก็ไม่เคยได้คำตอบ หากชีวิตขององครักษ์พวกนั้นยังเบาไป ใช้เดิมพันนี้คงได้คำตอบเป็นแน่”
------------------------
หินลับมีด – เป็นอุปสรรค์ให้ผู้อื่นเข้มแข็งขึ้น
ชุ่น - หน่วยวัดของจีน หนึ่งชุ่นเป็นหนึ่งนิ้ว
ปุจฉา หวงไท่หยางเป็นคนปกติหรือไม่ ไม่สิ ทั้งราชวงนี้มีคนปกติไหมคะซิส--
มาตอนนี้เรื่องเทียนหยางคงไขข้อสงสัยไปได้แล้ว คำตอบคือท่านพ่อเลี้ยงเป็นหมัน ส่วนท่านพ่อจริงก็แอบกิ๊กกับเมียน้องไม่พอมาสั่งฆ่าน้องอีก ท่านอ๋องตอนนั้นจะทำอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้ารับ แต่ในใจก็ซาบซึ้งในความโหดร้ายของพ่อแท้ๆไปแล้ว
และเรื่องราวระหว่างเด็กทะเลาะกันสองคนของไท่หยางและเทียนหยาง ก็นั่นล่ะค่ะ มีท่านพี่ผู้เป็นเหยื่อ /อาดูร
ส่วนตอนหน้าเหล่าไท่จะรอดไหม มาลุ้นกันนนน
เพจ FB : https://www.facebook.com/mywhynn/
ทวิต @Secrate_Wind
และเม้าท์นิยายแท็ก #จวิ้นอ๋อง นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะไม่ทนแล้วนะ
อ้อนวอนไรท์ มาต่อเถอะค่ะ
แต่เค้าโครงเรื่องดีชอบมากค่ะ
ปมหนักดราม่าแบบนี้ส่วนใหญ่จบลงด้วยการตายมากกว่า แต่ไม่อยากให้ไท่หยางกับเทียนหยางตายเลย
ไท่หยางรักเทียนหยาง เทียนหยางรู้แล้วกลัวพ่อรู้ เลยบอกว่าตัวเองรักจวินเจ๋อขอแต่งกับแม่ทัพ ไท่หยางไม่ยอมจึงชิงตัวมาแล้วบังคับให้ยกเลิกงานแต่งโดยการใช้ชีวิตองครักษ์มาต่อรอง
ส่วนตอนนี้น่าจะอยากรู้เหตุผลว่าทำไมเปลี่ยนไปรึเปล่าหรือทำไมเกี่ยวกับเรื่องอื่น(งงในตัวเอง) เลยเอาชีวิตคนสนิทที่สุดในตอนนี้ซึ่งก็คือเหล่าไท่ มาต่อรอง
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรคงได้แต่รอไรท์มาบอกต่อ