ตอนที่ 72 : ไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน (1)
ข้าลืมตาขึ้นมาเงียบๆ ท่ามกลางเสียงอึงอลอยู่ข้างหู ในห้วงคิดยังรับรู้ได้อย่างแจ่มชัดแม้ร่างกายจะอ่อนล้า ได้ยินทุกคำแม้เป็นคำที่ไม่รื่นหูชวนให้มีโทสะเพียงใด ข้าเห็นใบหน้าของเทพโอสถไป๋จิ้งชะโงกอยู่ไม่ไกลขณะดึงเข็มเล่มสุดท้ายออกมา พลันก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นอย่างมาก ร่างกายทุเลาลงมากพอจะพยุงตัวลุกขึ้นตามคำสั่งของเทพโอสถแห่งไห่เยี่ยนท่ามกลางการประคับประคองของเหล่าไท่ โดยหาได้สนใจเสียงวิวาทของบุรุษสองคนที่ยังถกเถียงกันไม่เลิกรา
“อย่าได้ลุกเร็วเกินไป จะหน้ามืดเอาได้ ท่านอ๋องดื่มยาถ้วยนี้ด้วย” ถ้วยยากรุ่นไอร้อนถูกยื่นมาตรงหน้า ซึ่งตัวข้าก็รับมาดื่มเงียบๆไม่คิดถกเถียง ระหว่างดื่มยารสชาดทรมานลิ้นก็ลอบใช้สายตามองสำรวจภายในห้องนอนของตนและคิดทบทวนเรื่องที่เกิด น่าแปลก..ข้าจำได้ว่าตนเองเพียงปวดศีรษะอย่างมากจนวูบหลับไปในรถม้า อาจนับได้ว่าเป็นเพราะอาการรุมเร้าท่านหมอจึงมา ทว่าสีหน้าของเหล่าไท่และเสียงวิวาทถกเถียงด้านนอกนั้นบอกให้ทราบว่าเรื่องราวไม่ได้มีเพียงเท่านั้น
“นี่เป็นยามใดแล้ว?”
“ยามอิ๋น(03.00)ขอรับ”
ข้าซุกฝ่ามือลงไปในผ้านวมผืนหนาเพื่อให้มันได้ไออุ่น เอนหลังพิงหมอนซึ่งยังมีกลิ่นกำยานเย็นๆกำจาย ไม่กล่าวสิ่งใดกับเหล่าไท่อีกนอกจากหลับตาลงและผ่อนลมหายใจเนิบช้า ได้ยินคำตอบของบ่าวรับใช้คนสนิทก็แน่ใจไปกว่าครึ่งแล้วว่าหลังจากสติรู้คิดสะบั้นลงคงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย แม้กลับจากวังหลวงจะดึกดื่น แต่อย่างไรก็ยังไม่พ้นยามจื่อ(23.00) ข้าหลับไปเกือบสองชั่วยาม คนจะมาก็คงมาและยามนี้เมื่อคนผู้นั้นไปและข้ากลับมาจึงเกิดเรื่องราวถกเถียงอยู่ด้านนอก..
ไม่ต้องคาดเดาก็ทราบได้ว่าเรื่องราวทั้งหลายถูกเปิดโปงแล้ว นึกถึงแววตาอันเปล่งประหายครุ่นคิดและจับสังเกตอย่างผิดไปจากทุกคราของเทพโอสถและคิดถึงเรื่องที่ตนประสบก็แปลกใจอยู่บ้าง ครั้งก่อนในนิทราอันยาวนานข้าสามารถมองเห็นและรับรู้ทุกสิ่ง ทว่าในครานี้กลับไม่ได้มองเห็นสิ่งใด รู้สึกเพียงหลับไปในความฝันอันมืดมิดและลืมตามาด้วยเสียงตะโกนของคนไร้มารยาทสองคนเท่านั้น นับว่าน่าแปลกอย่างยิ่ง ซ้ำไม่ทราบว่าควรรู้สึกยินดีหรือไม่ที่ไม่ได้เห็นภาพร่างของตนถูกผู้อื่นนำไปใช้งาน
“ข้าเตือนจวิ้นอ๋องแล้วว่าต้องดื่มยาตรงเวลาเช้าเย็นอย่าได้ขาด” น้ำเสียงเคร่งครัดกำชับกำชาอย่างไม่มีผู้ขวัญกล้าเอ่ยปากมานานดังขึ้นข้างหู เป็นผลให้ข้าลืมตาขึ้น มองเห็นดวงหน้าเหี่ยวย่นของเทพโอสถไป๋จิ้งซึ่งกำลังพินิจพิจารณาอาการของข้าด้วยสายตา “พิษนิทราสามราตรีแม้มิใช่พิษร้ายยากจะแก้หากแต่ผู้ป่วยต้องมีวินัยในการรักษา หยุดดื่มยาหนึ่งมื้อเท่ากับอาการกำเริบและรุนแรงขึ้นอีก ตอนนี้พิษในกายท่านมากขึ้นเป็นสองในสี่ส่วนแล้วทราบหรือไม่ รึท่านอ๋องปรารถนาจะตาย? ข้าจะได้ไม่รักษาให้เสียเวลา”
ฟังคำตำหนิโดยตรงและไม่ไว้หน้าของเทพโอสถแห่งไห่เยี่ยนแล้วข้าจึงตระหนักว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงได้ชื่อว่าคาดเดาและเอาใจยากอย่างยิ่ง คนไม่มีความหวาดหวั่นต่ออาญาเชื้อพระวงศ์ วาจาอุกอาจไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด ซ้ำมองดูแล้วความตายก็มิอาจนำมาข่มขู่ ยากจะกล่อมด้วยทรัพย์สินหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ช่างสมกับสมญาเทพโอสถยิ่งนัก คลี่ยิ้มน้อยๆสบตาท่านหมอเคราขาว เห็นเหล่าไท่มีท่าทีตกใจอยู่บ้างเพราะกลัวข้าจะมีโทสะแล้วจึงค้อมศีรษะเล็กน้อย “ขอบคุณเทพโอสถที่ช่วยชีวิต”
“อย่าได้ลืมปฏิบัติตนตามที่ข้าสั่งเป็นพอ”
“เทียงหยางทราบแล้ว”
ข้าตอบรับเบาๆ และไม่ได้ทำการดิ้นรนขัดขวางใดๆเมื่อเทพโอสถฉวยข้อมือตนเองไปตรวจสอบวัดชีพจร หางตายังมองเห็นเหล่าไท่มีท่าทีโล่งอกเมื่อเห็นว่าข้าไม่มีโทสะ กริยาอาการนั้นทำให้ต้องคลี่ยิ้ม ข้าไม่จำเป็นต้องมีโทสะแก่คนผู้นี้ แม้วาจาจะจาบจ้วงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แต่ก็เป็นคำพูดของหมอที่ห่วงใยต่อคนไข้ของตน ก่อนหน้าถูกบังคับจึงฝืนใจมารักษา ยามนี้เห็นได้ชัดว่าเทพโอสถตัดสินใจรับข้าเป็นคนไข้ของเขาแล้ว จะมีโทสะไปเพื่ออันใด
อีกทั้ง..ต้นเหตุที่ข้าควรจะมีโทสะมิใช่เทพโอสถ แต่เป็นหวงไท่หยาง..
ดวงเนตรคู่งามหรุบต่ำเสมือนจ้องมองผ้าผวยที่คลุมร่าง ทว่าแท้จริงใจคนกลับไม่จดจ่อถึงลวดลายงดงามใดๆแม้แต่น้อย นึกถึงถ้วยยาที่มีเหตุร่วงหล่นด้วยน้ำมือของรัชทายาทแห่งแว่นแคว้นและครุ่นคิดถึงคนที่ข้าทราบดีว่าอยู่เบื้องหลังสกุลจ้าวและอำมาตย์จ้าวหนิงเฉิง ยิ่งมารอยยิ้มยิ่งจางลงกลายเป็นพักตร์เรียบเฉยเย็นชาซึ่งแทบไม่เคยปรากฏบนดวงหน้าของจวิ้นอ๋องหวงเทียนหยาง
“คิดมากเป็นพิษต่อร่างกาย”
วาจาราวกับรู้ดีถึงกระแสบางอย่างในห้วงคำนึงเป็นผลให้ข้าต้องนิ่งและเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ปัดเอาความขุ่นเคืองและโทสะกวาดเข้าสู่เบื้องลึกในห้วงคำนึงอย่างง่ายดาย ครานี้นอกจากใบหน้าเคร่งขรึมของเทพโอสถผู้กำลังตรวจอาการ ยังเห็นเงาเลือนลางอยู่ด้านหลังผ้าม่านสีควัน ทั้งสองร่างแม้ไม่เห็นใบหน้าแต่ข้าก็ทราบดีว่าเป็นผู้ใด
“อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
คิดว่าพวกเขาจะนิ่งงันอยู่ชั่วกาล กลับเป็นหลินจวินเจ๋อที่กล้าตลบม่านมุ้งอันบดบังสายตาให้ห่างออกเป็นคนแรกและปรากฏกายต่อหน้าในที่สุด ร่างสูงใหญ่ยังอยู่ชุดขุนนางบู๊เต็มยศบ่งบอกว่าคืนนี้คงวุ่นวายหนักจนไม่มีเวลาคิดสนใจเรื่องตนเอง ข้ามองเห็นบางสิ่งที่คล้ายความหวังเสี้ยวเล็กๆยามจ้องมองมา ก่อนจะจางหายไปจากเงาตาเมื่อเห็นว่าข้าเพียงนิ่งมอง ไม่ทำสิ่งใด
“ย่อมอาการดีขึ้นแล้ว”
“เช่นนั้น..ก็ดี” บางครั้งข้าก็นึกนับถือหลินจวินเจ๋ออยู่ไม่น้อย แม้กำลังกำหมัดแน่นอย่างไม่ลืมตนก็ยังไม่แสดงท่าทีผิดหวังหรือมีโทสะ ฟังถ้อยคำเบาหวิวแฝงแววรวดร้าวราวใจจะขาดแต่ยังพยายามยืดหยัดของเขาแล้วข้าก็คลี่ยิ้มออกมา ใจหนึ่งนึกเวทนา แต่ก็เป็นเพียงความสงสารเวทนาอันเบาบางที่มิอาจขัดขวางการใหญ่ ดังนั้นจึงมอบเพียงรอยยิ้มงดงามดั้งเดิมของหวงเทียนหยางที่ไม่อาจปลอบประโลมผู้ใดแต่เป็นดั่งหน้ากากใบหนึ่ง ยามนี้ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จะปิดบังไปไย..
“อาซิ่น..”
แต่อีกคนหนึ่งกลับยังกอดความหวังอันโง่งมมิยอมปล่อย ข้าหันไปสบตาบุรุษอีกหนึ่งคนซึ่งก้าวเข้ามาใกล้เตียงนอน ทั้งร่างสวมชุดราชนิกูลชั้นสูงเปี่ยมสง่าราศีหากแววตาคลอนแคลนไม่มั่นคง ข้ารับรู้อย่างเยือกเย็นว่าคนผู้นี้คาดหวังในสิ่งเดียวที่หลินจวินเจ๋อหวัง เพียงแต่การแสดงออกดูจะไม่ได้เรื่องไปบ้าง ดังนั้นจึงเพิ่มกระแสเย็นเยียบในแววตา ให้ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนได้ตระหนักว่าตนคือใคร
“เจ้าจะทำอะไร!”
“หุบปาก! ปล่อยข้า!!”
เพียงพริบตาที่เข้าใจว่าข้าคือใคร ฉู่เหวินก็ปราดเข้ามาทันควันด้วยแววตาอันเต็มไปด้วยโทสะ ผู้โฉดเขลายังคงเป็นผู้โฉดเขลา ข้าไม่จำเป็นต้องขยับกายแม้สักเสี้ยวยามองค์ชายเจ็ดกระโจนเข้าหาตนราวกับเสือดาวเข้าตะปบเหยื่อ หลินจวินเจ๋อระวังอยู่แล้ว ซ้ำที่ขวางหน้าเขาอยู่คือเทพโอสถไป๋จิ้งผู้เป็นอาจารย์ แม้คนหุนหันคิดกระโจนเข้าหาจะทำสิ่งใดได้นอกจากถูกดึงรั้งและลากตัวออกห่าง ข้าได้ยินเขาตะโกนและดิ้นรนแล้ว มองเห็นเขาถูกหลินจวินเจ๋อรั้งเอาไว้ จึงกระทำเพียงคลี่ยิ้มน้อยๆสบตาสีฟ้าเข้มอันถูกเรียกว่าดวงตาต้องสาป หาได้สนใจเสียงสบถกร่นด่าจากอีกฝ่ายไม่
“องค์ชาย ท่านทำเช่นนี้ต้องการอะไร คิดสังหารข้าแล้วเปิดศึกสองแคว้นหรือ?”
“จวิ้นอ๋อง! เจ้าทราบดีว่าข้ามีโทสะเรื่องใด เอาตัวจื่อซิ่นกลับมา!”
ข้าคลี่ยิ้มน้อยๆ “ข้ากลับมิทราบจริงๆ..อนึ่ง องค์ชายควรเรียกข้าว่าหวงไท่หยาง นามจื่อซิ่นนั้นญาติพี่น้องและราชวงศ์จึงจะมีสิทธิ์เรียกขาน”
“ข้ามิได้ต้องการเอ่ยนามเจ้า!” ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนยังคงไม่รู้ว่าตนเองต้องเผชิญกับสิ่งใด ช่างน่าขันจนต้องหัวเราะ
“ท่านเองก็หาได้มีสิทธิ์เอ่ยนามข้า” ข้ามองไปยังหลินจวินเจ๋อซึ่งออกแรงรั้งตัวองค์ชายเจ็ดอย่างเต็มกำลังด้วยแววตาครุ่นคิดก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ “หรือกระทั่งนามที่ท่านเอ่ยมิใช่นามของข้า ท่านยิ่งมิควรกล่าว มิฉะนั้นคนจะหาว่าสติเลอะเลือน”
“เอาอาซิ่นคืนมา เจ้าเอาเขาไปไว้ที่ใด!”
“องค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยน” ข้ากล่าวช้าๆ พลางจ้องมองร่างของอีกฝ่ายซึ่งยังถูกหลินจวินเจ๋อทุ่มเทจับไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดมิให้กระโจนมาทำอันตรายตน “เห็นอาการท่านยามนี้แล้วรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ยามประลองกันในสนามรบเมื่อห้าปีก่อน ท่านคล้ายจะมิใช่ทารกมิรู้ความเช่นนี้ ท่านส่งเสียงดังทำไม โวยวายไปไย กระทำแล้วเรื่องราวจะดีขึ้นหรือไม่ จะได้คำตอบหรือไม่ ตนเองทราบดีแก่ใจแล้วไยจึงไม่หยุด?”
“—อึ่ก-”
“ทั้งที่ข้าเป็นเจ้าทุกข์ กลับกระทำราวกับตนเองถูกแย่งชิงของรักไปจากอก ซ้ำมิทราบว่าท่านมีเรื่องราวแค้นเคืองอันใดจึงลงมือต่อข้า ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงท่านวิวาทกับสามีข้าลั่นจวนแล้ว มิทราบว่าเป็นมารยาทอันใด ชนชั้นเชื้อพระวงศ์ควรกระทำเช่นนี้หรือ รึนี่เป็นวิถีปฏิบัติสืบทอดมาของราชสำนักไห่เยี่ยน ข้าจะได้ฝึกตนให้ชิน”
ข้าสบตาสีฟ้าเจิดจรัสซึ่งยังเต็มไปด้วยโทสะ กล่าวออกมาอย่างเรียบง่ายและไม่เจือแม้เสี้ยวของโทสะหรือความหวาดกลัว ที่สุดเทพโอสถก็วางมือจากการตรวจอาการ ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นยาอวลภายในห้อง เนื่องจากไม่ทราบเรื่องราวที่ผ่านมาจึงทำได้เพียงปะติดปะต่อเรื่องราวในใจ ข้ารออย่างใจเย็น นิ่งเงียบจนกระทั่งอาการคลุ้มคลั่งของฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนสงบลงแล้วจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างสุภาพและประสานมือกันบนตักด้วยอาการสงบ
“หลังจากหมดสติแล้วความทรงจำไม่แน่ชัด โปรดเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังด้วย”
ดาวประกายพรึกขึ้นแล้วยังทิศตะวันออก เวลาล่วงเลยจากยามอิ๋น(03.00)มาถึงยามเหม่า(05.00) จะกล่าวว่ารวดเร็วก็รวดเร็ว กล่าวว่าเชื่องช้าก็เชื่องช้า ที่สุดแล้วข้าก็ได้ทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดนับแต่ตนหมดสติ มีทั้งเรื่องเป็นไปตามคาดและเหนือจากที่คาด ตรงตามที่คิดคือคนผู้นั้นมาแล้วจริงๆ ผิดจากที่คาดคือแม้ดิ้นรนแต่ก็ยังจากไป อาจถือได้ว่าพอมีสำนึกอยู่บ้าง และยังทำให้ข้าตระหนักว่าต้องรักษาร่างกายของตนอย่างดีปานใด แต่กระนั้นเมื่อมองเห็นสีหน้าของหลินจวินเจ๋อและฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนก็ทราบดีว่าพวกเขาหาได้มีความสุขกับการจากไปนั้นแม้เพียงนิด ท่านแม่ทัพแดนใต้พยายามปั้นสีหน้าอย่างไรก็มิอาจปกปิด มิต้องกล่าวถึงองค์ชายเจ็ดผู้จ้องมองข้าอย่างอาฆาตมาดร้ายเป็นที่สุด
“ตัวข้ามิใช่หมอผี..” ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ขณะแสงสีทองทาบทาขอบฟ้า เทพโอสถไป๋จิ้งก็กล่าวขึ้น “ข้าทำได้เพียงรักษาโรค มิอาจให้คำมั่นได้ว่ารักษาแล้วคนจะมาหรือผู้ใดจะไป แต่ที่ทราบกระจ่างกว่าสิ่งใดคือสภาพร่างกายท่าน จากนี้ท่านอ๋องควรระมัดระวัง อย่าได้ดื่มยาผิดเวลาเป็นครั้งที่สอง มิฉะนั้นคงต้องวอนขอชีวิตกับยมบาลแทนแล้ว”
“ข้าไม่รักษา”
มิทันข้าจะเอ่ยปากขอบคุณเทพโอสถ ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนก็กล่าวแทรกขึ้นมาก่อน ดวงตาสีฟ้าเข้มกร้าวจัดยามจ้องมองมา แววตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนไปแล้ว มิใช่ดวงตาพราวระยับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาทั้งยังคงความรื่นรมย์ยามได้มอง ‘อาซิ่น’ แต่เป็นแววตาที่มีไว้สำหรับศัตรูของตนซึ่งแข็งกร้าวและเย็นเยียบไร้ปรานี ข้าหรี่ตาลงสบตาคู่นั้นก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ รู้สึกพอใจยิ่งกว่าได้เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หวั่นไหว หวงเทียนหยางหาได้ต้องการหัวใจศัตรูแคว้นฉู่ ควรนับถือกันเป็นมิตรชั่วคราวและศัตรูตลอดกาลจะประเสริฐยิ่ง
กระนั้น...ผู้ใดอนุญาตให้ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนห้ามข้ารักษาตัว?
“องค์ชายเจ็ดย่อมมิใช่ ผู้ลงมือรักษาข้าคือเทพโอสถแห่งไห่เยี่ยน” กล่าวไปแล้วจึงเหลือบมองผู้อาวุโสข้างกายเล็กน้อย เทพโอสถซึ้งกำลังจัดยา กระทำการราวมิเกี่ยวข้องความขัดแย้งใดชะงักมือและเงยหน้าขึ้นในที่สุด
“จวิ้นอ๋องกล่าววาจาราวกับมิรู้ความ ผู้คนทราบกันค่อนแผ่นดินว่าที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เป็นเพราะเทพโอสถซึ่งข้าออกปากขอร้องให้ช่วยรักษา” ข้ามองเห็นประกายตาชั่วร้ายอันปิดไม่มิดของฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยน ใบหน้าที่มีรอยแผลแฝงความเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมเป็นเท่าตัว “ข้ากล่าวไปแล้วและจะกล่าวอีกครั้ง ข้าช่วยเหลือ ‘อาซิ่น’ มิใช่ ‘หวงไท่หยาง’ เมื่ออาซิ่นมิอยู่แล้ว จวิ้นอ๋องตายไปมีอันใดให้ต้องคร่ำครวญ ถือเป็นเรื่องดีของไห่เยี่ยนด้วยซ้ำที่หมดเสี้ยนหนามไปอีกหนึ่ง”
“องค์ชายเจ็ด ไล่คนให้ไปตายอันใด หากเจ้าปากมากกว่านี้อย่าหาว่าข้าหลินจวินเจ๋อไม่เตือน!”
“ไม่เตือนอันใด? อยากประลองดาบก็จงมา ที่ผ่านมาแม่ทัพแดนใต้เองก็เป็นเสี้ยนหนามตำตาข้ามาตลอด เราทั้งสองเกิดมาเป็นศัตรูกันอยู่แล้วเกรงใจไปไย” ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนแค่นเสียงกร่นจากลำคอ แววตาเป็นอริฉายชัดราวกับเก็บมานานปีทั้งยังเจือไอสังหาร “คิดแล้วข้ายังอยากจะหัวเราะนัก หากอาซิ่นทราบว่าเจ้ายอมปล่อยให้เขาจากไปง่ายๆเพราะยังไงเจ้าก็มีเมียอีกคนรออยู่ จะรู้สึกเช่นไร”
“หุบปาก!” ประโยคสุดท้ายนั้นดูคล้ายจะทิ่มแทงใจอยู่ไม่น้อย ข้ามองเห็นกระไอเจ็บปวดแผ่ออกมาจากดวงตาสีดำสนิทซ้ำแม่ทัพแดนใต้ยังสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ “เจ้าไม่เห็นเขาทรมารอยู่หรือไร ไม่เห็นสภาพอันน่าเวทนานั้นรึ ผู้ที่เห็นแก่ได้ คิดปล่อยให้เขาตายไปต่อหน้าเพียงเพราะความยึดมั่นอันโง่งมไม่มีสิทธิ์มาด่าทอข้า!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะตาย เจ้าทราบได้อย่างไร ผู้ที่ตายจะเป็นเขาแน่หรือ? มิใช่ว่าเจ้าต้องการรักษาชีวิตจวิ้นอ๋องจนทิ้งอาซิ่นไปอย่างนั้นรึ น่าขันยิ่งนัก ท่านแม่ทัพแดนใต้กระทำราวมิเคยเห็นคนตาย เป็นเพราะกลัวตายคิดว่าจะไม่รอดหากให้อาซิ่นจัดการเรื่องราวต่างหากเล่า เป็นเพราะเจ้ามิกล้าทำตามข้อตกลงกับไห่เยี่ยนต่างหาก หาได้เป็นเพราะเจ้ารักหรือห่วงไยอาซิ่นสักนิด!”
“พวกท่านทั้งสองคิดวิวาทกันเรื่องนี้อีกนานเท่าใด?”
ข้าคลี่ยิ้มน้อยๆ จ้องมองหลินจวินเจ๋อและฉู่เหวินซึ่งมีท่าทีราวกับไก่ชนเตรียมเข้ารุมเร้ากันมิได้ขาด ซ้ำฟังวาจาแต่ละคำแล้วช่างรกหู โดยเฉพาะฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนซึ่งกล่าววาจาเห็นแก่ตัวได้ถึงใจอย่างยิ่ง คนมุ่งเอาแต่ชีวิตของอาซิ่นผู้นั้นไม่สนใจผู้ใดอย่างแท้จริง แต่คำพูดของเขาคงทิ่มแทงดวงใจของหลินจวินเจ๋อไม่น้อย สองตาของแม่ทัพแดนใต้จึงแดงฉาน คาดว่าหากมีดาบอยู่ใกล้มือคงชักมาประหัตประหารกันแดดิ้น
สาเหตุของความขัดแย้งข้าใช่จะไม่รู้ไม่เห็น ที่ผ่านมาในความทรงจำนอกจากหลินจวินเจ๋อจะเปลี่ยนไปกลับมามีใจจากการกระทำของอาซิ่นผู้นั้น ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนเองก็ตามพัวพันไม่เลิกรา แม้ตอนแรกจะไม่แจ้งว่าจริงใจเสียกี่ส่วนแต่ยามนี้มิใช่ว่าเผยออกมาหมดสิ้นแล้วหรือ ซ้ำเป็นความรักที่หน้ามืดตามัวไม่ยอมความ กล้ามากล่าวให้ตัวข้าฟังไม่รู้จักจบสิ้นว่าต้องการให้อาซิ่นมีชีวิตมากกว่าหวงเทียนหยาง แม้จะพูดเพราะต้องการต่อว่าหลินจวินเจ๋อ อยากสร้างรอยแผลให้แม่ทัพแดนใต้ที่ตนชิงชัง แต่ไหนเลยข้าผู้เป็นอ๋องจะไม่เจ็บไม่คัน ได้ยินว่ามีคนผู้หนึ่งอยากให้ท่านตายซ้ำอาจทำได้ ผู้ใดจะนึกยินดี
“จะรักษาหรือไม่รักษาข้าอย่างไร ตอนนี้ผู้ตัดสินคือเทพโอสถ องค์ชายเจ็ดจะไม่วอนขออาจารย์ของท่านแล้วก็ได้ ข้าจวิ้นอ๋องหาได้ห่วงกังวล แต่รบกวนระวังวาจาของท่านไว้บ้าง ที่นี่คือแผ่นดินเทียนจิ้นมิใช่ไห่เยี่ยน ซ้ำนี่คือจวนจวิ้นอ๋องมิใช่ตึกราชทูตที่มีคนของท่านอยู่...องค์ชายคงไม่ปัญญาอ่อนทางการเมืองนักกระมัง จึงจะไม่ทราบว่าเอ่ยวาจาเอาแต่ใจเช่นนี้ผลของมันจะเป็นเช่นไร”
ดวงตาของฉู่เหวินเปล่งประกายวาบ “นี่เจ้าข่มขู่...”
“ข้ากล่าวตามความจริง” ปลายนิ้วสอดประสานและเคาะเบาๆที่หลังมือของตนเพื่อเพิ่มไออุ่น “เดิมทีในฐานะที่ตกลงกันแล้ว ซ้ำองค์ชายเจ็ดยังมีบุญคุณช่วยร้องขอเทพโอสถให้ช่วยรักษาตัว แม้จะมิใช่อาซิ่นที่ท่านอยากเจอ ข้าหวงเทียนหยางยังคิดยั้งมือไว้ไมตรี แต่หากท่านเป็นฝ่ายตัดรอนด้วยตัวเอง...ข้าย่อมกระทำเฉกที่อ๋องผู้หนึ่งควรกระทำ อย่าได้กล่าวถึงสถานะขององค์ชายที่บัดนี้มีโทษกบฏติดตัว อย่าได้กล่าวถึงการมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจะสายป่านขาดกลางทางเมื่อใดก็ไม่อาจรู้ และอย่าได้กล่าวว่าผู้ลงมือรักษาข้าคือเทพโอสถไป๋จิ้งมิใช่องค์ชายเจ็ด...ท่านจะอยู่หรือไม่อยู่หาได้แตกต่าง”
ข้าคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างอบอุ่นยิ่งขณะกล่าวจนจบ ก่อนจะหันไปสบตาฝ้าฟางของเทพโอสถซึ่งทอแววครุ่นคิด ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นหวาดระแวงยามจ้องสบตาข้า ข้าทราบว่าบุรุษผู้นี้หาใช่ตัวโง่งม เพียงกล่าววาจาสักคำก็เข้าใจแล้ว ดังนั้นยามเห็นใบหน้างดงามสบตาตนและค้อมศีรษะเล็กน้อย เพียงเท่านั้นเทพโอสถแห่งไห่เยี่ยนก็‘ควรทราบ’ว่าต้องตอบเช่นไร
“ข้าจะรักษาจวิ้นอ๋องจนหายดีเอง”
“ขอบคุณท่านเทพโอสถ” ข้ายิ้มน้อยๆพลางค้อมศีรษะให้อีกฝ่ายอีกครา พอใจไม่น้อยที่ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนเงียบเสียงลงได้เมื่อเทพโอสถไป๋จิ้งรับปาก แม้ต้องการคัดค้านอย่างไรแต่ก็มิอาจต้านทานความจริงที่ออกมาจากปากข้า ซึ่งหมายถึงสถานะของตนยามนี้หมิ่นเหม่เพียงใด
“หามิได้ ตอนนี้เช้าแล้ว ข้าตรากตรำมาทั้งคืน ขอตัวออกไปล้างหน้าสูดอากาศสักเล็กน้อย”
“เชิญท่านเทพโอสถ”
ข้าผายมือเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร ขณะที่ร่างของเทพโอสถไป๋จิ้งเดินออกไปฉู่เหวินก็จ้องมองข้าด้วยแววตาเปี่ยมความไม่พอใจอีกครั้งแล้วเดินออก ข้าคลี่ยิ้มน้อยๆสบตาเขาอย่างไม่ยินดียินร้าย เทพโอสถผู้นี้ให้เงินไม่ได้ ยศศักดิ์ไม่รับ คำเชยชมไม่รับซ้ำนิยมกระทำตามใจตนแม้จัดการยากแต่ก็มีจุดอ่อน ดูจากท่าทีของท่านเทพโอสถผู้นี้ยามทราบเรื่องของลู่ซุนแล้วดูมีโทสะยิ่งนัก ย่อมแสดงว่าเป็นคนรักพวกพ้อง เมื่อได้ยินคำกล่าวของข้าซึ่งเกี่ยวพันถึงชีวิตของฉู่เหวิน มีหรือจะไม่ตกปากรับคำช่วยรักษาจนหายดี สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องข่มขู่แม้ครึ่งคำคนก็พยักหน้าแล้ว ดังเช่นฉู่เหวินที่ยอมเงียบแต่โดยดีเมื่อเทพโอสถพยักหน้ารักษาข้า
ไม่ทันละสายตาจากประตู กระดาษเซวียนซือที่ถูกพับเป็นจดหมายถูกยื่นออกมาตรงหน้า ข้าจ้องมองดวงตาสีดำสนิทของหลินจวินเจ๋อ ยังเห็นแววตารวดร้าวสายหนึ่งที่มิอาจปกปิดได้พ้นจึงเอื้อมมือรับกระดาษแผ่นนั้นมาแต่โดยดี แววตามีความสงสัยพาดผ่านยามได้จ้องมองกระดาษที่มีตัวอักษรชดช้อยคล้ายเหมือนของตนแต่แฝงความดื้อรั้นและอ่อนไหวบางอย่าง มิเอ่ยคำก็ทราบได้ว่ามาจากผู้ใด
‘อาซิ่น’ ผู้นั้นมีสิ่งใดคิดกล่าวกับข้าหรือ?
“อาซิ่นขอให้ข้ามอบให้ท่าน โปรดอ่านด้วย”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ” ข้าตอบรับเบาๆพลางละสายตาจากวงหน้าของหลินจวินเจ๋อ ไม่คิดกล่าววาจาทิ่มแทงอันใดเมื่อวันนี้เขาเป็นผู้กางปีกปกป้องข้า แม้ไม่ทราบถึงความนัยว่าเหตุใดจึงยินยอมให้ของรักของตนหล่นหายไปต่อตา แต่ข้าก็มิใคร่อยากทราบเหตุผล ในความเป็นสามีภรรยา การทราบว่าบุรุษที่ตนตบแต่งมีใจให้ผู้อื่นถือเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง ในฐานะจวิ้นอ๋องกับแม่ทัพแดนใต้ การที่หลินจวินเจ๋อยินยอมถึงเพียงนี้ถือว่าตระหนักแก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง
“ท่านพี่” นานแล้วที่ไม่ได้เรียกคนผู้นี้ด้วยความรู้สึกเหมือนเดิม ข้าหรุบตาลงเล็กน้อย ก่อนจะสบตาสีดำสนิทที่มองมา ค้นหาความรู้สึกมากมายในแววตาคู่นั้นเงียบๆ “เหตุใดจึงปกป้องข้าเล่า?”
ทำลายโอกาสในการอยู่ร่วมกันของเขากับคนรักครั้งแล้วครั้งเล่า..หลินจวินเจ๋อน่าจะเกลียดข้ามากมิใช่หรือ..
“ข้าไม่คิดอยากให้ท่านตายอีกแล้ว”
อีกแล้ว..เพราะมีครั้งแรก จึงไม่อยากมีครั้งที่สอง
ทบทวนความทรงจำแล้วจึงจำได้ถึงภาพหนึ่งที่เคยคุ้น ยามที่หลินจวินเจ๋อและจ้าวลี่เซียนพูดคุยกันและสตรีผู้นั้นกล่าวถึงสาเหตุที่วางยาพิษข้า หลังจากนั้นเรื่องราวนำพาไปให้หลินจวินเจ๋อเสียใจเพียงใดข้าย่อมมองเห็น เหตุเพราะอดีตที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงไม่อยากทำ หรือเขากลัวว่าหากอาซิ่นผู้นั้นมีโอกาสกลับมา จะเคืองขุ่นที่เขาคิดสังหารข้าอีกครั้ง?
คิดหาคำตอบ แต่ก็สุดจะรู้ ข้ากระทำเพียงจ้องมองดวงตาอันแฝงแววปวดปร่าและพยักหน้าเมื่อหลินจวินเจ๋อขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมเข้าเฝ้าในยามเช้า มองเห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ลูบไล้เส้นผมสีดำสนิทอย่างอ่อนโยน หากใบหน้าและแผ่นหลังที่ข้ามองเห็นเพียงเสี้ยวเดียวหลังออกไปจากห้องช่างแฝงแววหดหู่ยิ่งนัก เรื่องราวที่ผ่านมาค่อยๆลบภาพนักรบที่องอาจหาญกล้าในใจข้าเหลือเพียงบุรุษผู้น่าเวทนาคนหนึ่ง ดวงตาคู่งามจ้องมองกระดาษในมือตนอีกครั้ง แววตาหม่นครึ้มลงครู่หนึ่งเมื่อตระหนักว่าหนึ่งปีมานี้ข้าทรมารเขามามากเพียงใด..
“อาการป่วยของข้าหนักขึ้นกว่าเดิม ควรต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เทพโอสถเองก็อายุมากแล้ว การต้องเดินทางจากตึกราชทูตทุกวันถือว่าเสียเวลาเกินไป เหล่าไท่ ‘เชิญ’ท่านเทพโอสถไป๋จิ้งและองค์ชายเจ็ดเป็นแขกร่มดื่มน้ำชาที่วังจวิ้นอ๋องด้วย ดูแลทั้งสองคนให้ดีอย่าได้ขาดตกบกพร่องเล่า”
เงียบไปครู่หนึ่ง ข้าก็กล่าวขึ้นช้าๆ วางเรื่องราวที่ยังไม่มาถึงลงก่อน คลี่ยิ้มด้วยท่าทีเต็มไปด้วยไมตรีทั้งยังมีคำกล่าวเต็มไปด้วยเหตุผลพลางตวัดสายตาส่งสัญญาณให้เหล่าไท่ตามเทพโอสถและฉู่เหวินไปอย่างรวดเร็ว คงมิต้องกล่าวว่าคำเชิญนี้ห้ามปฏิเสธและการดูแลหมายถึงจับตาคนทั้งคู่ไม่ให้คลาดสายตา ที่แล้วมาองค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนเคยชวนข้าดื่มชามาแล้ว ยามนี้ดาบนั้นคืนสนอง ได้มาดื่มชาที่วังจวิ้นอ๋องของข้าบ้าง เขาย่อมต้องสำเริงสำราญเป็นแน่...
………..
ยามซื่อ(09.00)มาถึงแล้ว แสงอาทิตย์อ่อนๆทอลอดหมู่เมฆขณะที่หิมะหยุดโปรยปรายราวกับสภาพตกหนักเมื่อคืนเป็นเพียงภาพฝัน ขันทีผู้ทำหน้าที่ดูแลพระราชฐานชั้นนอกต่างขยันขันแข็งกวาดหิมะออกจากลานด้านหน้าตำหนักว่าราชการ ขณะที่ประตูใหญ่สีแดงครั่งเปิดออกกว้าง ขุนนางน้อยใหญ่สวมอาภรณ์ต่างสีบ่งบอกฐานะและสังกัดพากันเดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง เสียงตีกลองดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนต่างทราบว่าถึงเวลาออกว่าราชการของโอรสสวรรค์ ซึ่งมีขึ้นทุกสามวันเว้นหนึ่งวันตามพระประสงค์ของฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบัน
ท้องพระโรงกว้างใหญ่เสาสลักลวดลายมังกรเหิน ขุนนางบู๊บุ๋นต่างแบ่งกันเป็นสองฟากเว้นที่ว่างไว้ตรงกลาง ขณะที่เหนือขึ้นไปคือบันไดและยกพื้นสูงเป็นที่ประทับของฮ่องเต้บนบัลลังก์ทอง ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าขุนนางทางซ้ายมือคือองค์รัชทายาทในรัชกาลปัจจุบันหวงไท่หยาง เบื้องขวาดำรงไว้ด้วยเชื้อพระวงศ์ชั้นอ๋องผู้มีศักดิ์สูงสุด จวิ้นอ๋องหวงเทียนหยาง
ข้ายืนนิ่งก้มมองลวดลายกิเลนบนร่างตนอย่างสงบขณะปล่อยให้เรื่องราวตามพิธีการดำเนินไปตามความเคยชิน รู้สึกมึนงงอยู่บ้างด้วยวลาพักผ่อนซึ่งแทบไม่มีของตน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจไม่มาร่วมประชุมขุนนางครั้งนี้ ขณะผู้คนถกถึงข้อราชการก็ทราบดีถึงสายตาของขุนนางบู๊บุ๋นที่มองมาไม่ขาด ต่างทราบกันดีแล้วว่าวันนี้เรื่องใหญ่ที่สุดที่ทุกคนรอชมหาใช่เรื่องน้ำท่วมที่อำเภอซีซาน หรือภัยหนาวทางตอนเหนือของแคว้นไม่ งิ้วฉากเด็ดที่ทุกคนรออยู่ย่อมเป็นเรื่องราวต่อจากเมื่อวานในงานเลี้ยง หลังจากแม่ของแผ่นดินและองค์รัชทายาทกล่าวถึงเรื่องความสนิทสนมของจวิ้นอ๋องหวงเทียนหยางและองค์ชายแคว้นไห่เยี่ยน ข้อหากบฏที่แน่นอนว่าต้องถูกกล่าวหา ต่างก็รอว่าข้าจะแก้ต่างอย่างไร เอาตัวรอดได้หรือไม่ แม้ข้าจะได้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวกับฮ่องเต้แล้วก็มิอาจยืนยันว่าตนจะได้รับการสนับสนุน มีทั้งคนคอยสนับสนุนและคนคอยถมหินลงบ่อ จวิ้นอ๋องและวังจวิ้นอ๋องไม่อาจพลาดพลั้ง
“เอาล่ะ”สุรเสียงที่เป็นดั่งสัญญาณเริ่มดังกังวาน ข้าจึงละออกจากภวังค์ “ขุนนางทั้งหลาย วันนี้ผู้ใดมีเรื่องราวรายงานอีกหรือไม่?”
“กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพะยะค่ะ” ร่างของจ้าวหนิงเฉิงก้าวออกมา ข้าคลี่ยิ้ม มุมปากกดลึกด้วยไม่ผิดไปจากที่คาด
“ท่านเสนาบดีกลาโหมมีสิ่งใด เชิญรายงาน”
“เอ่อ...”ทั้งที่ทุกคนต่างทราบเรื่องราวกันดีอยู่แล้ว คนยังทำท่าทีลังเลซ้ำเหลือบมองข้าเล็กน้อย กริยาราวกับไม่แน่ใจว่าตนควรกล่าวให้ระคายพระยุคบาทช่างสมจริงเป็นอย่างจริง งิ้วฉากนี้แสดงได้ดีเสียจนอยากถอนหายใจชมเชย จ้าวหนิงเฉิงมิเคยทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ
“หนิงเฉิง ท่านมีสิงใดรายงานจงรีบกล่าว อย่าได้หวาดกลัวรีรออันใด”
“พะยะค่ะ” บางครั้งข้าก็มิแจ้งใจว่าบุรุษผู้นั้นต้องการสิ่งใด ทว่าฮ่องเต้ก็เป็นเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นข้าจึงดำรงตนสงบนิ่งและรอฟังคำกล่าวหา จ้าวหนิงเฉิงค่อยหยิบของบางอย่างออกจากแขนเสื้อ ทูนมันขึ้นเหนือศีรษะพลางก้าวออกมาข้างหน้าและคุกเข่าลง
“กระหม่อมจ้าวหนิงเฉิงเสนาบดีกลาโหม ขอกล่าวรายงานเรื่องจวิ้นอ๋องให้การสนับสนุนกบฏองค์ชายสามแคว้นไห่เยี่ยน มีจิตมักใหญ่ใฝ่สูง สมคบกับคนต่างแคว้น ส่อแววเป็นกบฏทำลายราชบัลลังก์ ขอฝ่าบาททรงพิจารณา”
“บังอาจ!” สุรเสียงก้องกังวานเต็มไปด้วยโทสะอย่างยิ่ง พิโรธอย่างยิ่ง ราวกับมิเคยรู้ มิเคยตระหนักทราบว่าจวิ้นอ๋องจะกระทำเช่นนั้น ซ้ำร่างในฉลองพระองค์สีทองคำก็ลุกพรวดขึ้นมาแล้วตบโต๊ะอักษรอย่างแรงและตวาดก้อง “จ้าวหนิงเฉิง เสนาบดีกลาโหมบังอาจนัก! ถึงกับกล้ากล่าวร้ายจวิ้นอ๋อง จวิ้นอ๋องกลับจากการศึกกับชาวไห่เยี่ยน ซ้ำนำสัญญาสงบศึกมาด้วย จะคบคิดกับต่างแคว้นได้อย่างไร เจ้ามีหลักฐานเช่นไรจึงได้กล่าววาจาเยี่ยงนี้!”
ข้าหรุบตาลง ไม่แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนใดๆขณะที่ทั่วท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของเหล่าขุนนางทั้งหลาย ต่างทำราวกับมิเคยได้ยินได้ทราบทั้งที่ผู้ลงดาบประหารวังจวิ้นอ๋องคือพวกเขา ข้าขบขัน..ขบขันยิ่งนัก มิต่างกับฉากละครของโอรสสวรรค์และเสนาบดีจ้าวเบื้องหน้า
“หม่อมฉันไหนเลยกล้ากล่าวหาจวิ้นอ๋องลอยๆ กระหม่อมมีหลักฐาน ขอฝ่าบาททอดพระเนตร”
“รับมา”
ขันทีประจำพระองค์เดินลงมารับสิ่งของในมือของเสนาบดีจ้าวเพื่อนำมายื่นให้ฮ่องเต้ ครานี้ข้าเงยหน้าขึ้นแล้ว ซ้ำยิ้มน้อยๆราวกับรอคอยมองละครฉากสนุก เห็นพระพักตร์อันคุ้นตาของพระองค์ใต้พระมาลาม่านมุกแปรเป็นบัดเดี๋ยวซีดขาวบัดเดี๋ยวแดงก่ำ สำแดงว่ามีโทสะยิ่งนักแล้วจึงโยนกระดาษลงมาจากบันไดมังกรเก้าขั้น
“บังอาจ!!! เจ้า....จวิ้นอ๋อง!! บังอาจนัก!!”
สุรเสียงก้องกังวานราวกับฟ้าผ่า วรองค์สั่นเทิ้มด้วยโทสะสุดระงับ ทำให้ขุนนางที่เข้าเฝ้าอยู่ต้องหมอบกราบกรานกล่าวขอพระองค์อย่าได้มีโทสะไม่ขาดปาก ข้าไม่คิดดิ้นรนอันใดอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยืนอย่างสงบนิ่งและมองดูงิ้วฉากนี้ด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มหากแววตาเฉยชา เฉยเมยอย่างยิ่งเมื่อเห็นองค์รัชทายาทกล่าวปลุกปลอบบิดาว่าอย่าได้มีโทสะแล้วเป็นฝ่ายหยิบจดหมายมาอ่าน พลันสีหน้าก็ซีดเผือดไปอีกคน
“เจ้า....จะแก้ตัวอย่างไร!” โอรสสวรรค์มีโทสะ เลือดนองเต็มผืนดิน คำนี้ข้าใช่จะไม่เคยได้ยินทว่ากับละครฉากนี้มันกลับน่าขัน “เสียแรงนักที่ข้าไว้ใจ เห็นเจ้ามาแต่เล็กแต่น้อยที่แท้ไปทำศึกยังไปสมคบคิดกับศัตรูงั้นหรือ ประเสริฐยิ่งนัก! จวิ้นอ๋องเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร!!”
“กระหม่อมไม่ได้ทำ” ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาหากแฝงแววหนักแน่น
“มีหลักฐานอยู่เจ้ายังกล้าปฏิเสธ!!” ทรงชี้นิ้วมาทั้งยังกระทืบบาทตวาดอึง เล่นละครได้ดีจนพระมาลามุกสะบัดไหว “รัชทายาท นำไปให้จวิ้นอ๋อง ดูซิว่าจะแก้ตัวอันใดได้อีก!”
“พะยะค่ะ เสด็จพ่อ”
ข้ายืนนิ่ง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มแปรเป็นไร้รอยยิ้มเมื่อร่างของหวงไท่หยางก้าวปราดเข้ามาหา ความรู้สึกต่อต้านและหนาวเหน็บตั้งแต่หัวจรดเท้าเล่นงานเสียจนต้องรีบคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาอ่านเพื่อปกปิดสีหน้าท่าทาง ต้องสูดหายใจลึกๆ รอคอยจนหวงไท่หยางออกไปแล้วจึงจะสามารถรวมรวมสมาธิได้
ในจดหมายเป็นอะไร ไม่ต้องคาดเดาข้าก็ทราบอยู่แล้ว ฉบับแรกคือจดหมายที่อาซิ่นเขียนถึงเส้าไป๋ซึ่งฝึกอยู่ที่ค่ายธงดำ หากแต่อีกฉบับต่างหากเป็นจุดสำคัญ จดหมายที่ข้ายังจำได้ว่าอาซิ่นผู้นั้นสอดไว้กับจดหมายฉบับนี้ ส่งให้เหวินเฉินเจ้าเมืองถานเฟิ่ง แจงรายละเอียดว่าให้ร่วมกับสมาคมพ่อค้าเทียนจิ้นและไห่เยี่ยนที่จัดตั้งขึ้นในช่วงสงคราม ส่งเสบียงไปให้องค์ชายสามแห่งไห่เยี่ยน การกระทำคือสนับสนุนกบฏ ที่ตามมาคือข้อหามักใหญ่ใฝ่สูง ร่วมมือกับต่างแคว้น และคิดไม่ซื่อทรยศบ้านเกิดตน
ข้ามองเนื้อความในจดหมายและอักษรชดช้อยบนกระดาษ ขณะที่รอบกายคือความเงียบอันชวนให้หวาดผวา แต่ข้ายังคงนิ่งและยิ้ม ครู่หนึ่งนึกขบขันกับละครฉากใหญ่ที่ตระเตรียมกันไว้แต่มีหลักฐานเพียงเท่านี้ คาดว่าอาจมีคนหรือสิ่งอื่นมาเพิ่มความผิดกลับกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน ซ้ำที่น่าขันที่สุดคือผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ทองผู้นั้น ทั้งที่พระองค์ทรงทราบมาก่อนแล้ว เคยได้คุยกันแล้วเมื่อวานกลับยังแสดงละครได้อย่างแนบเนียน ทรงร่วมเล่นอย่างสนุกสนานเสียจนมิอาจคาดเดาว่าแท้จริงต้องการสิ่งใด บางทีการได้เหยียบย่ำวังจวิ้นอ๋องให้แทบเท้าคงเป็นเรื่องที่ฝ่าบาทสนุกสนานยิ่งนัก และหากข้าไม่พยายามแสดงให้พระองค์เห็นว่าวังจวิ้นอ๋องยังคงมีประโยชน์ ก็อย่าได้คาดหวังอนาคตใดเลย..
คลี่ยิ้มบางเบาขณะกลบรอยเสียดหน่วงในหัวอกด้วยการผ่อนลมหายใจ ข้าเงยหน้าขึ้นและยิ้มละไม ยื่นจดหมายในมือคืนแก่ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ จากนั้นจึงกล่าวอย่างปลอดโปร่งยิ่ง
“ฝ่าบาทกล่าวว่าเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย หม่อมฉันเองก็จำได้ว่าตนเองร่ำเรียนเขียนอ่านกับองค์รัชทายาทซ้ำมีพระอาจารย์คนเดียวกัน ลายมือเองก็คล้ายกันหลายส่วน ทั้งยังคัดพู่กันนำถวายเสียจนนับไม่ถ้วน แล้วเหตุใดจึงทรงจำไม่ได้ว่านี่มิใช่ลายมือกระหม่อมเล่า?”
...............................
มาทอล์คยาวหน่อยตอนนี้ ขอกล่าวถึงมุมมองของแต่ละฝ่ายกันบ้าง
คนแรก ชายฉู่ อันนี้ตัวฉู่เหวินชัดเจนมาแต่แรกคือตูจะเอาอาซิ่น คนอื่นไม่สน ถามว่าน่ากรี้ดไหมแน่นอนว่าน่ากรี้ด แต่เอาจริงๆเราว่าไม่ดีนะ ในสถานการณ์แบบนี้ ในสายตาคนอื่น คือฉู่เหวินไม่มีสติมาก(....) เพราะแกจะเอาอย่างเดียวโนสนโนแคร์อะไรเลยจริงๆ ซึ่งมันส่งผลเสียกับตนเองมากกว่าผลดี คนอ่านอาจจะคิดว่าฉู่เหวินที่ผ่านมาก็ไม่ได้ผีบ้าขนาดนี้ วันนี้เป็นอะไรขึ้นมาถึงได้โวยวายผิดปกติ ทำตัวโง่ผิดปกติ ตรงนี้เป็นเพราะฉู่เหวินสติแตกเรื่องอาซิ่นไม่อยู่แล้วจริงๆค่ะ ยิ่งชายเจ็ดยึดติดกับอาซิ่น เลยยิ่งไปกันใหญ่ เหมือนคนเรารักใครแล้วต้องพบว่าเขาจากไปโดยที่เราอาจจะช่วยได้แต่ก็ช่วยไม่ได้ คือมันเจ็บกว่าช่วยไม่ได้ซะอีก ฉู่เหวินเลยกัดดะไปเลย ตอนหลังพอโดนเทียนหยางเบรกเลยนิ่งขึ้น กลายเป็นอาฆาตแทน /ซรับ แต่ก็โดน ‘เชิญไปดื่มชา’ เรียบร้อยแล้ว เวรกรรมติดจรวดเจงๆ--/แค่ก
คนที่สอง ท่านพี่ หลินจวินเจ๋อผู้ซวยตลอดเว(...) แล้วก็ซวยจริงๆ เรื่องตั้งแต่อาซิ่นโผล่มา แล้วต้องไป จนถึงมอบจดหมายให้หวงเทียนหยาง ถ้าเขียนในมุมมองของหลินจวินเจ๋อนี่โศกนาฏกรรมชัดๆ คนรักตัวเองช่วยไม่ได้ เห็นเขาทรมารจนต้องตัดใจให้ไปทั้งที่ตัวเองไม่อยากให้ไปเลย แต่ถ้าจะให้หวงเทียนหยางตาย หลินจวินเจ๋อเองก็ไม่อยากทำผิดซ้ำเหมือนตอนที่ตัวเองหลุดปากอยากสั่งฆ่าจวิ้นอ๋อง ความรู้สึกท่านพี่นี่.../ตบบ่าสองที อยากเขียนเน้นฟีลท่านพี่อยู่นะ แต่ตอนนี้เขียนในมุมเทียนหยาง ซึ่งเทียนหยางมีคอนเซปต์โนสนโนแคร์ความรู้สึกคนอื่นอยู่ล่ะ เลยไม่ได้มองชัดๆ เอาจริงๆเราว่าที่เทียนหยางไม่กล้าสังเกตุชัดๆเพราะกลัวตัวเองใจอ่อนถถถ
คนสุดท้าย ท่านอ๋อง – หวงเทียนหยางโหมดตบเกรียนมาแล้ว ซัดผั่วะๆไม่มีพลาดเป้า—เรื่องท่านอ๋องขู่ชายเจ็ดและใช้ชายเจ็ดขู่เทพโอสถอีกทีนี่เรียกว่าอกตัญญูไหม ก็อาจใช่ เพราะในอดีตฉู่เหวินก็เป็นคนทำให้เทพโอสถมาช่วย ต่อให้ช่วยเพราะเป็นอาซิ่นแต่ก็ช่วยให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ล่ะ แต่ถ้ามองในมุมเทียนหยางก็ต้องมองว่าเทียนหยางนี่ไม่ถูกกับฉู่เหวินมาตั้งแต่ห้าปีก่อน เทียนหยางที่เป็นคนสมัยก่อนไม่ได้เปิดกว้างแบบอาซิ่นที่จะสามารถฮาเฮกับศัตรูของแคว้นได้ ดังนั้นการตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วได้ยินชายฉู่พูดปาวๆว่าอยากให้ตัวเองตาย แน่นอนว่าไม่พอใจอยู่แล้ว ประกอบกับจะไม่ให้เทพโอสถรักษาอีก สไตล์เทียนหยางเลยมา (นั่นคือคุยดีๆแล้วไม่ให้ จัดการแม่ม--)
และ มาถึงการประกาศ /เคาะไมค์รัว
ต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนาน(มาก/ซับ) เนื่องมาจากปัญหาสุขภาพรุมเร้า หลายคนอาจทราบแล้วว่าตั้งแต่ช่วงหลังปีใหม่วินน์ป่วยกระเสาะกระแสะบ่อยๆ เรียกว่าเป็นอาการของโรคยาวๆมาจนต้องเข้ารพ.จริงจังรอบนี้ล่ะค่ะ ทำให้ขาดการติดต่อไป และเพิ่งได้ออกมาก็เย็นวันอาทิตย์นี้ ดังนั้นขอโทษด้วยนะคะที่หายไปไม่ได้มาแจ้ง
ตอนนี้อยู่ในช่วงพักฟื้น สามารถอู้งา--/แค่กๆ สามารถลางานมาลั้นลาได้อีกอาทิตย์ ดังนั้นอาทิตย์นี้เราจะขยันนะคะ และขอโทษจริงๆที่หายหน้า /กราบบบบบ
มาเรื่องสำคัญเลยคือวันส่งนิยาย วันนี้วันที่ห้าซึ่งแต่เดิมเป็นกำหนดส่งนิยายสองเล่มแรก แน่นอนว่าไม่ทันฮระ /โดนตบ จึงต้องเลื่อนออกไปก่อนและตั้งใจจะส่งต้นฉบับเข้าโรงพิมพ์วันที่ 7 นี้ค่ะ แต่เนื่องจากสอบถามสนพ.แล้ว ระยะเวลาในการพิมพ์นิยายต้องใช้เวลาสามสี่สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ (ตามที่แนบรูป)
หากทำตามกำหนดการณ์นี้ +วันแพ็คของ ส่งของ จะส่งได้ช่วงสิ้นเดือนมีนาคม – ต้นเดือนเมษายน ซึ่งจะตรงกับกำหนดการณ์ของเล่ม 3-4 พอดี ดังนั้นจึงอยากสอบถามความเห็นทุกคนค่ะว่าอยากได้นิยายแบบไหน จะเอาเล่ม 1-2 ก่อนเหมือนเดิมหรือจะรับพร้อมกันสี่เล่มตอนช่วงสิ้นเดือนเมษา ทำโพลไว้ให้แล้วตามลิงค์นี้เลยค่ะ
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdqjhVyVrS84-mHaocnlLZPAuChily5Vqd4Jrh8l4eft1lyaw/viewform
กำหนดปิดรับผลวันที่ 7 มีนาคมนี้นะคะ
และเรื่องสุดท้ายที่สำคัญมาก สำหรับผู้ที่จ่ายสอง - จองสี่ และรอจองรอบสองโดยเฉพาะ
แต่เดิมวินน์ได้วางกำหนดการณ์ให้วันที่ 1-20 มีคมนี้เป็นช่วงโอนเงินสำหรับคนที่จ่ายสอง - จองสี่ และผู้ที่สนใจรอบเก็บตก แต่เนื่องจากสถานการณ์การส่งหนังสือเปลี่ยนแปลง ดังนั้นขอแจ้งรายละเอียดใหม่ดังนี้ค่ะ
สำหรับผู้ที่ จ่ายสอง - จองสี่ สามารถโอนเงินจ่ายที่เหลือได้ในช่วง 1-20 มีนาคมนี้ เหมือนเดิม
แต่คนที่จะรอจองรอบเก็บตก ของดเว้นไว้ก่อนนะคะ จะขอปิดรับยอดหนังสือชุดแรกเพียงเท่านี้ก่อน วินน์จะทำนิยายชุดแรกให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเปิดจองอีกครั้งค่ะ
และปิดท้ายด้วยรูปบ็อกเซ็ทฉบับร่าง(แน่นอนว่ายังมีการแก้หน้าตลค. สีชุด และอื่นๆ
แต่คอนเซปต์คร่าวๆก็ประมาณนี้ค่ะ
เพจ FB : https://www.facebook.com/mywhynn/
ทวิต @Secrate_Wind
และเม้าท์นิยายแท็ก #จวิ้นอ๋อง นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จริงๆอยากให้เทียนหยางคู่แม่ทัพ เพราะอาซิ่นคือตัวแถมแค่เอาร่างกายคนอื่นไปทำเรื่องไม่สมควรก็แย่พอแล้วไม่ควรมาแย่งสามีคนอื่นอีก ควรไปคู่กับพี่ฉู่ที่หน้าเหมือนอ.หวัง แฮปปี้เอนดิ้งเลยแบบนี้
เรื่องที่เทียนหยางกับฮ่องเต้ก็ยังไม่เฉลย เรายังงงๆอยู่เลยค่ะ ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงอยากเหยียบย่ำวังจวิ๋นอ๋องขนาดนั้น น่าจะรู้ว่าท่านอ๋องไม่ได้อยากแย่งบัลลังก์เสียหน่อย
สงสารท่านแม่ทัพอีกคน คือน่าเจ็บปวดใจจริงๆที่จะช่วยคนรักก็ช่วยไม่ได้
อยากรู้ด้วยค่ะว่าในจดหมายอาซิ่นเขียนว่าอย่างไรบ้าง เมื่อไหร่คนงามจะอ่าน ㅠㅠ
ปล. เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ รักษาตัวเองให้ดี ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ขอให้หายดีไวๆค่ะ ♡
เรื่องที่เทียนหยางกับฮ่องเต้ก็ยังไม่เฉลย เรายังงงๆอยู่เลยค่ะ ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงอยากเหยียบย่ำวังจวิ๋นอ๋องขนาดนั้น น่าจะรู้ว่าท่านอ๋องไม่ได้อยากแย่งบัลลังก์เสียหน่อย แล้วก็สงสารท่านแม่ทัพด้วย น่าเจ็บปวดใจนะคะ จะช่วยคนรักก็ช่วยไม่ได้ เห้อ อยากรู้จังเลยค่ะว่าในจดหมายอาซิ่นเขียนว่าอย่างไรบ้าง
ปล. เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ รักษาตัวเองให้ดี ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ขอให้หายดีไวๆค่ะ ♡
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 11 มีนาคม 2560 / 21:34
ที่ขอแต่งกับแม่ทัพนี่ก็เพราะจะเอาอำนาจคุ้มครองตนเองให้พ้นจากไท่หยางที่ตัวเองหวาดกลัวนักหนา
คงไม่ได้รักใคร่ใยดีเขาอย่างลึกซึ้งนักหรอก อาจจะแค่ชอบๆอยู่บ้างเพราะออกรบด้วยกัน
เจ้าลูกเต่าน่าสงสารจริงๆ
ปล.ปกสวยแลดูเหมาะมาก!!
คือสงสารคนงามม คนงามของเขา ไม่มีใครรักคนงามเราก็จะรักคนงามนะ ไรต์ห้ามทิ้งคนงาม !!
สงสารนะถ้าเป็นเราฟิลคงแบบ อ้าวนี่ตัวกู กูเกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว จะให้กูตายเพื่อให้ใครที่ไหนไม่รู้มาอยู่เพียงเพราะคนไม่รักเรา อยากได้คนนั้นมาอยู่มากกว่าแบบนี้หรออ บ้าแล้ววววว~
อยากได้เขามาอยู่ก็หาร่างให้เองเซ่ !!! นี่ร่างกู 555555
ฝั่งนี้ไม่เหงาหรอก คนเยอะไปหมด วุ่นวายสนุกกันเลย
ต่างกันลิบลับ
หวงเทียนหยางจงสูงศักดิ์เลือดเย็นและเห็นแก่วังจวิ้นอ๋องต่อไปซะเพราะถ้าละวางทั้งหมดจะพบว่าชีวิตตัวเองช่างว่างเปล่าไร้รักยิ่งนัก
ท่านพี่อาซิ่นพวกท่านต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ มันเจ็บปวดแต่พวกท่านต้องฟันฝ่าไปให้ได้ สู้ๆ