ตอนที่ 66 : ยอดหญ้าไหวจึงรู้ทิศทางลม
“นายน้อย องค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนขอพบขอรับ”
ด้านนอก หลังจากหลินจวินเจ๋อผละออกไปและวงล้อเริ่มหมุนได้ไม่นาน ข้ารับใช้คนสนิทก็ปราดเข้ามากระซิบ ข้าปรายตามองออกไปด้านนอกซึ่งท้องฟ้ายังขมุกขมัวแม้เป็นเวลาบ่ายคล้อย แล้วสีหน้าสงบนิ่งก็เคลื่อนไหว ระลึกถึงบุรุษที่ไม่ว่ายังไงก็คงได้พบ ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยน องค์ชายต้องสาปที่มีดวงตาสีฟ้าเข้มผู้นั้น ได้ประหวัดถึงดวงตาของอีกฝ่ายข้าก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง แม้คนผู้นั้นที่มาอยู่ในร่างของข้าจะเอ่ยว่าไม่นึกกลัวถูกดวงตาคู่นั้นสาป แต่ข้ามิใช่ จวิ้นอ๋องมิได้กลัวแต่ก็ไม่ประสงค์จะข้องเกี่ยวกับองค์ชายผู้แปลกประหลาดไม่เหมือนผู้อื่น ซ้ำเมื่อดูสถานการณ์แล้ว นี่มิใช่เรื่องสมควรเลยที่ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนจะมาขอเข้าพบเป็นการส่วนตัว
“เรานอนพักเพราะดื่มยา ไม่ว่างพบ”
“นายน้อย...”
“หากองค์ชายฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนอยากพบปะ ควรส่งเทียบเชิญขอพบตามธรรมเนียม อย่าได้ลักลอบติดต่อคบหาให้น่าสงสัยเช่นนี้ หรือว่านี่ยังเป็นที่จับตาไม่พอ?” ข้าปรายตามองเหล่าไท่ที่ดูจะกระทำตนเป็นผู้ช่างซักถามมากข้อสงสัยมากขึ้นเงียบๆ เป็นผลให้ผู้เฒ่ารับคำและผละออกไปโดยดี ลับหลังเขาแววตาจึงเปลี่ยนไปอีกครา มิทราบว่าด้วยเหตุใดข้ารับใช้ผู้ถูกฝึกให้ตระหนักรู้เจตนาของข้าดีกว่าผู้ใด นับแต่ลืมตาจึงมีแต่เสียงคัดค้านสงสัย อาจเป็นเพราะร่างของข้าถูกคนผู้นั้นยึดครองนานไปกระมัง กลับสร้างข้าจวิ้นอ๋องให้กลายเป็นคนคอยพักพิงนิ่งฟังคำพูดของผู้อื่นจนเคยตัว
ดวงเนตรคู่งามหรุบต่ำปิดบังแววตาและนิ่งครุ่นคิด ปลายนิ้วเรียวเคาะลงกับที่เท้าแขนช้าๆ ใคร่ครวญถึงความแตกต่างและพิจารณาด้วยความไม่พอใจนัก รู้สึกคล้ายจะถูกตนเองแย่งคนของตัวเองไป..พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง ซ้ำต้องมาเก็บกวาดสิ่งที่ผู้อื่นทำเรื่องวุ่นวายทิ้งไว้ แหงนหน้าไปร้องขอความเป็นธรรมจากผู้ใดมิได้ ด้วยผู้ลงมือกระทำนั้นคือตนเอง
เสียงกุกกักด้านหน้ารถม้าดังขึ้นทำให้ข้าออกจากภวังค์ ละปลายนิ้วออกจากพนักพิงที่ทำจากขนสัตว์หนานุ่มกลับมองเห็นร่างเงาไม่คุ้นตาปรากฏที่ประตูรถม้า ไม่ต้องให้คาดเดาก็ทราบใดว่าผู้กระทำการอุกอาจนี้คือผู้ใดด้วยมิใช่ครั้งแรกเสียแล้ว นี่หรือองค์ชายผู้มีเกียรติ กลับย่องขึ้นรถม้าผู้อื่นราวกับโจรขโมย ทำตนราวคนป่าไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ ทว่าสิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าคือตัวข้าคนก่อนนั้นมิได้ออกปากห้ามปราม เป็นเพราะหย่อนยานคนจึงยิ่งได้ใจกระทำตามชอบไม่รู้ที่ถูกที่ควรให้ถูกจับตามองไม่รู้จักจบสิ้น
“องค์ชายฉู่เหวิน ข้าจวิ้นอ๋องขอเชิญเสด็จกลับขบวนด้วย”
“อาซิ่นกล่าววาจามากมารยาทอีกแล้ว หรือนี่ต้องการให้ข้าลักพาตัวเจ้าจริงๆ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเจือเสียงหัวเราะหยอกล้อดังขึ้นเบื้องนอก ฟังแล้วผู้กล่าวแลดูสงบสำราญอย่างยิ่ง หากข้าหัวเราะหึ มิเห็นขันแต่อย่างใด
“กล่าววาจาว่าจะลักพาตัวผู้อื่นได้ง่ายๆเช่นนี้ นี่หรือบุคคลชั้นเชื้อพระวงศ์”
“วันนี้จวิ้นอ๋องหงุดหงิดใจแล้ว?” กระแสเสียงเย็นเยียบของข้าคงทำให้คนนึกแปลกใจจึงพยายามชะโงกหน้าเข้ามา เห็นเพียงดวงตาสีแปลกชวนให้รู้สึกอึดอัดคู่นั้น ข้าชักม่านปิด หันหลังให้องค์ชายแห่งไห่เยี่ยนขณะกระซิบบอกตนเองว่าอย่าได้มีโทสะกับพฤติกรรมไม่รู้มารยาทของอีกฝ่าย ด้วยเขายังมีบุญคุณที่ต้องทดแทนนั่นคือได้นำตัวเทพโอสถมารักษา หากไม่ได้ดูแลอาการป่วยของตน ข้าจวิ้นอ๋องคงถูกยึดร่างจนสิ้นชีพ
“องค์ชายโปรดรักษามารยาท”
“...อาซิ่น?” กระแสเสียงแฝงแววแปลกใจเมื่อพบว่าข้าหันหลังให้ น้ำเสียงเจือแววรื่นรมย์แปรเป็นกังขาและเริ่มเยียบเย็น
“แม้องค์ชายจะมีพระคุณต่อข้าผู้เป็นอ๋อง แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้การพบปะกันลำพังโดยไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยถือว่าไม่เหมาะสมยิ่งนัก ข้าหวงเทียนหยางจึงมิอาจให้ท่านเข้ามา โปรดเข้าใจ” หรุบตาลงเล็กน้อย กล่าววาจามากมารยาทออกมาได้อย่างลื่นไหลโดยน้ำเสียงเจือกระแสเย็นชาห่างเหินเสียเจ็ดส่วน หวังให้บุรุษผู้นั้นรู้ตัวเช่นกัน “หากองค์ชายประสงค์ขอเข้าพบ โปรดส่งตัวแทนมาแจ้งกับคณะเดินทางของเทียนจิ้น”
เงียบไปครู่ใหญ่ น้ำเสียงทุ้มพร่าจึงดังขึ้นเบาๆ “หรือนี่จวิ้นอ๋องคิดให้ข้าซาบซึ้งว่าท่านเป็นคนชนิด*นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายตายฆ่าสุนัขล่าเนื้อ”
“หามิได้” ข้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แผ่วเบา “ยามนี้ *คิดขว้างมุสิก ยังกริ่งเกรงภาชนะ องค์ชายทราบดีว่าเราทั้งสองอยู่ในสภาวะเช่นไร ข้าผู้เป็นอ๋องคงมิต้องเอ่ยให้มากความ หวงเทียนหยางมิใช่คนมิรู้บุญคุณคน แต่มีไมตรียังต้องดูจังหวะเวลา”
“ไฉนก่อนหน้าข้าเคยได้ยินคนผู้หนึ่งกล่าว ไม่ว่าทำอย่างไรยังต้องถูกระแวงสงสัย มีแต่ต้องสู้แบบหลังชนแม่น้ำเท่านั้น”
“การกระทำเช่นนั้นมิใช่การสู้แบบหลังชนแม่น้ำ แต่คือการเดินเข้าสู่หายนะ” ริมฝีปากบางเหยียดออกเป็นรอยยิ้มจางเมื่อนึกถึงการตัดสินใจบ้าบิ่นของอดีตผู้อยู่ในร่างนี้ การพุ่งเข้าชนปัญหาเช่นนั้นมิได้เป็นทางแก้ที่ดี ซ้ำยิ่งพุ่งเข้าชนมากเท่าไหร่ก็ยังเจ็บมากเท่านั้น กล่าวไปแล้วผู้วางแผนก็ช่างลงมือได้สอดคล้องกับนิสัยบ้าบิ่นของคนผู้นั้นอย่างยิ่ง กว่า’อาซิ่น’ผู้นั้นจะทราบว่าตนเองได้กระทำเรื่องราวใดลงไปคงเป็นหลังจากถูกตัดสินประหารสิ้นทั้งวังอ๋อง ทำลายทุกสิ่งที่บรรพบุรุษข้าสั่งสมมากับมือ
องค์ชายผู้กำลังพูดคุยกับข้าอยู่หลังประตูผู้นี้เล่า เขากำลังคิดการใด..เพราะตนไร้ทางออก จึงได้ยุแยงผู้อื่นทุบหม้อข้าวตนเองใช่หรือไม่ หรือคิดวางกลยุทธ์ใช้ตนเองยุยงให้ราชสำนักเทียนจิ้นแตกออกเป็นสองส่วน รึคิดใช้คำว่ารักของตนมาการกระทำเช่นคนบ้าบิ่นกอดคอกันลงนรกโดยอาศัยความพอใจเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงผู้คนที่อยู่ข้างหลังรวมถึงเกียรติภูมิของวังอ๋องหรือเกียรติยศของราชวงศ์
“รักษาตัวผ่านไปหนึ่งคืน จวิ้นอ๋องดูจะตระหนักรู้คิดขึ้นมาก”
“สิ่งใดที่เคยตกลงกันยังคงเป็นเช่นเดิม องค์ชายเจ็ดอย่าได้กังวล”
ข้าปิดประตูรถม้ารวมไปถึงหน้าต่าง แสดงตนและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ปรารถนาจะพูดคุยต่อ เพียงกล่าวว่าสิ่งที่พูดคุยตกลงกันยังเป็นเช่นเดิมเท่านี้ก็คงเพียงพอจะให้บุรุษผู้นั้นพอใจได้แล้ว จะอย่างไรความร่วมมือของวังจวิ้นอ๋องที่จะมอบให้แก่องค์ชายสามผู้นำกบฏก็มีค่าอย่างยิ่ง คนควรทราบดีว่าสิ่งใดต้องทำ สิ่งใดไม่ควรทำ ดังนั้นไม่นานเงาร่างที่เคยแนบติดหลังประตูจึงลับตาไปในที่สุด
ข้าละมือออกจากม่านกันลมในมือ ผ่อนหายใจลงพลางห่อตนเองอยู่ใต้ผ้าคลุมขนจิ้งจอกอันแสนอบอุ่น องค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนกลับไปแล้ว องค์ชายผู้นั้นจากไปได้ก็ดี จะอย่างไรองค์ชายต่างแคว้นก็มิอาจผูกพันพูดคุยได้มาก ซ้ำดูจากวาจาและท่าทีที่อีกฝ่ายมาคือจงใจพูดคุยเกี้ยวพาราสีไร้สาระอย่างยิ่ง ข้านึกถึงหนี้ดอกท้อที่มีติดค้างกับฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนแล้วนิ่วหน้าอีกครา คนผู้นั้นช่างถนัดก่อเรื่องราวยิ่งนัก ซ้ำไปเกี่ยวเอาดอกท้อเจ้าปัญหาเช่นองค์ชายเจ็ดแคว้นศัตรู ไม่ทราบคิดว่าข้าจวิ้นอ๋องมีกี่ศีรษะให้ตัดกันแน่
ผู้คนวุ่นวาย เรื่องราวชวนสับสนเกินไปจนมิอาจทำใจให้สงบ ข้าหยิบกระดานหมากล้อมที่ไม่ได้ฝึกฝีมือมานานออกมา สะบัดชายเสื้อเบาๆให้อาภรณ์ไม่เกะกะเกินไปนักขณะหลับตาลงและผ่อนหายใจช้าๆ เพียงฟื้นมาวันแรกก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว การต้องไล่สะสางเรื่องราวที่ข้าไม่ได้กระทำนั้นชวนปวดศีรษะอย่างยิ่ง เรื่องราวและคนมีมากเกินไปจึงต้องค่อยๆใช้เวลาพิจารณา มองภาพโดยรวมมิอาจมองเพียงส่วนตนได้ ค่อยๆจัดทัพ จัดลำดับความสำคัญและจัดเรียงผู้คนอย่างใจเย็น...
กระดานหมากว่างเปล่า แต่ไม่นานมันก็ปรากฏความเคลื่อนไหวเสียงวางหมากดังขึ้นเบาๆท่ามกลางความเงียบงันแต่ก็ทอดเวลายาวนาน ปลายนิ้วเรียวคีบหยิบเม็ดหมากสีขาววางสลับกับสีดำเงียบๆ หวงเทียนหยาง หวงไท่หยาง หลินจวินเจ๋อ องค์ชายเจ็ด องค์ชายสาม จ้าวลี่เซียน เทพโอสถแห่งไห่เยี่ยน ลู่ซุน เหล่าไท่ เส้าไป๋ และ…ชายปริศนาที่ข้าไม่รู้ว่าเขาคือใคร
ตารางหมากสีขาวสลับสีดำซ้ำซ้อนหากเรียบง่าย การเดินหมากกับตัวเองนั้นไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายด้วยผู้ที่ร่วมแข่งขันด้วยมีเพียงตัวเอง ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้ข้านำผู้คนที่จำเป็นต่อหมากกระดานนี้มาเกลี่ยลงบนเส้นตารางสี่เหลี่ยมแล้วก็ยังมิอาจควบคุมได้อย่างใจนึก ไม่ว่าหมากตัวใดยังไม่น่ากลัวเท่าหมากปริศนาที่ไม่ทราบว่าจะโผล่มาเมื่อใดหรือจะปรากฏตัวอีกหรือไม่ หากเขาไม่มาอีกนับว่าดี แต่หากเขากลับมาอยู่ในร่างนี้ แผนการณ์ที่ข้าสู้อุตส่าห์ก่อร่างสร้างขึ้นมาใหม่ย่อมพังทลายลงได้อย่างง่ายดาย
คิดอยากหยุดหมากนี้ ไม่อาจทำได้เพราะข้ามิทราบว่าเขามาจากที่ใด คิดอยากทำลาย นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะอาจหมายถึงตัวข้าเอง แต่ข้าจวิ้นอ๋องเองก็ไม่อาจปล่อยให้คนผู้นั้นกลับเข้ามายึดครองร่างกายตนเองแล้วกระทำตามอำเภอใจได้อีก
หยิบหมากดำอันเป็นตัวแทนของเทพโอสถแห่งไห่เยี่ยน ข้าขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างครุ่นคิด ในความทรงจำนั้นไม่บ่งบอกว่าท่านหมอผู้นั้นเป็นหมอผีหรือผู้มีวิชาอาคมใด เทพโอสถแห่งไห่เยี่ยนมิได้ทราบวิชาสลับสับเปลี่ยนวิญญาณ เป็นเจ้าอาคมทำพิธีทางพุทธหรือเป็นเทพเซียนผู้บรรลุ คนเพียงทำการรักษาข้าด้วยวิธีฝังเข็มตามปกติเท่านั้น แล้วเหตุใดมันมีผลทำให้ข้าสามารถตื่นลืมตาได้ หรือนี่เกี่ยวกับพิษในกายและเรื่องสุขภาพ? เช่นนี้หมายถึงหากข้าทำการรักษาต่อไปจนร่างกายแข็งแรง คนผู้นั้นจะไม่มีสิทธิ์ครอบงำร่างกายของข้าใช่หรือไม่?
ตวัดปลายนิ้วเขี่ยหมากดำเก็บเข้าอุ้งมื้อเงียบๆ ไป๋จิ้ง...ยังคงจำเป็น แต่หากจะเก็บหมากนี้ไว้ ยังต้องมีฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยน และอาจต้องมีลู่ซุนเด็กหนุ่มผู้นั้น..คิดเก็บหมากสามตัวนี้ไว้นับเป็นปัญหา โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดซึ่งบัดนี้ไม่ต่างกับเทพเจ้าแห่งความวิบัติ เทพโอสถผู้ยิ่งผยอง ฆ่าไม่ได้ ข่มขู่ไม่ได้ แต่หากเลือกต่อรอง...
“นายน้อย” เสียงของเหล่าไท่ดังขึ้นเบาๆด้านหลัง ข้าชะงักเล็กน้อย ไม่พูดอะไรแต่ก็นิ่งฟังอย่างปรกติเพียงวางหมากในมือลงเบาๆให้สัญญาณว่ารอฟังอยู่
“จดหมายที่ส่งไปให้คุณชายเส้าไป๋ถูกผู้พบเห็นแล้ว เป็นคนขอรัชทายาทขอรับ”
ไม่ผิดไปจากที่คิด ข้ายิ้มออกมา “ดี”
“ค่ำนี้ขบวนหยุดพักบริเวณเมืองเฟิ่งหยางก่อนถึงเมืองหลวง...” แสงหม่นทอลอดม่านออกมาและจางหาย ดวงอาทิตย์ลับไปในหมู่เมฆแล้ว ยามเย็นมาถึงอย่างรวดเร็วด้วยเป็นฤดูหนาว หิมะปลิวว่อนจากท้องฟ้าครึ้มแสง แม้ยังไม่ถึงเวลาคบเพลิงกลับถูกจุดไว้หลายแห่ง ข้าละมือจากกระดานหมากล้อมของตน ใช้เวลาค่อนวันเพื่อจัดการตัวหมากทั้งหลายให้อยู่ในที่ซึ่งควรอยู่ จวบจนบัดนี้ถึงคราวละมือออกได้แล้ว จึงยิ้มออกมาอย่างพอใจยิ่ง
“เนื่องจากวันพรุ่งนี้จะเดินทางถึงเมืองหลวง องค์รัชทายาทจึงมีพระประสงค์ให้ทหารได้จัดทัพ เตรียมตั้งขบวนเดินทางใหม่ ส่วนผู้ติดตามทั้งหมด นับแต่เสนาอำมาตย์เป็นต้นไป องค์รัชทายาทตรัสว่าให้ตามเสด็จเข้าพักในตัวเมืองเฟิ่งหยาง เจ้าเมืองเฟิ่งหยางได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”
ทุกอย่างถือว่าสมเหตุสมผล ข้าพยักหน้า “เช่นนั้นคืนนี้ก็ไปพักที่จวนเจ้าเมือง วังจวิ้นอ๋องขอห้องพักแก่แม่ทัพหลินและข้าจวิ้นอ๋อง จากนั้นแล้วแต่ทางเจ้าเมืองเฟิ่งหยางจะจัดการให้”
“จากนั้นมีการเลี้ยงต้อนรับจากนายอำเภอเมืองเฟิ่งหยางขอรับ”
“เราอ่อนเพลียจากการรักษา” ริมฝีปากบางกระตุกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มงามตา “คงต้องขอปฏิเสธ”
“รับทราบขอรับ นายน้อย”
“เดี๋ยวก่อน เหล่าไท่” ข้าเอ่ยปากรั้งเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะผละออกไป เสียงตอบรับเบาๆดังกลับมานั้นบ่งบอกว่าคนรั้งอยู่เพื่อรอคำสั่งแล้ว ดวงตาคู่งามมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ยกริมฝีปากขึ้นคลี่ยิ้มอ่อนหวานประดับบนใบหน้าเฉกเช่นที่เคยเป็น ขณะที่ดวงตาเย็นเยียบลงไปอีก ทอดสายตาไปยังทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล พลางปล่อยให้ความเงียบลอยอวลอยู่แบบนั้น
“ตรวจสอบข้างกายของหลินจวินเจ๋อ อย่าให้เขารู้ได้”
“ขอรับ”
“บอกเหวินเฉินที่รั้งอยู่เมืองถานเฟิ่งให้เตรียมตัวถูกตรวจสอบด้วย”
เหล่าไท่กล่าวขอตัวเบาๆแล้วออกไป คนรับใช้เก่าแก่นั้นทราบดีว่าเขามิควรเข้ามาขัดเวลาข้านั่งเดินหมากกับตัวเอง ดวงตาคู่งามดั่งวาดเก็บดวงดาราตวัดมองกระดาษหมากล้อมเงียบๆ พลางใช้ปลายนิ้วเรียวงามลูบกระดานเบาๆ ภาพที่สะท้อนให้เห็นคือสีดำสลับสีขาวยุ่งเหยิงไม่อาจทราบความนัย มีเพียงผู้เล่นเท่านั้นที่ทราบว่าสิ่งใดคือสิ่งใด หมากใดจะถูกใช้ออกและหมากตัวใดจะถูกโยนทิ้ง
ยามนี้ข้าจวิ้นอ๋องหาใช่จวิ้นอ๋องผู้ถูกรุกไล่กินเม็ดหมาก ต้องฝึกเดินใหม่และมีฝีมือระดับเด็กหัดเล่นแล้ว แต่เป็นจวิ้นอ๋องผู้มีวิชาเดินหมากเลิศล้ำไม่แพ้ใคร..แต่ยังก่อน บางเรื่องมิควรเผย บางเรื่องมิอาจเผย แสร้งโง่งมไปบ้างก็ดี ข้าหวงเทียนหยางยังอยากจะรอชมดูว่าฝีไม้ลายมือของบุรุษผู้นั้นจะพัฒนาไปถึงขั้นใด..
ข้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองท้องฟ้าหม่นครึ้มไร้หมู่ดาวก่อนจะกระชับเสื้อคลุมเข้าหาตัว เมื่อหรุบตาลงและเงี่ยหูฟังยังได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและเสียงผู้คนแว่วมาไม่ไกล เมืองเฟิ่งหยางนี้ไม่ว่าผู้ใดคิดออกงิ้วเล่นละคร ข้าจวิ้นอ๋องจะไม่เสียเวลาลงไปคลุกเคล้าเกลือกกลั้วให้เสียเวลา เพราะบางคนที่ทนความอยากรู้ไม่ไหว จะเป็นฝ่ายปรากฏตัวและเชื้อเชิญให้ข้าไปหาเอง
“เหล่าไท่บอกว่าเจ้าเลี่ยงงานเลี้ยงเพราะอ่อนเพลียงั้นหรือ เป็นอันใดมากหรือไม่?”
“ข้าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอยู่บ้าง แต่ไม่มากมายอันใด”
ล่วงเข้ายามดึกอากาศยิ่งหนาวเหน็บ ภายในห้องพักในจวนเจ้าเมืองมีเตาถ่านและน้ำร้อนจัดไว้อย่างครบพร้อมสมฐานะมิให้ข้าต้องได้ออกปาก เทียบกับการกินนอนในรถม้าแล้วนับว่าดีนัก ดังนั้นคืนนี้ผู้คนจึงเตรียมตัวหลับใหลเพื่อกลับเมืองหลวงในวันพรุ่ง ข้าเองก็เช่นกัน ทว่ามิคาดหลังวางพู่กันไม่ทันหมึกแห้งหลินจวินเจ๋อกลับเดินเข้ามาหา ข้าปรายตามองผู้ย่างเท้าเข้ามาหาถึงห้องเงียบๆ ด้วยความเคยชินดั้งเดิมนั้นไม่มีทางที่คนผู้นี้จะมาดังนั้นจึงลืมตัวมองข้ามไปอย่างง่ายดาย มาบัดนี้เพิ่งนึกขึ้นได้แล้วจึงขยับตัวลุกออกจากโต๊ะอักษร รู้สึกไม่เคยชินที่ถูกผู้อื่นล่วงเข้ามาในห้องส่วนตัว ทั้งยังไม่พอใจอยู่บ้างที่แม่ทัพแดนใต้สามารถเข้าออกได้โดยไม่แจ้งแก่คนรับใช้เพื่อให้พวกเขามากล่าวเตือนข้า แม้จะอยู่ในฐานะสามีของข้าจวิ้นอ๋องมิอาจละเว้น..กฏระเบียบหย่อนยานเช่นนี้ควรต้องปรับปรุงตัว
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นอันใดไปอีก” ขณะที่ข้ากำลังคิดปรับปรุงพฤติกรรมของบ่าวไพร่ที่หย่อนยานลงอย่างไม่น่าพึงใจ ฝ่ามือใหญ่กลับเอื้อมมาหา หลินจวินเจ๋อเข้ามาใกล้ข้าด้วยใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนอย่างยิ่ง ทว่าด้วยแววตาอันแสดงความรักออกมาอย่างล้นปรี่นั่นเองที่ทำให้มิอาจนิ่งรอรับ ทั้งที่เฝ้ารอมาตลอดกลับเป็นฝ่ายเบี่ยงศีรษะหลบหนี
“ท่านพี่มีธุระอันใด?” ข้ายิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน เอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงแผ่วหวานทว่าวางท่ามิยอมให้หลินจวินเจ๋อได้ซักเอากับความผิดปกติเมื่อครู่ คนมีท่าทีชะงักงันเมื่อข้าหลบห่างจากตัว กระนั้นยังตีสีหน้ายิ้มแย้ม
“มาดูอาการเจ้า แล้วก็....” คนกล่าวลอบย้ายสายตาไปยังเตียงอย่างเงียบเชียบพลางยิ้มออกมา “คืนนี้อากาศหนาว นอนคนละห้องกันเจ้าไม่เหงาหรือ”
“ที่ผ่าน...” คิดเอ่ยปากบอกว่าที่ผ่านมาก็นอนแยกห้อง หากความสนิทสนมเมื่อช่วงเวลาก่อนนี่เองทำให้ข้ามิอาจกล่าวได้คล่องปาก ข้าสบตาหลินจวินเจ๋อ ในฐานะบุรุษนั้นทราบโดยมิต้องกล่าวคำเช่นกันว่าอีกฝ่ายต้องการเช่นใด ในฐานะสามีภรรยา มีความสัมพันธ์ทางกายใช่เป็นเรื่องผิดแผก ทว่าด้วยฐานะนี้เช่นกัน จะให้ข้าสานสัมพันธ์กับเขาทั้งที่คนผู้นี้มีใจให้ผู้อื่นที่มิใช่ตน ข้าจวิ้นอ๋องมิใช่คนน่าสมเพชถึงขั้นนั้น
“...ที่ผ่านอันใดหรือ?” หลินจวินเจ๋อเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าข้ามิกล่าวคำใด
“ข้าเริ่มรักษาตัวแล้ว ดังนั้นจึงมีอาจมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง...เกรงจะกระทบการรักษา” แสร้งกระแอมไอกล่าวคล้ายเอียงอายสักครั้งแล้วจึงหยุด ท่าทีเช่นนี้ดูมิใช่สิ่งที่ข้าเคยเป็น กระนั้นเมื่อมองสบตาหลินจวินเจ๋อ กลับพบว่ารอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาไม่จางลงแม้แต่นิดเดียว
“ขอแค่ได้นอนกอดเจ้าก็พอแล้ว” ฝ่ามือหนาวางลงบนไหล่แล้วคลึงเบาๆคล้ายนวดเฟ้นออดอ้อน แต่ข้าชะงักคล้ายนิ่งงันไปทั้งตัว “อาซิ่น?”
“ท่านพี่จะติดอาการป่วยจากข้าไปเปล่าๆ”
“อาการป่วยนี้เกิดจากพิษ จะติดได้อย่างไรเล่า ซ้ำหากจะติดคงติดตั้งนานแล้ว” สุ้มเสียงคนกล่าววาจาลามกฟังดูบาดหูกว่าปกติเมื่อมันเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น ดังนั้นข้าจึงนิ่วหน้าอย่างเปิดเผยด้วยความกรุ่นเคืองจางๆในหัวใจอันไม่รู้ที่มา ปฏิเสธไม่ได้ว่านึกริษยาเข้าเสียแล้วเพราะผู้ที่ได้รับความเอื้ออารีนี้มิใช่ตนเอง
“แล้วผู้ใดจะทราบได้?” ปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตนเงียบๆเมื่อได้ฟัง ข้าหมุนกายเผชิญหน้าบุรุษผู้มีศักดิ์เป็นสามีของตนซึ่งอยู่ในชุดลำลองเบื้องหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง กระทั่งตนเองยังรู้สึกแล้วว่ารอยยิ้มนี้หาดีมิได้ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่หลินจวินเจ๋อจะมีสีหน้าผิดแผกไปอีกครา ดวงตาคมวาวคู่นั้นปราดมองข้า นิ่งไปอึดใจจึงกลั้นใจกล่าว
“เจ้ายังโกรธเคืองข้าอยู่?”
“ท่านทำสิ่งใดให้ข้าโกรธเคืองหรือ?”
“เจ้ามิใช่เคืองที่ข้าไปช่วยเจ้าชักช้าจนต้องเสียองครักษ์เงา...”
“หากท่านทราบว่าข้าจะโกรธเคือง แล้วกล่าวขึ้นเพื่ออันใด” เดิมทีข้าไม่คิดจะบ่ายเบี่ยงเพื่อให้เขาพูดเรื่องนี้ เมื่อคนกล่าวถึงองครักษ์เงาทั้งยี่สิบนาย สิ่งที่ข้าห้ามมิให้คนในวังอ๋องพูดถึงก็รู้สึกไม่พอใจจนต้องชักสีหน้า เรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ข้าสั่งห้ามมิให้กล่าวเหตุใดคนจึงเอ่ยปากออกมาอีก ช่างน่าโมโหอย่างยิ่ง นี่หลินจวินเจ๋อคิดจะให้ข้ามีโทสะหรืออย่างไร
“อาซิ่น...ข้าขอโทษ ข้า...”
“เลิกเรียกข้าว่าอาซิ่นเสีย” ปวดศีรษะกับคนชื่อนี้มาทั้งวันแล้ว ข้าถอนหายใจพยายามข่มโทสะของตน เดิมทีไม่ควรคิดมากโกรธเคืองผู้ใด แต่กับเรื่องที่หลินจวินเจ๋อกล่าวข้ากลับไม่อาจนิ่งเฉย องครักษ์เงาทั้งยี่สิบชีวิต คนของข้าที่เติบโตร่วมกันมาแต่เล็กเหล่านั้น เพียงนึกถึงยังมีไฟโทสะหนึ่งคอยเผาผลาญเงียบๆในอกตลอดเวลา
“เจ้าเคยกล่าวว่าอยากให้ข้าเรียกอาซิ่น ที่ไม่ยอมให้ข้าเรียก นี่หมายถึงเจ้าไม่พอใจข้าใช่หรือไม่?” เหตุใดคนผู้นี้จึงซักถามวุ่นวายนัก ข้าจ้องมองเขาอีกคราโดยพยายามคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า รู้สึกอยากได้หลินจวินเจ๋อที่ปั้นปึ่งเฉยชามากกว่าด้วยนั่นออกจะ’ควบคุม’ง่ายยิ่งนัก เพียงระวังมิให้กระทบกับสตรีอันเป็นที่รักของเขาย่อมได้ แต่นี่ไม่ว่าทำสิ่งใดก็ถูกซักไซ้ไม่จบสิ้น
“ข้าจวิ้นอ๋องมีนามว่าหวงเทียนหยาง ดังนั้นจึงอยากให้เรียกหวงเทียนหยาง มิใช่อาซิ่น” ข้ากล่าวออกไปช้าๆอย่างชัดเจนพลางสบตาบุรุษเบื้องหน้า แม้มิอยากเล่นบทนี้แต่คงต้องกระทำเพื่อให้คนสงบลงและเลิกเข้ามาวุ่นวายรอบกายข้าสักพัก..การใหญ่ที่วางไว้หากมีหลินจวินเจ๋อคอยสอดส่องคงมิอาจสำเร็จเรียบร้อย “เรียกข้าเทียนหยาง สามีข้า เรียกข้าเช่นนั้น..แม้จะโกรธเคืองท่านหรือไม่ก็ตาม”
“แล้วที่ผ่านมา...”
“ท่านทำได้เพียงจมอยู่กับอดีตหรือ?” ฟังคนกล่าวถึงอดีตซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ข้าคล้ายรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ดังนั้นแววตาจึงเยือกเย็นขึ้นตามลำดับ
“ข้า---”
“นายน้อย องค์รัชทายาทเชิญพบขอรับ”
เป็นครั้งแรกจริงๆนับแต่เรื่องราวในอดีตที่ข้านึกยินดีเมื่อได้ยินชื่อหวงไท่หยาง ข้าหรุบตาลงเล็กน้อย ทราบจากเสียงของเหล่าไท่นี่เองว่าครั้งนี้พลั้งเผลอใช้อารมณ์หุนหันเข้าเสียแล้ว ทั้งที่มิควรคิดต่อปากต่อคำ ดังนั้นมาครั้งนี้คำเชิญของหวงไท่หยางจึงมีประโยชน์อยู่บ้าง ข้าเหลือบมองสีหน้าซึ่งแปรเปลี่ยนไปมาของหลินจวินเจ๋อ แม้นึกสงสารเขาอยู่บ้างแต่นี่มิใช่เวลามานั่งปลอบขวัญหรืออธิบายความจริง ให้กล่าวว่าคนที่ท่านรักมิใช่ข้า..กระทั่งตัวข้าเองยังไม่ปรารถนาให้มันเป็นความจริง
ครู่หนึ่งก็ต้องกลืนน้ำลายยอมรับว่ารู้สึกริษยาบุรุษที่ข้าไม่รู้จักคนนั้น แต่ก็รีบปัดมันออกจากห้วงคิด เรื่องรักใคร่สมควรให้ความสำคัญยามนี้หรือ ย่อมมิใช่ ข้าถือโอกาสเดินหนีหลินจวินเจ๋ออย่างเงียบเชียบ สีหน้าเป็นปรกติยามเดินกลับมาที่โต๊ะอักษรแล้วเรียกเหล่าไท่เข้ามาแจ้งข่าวสารที่ได้รับ
“ดึกดื่นป่านนี้ องค์รัชทายาทมีธุระใด?”
ข้าพับกระดาษที่ฝึกคัดอักษรเพื่อฝึกฝนลายมือของตนและถามออกไปเบาๆท่ามกลางสายตาจับจ้องของบุรุษผู้มีชื่อว่าเป็นสามีซึ่งมิเคลื่อนกายออกจากห้อง แม้ตนเองไม่มีธุระแต่ก็ยังอยากมี ด้วยความรวดเร็วของจื่อจิ้น คนผู้นั้นคงทราบแน่แล้วว่าข้ามีอาการผิดแผกอีกครั้ง เช่นเดียวกับตอนนั้นซึ่งเขาเป็นคนแรกที่ทราบว่านี่เป็นข้าหรือเป็นคนอื่น
“องค์รัชทายาทแจ้งว่าเชิญร่วมเดินหมากที่ศาลาริมน้ำขอรับ”
“นี่ก็ล่วงเข้ายามดึกแล้ว ซ้ำอากาศเช่นนี้ ข้าผู้เป็นอ๋องร่างกายยังไม่แข็งแรง คงมิอาจไปได้” คนคิดเชื้อเชิญพูดคุยเพราะรู้สึกถึงความผิกปกติบางอย่าง ประการนี้ข้าทราบ แต่ทราบข่าวแล้วอย่างไร หากมีเล่ห์กลใดก็ควรนำมาใช้ มิใช่เรียกร้องเชื้อเชิญให้ไปหา ข้าคลี่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาขณะเอ่ยปฏิเสธ
“เหล่าไท่จะไปแจ้งองค์รัชทายาทตามนี้”
แต่ข้ามิได้ปฏิเสธเพื่อรอพูดคุยกับหลินจวินเจ๋อ..
ยอดหญ้าไหวแล้ว จื่อจิ้นทราบแล้วว่ามีบางสิ่งผิดแผกและข้าก็ยืนยันความคิดเขาด้วยการปฏิเสธนี้ ปีนี้พวกเราพบเจอกันเกินสามคราแล้ว เกินกว่าราชโองการของฮ่องเต้ จะให้มาพบกันอีกได้อย่างไร แต่มากกว่านั้นที่ข้าต้องการสื่อให้เขาเห็นคือตนเองกำลังขุดบ่อล่อปลา ทั้งข้าและเขาเองก็ถนัดยิ่งนักกับการละเล่นเช่นนี้ ผลัดกันแพ้ชนะมาหลายครา แล้วครานี้ผู้ใดกันจะเป็นฝ่ายพลาดพลั้ง?
หรุบตาลงเงียบๆอย่างครุ่นคิดพลางยกรอยยิ้มเย็นชาทาบริมฝีปาก ขณะดวงตามองเห็นเงาร่างสูงใหญ่ดั่งนักรบของใครบางคนอยู่ด้านหลัง หางตามองเห็นท่าทียินดีราวกับบุรุษผู้จมอยู่ในห้วงรักราวกับคิดว่าข้าปฏิเสธผู้อื่นเพื่อตนเอง เห็นแล้วก็อยากถอนหายใจออกมา คนผู้นี้ตาบอดไปจริงๆเสียแล้ว ฤทธิ์ของความรักนี้หนักหน่วงยิ่งนัก ตัวข้าทราบดีแก่ใจ ดังนั้นจึงยังมิยอมหันไปเช่นนี้ เรื่องน่าขันคือหลินจวินเจ๋อรักข้าแต่ก็มิได้รักข้า แล้วผู้ใดกันควรจะยิ้มแย้มยินดี
“ดึกแล้ว ท่านเองก็กลับห้องเถิด ท่านพี่”
“อาซิ่---”
“............” ข้าหันไปปรายตามองเขาอย่างเงียบงัน ไม่เอ่ยคำ
“เทียนหยาง...”
“ไปเถิด พรุ่งนี้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว มีเรื่องราวต้องทำอีกมากมาย” ข้าเบนสายตากลับมาพลางมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่หิมะร่วงพรู
“เหตุเพราะวันพรุ่งพวกเราไปถึงเมืองหลวง ข้าจึงมีเรื่องอยากปรึกษาเจ้าเช่นกัน” ถ้อยคำของหลินจวินเจ๋อทำให้ข้าหันไปมองหน้าเขาเงียบๆ ปรึกษา? คนผู้นี้คิดปรึกษาอันใดข้า ซ้ำร้อยวันพันปีมิเคยเอ่ยปากมา..นี่มันช่างน่าแปลกใจเสียจริงๆ
“ท่านพี่จะปรึกษาข้าเรื่องใด?”
“การตัดสินใจของเราทั้งคู่ เจ้าบอกว่าเปลี่ยนใจแล้วใช่หรือไม่ เปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าจะทำเช่นไร มีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่ บอกข้าสิ”
บอกแล้วได้อันใด? บอกแล้วท่านก็ช่วยอันใดข้ามิได้ ข้าเอ่ยปากบอกอย่างเงียบงันในใจขณะแย้มรอยยิ้มแล้วส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ “ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ท่านพี่ ท่านเพียงกระทำตามที่ตนเองเคยทำ”
“แต่....”
“ท่านคือแม่ทัพ ช่วยปกป้องดูแลประเทศ ตอนนี้ทำความดีความชอบมาก็ควรออกหน้าแทนพรรคพวกบ้าง และเตรียมตนรอรับพระราชทานรางวัล คุกเข่าแสดงความจงรักภักดีแก่ฮ่องเต้ ขั้นตอนเหล่านี้ในท้องพระโรงข้าจวิ้นอ๋องคงไม่ต้องสอน”
“ข้าหมายถึง..ให้ข้าช่วยเจ้าได้บ้าง แม้มิอาจช่วยได้มาก แต่ข้าเป็นสามีของเจ้า ไม่มีความจำเป็นใดที่เจ้าต้องแบกรับทุกอย่างไว้กับตนเอง” ได้ยินวาจาเปี่ยมด้วยความจริงใจและน้ำใจไมตรีข้าก็นิ่งไปครู่หนึ่ง หากถามว่ายินดีหรือไม่ก็ยังยินดี เป็นเรื่องปรกติที่ควรพอใจแต่ในสนามการเมืองเช่นนี้ มิได้เหลือที่ไว้ให้ผู้เล่นฝึกหัดเช่นหลินจวินเจ๋อ
“ไม่ต้องหรอก” กล่าวปฏิเสธเสียงนุ่มนวลและหมุนตัวกลับมาในที่สุด แสงเทียนส่องใบหน้างามจนสว่างกระจ่างนัยน์ตา หากเปลวไฟที่สะท้อนดวงเนตรคู่นั้นกลับมิอาจดับความเย็นชาได้ ข้ากระพริบตา กลืนเอาแววตาเย็นเยียบของตนเองเก็บไว้ “ท่านพี่มิชำนาญด้านนี้ ข้าไม่คิดรบกวน”
“แต่ว่า...”
“ในสนามรบ หากฝีมือไม่กล้าแกร่งก็จะกลายเป็นจุดอ่อน เรื่องนี้ท่านแม่ทัพย่อมทราบ” หากคนผู้นี้กระโดดเข้าไปร่วมวง นอกจากไม่ชนะแล้วอาจพบกับความหายนะเช่นถูกใช้เป็นจุดอ่อนโจมตี หลินจวินเจ๋อเองก็มีโทษคดีหนีทัพติดค้าอยู่ แม้สามารถเอ่ยปากให้ไกล่เกลี่ยกันเบื้องต้นได้ แต่ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะไม่ถูกนำมาใช้ภายหลัง ดังนั้นข้าจึงต้องตัดเขาออก
“ข้าจะนอนพักแล้ว ท่านเองก็เช่นกัน”
ข้าเอ่ยปากบอกลา พลางเดินไปส่งอีกฝ่ายที่ประตูโดยไม่ได้มองสีหน้าแววตาผู้ฟังอีก คนคิดช่วยเหลือข้าถามว่าดีใช่หรือไม่ ย่อมดีแน่นอน ทว่าคนคิดช่วยแต่คนผู้นั้นไม่มีความสามารถเพียงพอ แสดงเพียงน้ำใจจะประเสริฐกว่า หากมาวุ่นวายจนข้าต้องพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันต่อให้เป็นคนผู้นี้ก็อาจถูกตัดทิ้งได้เช่นกัน คิดฝันมาแบกข้าจวิ้นอ๋อง..ท่านแม่ทัพสำคัญตัวผิดเกินไปแล้ว
ประตูงับปิดลงพร้อมความสงสัยและแววตาบางอย่างในดวงตาคู่คม ข้าทราบแล้วว่าหลินจวินเจ๋อกำลังระแคะระคาย คนกำลังสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่เขาจะได้เค้นเอาความจริงจากข้าหรือเราจะได้ตายพร้อมกัน ยังเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินชะตากันในวันพรุ่งนี้
++++++
*นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายตายฆ่าสุนัขล่าเนื้อ – หมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้ง
*คิดขว้างมุสิก ยังกริ่งเกรงภาชนะ – อยากแก้ปัญหาแต่กลัวมีผลกระทบ
มาที่พาร์ทคนงามกันบ้าง การไฟว้กันกำลังจะบังเกิด เยยย ส่วนท่านพี่กับฉู่เหวินก็นะ /ยิ้มอาดูร
มาขายตรงต่อไป คราวนี้ใกล้หมดเขตเปิดจองจริงล่ะนะคะ //แปะ
สนใจดูรายละเอียดตรงนี้ได้เลยค่ะ >> https://docs.google.com/document/d/1qKrLQhy14sUsIpxCO2m3mZIPhCcQDYTT5hmai_LgyL0/edit
เพจ FB : https://www.facebook.com/mywhynn/
ทวิต @Secrate_Wind
และเม้าท์นิยายแท็ก #จวิ้นอ๋อง นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อีกอย่าง เราสงสารเทียนหยางนะ เข้าใจเลยว่าหวาดกลัวว่าใครที่ไหนไม่รู้จะมาแย่งร่างกายของเรา โดนอาซิ่นแย่งไปง่ายๆนี่โคตรไม่โคตรไม่โอเค โคตรไม่ยุติธรรมกับเทียนหยางเลยนะ นี่มันร่างกายของเทียนหยางนะ!!!
อีกอย่างถ้าตอนจบต่างคนต่างไป ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่ทัพรู้ความจริงว่าคนที่ตัวเองรักคืออีกคน ถึงเจ็บแต่ก็ไม่ต้องให้เทียนหยางมาเป็นตัวแทนเพียงเพราะร่างกาย ถึงเทียนหยางจะรักแม่ทัพแต่เชื่อว่าถ้าเรื่องจบลงด้วยดี ทุกคนคงรับได้ ต่างคนต่างแยกไปใช้ชีวิตของตัวเอง แฮปปี้เอนดิ้งเลย
ส่วนอาซิ่น คือโอเคถามว่าชอบมั้ยก็ชอบแหละ แต่ถ้ามองในมุมเทียนหยาง คงแบบคนๆนี้เป็นใคร แบบงี่เง่า บ้าบอ ดีแต่ปากแต่ก็เอาตัวเองไปเจอหายนะตลอดไรงี้ แบบทำอะไรไม่คิดรอบคอบถ้าเทียยกับเทียนหยางอ่ะนะ คือเก็ทมะ อาซิ่นตัวจริงเป็นแค่แบบเกย์หนุ่ม พนักงานบริษัทธรรมดา ในโลกปัจจุบัน คือเอาง่ายๆก็คนธรรมดาแบบเราๆ มันต้องต่างกับคนที่เตอบโตมาเล่าเรียนเพื่อเป็นท่านอ๋อง เป็นเขื้อพระวงศ์ อาซิ่นอาจจะต้องฝาดฟันกับคนในโลกปัจจุบัน สกิลปากเลยสูง แต่มันก็เทียบไม่ได้กับคนที่ต้องใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในสนามรบตลอดเวลา ที่มีคนรอแว้งกัดแบบให้ตายจริงๆอย่างเทียนหยางหรอก
ปล.เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอินมากๆ 5555 คือเราชอบความเรียล จริงๆชอบตั้งแต่ที่ไรท์บอกว่าอย่าลืมว่าอาซิ่นเป็นแค่คนธรรมดา ชอบที่เรื่องนี้ไม่ได้ให้พอนายเอกไปอยู่ร่างใหม่ก็เทพทรู ตบเกรียนทุกคน คือมันไม่มีทางอยู่แล้ว 555 ชอบที่อาซิ่นก็คืออาซิ่น (ถึงบางครั้งจะรำคาญนิสัยบางส่วนของอาซิ่นไปบ้าง) แต่เอาจริงๆ ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าอยากให้จบแบบไหน คือเรารักทั้งคู่นะ แบบคิดว่าสุดท้ายก็ต้องเป็นอาซิ่นกับแม่ทัพแหละ แต่แค่ไม่อยากให้เทียนหยางหายไปเลย.... ฮืออออ แต่หนึ่งร่างสองวิญญาณมันก็คงไม่ได้อ่ะ
# เขาคงมีความคิดเห็นอาซิ่นเขาอุตส่าห์ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ถ้าเป็นเชื้อเเล้วเป็นเเบบนนี้เขาเรียกว่าเชื้อโรค #เเม่คนโง่