ตอนที่ 60 : สู่เหมันต์อันเหน็บหนาว
“ได้ข่าวว่าองค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนเชิญตัวเทพโอสถมาแล้ว”
เสียงพิณดังติงตังคลอเสียงพูดคุยเบาๆภายในกระโจมใหญ่ อากาศภายนอกหนาวเหน็บแต่สายลมมิอาจลอดเข้าไปถึงด้านในที่จุดเทียนจนสว่างไสว เตาถ่านถูกวางไว้รอบๆทำให้บรรยากาศอุ่นสบายอย่างยิ่ง ในกระโจมใหญ่มีเพียงร่างของคนสี่คนนั่งรับประทานอาหาร จิบชาพูดคุยกันหน้าโต๊ะเตี้ยซึ่งวางเอาไว้ด้วยกระดานหมากล้อม สภาพกล่าวได้ว่าเป็นการพูดคุยสังสรรค์ แต่หลังคำถามดังขึ้นเสียงพิณก็หยุดลง มันส่งผลให้ดวงตาคู่งามกระพริบไหว ร่างในชุดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีเงินงามซึ่งนั่งนิ่งบนเบาะผ้าไหมคลี่ยิ้มงดงามชวนลืมหายใจ ปลายนิ้วดั่งหยกสลักหยิบหมากขาวมาวางและพยักหน้าให้กับข่าวสารอันว่องไวที่ชวนให้นึกนับถือ คนมิได้มองผู้ที่นั่งฝั่งตรงหน้าหากจ้องมองเปลวไฟไหวระริกสะท้อนในดวงตาสตรีผู้ทำหน้าที่ดีดพิณคนหนึ่ง
“องค์รัชทายาทข่าวคราวรวดเร็วยิ่ง”
“เรื่องราวที่เกี่ยวพันกับชีวิตของญาติพี่น้อง ย่อมใส่ใจเป็นธรรมดา”
“หวงเทียนหยางรู้สึกเป็นเกียรตินัก” เสียงหัวเราะแผ่วเบาฟังดูจริงใจอย่างยิ่งดังขึ้นหลังจบถ้อยคำ หากเพียงเงี่ยหูสดับผู้คนคงพยักหน้ายิ้มแย้มพอใจกับความห่วงหาอาทรของญาติพี่น้องสกุลหวง แม้เรื่องราวแท้จริงจะเป็นอย่างไร ข้าก็เองก็เช่นกัน ได้ยินคำถามแล้วก็ยังคงสมัครใจร่วมเล่นละครบทนี้ไปด้วยอยากรักษาศีรษะกับลำตัวให้ต่อกันอยู่ได้นานที่สุด
“องค์รัชทายาทห่วงใยข้าเพียงนี้ ข้าขอมีความหวังเรื่องการจัดการกับผู้ที่บังอาจกล้าปองร้ายราชวงศ์ได้หรือไม่?”
...แต่สำหรับผู้ที่มีหนี้ตกค้าง ย่อมตามเก็บอย่างไม่ยอมเลิกรา
จ้องมองสตรีใบหน้าหวานซึ้งผู้ชะงักปลายนิ้วจนบทเพลงพิณขาดหาย ข้ายกจิบชาและแสร้งให้ความสนใจกับกระดานหมาก กระทำตนราวกับไม่ได้ทำให้ใครบางคนกลัวจนอาจนอนร้องไห้ นี่ถือเป็นการตอบแทบคำเชิญมารับประทานอาหารซึ่งทำให้เหลียงจื่อซิ่นหมดความอยากดื่มกินได้อย่างชะงัดนัก สี่วันแล้วหลังจากเร่งออกเดินทางจากแดนใต้มายังเมืองหลวง นี่คือยามค่ำซึ่งกระบวนผู้คนเริ่มเดินทางเข้าเขตภาคกลางของแคว้น ยิ่งเดินทางเข้าใกล้เมืองหลวงความหนาวเหน็บก็ยิ่งคืบคลานเข้ามา การเดินทางช้าลงเนื่องจากอากาศที่หนาวเหน็บและกลางวันที่สั้นกว่ากลางคืน..และด้วยอาจเพราะกลางคืนยาวไป ใครบางคนจึงว่างอย่างยิ่งและอยากเรียกตัวข้ามาเล่นงานแล้ว..
คิดพลางเหลือบมองดูเจ้าของคำเชิญอย่างหวงไท่หยางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์รัชทายาทแคว้นเทียนจิ้นยังเต็มเปี่ยมด้วยความเป็นมิตรที่ไม่ได้ลามไปถึงดวงตา ร่างสูงในชุดเสื้อคลุมลายพยัคฆ์จับเม็ดหมากสีดำไว้ในมือและจ้องมองกระดานที่ใช้ลับฝีมือกับข้าเงียบๆ เบื้องหลังเขาคือจ้าวลี่เซียนที่ก้มหน้าจอจ่อกับพิณของตน แม่นางคนที่งามน้อยกว่าจวิ้นอ๋องยังคงก้มหน้าก้มตาดีดพิณเจ็ดสาย บรรเลงเพลงไม่เงยหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด ขณะที่เจ้าของไออุ่นข้างกายข้าคือสามีหลินจวินเจ๋อ ท่านแม่ทัพซึ่งสวมเสื้อคลุมตัวหนาไม่ได้กล่าวอันใดนอกจากนิ่งจับจ้องการประลองหมากระหว่างข้าและองค์รัชทายาทด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง
ข้าทราบอยู่บ้างว่าทำไมเขาจริงจัง การพบกันครั้งก่อนของคนสี่คนผู้มีอดีตต่อเนื่องกันมา ผลคือข้าด่าหวงไท่หยางว่าเป็นราชาหมวกเขียว และถูกคนผู้นั้นโจมตีกลับด้วยเรื่องของหลินจวินเจ๋อและจ้าวลี่เซียน มายามนี้มิทราบว่าเจ้าของน้ำเต้าเช่นรัชทายาทจะมีอันใดมาขายอีก
“หากจื่อซิ่นปรารถนา ไหนเลยมิได้”คนพูดราวกับสมัครใจจริงจัง หากข้ายิ้มขัน คิดเล่นงานคนของเขา ไยเขาจะมิเล่นงานคนของข้ากลับ วาจาที่ข้ากล่าวไปใช้ขู่ได้แต่ปฏิบัติย่อมมิได้ ข้าเหลือบมองหลินจวินเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างกายและยิ้มแย้มให้หวงไท่หยาง นึกอยากมอบฉายาเทพเจ้าแห่งโรคระบาดใส่เขาอย่างยิ่ง
“มิบังอาจพะยะค่ะ” ด้วยเจตนาคือหยั่งท่าทีของอีกฝ่าย เมื่อได้คำตอบข้าก็ไม่คิดหาเรื่องมากความ “กระหม่อมกลัวจะทำให้องค์รัชทายาทวุ่นวายพระทัย”
“ข้าหาได้วุ่นวายอันใด” คนที่เมียน้อยอาจโดนตัดหัวและเดือดร้อนมาถึงตนยิ้มแย้มราวไม่รู้สึกรู้สา “ผู้กระทำการอุกอาจ หากสืบสาวราวเรื่องลากตัวผู้ร่วมกระทำผิดมาได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่เรื่องราวซับซ้อนเช่นนี้กลัวแต่จื่อซิ่นจะไม่กล้าสืบสาว”
“ข้าจวิ้นอ๋องย่อมต้องการให้สืบสาว หากได้ตัวผู้ลงมือจริงๆ มาจัดการ มิใช่เพียงปลาตัวเล็กตัวน้อย” แสร้งถอนหายใจเสียทีแล้ววางจอกชาลง “องค์รัชทายาทคิดเช่นนั้นหรือไม่?”
หวงไท่หยางมิได้ตอบกลับข้าทันที หากวางหมากดำลงบนกระดานเบาๆ ข้ามองกระดานหมากล้อมที่อีกฝ่ายกำลังต้อนตัวเองจนแต้มแล้วยิ้มเฉย ระดับฝีมือเช่นเด็กหัดเดินของข้าจะสู้รบปรบมือกับอีกฝ่ายได้อย่างไร แต่แพ้บนกระดานหาได้น่าวิตกกังวลเท่าเรื่องจริงที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่ได้ยินคำตอบจากรัชทายาทในทันที นั่นหมายถึงอีกฝ่ายกำลังมีปัญหา แน่นอนว่าต้องเกิดปัญหา หากข้าคิดสืบสาวราวเรื่อง จ้าวลี่เซียน จ้าวหนิงเฉิง คนเหล่านี้ย่อมต้องนอนในคุกเป็นกลุ่มแรก
“ข้ากลัวว่าจะทำให้สุขภาพของจื่อซิ่นทรุดลงอีก” นี่ต้องการบ่ายเบี่ยงหรือคิดกัดข้าเรื่องทราบความจริงแล้วสะเทือนใจจนล้มป่วย ไม่ว่าอันใดล้วนไม่ใช่เรื่องดี ข้าจึงหัวเราะเบาๆ
“เทพโอสถมาถึงขบวนเดินทางแล้ว ข้ามิกลัวเจ็บป่วย”
วางหมากขาวลงไปด้วยอาการพยายามดิ้นรนจากความพ่ายแพ้ แต่ข้าคิดว่าสงครามวาจาในความจริงตนเองมิได้จนมุมแต่อย่างใด เรื่องเทพโอสถไป๋จิ้งมาถึงขบวนเดินทางนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยามเที่ยงของวันนี้ เห็นความรวดเร็วในการตามคนของฉู่เหวินแล้วข้าก็นึกสรรเสริญผสมสาปแช่งเขาอยู่ในใจ ไหนเลยบอกตามตัวท่านอาจารย์ยากทั้งยังมิอาจบังคับใจ เฮอะ นี่คนคงตระเตรียมมาพร้อมแล้วเหลือเพียงลากข้าลงหลุมพรางเท่านั้น คาดว่าคงคิดจะเอาเรื่องหมอเรื่องความเจ็บไข้มาข่มขู่ แต่สุดท้ายคล้ายจะได้ไปแค่คำสัญญาแปลกๆข้อหนึ่ง มิทราบองค์ชายเจ็ดจะดีใจหรือพลาดหวังกันแน่
“แต่ยังมิได้รักษา”
“พิษหายาก ยารักษาก็ย่อมหายากเช่นกัน” มองหมากตนเองที่ใกล้จะจนเต็มทีเมื่ออีกฝ่ายวางลงมา ข้าตอบคำพลางเลิกคิ้วมองหวงไท่หยางเล็กน้อย กำลังคิดว่าเพื่อจัดการข้า เขาจะจัดการเทพโอสถก่อนหรือไม่ “แต่องค์รัชทายาทโปรดวางใจ ตัวยาหาครบแล้วเหลือเพียงขั้นตอนรักษาไม่กี่ขั้น อีกไม่นานข้าจวิ้นอ๋องคนหายดี”
“นับเป็นเพราะความร่วมมือขององค์ชายฉู่เหวินผู้นั้นแท้ๆ” เสียงหัวเราะเบาๆขององค์รัชทายาทช่างฟังดูเสนาะหู ยกเว้นประโยคหลังที่พูดออกมา “ท่านแม่ทัพหลินดีใจหรือไม่ที่มีคนอื่นมาช่วยเหลือจื่อซิ่นแล้ว..”
ปากหนอปาก ข้าฟังคำพูดที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ก็มีนัยยะจักกัดทิ่มแทงให้คนแตกแยกแฝงอยู่แล้วจิบชาระบายความหงุดหงิด หวงไท่หยางนี่นับวันยิ่งแสดงเจตนาอยากแยกข้ากับหลินจวินเจ๋อออกจากกันมากขึ้นทุกที ที่กล่าวมานั่นนอกจากแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพแดนใต้ไร้ความสามารถมิอาจช่วยเหลืออันใดข้าได้ แล้วยังยุแยงถึงเรื่องที่ข้าสนิทกับฉู่เหวิน จับจุดได้แม่นยำราวกับทราบว่ามีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันมาก่อนหน้า รู้ดีเสียยิ่งกว่าพยาธิในกระเพาะ
“ภรรยาของตนจะหายจากอาการป่วย กระหม่อมย่อมยินดีพะยะค่ะ” ข้าหันไปมองสามีที่นั่งเงียบๆยังโดนแว้งกัด การโจมตีนี้สร้างความเสียหายแก่หลินจวินเจ๋อพอสมควรเนื่องจากคนมีปมในใจอยู่ก่อนแล้ว แม้สีหน้าจะปกติแต่ดวงตาคู่นั้นยังมืดครึ้ม ทว่าคำตอบจากคนข้างกายทำให้ข้ายิ้ม เจ้าเต่านี่ก็แว้งกัดเป็นเหมือนกัน
“ยินดีกับทั้งสองด้วย” หวงไท่หยางฟังคำตอบราวกับไม่ยินดียินร้ายนั้นแล้วฉีกยิ้ม คนยังวางท่าเฉยแต่เสียงพิณที่ดังอยู่เงียบลงไปแล้ว ขณะที่ข้าเลื่อนปลายนิ้วเอื้อมไปเกี่ยวมือหนาที่กำหมัดแน่น เจตนาปลุกปลอบให้ได้ผ่อนคลายแม้จะต่อหน้าผู้คนก็ตาม
“เรื่องนี้กระหม่อมเองก็ต้องขอบคุณองค์รัชทายาทที่ช่วยกล่าววาจา”
“จะอย่างไรพวกท่านก็คุ้นเคยสนิทสนม ข้าเชื่อว่าองค์ชายฉู่เหวินต้องช่วยเหลือจื่อซิ่นอยู่แล้ว” คำพูดบอกว่าข้าสนิทสนมกับฉู่เหวิน หาได้มีความต้องการแค่ยุให้คนแตกแยกแต่ยังคิดจะป้ายสีข้อหาน่ากลัวเช่นสมคบคิดกับต่างแคว้นมาให้ ข้าฟังแล้วมุมปากกระตุก ต้องรีบผลักดันความดีความชอบไปให้หวงไท่หยางอย่างสุดความสามารถ ขณะที่หลินจวินเจ๋อจับมือข้าไว้แล้วบีบกลับเบาๆ
“สนิทสนมอะไรกัน ที่องค์ชายผู้นั้นรับปากเป็นเพราะไมตรีของสองแคว้น หวงเทียนหยางต่างหากที่ต้องขอบพระคุณในความเมตตาขององค์รัชทายาท” รวมทั้งขอบคุณที่ช่วยปกป้องคนลงมือฆ่าจวิ้นอ๋องเสียดิบดี
“จื่อซิ่นกล่าววาจามากมารยาทยิ่งนัก” หวงไท่หยางกล่าวแล้วหัวเราะเสียงเบา ข้าฟังแล้วก็ยิ้มเฉยเสีย ละสายตาคมปลาบที่ทิ่มแทงแม่นางจ้าวคนงามออกมาเงียบๆ นับแต่วันที่ได้พูดคุยกันและข้ากล่าวว่าลืมเลือนเรื่องของคนผู้นี้ไปทุกอย่าง ข้ามิเคยอ้าปากเรียกหวงไท่หยางด้วยชื่อหรือเรียกว่าจื่อจิ้น ขยับปากทีไรก็เอ่ยแต่องค์รัชทายาท ทั้งยังพูดจาตามมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คนรู้ความจริงแล้วข้าก็ไม่ทราบว่าตนเองจะเล่นละครไปทำไม อีกทั้งดูแล้วจากรูปการณ์ บุรุษผู้นี้ดูจะ’ถือสา’เรื่องที่ข้าจำไม่ได้ แต่ก็ยังคงปกป้องคนสกุลจ้าว การกระทำเช่นนี้จึงควรย้ำรอยแผลให้สมแค้นอย่างยิ่ง
“เรื่องราวเป็นเช่นที่กระหม่อมกล่าวกับพระองค์ เพราะอาการป่วยจึงจดจำอันใดไม่ได้ คงต้องรบกวนองค์รัชทายาทระคายหู” วางหมากขาวลงไปเป็นครั้งสุดท้ายแล้วข้าก็ละมือออก รับความพ่ายแพ้อย่างหน้าชื่นตาบาน “แต่กล่าวไป ท่านไป๋จิ้งว่ารักษาแล้วก็มิแน่ว่าจะจำอันใดได้ ถือเป็นเวรกรรมเสียแล้วพะยะค่ะ”
“น่าเสียดายนัก” หมากดำวางลงดังแก๊กแล้วการเล่นหมากตานี้จึงจบลง ข้าหันไปมองสบตาหลินจวินเจ๋อ ยังคงเกี่ยวนิ้วเขาเล่นและทำตนเป็นสามีภรรยาที่หวานแหววกันไม่สนใจสายตาคนภายนอก ทั้งดวงตาสีน้ำตาลที่ไร้ก้นบึ้งของหวงไท่หยาง และดวงตาของจ้าวลี่เซียนซึ่งวางมือจากพิณของตนแล้วนั่งก้มหน้าสงบเสงี่ยม
“อดีตก็คืออดีตพะยะค่ะ” ข้ายิ้ม แม้ความจริงจะอยากทราบว่าเกิดเรื่องอะไรระหว่างคนสองคน แต่เห็นหวงไท่หยางมีสีหน้ายิ้มไม่ออกเมื่อข้าบอกว่าจำไม่ได้ มันก็น่าสำราญใจอยู่ คิดพลางเคาะเบาๆที่หลังมือหลินจวินเจ๋อคำนี้บางทีข้าเองก็อาจจะอยากพูดกับเขา เพียงแต่ยังวางไม่ลงเท่านั้น..
“หากจื่อซิ่นจำมิได้ ระหว่างเดินทาง ให้ข้าช่วยเจ้ารำลึกความจำ ทีละเรื่อง..ทีละเรื่อง..ดีหรือไม่?” เหตุใดวาจาทีละเรื่องนั่นจึงทอดนิ่งอย่างส่อเจตนาร้ายเช่นนั้น ได้ฟังแล้วคงมีแค่คนบ้าใบ้ที่ไม่นึกระแวง ข้าเงยหน้ามองหวงไท่หยาง หรี่ตาลงระแวดระวัง เห็นคนยิ้มแย้มโชว์เขี้ยวขาวๆ หากท่าทางกลับยิ่งไม่น่าไว้วางใจ
“เรื่องนี-----”
“จวิ้นอ๋องร่างกายอ่อนแอ หลังจากนี้ยังต้องทำการรักษา คงมิอาจสนองพระประสงค์” ยังเอ่ยปากไม่ทันจบ สามีก็รีบชิงปฏิเสธพลางกุมมือข้างไว้แล้วบีบแน่นๆ ข้าหันไปมองหลินจวินเจ๋อ พบดวงตาสีดำสนิทวาววับก็ยิ้มออกมาเงียบๆ
“เช่นนั้นรอจื่อซิ่นหายย่อมได้”
“คาดว่าต้องพักฟื้นนับครึ่งปีพะยะค่ะ”
“แม่ทัพหลิน..” ได้ยินวาจาปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หวงไท่หยางจึงหัวเราะแล้วเรียกชื่อคนพูดหนักๆขึ้นมา “กล่าววาจาราวกับว่าข้าคิดปองร้ายจวินอ๋องจึงมิอาจไว้ใจได้กระนั้น”
“กระหม่อมไม่ได้พูด” หลินจวินเจ๋อปฏิเสธเสียงแข็งทื่อ
“องค์รัชทายาท” ข้ากล่าวคำเมื่อเห็นว่าเรื่องราวจะเริ่มลุกลามวุ่นวาย มือบีบกระชับปลายนิ้วของหลินจวินเจ๋อมิสนใจสายตาของคนที่มองมา “ยามนี้ดึกแล้ว หากไม่มีธุระอันใดกระหม่อมคงต้องขอตัว”
ความเงียบเกิดขึ้นทันทีเมื่อข้าพูดโพล่งไปเช่นนั้น แท้จริงมิคิดอยากจะทำตัวเป็นอันธพาลแต่หากไม่ห้ามคนจะยิ่งถกเถียงใหญ่โต เมื่อกล่าวไปแล้วตนเองก็ไม่คิดจะพูดจาตามมารยาทอันใดอีกเช่นกัน แท้จริงการถูกเรียกตัวมาด้วยข้ออ้างทานอาหาร พูดคุยสังสรรค์ใดๆล้วนฟังไม่ขึ้น ข้าเองที่มีก็ล้วนคิดว่าคนมีบางอย่างจะกล่าว ดังนั้นจึงยอมนั่งอยู่ ให้คนได้กล่าวกล่าววาจาทิ่มแทงกันไปจนสาใจแต่แท้จริงกำลังรอฟังว่าจุดประสงค์ในครั้งนี้คือสิ่งใดกันแน่ แม้ข้าจำเขาไม่ได้ แต่หวงไท่หยางมิใช่ผู้คนชนชั้นที่จะผายลมออกมาอย่างปราศจากจุดหมาย หรือทำอันใดเพียงเพราะอยากเล่นสนุก
“จื่อซิ่นช่างใจร้อนยิ่งนัก”
ดวงตาสีน้ำตาลคู่คมที่เคยวาวโรจน์ด้วยโทสะสงบลงแล้ว มันกลับมานิ่งราวกับผิวน้ำสะท้อนกระจกเช่นเคย หวงไท่หยางไม่ตอบคำข้าหากแต่โบกมือครั้งหนึ่ง จ้าวลี่เซียนก็ลุกขึ้น หญิงงามผู้ถูกเรียกมานั่งด้วยเหตุอันใดไม่ชัดแจ้งเดินประคองพิณนวยนาดออกไป แล้วต่อมาบุรุษใบหน้าคมคายในชุดรัดกุมผู้หนึ่งก็เดินมาแทนที่ สิ่งที่หอบมาด้วยมิใช่เพียงไอเย็นแต่เป็นสารฉบับหนึ่ง ข้ามองร่างสูงใหญ่นั้น ค้อมกายมอบสารลับ ไปจนถึงออกจากกระโจม แล้วจึงกลับมามองรัชทายาทตรงหน้าอีกครา
“นี่คือสารลับจากคนของข้า” มิต้องให้คาดเดา หวงไท่หยางก็เผยออกมาแล้วว่าบุรุษผู้นั้นคือคนของกองกำลังส่วนตัว ข้าไม่แปลกใจเพราะตำหนักบูรพาย่อมสามารถจัดตั้งกองทหารส่วนตัวได้ จึงเพ่งมองของที่อยู่ในมือหวงไท่หยางแทน “มันถูกส่งมายามบ่ายของวันนี้”
ปลายนิ้วอันสูงส่งของว่าที่ผู้ครองบัลลังก์ราชันย์แกะเอาสารลับที่ถูกมัดไว้ด้วยเส้นเชือก จากนั้นจึงดึงมันออกและส่งมาให้ข้า แม้จะแปลกใจไม่น้อยกับท่าทีเช่นนั้น ตนเองก็ยังเอื้อมมือรับ ข้ายกมือขวาขึ้นเหนือกระดานหมากของตน เห็นดวงตาสีน้ำตาลลึกล้ำจ้องมองข้อมือที่สวมกำไลหยกขาวและเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ข้าแอบเผลอคิดว่าเขาอาจทำอันใดกับข้อมือของตน ด้วยแววตาคู่นั้นดูอันตรายอย่างยิ่ง
“กำไลนี้มีรอยร้าว” คนเอนตัวเข้ามาใกล้ ทำเอาโรคแพ้ไท่หยางกำเริบทันที ข้าจิกมือแน่น ตัวแข็งทื่อมองหวงไท่หยางที่เอนตัวเข้ามาหา ส่งเสียงกระซิบบางอย่างที่ข้างหูชวนให้ขนลุกซู่
“องค์รัชทายาท!”
แขนถูกกระชากออกห่างจากคนผู้หนึ่ง หลินจวินเจ๋อแทบยกข้ามานั่งเกยตักตนเองด้วยซ้ำและมองหวงไท่หยางด้วยแววตาเป็นอริ คนยังไม่ได้ยื่นม้วนหนังนั้นมาให้ข้าแต่กลับยิ้มออกมาอย่างขบขันเมื่อเห็นสายตาของหลินจวินเจ๋อ ปลายนิ้วเรียบหยิบหมากดำขึ้นชู “ข้าเห็นหมากดำตกอยู่ตรงนี้ จึงจะเก็บ แม่ทัพหลินมีเรื่องข้องใจอันใด?”
“ไม่มีพะยะค่ะ” กล่าวหากคนพูดใบหน้าบึ้งตึง ไม่ยอมปล่อยแขนข้าออก
“เช่นนั้นก็ดี..” สารลับนั้นถูกวางบนกระดานหมาก แล้วองค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ก็กลับมานั่งที่เดิมและคลี่ยิ้ม “กำไลร้าวแล้ว จื่อซิ่นระวังด้วย”
ข้ามองเขาที่ดีหน้าไม่รู้สึกรู้สากล่าวเรื่องกำไลแล้วนิ่งเงียบ กระทำเพียงเอื้อมมือไปหาเอกสารและถือไว้และทบทวนเนื้อหาของเสียงกระซิบนั้นเงียบๆ กลิ่นของมันไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก ข้านิ่วหน้าเล็กน้อยกับผืนหนังในมือที่เพียงแตะก็ทราบได้ว่าถูกส่งมาด้วยวิธีการอันลึกลับอันทำให้กลิ่นออกมาน่าสยองขวัญ บางทีคนอาจซุกมันอยู่ในฝ่าเท้าเพื่อซ่อนจากสายตาผู้คน---ช่างมันเถอะ ข้าควรสนใจเนื้อหาแทน
ผืนหนังถูกคลี่ออกด้วยน้ำมือของหลินจวินเจ๋อที่ขยับมาใกล้ พวกเราสองคนนั่งเคียงกัน อ่านถ้อยคำในสารลับซึ่งองค์รัชทายาทผู้สูงส่งประทานอนุญาตให้มีสิทธิ์รับรู้ แม้จะกระทำด้วยท่าทีสนิทชิดเชื้อซึ่งอาจแทงสายตาผู้คนก็มิได้แยแส แต่เมื่ออ่านจบ ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ และเบนสายตาไปจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอันไร้ก้นบึ้งคู่นั้น
“กษัตริย์แคว้นไห่เยี่ยนสิ้นพระชนม์ ผู้ครองแผ่นดินต่อคือองค์รัชทายาทฉู่หลิวฉี” ดวงตาคมปลาบทอแววบางอย่างขณะมองมาทีข้าเงียบๆ “องค์ชายสามฉู่เมิ่งหลิวนำทัพต่อต้าน เรื่องการเป็นพันธมิตรกับไห่เยี่ยนยังไม่ยืนยันแน่ชัด ในยามนี้...จื่อซิ่นคงต้องวิเคราะห์ด้วยตนเองแล้วว่าจะรับเอาความช่วยเหลือจากองค์ชายเจ็ดฉู่เหวินหรือไม่”
สายลมแห่งเหมันต์ฤดูโชยพัดชวนให้เหน็บหนาว เพียงเอ่ยปากพูดจากลับมีควันขาวโชยฉุย ด้วยมีกองไฟคุระอุให้ความอบอุ่นผู้คนจึงยังนั่งตากลมข้างเงาตะคุ่มของบรรดาทหารราบที่ยืนรักษาการณ์ดูคล้ายรูปปั้นหิน ที่เท้าคือผืนหญ้าเปียกชุ่มน้ำค้าง เหนือศีรษะคือท้องฟ้าสีดำสนิทประดับดวงดาวนับร้อยพันซึ่งเปิดกว้างไร้เมฆหมอกเคียงข้างพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ทิวทัศน์งามตาปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนท่ามกลางท้องทุ่งซึ่งกลายเป็นที่พักแรมของผู้คนกลุ่มใหญ่ ข้าออกจากกระโจมพำนักขององค์รัชทายาท เดินลากฝีเท้าช้าๆอย่างอ้อยอิ่งเชื่องช้าพลางกระชับเสื้อตัวหนาแนบกาย ความหนาวเหน็บแทรกซึมผิวกายหากอุ่นอยู่บ้างเมื่อขยับตัวใกล้ร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่ยืนเคียงข้าง
“หิมะใกล้ตกแล้ว”
“แต่ที่เมืองหลวงยังหนาวกว่า”
ได้ยินคำเปรยของคนข้างกายข้าก็ตอบรับ แม้ราวกับเอ่ยถึงหิมะแต่ข้าและเขาก็ทราบดีว่ามิได้กล่าวถึงหิมะอย่างแท้จริง ยามเดินเข้าไปในกระโจมนั้นเป็นความรู้สึกเคร่งครียดอย่างหนึ่ง แต่ออกมากลับเป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ในกระโจมของรัชทายาทนั้นอุ่นด้วยเปลวถ่านแต่กลับหนาวเหน็บด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่บีบคั้น
“อาซิ่น ข้า...”
“เมื่อดูท่าทีของราชสำนักที่ปฏิบัติต่อเรา ข้าทราบแล้วว่าต่อให้รักษาหรือไม่รักษาก็มีค่าไม่ต่างกัน” ไม่ยอมให้เขาเอยคำหากข้าพูดขึ้นก่อน กล่าวจนจบก็ถอนหายใจช้าๆ เอนศีรษะพิงไหล่หลินจวินเจ๋อเงียบๆ
คิดถึงคำพูดของหวงไท่หยางยามทราบเหตุการณ์วุ่นวายในไห่เยี่ยนแล้วข้าก็ขมวดคิ้วอีกครา ทราบดีว่านั่นเป็นทั้งคำเตือนและคำขู่ แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดจู่ๆหวงไท่หยางจึงกล่าวเตือนกันได้ก็ตาม ไห่เยี่ยนผลัดแผ่นดินแล้ววุ่นวาย เรื่องราวนี้ฟังดูไม่เกี่ยวกับวังจวิ้นอ๋อง แต่แท้จริงกลับเกี่ยวข้อง ซ้ำยังอาจกลายเป็นเหตุบีบคั้นให้ต้องถึงทางตันเร็วขึ้น ข้าเองเอาแต่คิดถึงฮ่องเต้ ขุนนางในราชสำนัก คิดถึงหวงไท่หยาง นึกระวังคนพวกนั้นด้วยพวกเขาอาจวางอุบายผลักตนลงเหว แต่ไม่นึกว่าจะถูกเหตุการณ์ไห่เยี่ยนผลัดแผ่นดินเล่นงาน
กล่างถึงเรื่องนี้ อันที่จริงต้องถอนหายใจกับหายนะที่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แคว้นหนึ่งเกิดความวุ่นวาย แท้จริงไม่มีอันใดน่าวิตกสำหรับแคว้นเคียงข้างมากนัก ให้วุ่นวายตกต่ำได้สิจะยิ่งดีด้วยตนเองจะได้รับผลประโยชน์ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แล้ว แม้เทียนจิ้นได้ประโยชน์แต่ข้าจวิ้นอ๋องเสียประโยชน์อย่างยิ่ง ด้วยเพราะอาการป่วยของตนที่ต้องรบกวนฉู่เหวินนั่นเองชักนำเภทภัยมา เดิมทีข้าก็ถูกจับจ้องว่าสนิทกับองค์ชายเจ็ดเกินพอดีอยู่แล้ว แค่นี้ก็มีข้อหาคบค้าคนต่างแคว้นเตรียมโยนใส่ ทว่าเมื่อไห่เยี่ยนผลัดแผ่นดินแล้วองค์ชายสามนำทหารก่อกบฏ นี่หมายถึงที่ผ่านมาเทียนจิ้นทำข้อตกลงกับกบฏ เรื่องการสงบศึกที่ร่างสัญญายังไม่ได้ตกลงอย่างเป็นทางการย่อมต้องถูกระงับไว้ก่อน
เรื่องระหว่างแคว้นเป็นเช่นนี้ แต่กับข้ายังมีสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกรออยู่ ที่ผ่านมาอาศัยความสัมพันธ์กับองค์ชายแคว้นข้างเคียงให้คนผู้นั้นช่วยหาหมอมารักษา แม้น่าสงสัยก็ไม่ถึงกับทำไม่ได้ แต่คราวนี้ไม่ใช่แล้วเพราะ‘คนผู้นั้น’ เป็นองค์ชายที่อยู่ฝ่ายเดียวกับกบฏแคว้นข้างๆ การเอาตัวไปเกี่ยวข้องกับเขาถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ หากไห่เยี่ยนกล่าวว่าเทียนจิ้นให้ความช่วยเหลือกบฏเล่าจะเป็นเช่นไร หากกล่าวหาว่าข้าจวิ้นอ๋องมีส่วนในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเล่าจะทำอย่างไร และหากไห่เยี่ยนคิดเรียกร้อง จะก่อศึกโดยอ้างเรื่องนี้ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ และหากเทียนจิ้นโยนข้อหาสมคบคิดต่างแคว้นใส่ข้า หรือกระทั่งบอกว่าจวิ้นอ๋องเองก็ซ่อมสุมผู้คนเตรียมก่อกบฏเช่นกันนี่มิใช่หายนะหรือ..
แม้ไม่เกี่ยวก็ยังต้องเกี่ยว หากข้าให้ฉู่เหวินและเทพโอสถช่วยรักษา น้ำใจครั้งนี้จะมัดพวกเราไว้ด้วยกันอย่างไม่อาจปฏิเสธ แม้ทีแรกการตกลงให้ความช่วยเหลือจะทำเพื่อสัญญาของทั้งสองแคว้น แต่องค์ชายเจ็ดก็กล่าวไว้แล้วว่ารักษาหรือไม่ขึ้นอยู่กับเทพโอสถ เขาพูดเช่นนี้ท่ามกลางผู้คน แต่ต่อมาข้าทำกลับให้ฉู่เหวินช่วยเอ่ยปากได้ นี่เท่ากับสร้างไมตรีต่อกัน ใช่แอบตกลงข้อแลกเปลี่ยนอันใดกันใช่หรือไม่ ยามนี้ราชสำนักเทียนจิ้นจ้องข้าตาเป็นมัน ไม่ต่างกับราชสำนักไห่เยี่ยนที่จ้ององค์ชายเจ็ดพรรคพวกของกบฏ หากข้าให้เทพโอสถไป๋จิ้งรักษา ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงโหก็ไม่อาจล้างมลทิน
หากไม่รักษา ข้าก็ตาย หากรักษา ข้าก็มีแนวโน้มจะตายเช่นกัน
ทางเลือกอันงดงามที่ไม่ว่าหันซ้ายหรือขวาก็พบเจอแต่หายนะเปิดออกตรงหน้า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทำให้คนอยากอ้าปากด่าทอนรกสวรรค์ข้าทำได้เพียงเหยียดมุมปากยิ้ม มิอาจอ้าปากสบถออกมาได้ตามใจแม้อยากถลกแขนเสื้อต่อยตีผู้คน นี่เรียกว่าหลังแทบจะชนแม่น้ำอยู่แล้ว ชกต่อยไปจะได้อะไร
“เป็นความผิดข้า” เสียงแผ่วเบาเจือความรวดร้าวข้างกายทำให้ข้าชะงักเท้า หันไปมองสบตาคู่คมที่แฝงความรวดร้าว ใบหน้าหล่อเหลาของผู้ที่อยู่ในเสื้อคลุมตัวใหญ่สะท้อนแสงจันทร์ทอแววขื่น “เพราะข้าเอง หากไม่เอ่ยปาก หากลี่เซียนนางไม่...เจ้าคง...”
“ไม่ใช่ความผิดท่าน” ข้าส่ายหน้าเมื่อฟังคำเขา “เรื่องราวมาไกลเกินจะยั้งแล้ว ท่านพี่ แม้ข้าถูกพิษหรือไม่ ราชสำนักก็จะจัดการเราอยู่ดี เพียงแต่ให้ข้าเลือกตายก่อนหรือหลัง ตายเพราะถูกพิษ หรือตายเพราะถูกกำจัด ถูกยัดข้อหากบฏ”
คิดแล้วก็ยังต้องหัวเราะยิ้มขัน นี่เองเรียกว่าชะตากรรมคนจะตายย่อมต้องตาย ข้าเดิมทีควรจะตายตั้งแต่ถูกรถชนแล้วยังกระเด็นเข้าร่างคนอื่น แต่มัจจุราชก็ยังเกาะหลังเตรียมพาไปยมโลกอยู่ดี แค้นใจก็แต่จะมาตายเพราะสถานการณ์บังคับ ช่างน่าอดสูอย่างยิ่ง
“เทียนหยาง..”
ละออกจากภวังค์เมื่อได้ยินคำหนึ่ง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหลินจวินเจ๋อจึงเอ่ยเรียกชื่อนั้น ข้าจ้องมองดวงตาคู่คมเบื้องหน้าเขามองมาที่ตนอย่างลึกซึ้งและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเรียกชื่อใคร แต่จู่ๆก็ชวนให้เจ็บที่อกขึ้นมา “..ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่ยอมให้ผู้ใดโยนข้อหากบฏมาให้”
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่รักษา..”
“ไม่ เจ้าต้องรักษา”
“ท่านพี่ เรายังต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง”
ข้าฟังสามีกล่าวแล้วขมวดคิ้ว คำพูดของเขาไยมิใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ มาถึงขั้นนี้แล้วข้ามีเพียงทางเลือกสองทาง หนึ่งตายเร็วเพราะพิษกำเริบพร้อมชื่อเสียงดีงาม สองตายช้าด้วยข้อหากบฏพ่วงชื่อเสียงฉาวโฉ่เหม็นเน่า ไม่ว่าจะหันไปทางใดก็ต้องตายทั้งนั้น เส้นทางที่สามอย่างการคิดจะทิ้งทุกอย่างแล้วออกจากศูนย์กลางแห่งอำนาจปิดตายไปเสียแล้ว
“ข้าจะไม่ให้เจ้าตาย” ถ้อยคำประกาศกร้าวนั้นชัดหู หลินจวินเจ๋อรั้งตัวข้ามายืนอยู่ใต้เงาไม้ทึบที่ไกลจากทหารยาม ข้ามองประกายตาไหวระริกของคนตรงหน้า มันสื่อความรวดร้าวและเจ็บปวดอย่างชัดเจนเสียจนเจ็บในอก
“เช่นนั้น ข้าก็ต้อง...”
“ไม่! ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอม ไม่มีใครแตะต้องเจ้าได้! แค่ให้องค์ชายต่างแคว้นช่วยหาหมอมารักษานับเป็นอันใด ผู้คนเสียสติในท้องพระโรงเหล่านั้นข้าจะจัดการมันเอง หากไห่เยี่ยนคิดยกทัพมาข้าจะต่อกร หากมีคนจะนำตัวเจ้าไปข้าจะฆ่ามัน มีข้าอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น!!”
ถ้อยคำนั้นแม้ไม่สละสลวยหากนุ่มหูยิ่งกว่าสิ่งใด ความจริงใจและจริงจังกระแทกเข้าที่หัวอกจนขอบตาร้อนผ่าว จ้องมองดวงตาคู่นั้นแล้วข้าก็ยิ้มออกมาเงียบๆ ขณะเอนซบมือหนาที่ลูบแก้มตนเอง คำพูดนั้นฟังดูดี น่าฮึกเหิมหากใจข้าทราบดีว่าราชสำนักไม่เหลือทางถอยให้แล้ว เดิมทีเป็นท่านอ๋องชื่อเสียงดีงามผู้หนึ่งคนบนบัลลังก์ยังสามารถปิดตาลงเสียข้าง ต่อมาเป็นท่านอ๋องที่แต่งงานกับแม่ทัพ มีพร้อมทั้งอำนาจเงินอำนาจคน จึงเริ่มถูกบีบคั้นตัดแขนขา ต่อมาเป็นท่านอ๋องและแม่ทัพผู้เกรียนไกรชื่อเสียงดีงาม ผู้คนจึงเริ่มนั่งไม่ติด ไม่ว่าอย่างไรเมื่อไปถึงเมืองหลวงข้าก็ต้องถูกจัดการไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่มายามนี้เมื่อสถานการณ์ในไห่เยี่ยนระอุขึ้นมา กระทั่งการรักษาพิษในร่างเพื่อมีชีวิตอยู่อาจเป็นไปไม่ได้
ไห่เยี่ยนวุ่นวาย ข้าเองก็วุ่นวาย หากอยากรอดตายจากพิษ ข้าก็ต้องมาตายเพราะข้อหาที่ผู้อื่นยัดเยียดให้ คำว่าตายช่างชัดเจนยิ่งนัก
“ขอบคุณ ท่านพี่..” ผละออกมาจากมือที่กุมแก้มไว้ก็หัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงความตาย แท้จริงกล่าวได้ว่าข้าก็เป็นผี เป็นคนเคยพบเจอกับความตายมาแล้ว ในความมืดนั้นไม่มีความเจ็บปวดหรือน่ากลัวอันใดสักนิด เพียงแต่คราวนี้เมื่อคิดว่าตัวเองจะตายกลับรู้สึกแตกต่างขึ้นมา “ข้าเองก็ไม่อยากตาย”
เงยหน้ามองเสี้ยวหน้าคมคายแล้วหรุบตาลง เดิมทีในชาติก่อน ข้ายังสามารถเผชิญความตายได้อย่างสงบ นั่งคิดนอนคิดว่าเมื่อใดยมบาลจะมารับตัว หาได้อาลัยนึกถึงใครซ้ำยินดีที่จะได้พบหวังอี้เสี่ยซะอีก แต่เมื่อมาถึงตอนนี้มันกลับไม่ใช่ หัวใจข้าไม่สงบเลย เพียงคิดว่าต้องจากกันก็รู้สึกวุ่นวายขึ้นมา ข้าไม่อยากตายเสียแล้ว ข้ายังอยากอยู่ตรงนี้ หรือว่าแท้จริงที่ความตายนั้นเจ็บปวด อาจเป็นเพราะความผูกพัน..
ข้าไม่อยากตาย แต่จะอยู่ได้อย่างไรเล่า..
นิ่งครุ่นคิดขณะผละออกมา สบตาคู่ที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของหลินจวินเจ๋อ อ้อมแขนหนากอดรัดแน่นพลางรั้งข้าไปแนบอก สามีใช้เนื้อตัวที่ใหญ่กว่ากันข้าจากลมหนาว จูบลงที่ใบหูเบาๆกระซิบเสียงเบา..
“เจ้าต้องรักษา เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะอยู่กับเจ้า”
“ข้าก็อยากอยู่กับท่าน”
ข้าถอนหายใจ ยกสองแขนโอบกอดหลินจวินเจ๋อเอาไว้ เอนตัวซบแผ่นอกกว้างที่ยังคงอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเหน็บที่เสียดแทงกระดูกแต่หัวใจยังอุ่นร้อน รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตายงั้นหรือ นี่คิดบีบให้ข้าต้องตายเพราะยาพิษเงียบๆหรืออย่างไร ข้าไม่ยอมตายใครจะทำไม! เทียบกับตายอนาถด้วยยาพิษ สู้ข้าอยู่วางเพลิงให้คนร้อนรนไม่ดีกว่าหรือ แม้จะต้องย่อยยับในภายหลัง ได้สู้ก็ดีกว่าตายไปอย่างโง่ๆ
อีกอย่างอย่าได้ลืมว่าข้ารู้ประวัติศาสตร์ ในหน้ากระดาษยังบอกว่าจวิ้นอ๋องต้องมีบทบาทในราชสำนักอีกนานหลายปี แล้วมีหรือเหล่าจือจะตายง่ายๆ แม้หนังสือประวัติศาสตร์จะหักหลังเหลียงจื่อซิ่นมาหลายอย่าง แต่อย่างน้อยขอเรื่องนี้ให้เป็นไปตามบันทึกก็แล้วกัน และที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ข้าคาดหวังมากกว่าบันทึก คือเสียงกระซิบของหวงไท่หยางยามตนเองรับเอาสารแจ้งข่าวมาตอนนั้น แม้ไม่ทราบเจตนาคนพูดก็ตาม
เขาบอกข้าว่า ‘อีกสองวัน พบกันยามเซิน (15.00น.)’
++++++
ไหนเลยเหล่าจือจะได้รักษาตัวดีๆ ไฟลามมาถึงก้นแล้ววว
แต่ยังไงก็ไม่ยอมตายเพราะโดนบังคับหรอกนะ 55
//และคนเขียนหายตัวไปเพราะโดนงานถมค่ะ เอื้ออะ(..) แต่เคลียร์เรียบร้อยและกลับมาแล้ว พรุ่งนี้เจอกันค่า
แปะเพิ่มฟามหล่อเหลาของไท่หยาง เช่นเดิมว่านี่คือภาพร่างตลค.นะคะ อยู่กับโต๊ะหมากล้อมเหมาะกับตอนนี้มากๆ
ขายตรงต่อไปสำหรับคนอยากได้หนุ่มๆมาครอบครอง
เปิดจองนิยายแล้วค่ะ รายละเอียดอยู่ที่นี่
https://docs.google.com/document/d/1qKrLQhy14sUsIpxCO2m3mZIPhCcQDYTT5hmai_LgyL0/edit
เพจ FB : https://www.facebook.com/mywhynn/
ทวิต @Secrate_Wind
และเม้าท์นิยายแท็ก #จวิ้นอ๋อง นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อย่ายอมแพ้นะ!!
ตายก่อน ตายช้า เอาละ สู้จนหยดสุดท้ายกันละนเ