ตอนที่ 68 : ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น
ยามเซินคือเวลาเริ่มงานเลี้ยง บนถนนสายหลักของเมืองหลวงอันเป็นที่ตั้งของตระกูลชนชั้นสูงทั้งหลายจึงคลาคล่ำไปด้วยรถม้าและเกี้ยวเดินทางเพื่อไปยังวังหลวง วังจวิ้นอ๋องก่อสร้างอย่างยิ่งใหญ่อยู่บนสุดปลายถนนสายแรกเพียงเคลื่อนรถม้าก็มีผู้หลีกทางให้มากมายโดยมิจำเป็นต้องออกแรง ยิ่งยามนี้ทั้งจวิ้นอ๋องและแม่ทัพหลินต่างชื่อเสียงเกรียงไกร สร้างผลงานระบือทั่วหล้า ไหนเลยจะมีใครกล้าเพิกเฉย ทว่าความยิ่งใหญ่ก็มิต่างอันใดกับภาพลวงมีผู้ใดบ้างมิทราบว่าราชสำนักเตรียมลงมือกับจวนจวิ้นอ๋องแล้ว ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มซ่อนคมดาบ วาจากล่าวสรรเสริญปนยุแยง หลบซ่อนโฉมหน้าอันโหดร้ายของตนเบื้องหลังเสื้อผ้าอาภรณ์งดงาม กำดาบเตรียมสังหารหากยังคลี่ยิ้มนอบน้อม นี่คือแวดวงการเมืองที่ข้าคุ้นเคยมานานปี
ถูกกำจัด? วันนี้ย่อมเป็นวันย่อยยับอัปรา? ไม่...ผู้แพ้จะไม่ใช่ข้า
“เชิญท่านอ๋อง เชิญท่านแม่ทัพหลิน” ข้าคลี่ยิ้มละมุนขณะลงจากรถม้าที่ประตูพระราชวัง ยืนรอให้ฝีเท้าม้าของหลินจวินเจ๋อหยุดลงอย่างสงบ ขันทีผู้หนึ่งก้มศรีษะนอบน้อมและเดินนำ ขณะร่างสูงใหญ่ที่มาถึงด้วยการขี่ม้าส่งบังเหียนให้ลูกน้องรับไปจัดการ ดวงตาคมวาวคู่นั้นมองมายังข้าแล้วเลยผ่าน แสดงออกว่าเฉยชาและมีโทสะบ้างแล้ว
ยืนนิ่งให้ขันทีที่เฝ้าอยู่โถงงานเลี้ยงตรวจหาอาวุธตามธรรมเนียม ข้าหาได้แปลกใจแม้แต่น้อยกับท่าทีของหลินจวินเจ๋อ ถูกข้าเย็นชามาหลายวันนับแต่พบหน้า คนอย่างแม่ทัพแดนใต้พยายามไต่ถามงอนง้อหลายครั้งแล้วกลับไม่เป็นผล ครานี้ย่อมเกิดทิฐิอยู่ในใจและหมางเมินบ้างแล้ว ข้าเองก็จงใจมิไต่ถามและปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ หลินจวินเจ๋อมีโทสะไม่คิดเกาะติดย่อมดีกับสถานการณ์วันนี้มากกว่า เมื่อพวกเราหมางเมินเย็นชากันในท้องพระโรงให้ผู้อื่นเห็น จะยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามวางใจ
เก็บซ่อนแววตาเอาไว้ขณะคลี่ยิ้มและเดินไปยังที่นั่ง ที่ของข้าคือพื้นที่ยกสูงขั้นหนึ่งของราชวงศ์ซึ่งมิได้ปะปนกับขุนนางทั่วไป ตำแหน่งจวิ้นอ๋องอยู่เบื้องซ้ายของฝ่าบาท ถัดจากเชื้อพระวงศ์องค์ชายท่านอื่น ตรงข้ามข้าคือองค์ชายสามหวงเหวินหรงซึ่งมีท่าทีขลาดเขลาราวมุสิก ข้างกายข้าคือองค์ชายสี่หวงฟู่หลิวซึ่งยิ้มแย้มพูดคุยอย่างเปี่ยมไมตรี ฮ่องเต้ ฮองเฮา ตลอดจนรัชทายาทยังไม่เสด็จมายังบริเวณงานดังนั้นจึงยังคงมีการพูดคุยโอภาปราศรัยมิขาดสาย
ข้ามองเห็นหลินจวินเจ๋อนั่งลงบนตำแหน่งที่สามของขุนนางฝ่ายบุ๋น เป็นแม่ทัพใหญ่ซึ่งนับว่าอายุน้อยที่สุดในแว่นแคว้น จากหางตามองเห็นคนผู้นั้นพูดคุยปราศรัยกับผู้อื่น หากราวกับหลินจวินเจ๋อทราบว่าถูกมองจึงเงยหน้าขึ้น
ดวงตาทั้งสองคู่แลมองสบอย่างเงียบเชียบและไร้ถ้อยวจี แม้ช่วงเวลาราวกับหยุดนิ่งแต่ก็เพียงเท่านั้น สบตาเขาเพียงครู่ ข้าเองเป็นฝ่ายมองเมินไป ด้วยนัยยะบางอย่างในดวงตาสีดำสนิททำให้รู้สึกผิดขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นซึ่งเคยกรีดหัวใจให้เป็นรอยแผลเผยแววรวดร้าวต็มไปด้วยคำถาม ซ้ำวอนเว้า แม้ปึ่งชายังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ คล้ายต้องการทราบว่าเหตุใดจึงมึนตึงเฉยชาปานนั้น
ข้าหรุบตาลงต่ำขณะยกน้ำชากรุ่นไอร้อนขึ้นจิบ ในใจทราบดีว่ายื้อไว้ได้ไม่นานแล้ว หลังจากจบงานเลี้ยง หลินจวินเจ๋อคงมาเค้นเอาความจริงจากข้า ความจริงที่ข้ามิทราบด้วยซ้ำว่ามันคือสิ่งใด แต่รอก่อนเถิด...รอก่อน ข้ายังมิอาจกล่าวสิ่งใดได้ตอนนี้ ในยามที่เข้าสู่สมรภูมิแห่งอำนาจ หากอยากมีชีวิตรอดอยู่บนเกียรติภูมิที่เฝ้าปกปักษ์รักษา อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องหัวใจ..
“ฮ่องเต้เสด็จ!!”
เสียงประกาศของมหาขันทีข้างกายโอรสสวรรค์ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าลุกขึ้นพร้อมกับผู้คนในงานและทรุดกายคุกเข่า ประสานมือเปล่งเสียงถวายพระพร งิ้วฉากสำคัญได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ทุกท่านเชิญนั่งลง อย่าได้มากมารยาท”
เปล่งเสียงขอบพระทัยแล้วจึงนั่งลง หากชั่วแล่นที่ข้าบังเอิญกวาดสายตาขึ้นมองชายฉลองพระองค์สีทองอร่าม กลับได้สบมองดวงตาอันเคยคุ้นอีกคู่หนึ่ง แววตาของหวงไท่หยางผู้ประคองโอรสสวรรค์นั่งลงบนบัลลังก์อย่างราชโอรสที่ดี ใบหน้าอันเคยคุ้นเผยรอยยิ้มที่ทำให้ลางสังหรณ์บางอย่างแล่นวาบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไหวพลิ้ว ข้ามองสบตาเขา เขามองสบตาข้า แม้จะหนาวยะเยือกในใจแต่ข้าก็เพียรระงับอาการของตนเองไว้ ข่มความกลัวจากโทสะเบื้องลึกของจิตใจและชักสายตากลับมา
“คณะราชทูตจากไห่เยี่ยนขอเข้าเฝ้า”
ข้ามองเห็นประกายบางอย่างจากดวงตาหงส์งดงามที่อยู่ข้างวรองค์ของฮ่องเต้ ดวงตาของสตรีผู้สูงศักดิ์นางนี้ยังคงเต็มไปด้วยความชิงชังอันแสนคุ้นเคย ข้าจวิ้นอ๋องจึงเพียงยกมุมปากคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเบนสายตาไปยังทางเดินบนท้องพระโรงที่มีร่างของคณะทูตจากไห่เยี่ยนเดินเข้ามา
น้ำชาในจอกเย็นลงบ้างแล้วเมื่อข้ายกขึ้นจิบอีกครั้ง นอกจากมีหัวหน้าคณะทูต และองค์ชายเจ็ดพร้อมไพร่พลของเขาเข้าเฝ้า ชายชราเคราขาวท่าทางกระฉับกระเฉงเกินวัยผู้นั้นยังเป็นอีกหนึ่งคนที่สามารถจุดความเคลื่อนไหวในดวงตาคู่งาม ข้าหวงเทียนหยางยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา มิได้เหลือบแลไปทางที่นั่งอันสูงศักดิ์กว่าบนนั้น ตระหนักแล้วว่าละครองก์แรกจะเปิดฉาก บทงิ้วอภินิหารนี้ไม่ว่าผู้ใดจัดขึ้น ย่อมต้องสนุกสนานและบันเทิงใจชนิดแทบปลิดขั้วหัวใจอย่างแน่นอน
แต่ข้าจะไม่แพ้
หวงเทียนหยางไม่มีทางพ่ายแพ้ และไม่อาจแพ้ เด็ดขาด
“กระหม่อมเฉียนเหลียงหรง ราชทูตแห่งแคว้นไห่เยี่ยนคารวะฝ่าบาท”
เงาร่างบุรุษวัยกลางคนผู้นำกลุ่มคุกเข่าลงและกล่าววาจากตามมารยาท ข้าก้มลงจิบน้ำชาอีกครั้ง ปล่อยให้คำกล่าวมากมายตามพิธีการนั้นลอยผ่านหู ในมือคนผู้นั้นถือราชสารตราตั้งที่ประทับลงพระนามของฮ่องเต้องค์ก่อนของแคว้นไห่เยี่ยนแต่ก็ราวมิได้รับความสนใจ ความเปลี่ยนแปลงของแคว้นข้างเคียงและการมาถึงของราชสารสัญญาสงบศึกทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้องดังอึ้งอึง ผู้นำเปลี่ยนแปลงแล้วไยเรื่องราวจะมิเปลี่ยนผัน ยามนี้เทียนจิ้นหากยอมรับไมตรีใช่การตั้งตนเป็นอริกับฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นข้างเคียง แต่หากมิยอมรับกลับแสดงว่าผลงานของรัชทายาทที่สู้อุตส่าห์เปิดโต๊ะเจรจาย่อมล้มเหลว แต่คว้าเอาไว้ยังกลายเป็นถูกครหาว่าสอดมือเข้ามายุ่ง
“อย่าได้มากพิธีๆ” โอรสสวรรค์ฟังคำกล่าวจนจบแล้วสรวลเล็กน้อย วงพักตร์เหี่ยวย่นชราไปตามวัยแย้มยิ้ม หากดวงตาคมกล้าเป็นประกายราวกับปลายดาบ ปลายนิ้วอันประดับพระธำมรงค์ประจำพระองค์เอื้อมไปยังจอกสุราแล้วยกขึ้นช้าๆ “มีไมตรีมาข้าย่อมยินดี แต่กล่าวถึงเรื่องราวซับซ้อนยังต้องทำการตกลงอีกมาก วันนี้ถือว่ามาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ ถือเป็นเกียรติต่อเทียนจิ้นที่ได้มีโอกาสต้อนรับผู้มาเยือนและเหล่าคณะบุคคลสำคัญทั้งหลาย”
ตามคำกล่าวของฮ่องเต้นั่นหมายถึงเทียนจิ้นจะไม่ยอมรับหรือตกลงสารสงบศึกโดยง่าย ทุกอย่างยังคงรอการตัดสินใจจากราชสำนัก วันนี้ถือเป็นเพียงการต้อนรับอาคันตุกะต่างแดน มิได้มีสิ่งใดมากกว่านั้น เทียนจิ้นย่อมปกป้องตนเองก่อน..ไม่ผิดไปจากที่คาด
“พะยะค่ะ ได้รับการต้อนรับเช่นนี้กระหม่อมในฐานะตัวแทนไห่เยี่ยนยินดีนัก” ใบหน้าค้อมต่ำแสดงความนอบน้อม จะอย่างไรเล่ห์ลิ้นคนขึ้นมาเป็นราชทูตได้ย่อมมิธรรมดา กล่าวไปก็กลายเป็นตัวแทนแคว้นหนึ่งเพื่อมิให้ตนเสียเกียรติ
“อย่าได้เกรงอกเกรงใจไป พวกท่านทั้งหลายพักที่ตึกราชทูต สำราญดีกระมัง”
“ตัวตึกงดงามซ้ำยังมีผู้ดูแลเอาใจใส่อย่างดียิ่งพะยะค่ะ”
“ดีแล้ว..อา นั่นคือองค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนใช่หรือไม่?”
ข้าเงยหน้าขึ้นจากจอกชาเมื่อได้ยินวาจาของโอรสสวรรค์ นั่งนิ่งไม่ขยับ ในใจทราบอยู่ว่าหลังจากคำพูดตามพิธีการ หลังจากนี้คือจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการเชื้อเชิญคณะราชทูตเทียนจิ้นมาร่วมงานเลี้ยง หาได้เพียงเชื้อเชิญตามมารยาท แต่เป็นเพราะอยากพบหน้า หยั่งท่าที ทั้งกับท่าทีต่อเทียนจิ้นแลท่าทีขององค์ชายกบฏต่อชะตากรรมของตน..ซึ่งนั่นย่อมพัวพันมายังข้าอย่างมิอาจเลี่ยง
“กระหม่อมฉู่เหวิน ถวายพระพรฝ่าบาท” ใบหน้าคมคายไร้หน้ากากเผยออกมามีรอยแผลทั้งยังประดับด้วยดวงตาต้องสาปสีฟ้าสด เพียงฉู่เหวินซึ่งคุกเข่าอยู่กับคณะราชทูตเอ่ยวาจาและเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยก็ปรากฏเสียงพึมพำอื้ออึง ปฏิกิริยายังไม่ผิดไปจากที่คิดแม้แต่น้อย..ข้าคลี่ยิ้มเย็นชาให้กับความขวัญอ่อนงมงายเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบ
“อา...องค์ชายเจ็ด” โอรสสวรรค์มีท่าทีนิ่งอึ้งเล็กน้อย ร่างในอาภรณ์สีทองขยับตนอย่างไม่สบายพระทัยอยู่บ้างเมื่อมองเห็นดวงตาต้องสาปและใบหน้าที่มีรอยแผลนั้น จะกล่าวว่าพระองค์งมงายเชื่อในไสยศาสตร์เล็กน้อยย่อมได้ หากแต่เจ้าแผ่นดินก็ไม่เสียเวลาตั้งสตินาน เพียงชั่วแล่นก็ยิ้มแย้มออกมาและผายมือไปด้านข้าง “ได้ยินกิตติศัพท์เทพสงครามแห่งไห่เยี่ยนมานาน วันนี้มีโอกาสได้พบถือเป็นเกรียรติยิ่งนัก องค์ชายแห่งไห่เยี่ยนมาเยือนถึงราชสำนักเทียนจิ้น ถือว่าหาได้ยาก เด็กๆ...จัดที่นั่งให้องค์ชาย”
“ฝ่าบาทกล่าวชื่นชมเกินไปแล้ว กระหม่อมฉู่เหวินมิอาจรับ” เจ้าของร่างสูงสง่าราวกับเสือดาวในอาภรณ์เต็มยศของราชนิกูลประสานมือกล่าวเสียงกังวาน ขณะที่ข้ายิ้มให้กับความเมตตาอารีของฮ่องเต้..เมตตาหรือ? นี่ย่อมมิใช่ แต่เป็นการซื้อใจคน หากฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนถูกข้อหากบฏย่อมมิอาจกลับคืนบ้านเกิด เจ้าของฉายาเทพสงครามนั้นหากคิดร้อยไว้ใช้งานย่อมมีประโยชน์
“อย่าได้เกรงใจ เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซ้ำองค์ชายเก่งกาจห้าวหาญ ข้าชื่นชมเจ้ายิ่งนัก” ข้ายิ้มกับวาจาของโอรสสวรรค์ ยังมองเห็นพระเนตรคมปลาบนั้นเต็มไปด้วยความพึงพอใจเมื่อฉู่เหวินนั่งลงบนที่นั่งที่ถูกจัดไว้ แยกออกจากกลุ่มราชทูตอย่างชัดเจนเสียจนเฉียนเหลียงหรงกับพรรคพวกมีสีหน้าไม่สู้ดี
“กระหม่อมเองก็นับถือในพระปรีชาสามารถของฝ่าบาทอย่างยิ่ง วันนี้ได้มีโอกาสมาเยือนราชสำนักเทียนจิ้น ถือว่าเป็นโชคแล้ว” สดับฟังวาจายกยอปอปั้นตามมารยาทอย่างเงียบเชียบ หากชั่วขณะนั้นดวงตาสีฟ้าเข้มหันมาจ้องมอง ข้านิ่วหน้า แม้ไม่กลัวคำสาปหากก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่น้อย..
“กล่าวถึงผู้ที่เดินทางมาจากไห่เยี่ยน ยังมีผู้ที่น่าสนใจอีกคนมิใช่หรือเพคะ ฝ่าบาท” น้ำเสียงหวานแผ่วทั้งยังไพเราะยิ่งนักของนางผู้นั้นดังขึ้นแล้ว แม่ของแผ่นดินซึ่งประทับนั่งข้างวรองค์โอรสสวรรค์มีรอยยิ้มหวานประดับริมฝีปาก “หม่อมฉันได้ยินเสียงร่ำลือมา ในคณะทูตนี้ยังมีท่านเทพโอสถผู้ลือชื่ออยู่ด้วย”
“กระหม่อมเป็นหมอธรรมดาเท่านั้น” ถึงคราวไป๋จิ้งแล้ว กลยุทธ์ของนางยังน่าชื่นชมเช่นเดิม ข้ามองไปยังร่างของท่านหมอเทวดาเคราขาวที่ขยับมือเท้ากล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งคล้ายไม่สนใจกับวาจาสรรเสริญเยินยอ สร้างภาพสมมุติหมอเทวดาผู้มิสนใจกับสาภยศสรรเสริญ “กระหม่อมไป๋จิ้ง ถวายพระพรฝ่าบาท”
“ท่านเทพโอสถลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงมากด้วยเมตตาหากรอยยิ้มมิได้ไปถึงดวงตาปรากฏบนใบหน้างดงามคงความสง่า ข้าสดับฟังน้ำเสียงรื่นหูอย่างเงียบงันและปล่อยให้ละครฉากนี้ดำเนินต่อ “หมอธรรมดาอันใดกัน หากท่านเทพโอสถเป็นหมอธรรมดา แพทย์ทั่วหล้าคงเป็นเพียงผู้รักษาฝีมือดาษดื่นแล้ว ฝีมือของเทพโอสถเก่งกาจเพียงไหนผู้คนมีหรือจะทราบ ยินว่าท่านเทพโอสถช่วยรักษาอาการป่วยของจวิ้นอ๋องด้วยตนเอง ต้องขอขอบคุณท่านด้วย จวิ้นอ๋องนับเป็นบุคคลสำคัญยิ่งของเทียนจิ้น”
เห็นปลายหอกทิ่มแทงเข้ามาหนึ่งแผล ข้ากระตุกมุมปาก วางถ้วยชาลงแล้วคลี่ยิ้มอัน’นุ่มนวลงดงาม’ของตนออกมา “กระหม่อมเพียงมีวาสนาได้พบปะ จึงอ้อนวอนให้ท่านเทพโอสถช่วยรักษาอาการป่วยจากยาพิษ”
“เทียนหยางเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอันใดหรือ?” สุรเสียงเคร่งของโอรสสวรรค์ดังขึ้นมา ข้าเพียงเงยหน้าสบเนตรคมปลาบคู่นั้นชั่วแล่น ก่อนจะประสานมือ
“เป็นเพียงโรคจากพิษเล็กๆน้อยๆพะยะค่ะ หาได้มีค่าควรใส่ใจอันใด”
“จวิ้นอ๋องกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร หากไม่มีท่านแล้วทัพเทียนจิ้นมีหรือจะเอาชนะได้ เจ้บป่วยอันใดแม้เล็กน้อยต้องรีบรักษา ผู้อื่นรอได้แต่เจ้ารอมิได้ รัชทายาทเข้าใจหรือไม่?”
“พะยะค่ะ เสด็จแม่”
อีกคนร้อง อีกคนรับ ยกยอเลิศเลศ เชิดชูข้าเสียจนสูงส่งยิ่งกว่ารัชทายาทว่าที่ผู้ครองบัลลังก์ นี่นับเป็นเรื่องดี? ข้ายิ้มบางๆขณะมองเห็นเงาหม่นในดวงเนตรของโอรสสวรรค์ เป็นฝ่ายก้มศีรษะคำนับอีกครั้ง “หวงเทียนหยางขอบพระทัยในพระกรุณาของฮองเฮาและองค์รัชทายาท”
ยังเห็นเนตรคมปลาบนั้นย้ายไปยังสตรีคู่บัลลังก์และโอรสของตนแล้ว ข้าวางตนนิ่งสงบท่ามกลางสีหน้าผิดแผกของราชวงศ์รอบกาย ขอบคุณแต่มิได้กล่าวถึงฮ่องเต้ ก็ด้วยพระองค์มิใช่ผู้นำในการพยายามรักษาและให้ความสำคัญแก่ข้าเช่นนั้น ที่ฮองเฮาและรัชทายาทกระทำ ใช่เรียกว่าพยายามซื้อใจให้จวิ้นอ๋องอยู่ฝ่ายตนและข้ามพระพักตร์โอรสสวรรค์ใช่หรือไม่? ล่วงเกินพระราชอำนาจเช่นนี้สมควรหรือ?
“จวิ้นอ๋องอย่าได้มากมารยาทเลย ข้าใส่ใจท่านด้วยฝ่าบาทเองก็ให้ความสำคัญกับท่านเช่นกัน” มาแก้ตัวตอนนี้ก็มิทันเสียแล้ว ข้าก้มศรีษะเล็กน้อยแสดงอาการยอมรับ มิได้กล่าวต่อ ย้อนปลายดาบนั้นด้วยศรของนางเอง ข้าหาได้ทำสิ่งใดไม่
“เสด็จแม่กล่าวถึงการรักษานี้ แม้ฝากฝังแต่ทั่วหล้าก็รู้ว่าท่านเทพโอสถมักรับคนไข้ตามใจปรารถนา เมื่อรับดูแลแล้วย่อมรักษาตลอดไป วาดใจเถิดพะยะค่ะ” ยังคงเป็นหวงไท่หยางที่มีวาจาคมคายลึกซึ้ง คำพูดนั้นเอ่ยราวมิใส่ใจแต่มิใช่กำลังชี้นำว่าข้าคบค้ากับคนที่แม้แต่ราชวงศ์ยังบังคับมิได้ ฝีมือยังคงร้ายกาจพลิกแต้มคูที่มารดาตนเกือบเสียให้ข้ากลับมาอย่างง่ายดาย
“หามิได้พะยะค่ะ กระหม่อมเพียงรักษาคนป่วยตามหน้าที่เท่านั้น” เทพโอสถไป๋จิ้งที่นิ่งเงียบมานานกล่าวเสียงเรียบเฉย ข้ามิทราบว่าเขากล่าวมาด้วยรำคาญบทสนทนาแฝงปลายดาบ หรือนึกอยากช่วยจริงๆ แต่จะอย่างไรก็ช่วยโต้ตอบแทนข้าแล้ว
“เช่นนั้นข้าขอเชิญท่านเทพโอสถช่วยตรวจดูอาการป่วยของน้องชายข้าได้หรือไม่ องค์ชายสิบสองป่วยด้วยโรคลมร้ายมาเกือบอาทิตย์แล้วยังไม่หาย หากได้ท่านมาช่วยดูแลคงวางใจได้แล้ว” หวงไท่หยางยังคงเป็นจอมหาผลประโยชน์ใส่ตน ข้าสดับฟังน้ำเสียงอันคุ้นเคยและหรุบตาลงต่ำ
“หมอหลวงเทียนจิ้นฝีมือล้ำเลิศ คงมิต้องให้ถึงมือกระหม่อม” ฟังแล้วน้ำเสียงของท่านเทพโอสถเริ่มแฝงความรำคาญใจเสียหลายส่วน ข้าหลุดรอยยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงความโมโหร้ายของท่านผู้นี้ หากพลันก็ต้องนิ่งกับประโยคต่อมา “หรือหากต้องการ กระหม่อมจะส่งศิษย์ไปดูแล”
“ท่านเทพโอสถมีลูกศิษย์ด้วยหรือ?”
ไป๋จิ้งกำลังตกหลุมพรางจื่อจิ้นแล้ว ข้าก้มมองถ้วยชาของตนอย่างเงียบเชียบ วางตนไม่เกี่ยวแม้ทราบดีว่ามิอาจหลีกหนีโคลนตมนี้พ้น
“ทูลองค์รัชทายาท ข้าเองเป็นลูกศิษย์ของเทพโอสถ หากท่านอาจารย์สั่งการมา ฉู่เหวินย่อมยินดีช่วยเหลือ” องค์ชายแห่งไห่เยี่ยนกำลังช่วยเหลือ..ข้าปรายตามองไปทางองค์ชายเจ็ดผู้เอ่ยปากรับแทนอย่างเงียบงัน คนผู้นี้รักษาได้หรือไม่ยังมิต้องเอ่ยถึง แต่เพียงเป็นคนออกรับหน้าแทนถือว่าช่วยแบกหม้อก้นดำ*ไว้ได้แล้ว ข้ามองเห็นแววตาลึกซึ้งที่ถูกส่งผ่านดวงตาสีฟ้า เผลอขบเม้มริมฝีปากของตนอย่างลืมตัวเมื่อนึกได้ว่าเขาเป็นผู้มีใจให้กับ’อาซิ่น’อย่างลึกล้ำคนหนึ่ง
“องค์ชายความสามารถเหลือล้นยิ่งนัก จวิ้นอ๋องช่างโชคดีที่มีท่านเป็นสหาย” ในที่สุดคนก็เผยเจตนาอย่างกระจ่างชัด ข้ายิ้มออกเมื่อเมื่อได้ยินวาจาราวกับไม่เคยรู้เรื่องราวใดจากปากของจื่อจิ้น ครู่หนึ่งนึกหยัน..เหลียดชังกลวิธีอันน่าโมโหของเขายิ่งนัก
“ข้ากับจวิ้นอ๋องคบหากันด้วยความจริงใจ”
“พวกท่านคงได้สานสัมพันธ์กันยามเชิญจวิ้นอ๋องไปดื่มชาที่ทัพไห่เยี่ยนกระมัง”
สิ้นคำกล่าวของหวงไท่หยาง ในงานเลี้ยงก็บังเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมา..
พูดจามากมายทั้งยังหลอกล่อด้วยหลายเรื่องราว ที่สุดจุดมุ่งหมายขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ก็เป็นเรื่องนี้ จะฉู่เหวิน จะไป๋จิ้ง ไม่ว่าองค์ชายเจ็ดหรือเทพโอสถล้วนเป็นทางเดินให้ปลายหอกพากันเล็งมายังตัวข้าผู้เป็นอ๋อง คนพยายามกล่าวถึงความสัมพันธ์อันน่าสงสัยระหว่างอ๋องท่านหนึ่งกับองค์ชายกบฏ แม้เป็นคนต่างแคว้นกันยังกล่าวได้ว่าน่าเคลือบแคลง ข้อนี้เป็นเรื่องที่หวงไท่หยางนำมาขู่’อาซิ่น’ก่อนหน้า ทางเลือกของคนผู้นั้นคือไม่ยอมตาย และเลือกจะหาทางออกด้วยการให้ความช่วยเหลือกบฏ แต่ทางเลือกของข้าหวงเทียนหยาง ย่อมมิใช่เช่นนั้น
“พะยะค่ะ ทั้งยังได้มอบเด็กรับใช้ผู้หนึ่งมาให้ด้วย” ข้ากล่าวตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งนั่นเป็นผลให้หวงไท่หยางชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างระแวดระวัง คนฉลาดมากระแวงเช่นเขา เป็นเฉกนี้เสมอยามข้ายิ้มแย้มวางท่าไม่แยแส คนทราบดีจากประสบการณ์ที่ผ่านว่าเป็นสถานการณ์ที่มิอาจไว้ใจโดยง่าย
“ทั้งสองมีไมตรีต่อกันเช่นนี้ มิตรภาพของเทียนจิ้นและไห่เยี่ยนคงไม่มีปัญหาใดแล้วเพคะ” แว่วเสียง*ถมหินลงบ่อของแม่แห่งแผ่นดินแล้ว มิทราบแม่ลูกคู่นี้วางแผนกันมานานเพียงไร ข้ายิ้มน้อยๆพลางหันไปมององค์ชายเจ็ดซึ่งจ้องมาด้วยท่าทีกังวลอย่างจริงจัง ความจริงใจในแววตานั้นมากเกินจะรับได้จึงมองเมินไป ด้วยปัญหาก็เกิดจากการกระทำของคนผู้นี้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งข้าต้องชำระความทีหลัง
“เด็กรับใช้ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเทพโอสถ” ข้าประสานมือกล่าวนอบน้อม และยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวลเช่นเดิมดั่งผู้ที่ทราบดีว่าใบหน้าและรอยยิ้มนี้มักดลให้คนหลงใหล “ข้าบังเอิญเจ็บป่วยหนักยามอยู่ในค่ายทัพไห่เยี่ยน จึงเป็นสาเหตุให้เทพโอสถมอบหมายให้ศิษย์น้อยผู้นี้คอยดูแล เทียนหยางซาบซึ้งน้ำใจเขายิ่งนัก จึงขอตัวจากองค์ชายเจ็ดยามเจรจากันริมแม่น้ำหลวนหลงเพื่อพาเด็กน้อยมาดูแลและตอบแทนบุญคุณพะยะค่ะ ส่วนเรื่องไมตรีของเทียนจิ้นและไห่เยี่ยนนั้น..ข้อนี้ข้าเป็นเพียงอ๋องผู้หนึ่งคงมิอาจสอดปากก้าวก่ายการตัดสินพระทัยของโอรสสวรรค์”
“..ขอตัว? ยามนั้นข้ายังจำได้ว่าเทียนหยางมีโทสะยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยผู้นั้นถูกจับตัวมา”
“ย่อมต้องมีโทสะพะยะค่ะ อย่าได้กล่าวว่าอยู่ในยามสงคราม จุดที่หม่อมฉันหนีออกจากค่ายทัพมาได้โดยมีท่านแม่ทัพหลินบุกมาช่วยเหลืออย่างไร้เงาคนในราชสำนัก แม่ทัพทั้งหลายถูกมัดมือด้วยราชโองการ ยังได้ล่วงเกินองค์ชายเจ็ดให้มีโทสะไว้ไม่น้อย คิดว่าหากช้าไปกว่านั้นคงได้ฆ่าตัวตายหนีความอัปยศเสียแล้ว เรื่องนี้ได้ขออภัยองค์ชายฉู่เหวินแล้ว องค์ชายเจ็ดใจกว้างมิถือสาหาความให้กระทบต่อสัญญาของทั้งสองแคว้นที่กระทำโดยองค์รัชทายาท ถือว่าใจกว้างอย่างยิ่ง เทียนหยางขอคารวะ”
กล่าวแล้วข้าก็หันไปยกจอกชาจอหนึ่งชูให้แก่องค์ชายฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยน ซึ่งคนผู้นั้นเองก็ยกจอกชาตอบรับ ทั้งยังหัวเราะเบาๆ “ยามศึกคือยามศึก ยามเลิกราศึกคือเอกบุรุษผู้หนึ่ง ข้าเป็นลูกผู้ชายพอจะยอมรับความพ่ายแพ้ ซ้ำฉู่เหวินเห็นว่าผู้เป็นอาจารย์มีใจอยากรักษาจวิ้นอ๋องจึงมิได้ขัด ยอมส่งตัวศิษย์น้องให้”
ข้าคลี่ยิ้มน้อยๆ มิกล่าวสิ่งใดต่อขณะที่ฉู่เหวินเองก็แสร้งวางสีหน้าเสียมิได้ คนกระทำราวถูกจวิ้นอ๋องล่อลวงไปจึงจำต้องส่งมอบทั้งคน ทั้งยังถูกผู้คนหลบหนีออกจากมือ กล่าวถึงจึงเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรี ช่วยพลิกสถานการณ์จากคำกล่าวขององค์รัชทายาทซึ่งดูเหมือน ‘จวิ้นอ๋องกับองค์ชายเจ็ดวางแผนบางอย่างต่อกันจึงถูกปล่อยตัวซ้ำมอบเด็กรับใช้ให้’กลายเป็น ‘จวิ้นอ๋องเล่นงานองค์ชายเจ็ดจนหนีออกมาได้ ซ้ำยังเป็นฝ่ายบีบให้มอบคนและมอบหมอให้รักษา’ ผลงานพลิกดำเป็นขาวง่ายดายเพียงมีคนร่วมแสดง ตบหน้าราชสำนักฉาดหนึ่ง สั่งสอนหวงไท่หยางเสียคำรบหนึ่ง แม้มิอาจไว้ใจได้อย่างเต็มที่แต่ก็ดีกว่าเจือความสงสัย ในงานเลี้ยงนี้เองก็เต็มไปด้วยด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มากมาย แม้คนทราบว่าข้าถูกเล่นงาน ทว่าในใจทุกคนต่างมีตราชั่งอันหนึ่งอยู่ ข้อสำคัญของผู้นำเองคือต้องครองใจคน หากรังแต่จะโจมตีโดยไม่หยุดยั้ง จะกลายเป็นรัชทายาทขาดความชอบธรรมแทนที่
หวงไท่หยางเองก็ทราบถึงจุดนั้นเช่นกัน คนสูดหายใจแล้วยิ้มแย้ม ชูจอกสุราในมือ “จวิ้นอ๋องยังคงมากความสามารถยิ่งนัก จอกนี้ไท่หยางขอคารวะ”
“หามิได้พะยะค่ะ” ข้ามิได้สบตาคู่นั้น เพียงผ่อนลมหายใจลงเล็กน้อย ไม่แสดงอาการผิดปกติใดออกไปเมื่อถูกจ้องมองมากเข้า
“สองแคว้นมีไมตรีกันเป็นเรื่องดี นี่ล้วนเป็นฝีมือของจว้นอ๋อง *ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำ” หวงไท่หยางเอ่ยขึ้นมาช้าๆราวกับมิได้มีจุดมุ่งหมายใด หากรอยยิ้มยามมองข้าเปี่ยมด้วยเจตนาเคลือบแฝง “เทียนหยางสนิทสนมกับองค์ชายเจ็ดเช่นนี้...”
“กระหม่อมขออภัยองค์รัชทายาท” ข้าแทรกขึ้นโดยมิให้เขากล่าวจบและยิ้มน้อยๆพลางเปล่งเสียงดังกังวาน “แม้สนิทสนมกับองค์ชายเจ็ดเพียงไร ก็มิอาจกลายเป็นเทพสงครามอีกคนได้ เทียนหยางต้องขออภัยจริงๆ”
เสียงหัวเราะเบาๆที่นำมาก่อนเป็นของบุรุษผู้มีฉายาเทพสงครามแห่งเทียนจิ้น ข้าทราบอย่างชุดเจนว่านั่นคือเสียงของหลินจวินเจ๋อซึ่งฉายแววขบขันเยาะซ้ำยิ่งนัก เขาเป็นผู้นำขุนนางบุ๋นหัวเราะ จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะตามเป็นผลให้ขุนนางในราชสำนักต้องเปล่งเสียงขบขันมาตามกันอย่างไว้ที แม้แท้จริงเรื่องราวมิใช่น่าขบขันแม้แต่น้อยก็ตาม
ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำ คนไยมิกำลังพยายามชี้นำว่าข้าอยู่ใกล้กบฏเช่นองค์ชายเจ็ด สนิทสนมกับกบฏอาจได้รับแนวคิดนั้นให้กบฏตามไปด้วย พยายามนำพาข้าไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตนต้องการนั่นคือ ‘ข้อหาคิดล้มล้างราชบัลลังก์’ ทว่ากลับถูกข้าบิดเบือนจนกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ซ้ำหลินจวินเจ๋อยังช่วยนำผู้คนหัวเราะซ้ำ ขุนนางบุ๋นและเหล่าแม่ทัพหลายคนเองก็ติดค้างน้ำใจข้าไว้จากศึกที่ผ่านมา แม้กระทำผ่านฝีมืออาซิ่น แต่ทุกคนก็คิดว่าเป็นจวิ้นอ๋อง หัวเราะไปหนึ่งย่อมมีขบขันอีกต่อและกังวานทั่วห้องงานเลี้ยง มันจึงกลายเป็นเรื่องชวนหัวหาได้มีสาระอันใด
เห็นดวงตาสีน้ำตาลฉายแววโทสะผ่านวูบหนึ่ง ข้ายกถ้วยน้ำชามาจิบแล้วคลี่ยิ้มจาง หวงเทียนหยางกล่าวไว้แล้วว่าศึกนี้ข้ามิอาจแพ้ ดังนั้นก็จะไม่มีทางแพ้
“มีจดหมายหนึ่งถูกส่งมาให้ข้า”
“พะยะค่ะ”
ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะยืนอยู่ในห้องอักษรห้องหนึ่งในตำหนักกว้างใหญ่ ความงดงามและวิจิตรบรรจงนี้วังจวิ้นอ๋องเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย ขันทีเฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นเป็นเงาดำ ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงงานเบื้องหน้าคือโอรสสวรรค์ ฮ่องเต้แห่งเทียนจิ้นนามหวงจื่อหาน ข้าคุกเข่าคารวะแล้ว กล่าววาจาตามมารยาทแล้ว จึงได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้นและกล่าวตอบพระราชกระแส
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกวางลงเบื้องหน้า มองเห็นอักษรผู้กันอันเคยคุ้นของตนแล้วข้าจึงคลี่ยิ้มออกมา หาได้แปลกใจที่จดหมายซึ่งอาซิ่นผู้นั้นส่งผ่านไปยังเส้าไป๋บุตรบุญธรรมจะมาอยู่ในมือของฮ่องเต้ ทราบจากเหล่าไท่แล้วว่าถูกคนของรัชทายาทพบเห็น ข้ายังคิดว่าเขาจะนำมันออกมาเมื่อใด ที่แท้หลังจากงิ้วยกแรกในท้องพระโรงยังมีราชอาญาจากโอรสสวรรค์รออยู่ การถูกเรียกเข้าเฝ้าหลังกลับมานี้หาได้น่าแปลกใจอันใดแม้แต่น้อย การลงมือของจื่อจิ้นก็หาได้น่าแปลกใจเช่นกัน..
ข้าคลี่กระดาษอ่านข้อความในจดหมาย มิทราบว่ามีผู้ใดสังเกตบ้างเรื่องลายมือข้าซึ่งผิดแผกไปจากปกติ แม้จะเหมือนแต่ก็ไม่เหมือน การตวัดพู่กันไม่เหมือนกัน หัวหางเขียนต่างกัน ทั้งยังทิ้งน้ำหนักมากกว่าปกติเล็กน้อย บ่งบอกนิสัยผู้เขียนว่าเป็นคนดื้อรั้นหนักแน่นอย่างไร อักษรของข้าต้องพลิ้วไหวกว่านี้ ข้อความสละสลวยและรัดกุมกว่านี้ ทว่าเพียงข้อแตกต่างเล็กๆน้อยๆคงมิอาจทำให้โอรสสวรรค์คลายโทสะได้ ข้าอ่านจบแล้วจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ นำถวายคืนฝ่าบาทซึ่งใช้ดวงเนตรราวกับปลายดาบจ้องมองมาไม่กระพริบ
“เจ้าไม่คิดว่าควรมีคำอธิบายใดต่อข้าหรือ?”
“องค์รัชทายาทคงอธิบายแล้ว” ไม่จำเป็นต้องกล่าวหาคน ด้วยคนผู้เดียวที่จะสนใจและติดตามตัวข้าทุกฝีเก้ามิพ้นเป็นหวงไท่หยาง ข้อนี้ฮ่องเต้เองก็ทราบดีอยู่ “กระหม่อมถูกยื่นข้อเสนอ จะยอมตายหรือจะยอมวอดวายโดยเอาวังจวิ้นอ๋องเป็นตัวประกัน ที่สุดจึงคิดหาทางให้องค์ชายเจ็ดมิใช่กบฏ”
“เจ้า.....!” สุรเสียงกังวานก้องฉายแววโทสะเมื่อเห็นใบหน้าอันไม่แปรเปลี่ยนของข้า ร่างของบุรุษวัยห้าสิบลุกจากเก้าอี้อย่างกราดเกรี้ยวไม่น้อย “เช่นนี้ยังกล้ากล่าวออกมา นี่มันคิดกบฏ คิดกบฏชัดๆ!!”
“กระหม่อมได้คิดกบฏอันใด” ข้ายิ้มอย่างเฉยชาเมื่อนึกถึงข้อหาเหล่านั้น อยู่ต่อหน้าคนผู้นี้มิจำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งดัด ยิ้มแย้มทั้งที่มิได้เบิกบาน “ฝ่าบาทเองก็ทราบดีถึงสถานะการมีอยู่ของวังจวิ้นอ๋อง รวมถึงทราบดีว่าผู้ใดเพียรพยายามยัดเยียดข้อหากบฏให้กระหม่อมไม่หยุด หรือหวงเทียนหยางต้องเลือกสละตัวตายจึงจะเป็นที่พอพระทัย?”
“มิใช่...พ---”
“พระองค์” ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงกังวานดังขึ้นและคลี่ยิ้มออกมาอันบ่งบอกว่ากำลังอดทนต่อโทสะ “คงเห็นแล้วยามในงานเลี้ยงวันนี้ หรือกระหม่อมต้องกล่าวอีกว่าตนเองกลายเป็นเป้าถูกคนของฮองเฮารวมถึงรัชทายาทโจมตีไม่หยุด พยายามอย่างยิ่งจะยื่นฐานะกบฏให้ ข้อความในจดหมายนี้เขียนว่าจะกบฏที่ใด สิ่งที่กระหม่อมสั่งการให้เหวินเฉินเตรียมตัวใช้เครือข่ายพ่อค้านั้นหมายถึงกบฏได้อย่างไร เมื่อฝ่าบาททราบดีว่าการมีตัวตนอยู่ของหม่อมฉันคือสิ่งใด แล้วเหตุใดจึงกล่าวว่าคนคิดกบฏ วังจวิ้นอ๋องคือดาบ! ดาบย่อมถูกใช้ มิใช่ถูกวางไว้ข้างพระที่!”
“นี่เจ้ากล้า......”
เสียงสูดลมหายใจลึกๆบ่งว่ามีโทสะแล้ว หาข้ายังยืนนิ่งมิยอมความ ยามทราบว่าอาซิ่นผู้นั้นคิดการใดจึงส่งจดหมายไปให้ความช่วยเหลือองค์ชายสามแห่งไห่เยี่ยนข้ายังมีโทสะ คิดว่าเขาเดินตกหลุมที่ไท่หยางขุดไว้ คนผู้นั้นคิดต้องการให้ข้าตกที่นั่งลำบากอยู่ทุกเวลาไยมิได้พยายามกดดันเพื่อให้เลือกทางออกเช่นนี้ อาซิ่นผู้นั้นเองก็ลากเอาหลินจวินเจ๋อยอมโอนอ่อนตามได้ พอข้ากลับมาแล้วทุกอย่างจึงกลายเป็นภาระหนัก จดหมายส่งไปแล้ว ข้ามิอาจหยุด ลงมือไม่แล้วและตกลงกับองค์ชายเจ็ดไปแล้ว ข้ามิอาจถอนคำ สุดท้ายจึงต้องเลือกทางนี้ ยอมรับว่าตนให้ความช่วยเหลือผู้อื่นก่อกบฏทั้งที่มิไดกระทำ ต้องมาตามล้างตามเช็ดหนี้แห่งความอัปยศและเชิดหน้าพยายามหาข้ออ้าง นี่จึงเป็นสาเหตุทีแท้จริงซึ่งข้ามีโทสะต่ออาซิ่นคนนั้นและหลินจวินเจ๋อ
“เหตุใดเจ้าจึงกระทำเช่นนี้” น้ำเสียงของฮ่องเต้ฉายแววรวดร้าวคาดไม่ถึงอยู่หลายส่วน ข้าเองอยากบอกเขาว่ามิได้อยากกระทำ แต่ข้าไม่มีทางเลือก ไม่มีทางเลือกใดเลย
“เป็นประโยชน์ต่อเทียนจิ้นพะยะค่ะ”
“เกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าอยู่ที่ไหน” ข้าเองก็อยากนำมันกลับคืน ทว่าลงมือแล้วจะทำสิ่งใดได้อีก ข้ามองใบหน้าอันปรากฏความผิดหวังนั้นแล้วรู้สึกปวดศีรษะ และนึกขึ้นมาได้ว่ายังมิได้ดื่มยาทั้งที่เลยเวลาแล้ว..
“กระหม่อมมิได้ทำสิ่งใดให้เทียนจิ้นเสียหาย” ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท ก่อนจะยิ้มออกมา “องค์ชายสามฉู่เมิ่งหลิวต้องการเงิน ข้าสนับสนุนเงิน เมื่อเขาได้รับชัยชนะ จะตอบแทนเทียนจิ้นอย่างงาม”
“..เจ้า...ช่างน่าผิดหวังนัก...”
“ข้าเลือกกระทำแล้วพะยะค่ะ ฝ่าบาท” ข้ากล่าวโดยพยายามไม่ใส่ใจน้ำเสียงแสดงความผิดหวังดั่งปากว่านั้น และกล่าวเสียงดังกังวาน “หน้าที่ของวังจวิ้นอ๋องคือเป็นดาบของฮ่องเต้ ปกป้องแผ่นดิน ดูแลแผ่นดิน สามารถกระทำเรื่องชั่วช้าได้ทุกสิ่งเพื่อให้เทียนจิ้งเจริญรุ่งเรือง!!”
“แต่เจ้าต้องได้รับความเห็นชอบจากข้า!!!”
“มันจะเป็นประโยชน์ต่อเทียนจิ้น”
ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท พยายามคลี่ยิ้มด้วยมิอาจยืนอยู่ ดวงหน้าตึงชาเมื่อถูกคำกล่าวของโอรสสวรรค์ แม้ทราบดีอยู่แล้วว่าต้องถูกโจมตีเรื่องการกระทำไร้ยางอาย แต่ข้าก็มิอาจกระทำสิ่งใดได้นอกจากยอมรับ มันคือเรื่องไร้ศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง ทว่าข้าลงมือกระทำไปแล้ว ‘อาซิ่น’ผู้นั้นใช้ฐานะของข้ากระทำไปแล้ว ดังนั้นหวงเทียนหยางจึงทำได้เพียงต่อสู้ ผ่อนหนักเป็นเบา มิยอมแพ้ และมิยอมพ่ายแพ้เป็นเด็ดขาด เพราะนั้นหมายถึงทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ และอาจทำให้มีผู้ต้องติดร่างแหแห่งความโชคร้ายนี้ด้วย ดังนั้นข้าจึงต้องยืนหยัดยอมรับคำประณามซึ่งเมื่อออกมาจากปากบุรุษเบื้องหน้าช่างทำให้เจ็บปวดได้เป็นพิเศษ
“หวงเทียนหยาง เจ้ากล้าเหิมเกริมกับบิดาตนเช่นนี้รึ!”
ข้าคิดเดินออกมาจากห้องอักษรแล้ว แต่กลับต้องหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองบุรุษผู้เอ่ยถ้อยคำอันไม่บังควรขึ้นมา แววตาแปรเป็นเยียบเย็นอย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีท่าทีคลุ้มคลั่งเจือโทสะไม่น้อย เมื่อเอ่ยปากออกมาแล้วจึงนึกได้ว่าตนเองผิดพลาดที่ใด โอรสสวรรค์จ้องมองข้าด้วยริมฝีปากสั่นระริกคล้ายคิดกล่าวบางสิ่ง ทว่าความเสียใจวาบผ่านในดวงตาคู่นั้นช่างไม่จำเป็น ข้าคลี่ยิ้มงดงามหากแฝงแววเยาะหยันมิได้กล่าวคำใดนอกจากหมุนกายจากไป
+++++++++
*แบกหม้อก้นดำ - รับผิดแทนผู้อื่น
*ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำ – อยู่ใกล้สิ่งใดก็จะซึมซับเอาสิ่งนั้นมา
ถมหินลงบ่อ – ซ้ำเติมคนล้ม
มาตอนนี้ต้องคิดวิเคราะห์แยกเยอะกันเยอะ และมีแถมเผยอีกหนึ่งฟามลับ ฮ่า
ถามว่าอาซิ่นทำไมไม่รู้ คือสิ่งที่อาซิ่นรู้และเห็นก็เหมือนดูหนังนั่นล่ะค่ะ เห็นแค่เรื่องที่เจ้าตัวแสดงออกมา ไม่ได้รู้ว่าในใจเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าเทียนหยางเคยมาเจอฮ่องเต้เป็นการส่วนตัวหลายครั้งแล้ว ทว่าก็ไม่เคยมีการหลุดปากแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่รู้ไปโดยปริยาย
แล้วก็เป้นคำตอบหนึ่งที่ตอบได้ว่าทำไมเทียนหยางถึงมั่นใจว่าราชวงศ์จะไม่ทำอะไรตัวเอง เพราะเขาเป็นลูกฮ่องเต้นั่นล่ะ แต่ทำไมกลายเป็นลูกจวิ้นอ๋อง ไท่หยางรู้ไหม ฮองเฮารู้ไหม อันนี้รอดูกัน อันนี้รอติดตามกันต่อไปปปป
ใครคิดถึงเหล่าจือ ตอนหน้าเจอกันฮระ
และนิยายจะปิดจองวันที่ -10 นี้แล้วนะคะ ใครสนใจดูรายละเอียดได้ที่นี่เลย
ค่ะ >> https://docs.google.com/document/d/1qKrLQhy14sUsIpxCO2m3mZIPhCcQDYTT5hmai_LgyL0/edit
เพจ FB : https://www.facebook.com/mywhynn/
ทวิต @Secrate_Wind
และเม้าท์นิยายแท็ก #จวิ้นอ๋อง นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่แบบ เฮ้ยยยยย เทียนหยาวโคตรพระเอกเลย สุดยอดจริงๆ อาซิ่นไม่ต้องกลับมาแล้ว อยู่ยุคสองพันของเธอไปเถอะ หวงเทียนหยางคนนี้ควรมีตัวตนในสนามรบแห่งอำนาจมาก เป็นรัชทายาทได้สบายเลย
เข้มขันเล่ห์เหลี่ยมจัด
จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ไม่ดี เรื่องคงวุ่นวายถ้ารัชทายาทรู้
แต่อย่างน้อยคนเป็นพ่อคงไม่ปล่อยให้ลูกโดนรังแกจนโดนข้อหากบฎหรอก(มั้ง)
แต่ทำไมเทียนหยางดันมาโตที่วังจวิ๋นอ๋อง
คนเขียนปิดบังอะไรเราอยู่ ฮือออ งงไปหมดแล้ว
อยากให้ทั้งคู่แยกร่างกันได้จัง
เพราะเค้าทำในฐานะจวิ้นอ๋องที่แบกความรับผิดชอบไว้มากมาย
หากคนงามแพ้ไม่ใช่แค่คนเดียวที่ตาย ทั้งวังคงโดนกวาดล้างอ่ะ
อันนี้คนงามทำดีจริงๆ นับถือเลย
ส่วนเรื่องที่เป็นลูกฮ่องเต้นี่คือยังไงคะ ฮ่องเต้มีลูกกับสนมแล้วยกลูกในให้วิ้นอ๋อง
หรือว่าฮ่องเต้มีซัมติงกับแม่ของคนงาม หรือลักลอบได้เสียกัน??????ยังไงคะ
ถึงว่าสิทำไมฮ่องเต้องค์ก่อนโปรดคนงามมาก แถมยังตั้งชื่อเป็นชื่อแคว้นอีก
คงไม่ใช่ว่ามีการแย่งชิงระหว่างฮองเฮากับสนมมาก่อนใช่ไหม????
ส่วนเรื่องหัวใจ คนงามคิดอ่านเหมือนรักแม่ทัพเต่า แต่บางทีก็เหมือนไม่รัก
หรือว่ารัก แต่ไม่รักเท่าศักดิ์ศรีและวังจวิ้นอ๋อง โอ้ยยยย สับสนนาง
จะยังไงก็แล้วแต่ คนงามทำอะไรก็ทำเถอะค่ะ
แต่อย่าทำร้ายแม่ทัพเต่าเลยนะ สงสารTT^TT
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2560 / 20:45