ตอนที่ 53 : องค์ชายผู้มาเยือนด้วยมิตรไมตรี
ศาลาหลังงามในตำหนักจวิ้นอ๋องแห่งเมืองถานเฟิ่งสลักเสลางามวิจิตร หลังคาสูงทำให้โล่งโปร่งเหมาะจะรับลมเย็นของแดนใต้ บึงบัวขนาดใหญ่เลี้ยงปลาสีสันสดใส ทัศนียภาพนี้ไม่ผิดเพี้ยนไปจากวังจวิ้นอ๋องในเมืองหลวงแม้แต่น้อย ไม่ต่างกับห้องหับอาคารที่ราวกับย่อส่วนเอามาวาง น้ำชาอุ่นร้อนยังคงเป็นชาหอมที่ข้าโปรดปรานเป็นที่หนึ่งซึ่งถูกชงอย่างดีส่งกลิ่นเฉพาะตัวอวลกำจาย แสงแดดอ่อนๆของยามสายทอลอดแมกไม้ บรรยากาศช่างน่ารื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง..
บุรุษผู้หนึ่งในเสื้อคลุมสีเงินงามมีใบหน้าเลิศล้ำเหนือผู้ใด ดวงตาที่ราวกับเกี่ยวร้อยเอาดวงดาราไว้คู่นั้นทอประกายระริก ปลายนิ้วเรียวขาวดั่งหยกเนื้อดีละจากถ้วยชา อัปกริยาเชื่องช้าแต่กระนั้นยังแฝงไปด้วยความผิดปกติอยู่หลายส่วน ซึ่งที่มาของอาการเหล่านั้นมาจากผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มในในอาภรณ์งดงามสูงศักดิ์ทว่าสวมหน้ากากสีเงินปิดบังใบหน้าไว้เกือบครึ่ง เจ้าของดวงตาสีฟ้าเข้มเจิดจรัสแปลกตาซึ่งจับจ้องมิยอมละวาง..องค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนแขกคนสำคัญของวังจวิ้นอ๋อง
ข้าสบตาสีฟ้าเข้ม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเบาบางตามมารยาท ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ เสียงปลากระโดดฮุบเหยื่อยังดังเสียยิ่งกว่าเสียงลมหายใจคน นอกศาลามีเหล่าไท่ยืนอยู่ไม่ไกล ถัดจากนั้นก็เป็นองครักษ์ประจำวังอ๋องที่รักษาการณ์แข็งขัน ส่วนฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนมาเป็นแขกผู้มีเกียรติของข้าได้อย่างไรนั้นคงต้องย้อนไปเมื่อวาน
หลังจากองค์รัชทายาทเอ่ยปากขอร้องเรื่องเทพโอสถให้ข้า เรื่องคำขอส่วนตัวของอ๋องผู้หนึ่งจึงถูกยกระดับเป็นเรื่องระดับแคว้น แน่นอนว่าทางไห่เยี่ยนพยักหน้าทันที แม้จะเป็นไปตามคำกล่าวขององค์ชายเจ็ดนั่นคือเทพโอสถผู้นี้นิสัยแปลกประหลาด หากเขาไม่พอใจก็ไม่รักษา ดังนั้นหากพาตัวมา ท่านผู้เฒ่าส่ายหน้าก็มิอาจช่วยอันใดได้
ทุกคนพยักหน้ารับรู้ ข้าเองก็พอใจที่มีหนทางรักษาอาการป่วยของตัวเอง แต่หลังจากนั้นเช่นกันที่องค์ชายแห่งไห่เยี่ยนใช้เรื่องเทพโอสถเป็นข้ออ้างในการพบปะปรึกษากันอย่างหน้าตาเฉย ซ้ำอยากพูดคุยเรื่องสมาคมพ่อค้าชาวไห่เยี่ยนที่ข้าจัดตั้งมาในช่วงก่อนสงคราม ในเมื่อสองแคว้นจับมือกันเป็นพันธมิตร ข้าจวิ้นอ๋องจึงได้แต่พยักหน้า เอ่ยปากเชื้อเชิญองค์ชายเจ็ดอย่างมากไมตรีมาเยือนวังจวิ้นอ๋องในวันพรุ่ง ให้ฉู่เหวินได้มานั่งจิบชาและจ้องหน้าข้าราวกับคนไม่เคยพบเคยเห็นเช่นนี้
“ชาดี” คำพูดแรกที่ออกจากปากขององค์ชายเจ็ดกลับเป็นเรื่องน้ำชาที่จิบลงไป ข้าฟังแล้วก็กระทำเพียงยิ้มตามมารยาทเช่นเคย
“ขอบคุณองค์ชายที่กล่าวชม”
“อาซิ่นกล่าววาจามากมารยาทแล้ว”
“ตอนนี้สองแคว้นเป็นพันธมิตร ข้ายิ่งต้องระวัง มิให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์” พูดจายืดยาวไปอีกและดำรงตนเป็นท่านอ๋องผู้เคร่งมารยาท แต่เนื้อแท้จะเป็นอะไรไปได้นอกจากข้าไม่อยากสนทนากับเขาเท่าไหร่ คบหาองค์ชายต่างแคว้นสนิทสนมนี่มิใช่เรื่องดี หรือหากไม่มีราชสำนักจับตา ข้าก็ไม่อยากเจอฉู่เหวินมากนักด้วยการพบเจอครั้งสุดท้ายออกจะไม่น่าประทับใจ
“ตอนนี้หาใช่งานประชุมระดับแคว้น คิดมากไปไย” ชายหนุ่มกล่าวและใช้ดวงตาคู่นั้นสำราจข้าไม่กระพริบ “ข้าฉู่เหวินหาใช่คนใจคับแคบ มาเยือนที่นี่ในฐานะแขก ไม่คิดถือสาหาความเจ้าบ้าน”
“เช่นนั้นหากข้าจะกล่าวว่า ไสหัวไป ข้าไม่ต้อนรับเจ้าไอ้ลูกตะพาบ องค์ชายก็จะไม่โกรธใช่หรือไม่?” ข้ายิ้มน้อยๆ กล่าวออกมาอย่างนุ่มนวลแต่วาจาไม่น่าฟังยิ่ง อีกฝ่ายยื่นโอกาสมา มีหรือข้าจะไม่ตอบแทน กับฉู่เหวินผู้นี้ยิ่งมีคดีให้สะสางอยู่ด้วย
“นั่นก็อาจจะถือสาอยู่บ้าง” คนฟังเหมือนจะชะงักไปกับคำพูดหยาบคายไม่สมควรหลุดออกมาจากปากคนชั้นอ๋อง แต่องค์ชายเจ็ดผู้มีความหน้าหนาระดับธรรมดาไหนเลยจะอึ้งตะลึงไปนาน “แต่หากข้าสามารถกล่าวว่า อยู่คุยกับข้าซะ ก่อนข้าจะลักพาตัวเจ้าไปอีกรอบ ก็ย่อมได้”
“ข้าว่าพูดจาอย่างมีมารยาทกันดีกว่า”
เคราะห์ดีไม่ได้จิบชาไม่เช่นนั้นคงพ่นน้ำออกมาให้ขายหน้าเล่น ข้ามองหน้าองค์ชายผู้สูงศักดิ์ที่เผยเจตนาของตนออกมาอย่างหมดเปลือกด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจกำลังสบถด่าคนหน้าด้านไม่ให้เหลือชิ้นดี ต่อให้ทราบดีถึงความหน้าทนที่ชัดเจนไม่รู้จะชัดอย่างไรขององค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยน แต่เมื่อได้ยินจากปากก็ยังต้องสรรเสริญเสียคำรบหนึ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ตามแต่ที่จวิ้นอ๋องปรารถนา...” ฉู่เหวินกล่าวพลางวางจอกชาลงด้วยท่าทีงามสง่า คนกำลังยิ้มแม้ไม่อาจเห็นหน้าตาข้ารู้สึกได้ “แม้จะกล่าววาจามากมารยาทเพียงใด เจตนาของข้าก็มิแปรผัน หรืออาซิ่นไม่ทราบ?”
“หรือท่านจะให้ข้าปฏิเสธ รานน้ำใจกันตรงๆจึงจะพอใจ?” ตีให้ตายก็ไม่เชื่อว่าฉู่เหวินมาเพื่อขอความรัก ดังนั้นข้าจึงยิ้มละไมแทนคำตอบ “วันนี้มาปรึกษาเรื่องหมอ ข้าย่อมอยากคุยเรื่องหมอ เรื่องอื่นของดเว้น”
“ข้ากล่าวไปแล้วว่าเทพโอสถ แม้เชิญมาแต่หากเขามิอยากรักษาก็บังคับไม่ได้” องค์ชายตรงหน้าพอจะทราบดีว่ายิ่งไต่ถามมากความคนฟังจะหงุดหงิด ดังนั้นจึงยอมตอบแต่โดยดี
“ข้อนั้นข้าทราบดี แต่ยังไม่เห็นตัวคน..องค์ชายรับปากเทียนจิ้นแล้ว หรือคิดจะบิดพลิ้ว?”
“มิกล้า” ฉู่เหวินสบตาข้า ขณะใช้ปลายนิ้วของตนเคาะเบาๆบนโต๊ะไม้ “แต่ท่านอาจารย์ออกไปหาสมุนไพร การปรุงยาเป็นเช่นที่จวิ้นอ๋องเคยได้ยิน ต้องใช้เวลาอีกนับเดือน ตอนนี้ผ่านไปเกือบสิบวันแล้ว หากเดินทางไปถึงเมืองหลวงของเทียนจิ้น ก็นับว่าได้เวลาพอดี”
เขารอให้ไปถึงเมืองหลวงก่อนนี่เอง ข้าได้ยินแล้วพยักหน้ารับทราบ “การเดินทางครั้งนี้องค์ชายตามไปด้วย ข้าก็เบาใจว่าตนเองจะหายดี”
“ข้าก็หวังว่าทางวังจวิ้นอ๋องจะดูแลรับรองข้าอย่างดีเช่นกัน” องค์ชายเจ็ดกล่าวแล้วหัวเราะแผ่วเบา
“ข้าจะดูแลเท่าที่ทำได้” วังจวิ้นอ๋องไม่ได้เป็นที่อยู่ที่กินของพวกเขา ข้ายิ้มเฉย กล่าวรับคำไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะวางจอกชาลง ช้อนสายตาขึ้นมองหน้าฉู่เหวินเงียบๆ “แล้วมาเยือนวันนี้ แท้จริงท่านมีเจตนาอะไร?”
คนไม่ได้คิดมาพูดเรื่องหมอ ไม่ได้อยากมาคุยเรื่องสมาคมพ่อค้าอะไรเลย นี่เป็นแค่ข้ออ้างกล่าวกันไม่กี่คำก็จบเรื่องแล้ว ไม่เห็นต้องมานั่งจิบชาให้ข้าเอ่ยปากด่าเล่น ข้าจ้องหน้าเขาอย่างขอคำตอบและระแวดระวังอีกด้วยสัตย์จริงคือไม่นึกเชื่อถือองค์ชายคนนี้แล้วแม้แต่ครึ่งครั้ง ฉู่เหวินได้ยินคำถามข้าก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี..อันน่าระแวงอย่างยิ่ง
“ท่านอ๋องกล่าวราวกับขับไล่ไสส่งเช่นนี้ หรือมีความแค้นต่อข้าเสียแล้ว”
“ใช่” ข้าหรี่ตามองเขา ตอบอย่างไม่ไว้หน้าอย่างยิ่ง เป็นผลให้บรรยากาศรอบตัวขององค์ชายเจ็ดเย็นเยียบขึ้นมาทันที
“เรื่องศิษย์น้องของข้ากระนั้นหรือ..”
ได้ฟังถึงเรื่องไม่น่าอภิรมย์ข้าก็พ่นลมหายใจออกมา“พอเถอะ องค์ชาย จะมาไล่เรียงเอาเหตุเอาผลกันอีกทำไม ทราบแต่ตอนนี้แม้ข้าขุ่นใจเพียงไรก็ไม่อาจลุกมาต่อยตีกับท่านได้..ไม่สิ ต่อให้ยามนี้ไห่เยี่ยนและเทียนจิ้นไม่จับมือเป็นมิตร ข้าหวงเทียนหยางก็ไม่ใช่คู่มือเทพสงครามแห่งไห่เยี่ยนอยู่แล้ว”
“ถูกเช่นที่ท่านอ๋องกล่าว แต่ข้าฉู่เหวินอยากสานไมตรีกับจวิ้นอ๋อง จึงคิดสะสางปัญหาที่ล่วงเกินแล้วผูกมิตรเป็นสหายผู้หนึ่ง ย่อมต้องกระทำตามที่สมควร” ครั้งก่อนเล่นเล่ห์วางคนไว้ข้างกายข้าจนได้มาครั้งนี้อยากเป็นมิตร? ข้าเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ จ้องมองดูลูกไม้ใหม่ของฉู่เหวิน น้ำเต้าขององค์ชายเจ็ดมีของมาขายอีกแล้ว ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก..
“ตอนนี้เทียนจิ้นกับไห่เยี่ยนก็เป็นมิตรกันอยู่แล้ว องค์ชายเบาใจเถอะ” ข้าสบตาเขาแล้วยิ้มออกมา “แต่สนิทสนมกับอ๋องเช่นข้ามากเกินไป เกรงว่าจะเป็นการหาเภทภัยใส่ตัว ข้าไม่อยากให้แขกต่างเมืองต้องลำบาก”
“ผู้ที่ลำบากคือจวิ้นอ๋องมากกว่ากระมัง”
“....” รู้แล้วพูดทำไม ข้าเงียบ ไม่ปริปาก
“เรื่องราวภายในของเทียนจิ้น ข้าฉู่เหวินมิอาจสอดปาก แต่หากจวิ้นอ๋องคิด...”
“ว่าถนนหนทางคับแคบ ไห่เยี่ยนยินดีต้อนรับ”ไม่ทันให้คนเอ่ยปาก ข้าก็กล่าวแทนเรียบร้อนแล้วด้วยรอยยิ้มไม่น่าดูนัก ต้องผ่อนลมหายใจแรงๆสองสามรอบเสียด้วยจะได้ไม่หงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม “ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยน ท่านทราบดีถึงเรื่องที่ราชนิกูลเราควรกระทำและไม่ควรกระทำ ข้าปฏิเสธท่านไปกี่คราแล้วไม่ชัดเจนหรือ ไยต้องให้กล่าวซ้ำๆ”
“คำพูดที่กล่าวไม่แตกต่าง แต่วันเวลาไม่เหมือนเดิม ข้าฉู่เหวินแค่กล่าวเผื่อไว้...ด้วยจวิ้นอ๋องอาจจะต้องรีบหาทางแล้ว”
“และคงดีกว่านี้หากองค์ชายไม่แสดงความห่วงใยมากเกินไปนัก” เรื่องภายในของเทียนจิ้นมิใช่เรื่องภายในมานานแล้ว ข้าถูกราชสำนักหมายหัว เรื่องนี้ทอดตามองทั่วแผ่นดินมีใครไม่ทราบบ้าง แค่ถูกจับตัวยังนิ่งเฉย กล่าวว่ารอเจรจาพร้อมเตรียมขว้างข้อหาทำชาติเสียประโยชน์ให้จวิ้นอ๋อง ครานี้มีองค์ชายต่างแคว้นมาสนิทสนม เรื่องราวคงดียิ่งขึ้นไปอีก!
“ความห่วงใยของข้าก็เป็นสิ่งต้องห้ามหรือ?” วาจานั้นแฝงความแปลกใจ กระทำราวกับไม่คิดว่าความห่วงอันแสนบริสุทธิ์ของตนจะทำให้ใครเดือดร้อน เฮอะ
“แม้การยุให้คนแตกคอจะเป็นหนึ่งในภารกิจที่น่าสนใจขององค์ชายเจ็ด แต่สำหรับเรื่องของจวิ้นอ๋องและรัชทายาทคงต้องรบกวนท่านหยุดมือ” ข้ากล่าวถึงจุดประสงค์การมาเยือนของเขาที่ตนเองมองออกในที่สุดด้วยน้ำเสียงชัดเจนจริงจังอย่างยิ่ง “หากไม่ฟังข้าจวิ้นอ๋องก็คงทำได้แต่ปล่อยไป เพียงแต่..ข้าเป็นคนนิสัยไม่ดี ถือคติข้าล่วงเกินคนอื่นได้ แต่คนอื่นล่วงเกินข้าไม่ไม่ได้ นอกจากใจแคบแล้วยังผูกอาฆาตไม่ยอมเลิกรา หากองค์ชายเจ็ดคิดแล้วว่าคุ้มค่าก็เชิญรอรับผลของมันได้”
กล่าวจนจบแล้วข้าก็ลุกขึ้นยืนและหยิบขนมในจานไปโปรยให้ปลาในสระอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจว่านั่นเป็นของที่องค์ชายเจ็ดจะกินหรือไม่ ทุกอย่างก็เป็นเช่นที่ข้ากล่าวนั่นล่ะ ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนพักอยู่ในเมืองถานเฟิ่งตั้งแต่เมื่อวานพร้อมคณะทูตของตน คนกล่าวว่ารั้งอยู่เพื่อผูกมิตรและทำความรู้จักกับขุนนางเทียนจิ้น คนผูกมิตรไยไม่ผูกมิตรกับรัชทายาทแต่แล่นมาเยือนวังจวิ้นอ๋อง กล่าววาจามากมายเรื่องหมอเรื่องการค้า แท้จริงประสงค์ยุยง คิดใช้ความหวาดระแวงของราชสำนักกำจัดข้าและอาจพ่วงถึงหลินจวินเจ๋อด้วยซ้ำ
เทียนจิ้นกับไห่เยี่ยนแม้เป็นมิตร แต่สัญญาสงบศึกแค่สามปีหลังจากนั้นย่อมแตกหักประหัตประหาร ทหารที่ชายแดนไห่เยี่ยนเองก็เล็งมาที่เมืองถานเฟิ่ง หากข้าและหลินจวินเจ๋อยังอยู่การรบคงยืดเยื้อ มิสู้ยืมมือคนกันเอง คอยแทรกแทรงปลุกปั่นความระแวงให้จวิ้นอ๋องถูกกระแสการเมืองในราชสำนักพัดไป ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดถึงเจตนาบริสุทธิ์จากปากขององค์ชายเจ็ดคนนี้
โปรยเศษขนมลงเป็นอาหารได้ไม่กี่อึดใจร่างสูงใหญ่ขององค์ชายเจ็ดก็ก้าวมาประชิด ข้าทราบได้จากเงาสะท้อนเบื้องล่างสระน้ำที่ใสราวกระจก ดังนั้นจึงยังนิ่งดำรงตนไม่สั่นไหว แม้ความจริงแอบนึกหวั่นระแวงไม่น้อยว่าคนผู้นี้อาจเป็นบ้าขึ้นมาอีก..
“ยุยงปลุกปั่น..? เจ้ากล่าวว่าข้ามีเจตนาเช่นนั้น” องค์ชายเบื้องหน้าถามเสียงเบายิ่ง
“หรือมีเจตนาเช่นใด?” ข้าแค่นหัวเราะถามซ้ำ
“จวิ้นอ๋อง” ฉู่เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักขึ้น น้ำเสียงนั้นเองเหมือนสัญญาณเตือนที่ทำให้ข้าหันขวับไปจ้องมอง และถอยห่างอีกฝ่ายก้าวใหญ่โดยทันที เป็นผลให้ฉู่เหวินชะงักมือที่เอื้อมมาหาเช่นกัน ที่สุดเขาจึงทิ้งมือลงข้างกาย ดวงตาสีฟ้าเข้มเจิดจรัสขณะสบตาข้าแสดงความจริงใจและกล่าวอย่างเรียบง่ายยิ่ง
“ข้าชมชอบเจ้าเป็นเพราะตัวเจ้า ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดความรู้สึกก็ไม่เปลี่ยนแปลง ฉู่เหวินคิดอยากอยู่ใกล้คนที่ตนหมายตา ข้าหาเรื่องมาเยือนนับว่าแปลกอันใด”
“แปลกที่คนผู้นั้นแต่งงานแล้ว องค์ชาย”
วาจาที่ฟังดูจริงใจซ้ำหวานหูดังจบลงไม่ทันให้ได้ซาบซึ้ง คำกล่าวอันหนักแน่นและเสียงดังเป็นพิเศษด้วยคนพูดกล่าวด้วยอารมณ์หงุดหงิดและหึงหวงกึ่งหนึ่งก็ดังอย่างชัดเจนขึ้นเบื้องหลัง
ข้ากระพริบตามองหลินจวินเจ๋อผู้กลับจากการออกไปจัดการทัพเร็วกว่าที่คิด สามีในชุดเกราะเต็มยศยังมีเหงื่อประดับบนใบหน้าประปรายบ่งบอกว่าคงรีบร้อนมามิใช่น้อย ดวงตาสีดำเข้มจัดจ้องมองแผ่นหลังของฉู่เหวินเต็มไปด้วยไอสังหาร ขณะที่องค์ชายเจ็ดเองก็หมุนกายไปประจันหน้าอย่างเยือกเย็น ข้ามองบุรุษสองคนจ้องสบตากันอย่างเป็นอริเบื้องหน้า รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้คุ้นแสนคุ้น คลับคล้ายคลับคลาว่าการอยู่กลางจุดปะทะของชายหนุ่มสองคน เป็นสิ่งที่ข้าเจอก่อนจะโผล่มาในร่างคนงาม
คิดแล้วก็ขยับห่างออกจากริมน้ำก่อนเป็นสิ่งแรก ข้ายังไม่อยากเจอลูกหลงแล้วไปเข้าร่างใครก็ไม่รู้อีกเป็นครั้งที่สอง ส่วนองค์ชายฉู่เหวินนี่ก็ไม่ทราบว่าเข้าใจเรื่องที่ข้าขยับตัวออกมาเช่นไร คนจึงดึงแขนไว้ข้างหนึ่งแล้วกระชากเข้าหาตัว กอดภรรยาเขาต่อหน้าสามีอย่างอุกอาจยิ่ง
ข้ารู้สึกเหมือนมีเปลวไฟพวยพุ่งจากสายตาของหลินจวินเจ๋อ ได้แต่อุทานในใจว่าหายนะแล้ว..
“บุรุษแต่งงานหาได้เหมือนสตรี ต่อให้เป็น*หยกมีตำหนิ ก็ไม่มีผู้ใดถือสา”
ชิบหาย คำนี้อีกคำผุดขึ้นมีในสมองหลังจากองค์ชายเจ็ดกล่าวโต้ตอบ ถ้ายกมือกุมหน้าผากได้ข้าคงทำไปแล้ว ด้วยรู้สึกว่ามันควรจะได้ออกท่าทางแบบนั้น แต่เพราะตอนนี้แม้มือข้างเดียวของฉู่เหวินกลับกอดข้าไว้แน่นไม่ยอมปล่อยข้าจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้ อ้อมแขนของเขาแกร่งดั่งปลอกเหล็ก พยายามดิ้นรนมีแต่ยิ่งถูกรัดแน่นยิ่งขึ้น ทำเอาหงุดหงิดตัวเองเหลือทน ข้าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะง่อยเปลี้ยเท่าวันนี้มาก่อนเลย
“แต่ข้าถือสา!!”
จ้องมองหลินจวินเจ๋อผู้มีสีหน้าคล้ายถูกโจมตีด้วยวาจาเช่นนั้นจนโมโหจุกอก ท่านแม่ทัพใหญ่ส่งเสียงคำรามลอดออกมาจากลำคอพลางตรงเข้ามาทำท่าจะกระชากข้าออกไป แต่ฉู่เหวินกลับขยับออกห่างและดึงตัวข้าถอยร่นไปจนหลังชนราวกั้นศาลา ข้ามองชายหนุ่มทั้งสองจ้องกันอย่างกำลังจะประหัตประหาร และเหลือบตามองเงาสะท้อนในน้ำ สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยว
“หากแม่ทัพหลินถือสาก็ไม่เป็นไร ข้าฉู่เหวินเป็นคนใจกว้าง ยินดีดูแลอาซิ่นดุจประคองไว้บนฝ่ามือ”
“น้ำคำจากผู้ที่สร้างรอยแผลบนลำคอของภรรยาข้า น่าเชื่อถือยิ่งนัก”
“พวกท่าน หยุดก่อน ปล่อยข้--”
“นั่นเป็นเพียงเรื่องขัดแย้งเล็กน้อย..เพียงพลั้งพลาดไป อาซิ่นเองก็เคยกล่าวแล้วว่าไม่ถือสาข้า ที่แท้ข้าเพิ่งทราบว่าแม่ทัพหลินใจแคบบางราวกับอิสตรี เรื่องเล็กน้อยยังกล่าวถึงได้ไม่จบสิ้น” เห็นคนเริ่มโต้เถียงซ้ำทวีความรุนแรง ข้าจึงหันมาบอกกล่าว คิดอยากให้หยุดปากกันไปก่อน ดังนั้นจึงออกแรงดิ้นเพิ่มขึ้น พลางหันไปขมวดคิ้วใส่องค์ชายเจ็ด ดิ้นไปคนก็ไม่นำพา ฉู่เหวินกระทำราวกับวาจาของข้าเป็นลมพัดผ่านหู คนยังจงใจอ้าปากยั่วยุโทสะหลินจวินเจ๋อไม่เลิกรา ทำเอาข้ารู้สึกอยากกุมขมับขึ้นมาแล้ว สถานการณ์แบบนี้นี่มัน...
“องค์ชายเจ็ด....”
“ภรรยาไม่ถือ แต่ข้าถือ สามีเช่นข้าถือสาผู้อื่นที่มาล่วงเกินฮูหยินของตน องค์ชายเจ็ดเล่ามีสิทธิ์อันใด?”
“สามีภรรยา? ข้ายังเข้าใจว่าจวิ้นอ๋องไม่มีพันธะเสียอีก ไม่ว่าผู้ใดในเทียนจิ้นก็เล่าลือ แม่ทัพหลินหลงรักสตรีผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง แม้นางเป็นภรรยาขององค์รัชทายาทซ้ำสูงเกินเอื้อมยังคิดรักมั่น”
“พวก...”
“เรื่องอดีตผ่านไปนานนม สามีภรรยาวังจวิ้นอ๋องรักใคร่สมัครสมาน รบกวนองค์ชายปรับความเข้าใจเสียใหม่”
“อดีตที่ผ่านมานาน? หรือเพียงไม่กี่วั-----อึ๊ก!”
“โอ้..ขอโทษด้วย”
บทสนทนากึ่งวิวาทและจิกกัดของสองบุรุษขาดหายในที่สุด ข้าสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของฉู่เหวิน ขยับห่างจากคนบ้าทั้งสองอย่างจงใจพลางคลี่ยิ้มหวานกล่าวด้วยน้ำเสียงขออภัยที่ไม่เจือเศษเสี้ยวความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย ท่ามกลางภาพองค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนเซลงไปกุมเป้าอย่างน่ามองยิ่ง..
คนสองคนพูดจาไม่ยอมเห็นหัว นี่ทำเอามีโทสะ หลังโดนลากไปแทบหลังชนรั้วกั้นข้าก็ทนใจเย็นไม่ได้แล้ว ซ้ำเห็นการกระทำของพวกเขาทั้งคู่ก็เหม็นหน้าสุดกำลัง ดังนั้นฉู่เหวินผู้มือไวมือเกาะติดแน่นนักหนาจึงรับกรรมเป็นคนแรก เรี่ยวแรงดีนักข้าก็กำหมัดฟาดมือใส่หว่างขาเสียเลยแถมบีบซ้ำ ราชวงศ์ไห่เยี่ยนจะล่มสลายไร้ทายาทสืบต่อก็ช่างมัน ให้จำไว้เสียว่าอย่ามาเล่นมุกวีรบุรษแย่งชิงหญิงงามตรงนี้ ข้าไม่อยากตกน้ำ ไม่อยากเสี่ยงประวัติศาสตร์ซ้ำร้อย!
“ฮู-หยิน”
จะส่งเสียงแบบนั้นทำไม พวกเจ้ามัวแต่เถียงกันข้าก็ต้องช่วยตัวเอง! ข้าหันไปถลึงตาใส่หลินจวินเจ๋อเป็นคำตอบ ยืนทำหน้าเป็นผู้ไร้ความผิดระหว่างปล่อยให้ฉู่เหวินที่โดนจัดการตรงจุดอ่อนฟื้นขึ้นมาจากความเจ็บปวดที่เจ้าฉู่น้อยโดนลงโทษ ต่อให้เสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้วัดขนา—แค่ก ต่อให้ข้าลงมือแต่ก็ยังถือว่าปรานีที่ไม่จัดการรุนแรง คงไม่ถึงขั้นใช้การไม่ได้กระมัง
“อาซิ่น---ลงมือฉับไวยิ่งนัก”
“ขอบคุณ” ข้ายิ้มหวานอย่างยิ่งมอบให้ฉู่เหวิน องค์ชายเจ็ดที่แม้ไม่เห็นหน้าก็สัมผัสได้ว่าคนคงกำลังหน้าเขียวคล้ำจึงตอบโต้ได้แค่ประโยคสั้นๆเท่านั้น มองแล้วชวนสำราญใจอย่างยิ่ง ข้าหัวเราะในใจอย่างชั่วร้าย มองเหล่าองครักษ์ขององค์ชายเจ็ดที่ยืนรออยู่แถวนั้นต่างจ้องหน้ากันด้วยท่าทีกระสับกระส่าบคล้ายไม่รู้ว่าควรเข้ามาป้องกันผู้เป็นนายหรือไม่แล้วยิ่งรู้สึกปลอดโปร่งเป็นที่สุด ดังนั้นจึงวางตัวเป็นจวิ้นอ๋องผู้สูงส่ง ไม่นำพาว่าได้ประทุษร้ายของสำคัญของผู้ใดไปทั้งสิ้น ซ้ำยิ้มแย้มหวานหยด น่ามองเสียนี่กะไร
“เรื่องนี้เกิดจากความผิดพลาดเล็กน้อย เพียงพลั้งมือไป องค์ชายเจ็ดไม่ถือสาใช่ไหม?”
หลังยอกย้อนคนหน้าหนาด้วยคำพูดของเจ้าตัวแล้วข้าก็มองดวงตาสีฟ้าคู่นั้น เห็นความปั่นป่วนในแววตาคู่คมแล้วคิดอะไรดีๆได้จึงก้มหน้ามองมือตนเอง ทำสีหน้าครุ่นคิดขณะขยับนิ้วข้างที่ใช้ลงมืออย่างพิจารณายิ่ง “ข้าไม่ทราบว่าลงมือหนักไปหรือไม่ แต่ห่อพกเล็กๆนั้นคงไม่เป็นอะไรมากกระมัง หรือหากไม่หายจริงๆ คงต้องไหว้วานเทพโอสถช่วยเหลือ องค์ชายว่าดีหรือไม่?”
“อาซิ่น!!”
แล้วคนผู้นี้ก็ยังทำหน้าเขียวคล้ำซ้ำตะคอกข้าอีกคำรบ ซ้ำหลินจวินเจ๋อยังเดินปราดๆเข้ามาดึงข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขน คนกอดรัดข้าแน่นยิ่งกว่าฉู่เหวินเสียอีก แล้วหน้านั่นก็ราวกับโดนข้าฟาดอีกคนกระนั้น เห็นดังนั้นข้าจึงยกมือข้างอันเป็นต้นเหตุขึ้น จ้องมองเขาด้วยดวงตาวิบวับชั่วร้าย
“ท่านพี่อยากให้ข้าช่วยสิ่งใดหรือ?”
“ฮูหยินแค่ช่วยอยู่เงียบๆดีหรือไม่?” หลินจวินเจ๋อกัดฟันกรอด มองข้าด้วยแววตาเปี่ยมโทสะที่ยังคุกรุ่น ดูท่าครั้งนี้จะไม่กลัวโดนประทุษร้ายเจ้าเต่าน้อย ดังนั้นรอยยิ้มข้าข้าจึงยิ่งหวานขึ้นอย่างส่อแววอันตราย
“แล้วให้พวกท่านเถียงเรื่องข้าให้ตนเองฟัง?” ฟังคำตอบระคายหูแล้วจึงหัวเราะหึ ข้าเอนตัวซบอกแกร่งในชุดเกราะอย่างออดอ้อน..ในสายตาคนภายนอก หากมือข้างที่เคยลงมือกับองค์ชายแห่งไห่เยี่ยนกลับตบหนักๆที่บนเกราะหนาของสามีตัวดี “ทีข้าพูดพวกท่านไม่ฟัง มาตอนนี้จะยังให้ข้าเงียบอีก ฝันไปเถอะ ท่านพี่ ”
“หากแม่ทัพหลินไม่ยินดีฟัง ข้าพร้อมจะฟังเจ้า” มีเสียงแทรกมาจากฉู่เหวินผู้ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้แล้ว ข้าเงยหน้าจากเกราะใหญ่ของหลินจวินเจ๋อ กระพริบตาช้าๆ ยิ้มใสซื่ออ่อนหวานยิ่ง
“ข้าว่าองค์ชายไปรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองก่อนดีกว่า หากโดนดีอีกรอบจะสิ้นพันธุ์ได้”
“อึ่ก...”
มององค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนที่ไม่อาจต่อคำด้วยเมื่อถูกเล่นงานเรื่องฉู่น้อย เขาคงคาดไม่ถึงว่าคนอย่างจวิ้นอ๋องจะเล่นลูกไม้ชั้นต่ำ—ข้าหมายถึงจะกล้าทำเช่นนี้ แต่ข้าก็หาได้สนใจ ว่าแล้วก็ขยับมือมฤตยูข้างนั้นอย่างสำเริงสำราญยิ่ง รู้สึกดีจริงๆที่ได้ลงมือแก้แค้นให้คนผู้นี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา เกย์หนุ่มจากยุคสองพันอย่างข้ามีหรือจะหน้าบางกับแค่เรื่องจับเป้ากางเกงใคร เจ้าลูกเต่าที่ข้าซบอยู่นี่ก็โดนจับมาเสียทั่วตัว ก็ถึงเวลาให้เจ้าลูกตะพาบตัวนี้รู้ซึ้งถึงฤทธิ์เดชของเหล่าจือผู้ยิ่งใหญ่บ้างแล้ว ใครใช้ให้มาวิวาทยื้อแย่งข้ายังกับในละครน้ำเน่ายามบ่าย เหลียงจื่อซิ่นไม่นิยมเป็นประเด็นถูกหึงหวง ชาติก่อนไม่ชอบ ชาตินี้ก็ไม่ชอบ พวกเจ้ากล้ามาแย่งข้าก็ต้องกล้าโดนข้าลวนลาม หึ!
“ฮูหยิน ข้าว่าเจ้าเองก็ควรหยุดปาก และหยุดมือ!”
ไม่ทันสะใจได้นานเกิน ฝ่ามือก็โดนดึงลงแล้วถูกมือใหญ่สีทองแดงกุมไว้แน่น หลินจวินเจ๋อกระซิบเครียดข้างหูข้าด้วยใบหน้าที่ไม่คลายความหงุดหงิดบึ้งตึงเลยแม้แต่น้อย เห็นเจ้าคนที่ยังตีสีหน้าไม่พอใจใส่ข้าก็ถลึงตาตอบ นี่ผ่านไปคืนเดียว จากคนที่เคยหงอยเหงาเกาะเก้าอี้ข้าพ้อว่าตนเองต่ำต้อยชวนให้ใจอ่อนด้วยความสงสารหายไปไหนฮึ
“ท่านพี่เองก็ควรหยุดสั่งการข้าได้แล้ว” ข้าคำรามเสียงต่ำในลำคอ
“อยู่บ้านภรรยามีหน้าที่เชื่อฟังสามี”
ใครให้เอากฎนั้นมาใช้กับข้า “แต่ข้าคือจวิ้น---”
“ท่านอ๋องสุขภาพไม่แข็งแรง เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ต้องขอพักผ่อน เหล่าไท่! ส่งแขก!!”
“ขอรับ”
อะไรกัน พวกบ่าวไพร่ทรยศ!
เหล่าไท่รับคำอย่างฉับไวซ้ำเดินปราดๆมาเชิญตัวฉู่เหวินอย่างรวดเร็วยิ่ง ทางด้านหนึ่งหลินจวินเจ๋อก็รั้งตัวข้าแน่นไม่ยอมปล่อย นายว่าขี้ข้าก็ทำตามสอดรับกันได้อย่างสมบูรณ์พร้อม ทิ้งข้าอ้าปากค้างมองเหยื่อที่ยังแก้แค้นได้ไม่สาใจเดินออกไปอย่างว่าง่ายด้วยคนไม่อาจปรับตัวกับการพบว่าจวิ้นอ๋องผู้งดงามคือผู้ที่หื่นกามและหน้าทนเช่นกัน ข้ามองฉู่เหวินที่เดินเซจากไปด้วยประโยค ‘พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่’ อย่างเสียดายสุดซึ้ง ใครจะรู้ทันความหน้าด้านของเขาเท่าข้าอีก คนปรับตัวได้รวดเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี วันนี้เขาอึ้งพรุ่งนี้คงไม่อึ้งแล้ว จะโจมตีให้ตายก็ต้องจัดการอย่าให้รอด กลับมา! กลับมาเดี๋ยวนี้! ไหนอยากเจอข้านักก็อยู่ก่อน!!
ได้แต่ร่ำร้องในใจขณะโดนลาก..ย้ำว่าข้าโดนสามีตัวดีลากปราดๆจากศาลาริมน้ำไปในอาคารอย่างรวดเร็ว บ่าวไพร่ที่เคยเห็นหัวอยู่หลัดๆพอเห็นใบหน้าปานยมฑูตของหลินจวินเจ๋อก็หลบฉากไม่ก็ทรุดตัวก้มหน้าคุกเข่าทำไม่รู้ไม่เห็นอย่างรู้รักเอาตัวรอดอย่างยิ่ง ดึงไปดึงมาแขนข้าจะขาดอยู่แล้ว บัดซบ นี่มันบัดซบบบ!
“นี่! ปล่อยข้า ท่านไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ หลินจวินเจ๋อ!!”
“เงียบ!”
“ข้าไม่เงียบ ปล่อย! เจ้ากล้าลงมือกับข้าเหรอ!”
“ข้ากล้ายิ่งกว่านั้นอีกถ้าเจ้าทำตัวเช่นนี้!!”
ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปก็ไร้ประโยชน์ อ้าปากเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาขู่เจ้าเต่าดื้อด้านก็ไม่ฟังซ้ำลากพรวดๆอย่างไม่ปรานีปราศรัย แขนของคนงามจะหลุดอยู่แล้ว เจ้าอย่าเดินไวนักได้ไหม คิดว่าคนอื่นขายาวเท่าเจ้ารึไง หลินจวินเจ๋อ ไอ้ลูกเต่านี่!
ปัง!
“ไปเอาน้ำมา!!”
เสียงเปิดประตูดังสนั่นหวั่นไหวเพราะมันแรงจนกระแทกกลับ หลินจวินเจ๋อลากข้ากลับมาห้องนอนตนเองแล้วฮึดฮัดอย่างน่ากลัวยิ่งนัก นี่เจ้าโดนผีเข้าหรือไร ข้าถลึงตามองสู้เจ้าแม่ทัพบ้าที่มีแนวโน้มจะโดนวิญญาณอาฆาตในสนามรบสิงสู่ คิดจะสู้กับวิญญาณเกย์หื่นจากยุคสองพันงั้นรึ! แต่ถลึงตาไปเขาก็ไม่กลัว นอกจากจะไม่แล้วยังจับข้านั่งนิ่งบนเตียง กุมมือไว้แน่น
“นี่เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน” ข้าเป็นฝ่ายกัดฟันกรอดบ้างแล้ว หลังพยายามดิ้นก็ยังไม่เป็นผล คนยังจับมือไว้แน่น นี่ถ้าแขนคนงามเป็นแผลอีกนะ ข้าจะจัดการเขาให้ร้องไม่ออกเลยเชียว กล้าทำแบบนี้กับข้ามันต้องโดนเอาคืน
“ใช่ ข้าเป็นบ้า” หลินจวินเจ๋อตอบรับแต่โดยดีพลางหัวเราะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและแววตาที่น่าขนลุกขึ้นมากกว่าปกติ ข้าฟังแล้วจู่ๆก็หนาวยะเยือก รู้สึกสังหรณ์ร้ายบางอย่างขึ้นมา “และจะเป็นบ้ามากกว่านี้อีกหากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้!”
“ข้าทำตัวอย่างไรฮึ?” บ่นว่าทำตัวเช่นนั้นเช่นนี้ไม่หยุดแต่ไม่แถลงไข แล้วที่แท้ข้าทำอะไรผิด? คิดแล้วจึงแยกเขี้ยวใส่สามีอย่างไม่พอใจยิ่ง จังหวะนั้นเหล่าไท่ก็เดินเข้ามาพร้อมอ่างใส่น้ำสะอาดพอดี เห็นดังนั้นจึงตาลุกวาว “เหล่าไท่! นี่ช่วยข้า--”
“ท่านแม่ทัพโปรดเบามือด้วย มีอะไรคุยกันดีๆ”
ไม่รอให้ข้ากล่าวจบ เหล่าไท่ก็เดินออกไปซ้ำช่วยงับบานประตูและหน้าต่างให้อย่างรวดเร็วยิ่ง ข้าไม่ทันคิดอะไรหลินจวินเจ๋อก็จับมือทั้งสองข้างจุ่มน้ำ ล้างเช็ดอย่างรุ่นแรงโดยเฉพาะมือข้างที่ตะปบเป้าของฉู่เหวิน เขาลงมืออย่างรวดเร็วและบูดบึ้งจนข้าหัวสั่นหัวคลอนและน้ำสาดกระเซ็นใส่ทั่วตัว
“นี่! บ้าพอหรือยัง! เจ้าทำแบบนี้ทำไมหา!!” ชักโมโหขึ้นบ้างแล้ว ข้าพยายามดิ้นและพาลด้วยการวักน้ำใส่หน้าเขาบ้างเต็มแรง ผลคือใบหน้าหล่อเหลาที่มืดทะมึนนั้นเปียกโชก
“ยังจะถามอีก! มานี่เลย มานี่!!”
ไอ้พวกใช้ความรุนแรง!! ข้าอ้าปากค้างเมื่อรู้ตัวอีกทีโดนโยนลงเตียงแล้วดึงตัวมาพาดตักสามีบ้าบอ ท่าทางแบบนี้มันอะไร ข้าสังหรณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง แต่เพราะสองมือมีอิสระแล้วจึงกำผ้าปูที่นอนแน่น เอื้อมมือคว้าหมอนและอาวุธอะไรก็ตามที่จะมาต่อกรกับเจ้าเต่าบ้าเลือดตรงนี้
“โอ๊ย! เจ้าทำอะไร!!”
ไม่ทันตั้งตัวเสื้อคลุมก็ถูกดึงขั้นแล้วเสียงฟาดก้นก็ดังสนั่นขณะที่แรงมือนั้นไม่น้อยเลยทำเอาข้าสะดุ้งเฮือก ความเจ็บปวดยังจุดที่คาดไม่ถึงทำเอาหน้าร้อนฉ่า มือหนาๆที่ลงทัณฑ์กันอย่างไม่ไว้หน้า ความเจ็บยังไม่เท่าไหร่แต่ความอายนั้นเหลือล้น ฟาดก้น ฟาดก้นเนี่ยนะ! ข้าอายุเท่าไหร่แล้วถึงมาฟาดก้นกัน เหล่าจือไม่ใช่เด็กสามชวบนะโว้ย! ทำแบบนี้ต่อยกันดีกว่า!
“ทำอะไร ลงโทษเจ้าอย่างไรล่ะ ใครสั่งใครสอนให้ไปจับของบุรุษผู้อื่นเช่นนั้น สเน่ห์แรงนักใช่ไหม! **ก้นเบานักใช่ไหม!”
“โอ้ย! อะไรของเจ้า ก้นเบาบ้าอะไรวะ หลินจวินเจ๋อ ไอ้บ้า หยุดนะ หยุด!!!”
ข้าตะโกนแหกปากลั่นอย่างไม่อายคน แต่จะให้ดิ้นรนได้ยังไงในเมื่อถูกเทพสงครามเรี่ยวแรงยังกับช้างสาร เสียงฟาดเพี๊ยะๆดังสลับกับเสียงโวยวายของข้าสลับกับหลินจวินเจ๋อ คนเจ้าชู้บ้างล่ะ คนใจร้ายบ้างล่ะ แล้วยังก้นเบาเที่ยวผูกสัมพันธ์กับคนไปทั่ว ทำยังกับโดนข้ารังแกขณะคว้าเอวเอาไว้ มือข้างหนึ่งฟาดก้นอีกข้างก็จับตัวแน่นจนไม่อาจกระดุกกระดิก ข้าได้แต่อ้าปากร้องโวยวายดิ้นจนถังน้ำคว่ำไปเมื่อใดก็ไม่ทราบ มือกำผ้าห่มทึ้งผ้าปูเตียงจนมันยับย่นเละเทะไม่ต่างกับเสื้อผ้าอาภรณ์ สภาพตัวเองในตอนนี้อย่าว่าแต่คนอื่นไม่กล้ามอง ข้ายังไม่กล้ามองเลย หลินจวินเจ๋อ ไอ้ตัวXXX ข้าจะ......
หยุดฟาดก้นข้าซะที!!
++++++
*หยกมิตำหนิ – คำเปรียบเปรยถึงสตรีที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว
**ก้นเบา - คำเปรียบเปรยเชิงเจ้าชู้ นอนกับใครไปเรื่อย
กลับมาแล้วค่ะ5555
มาต่อแบบเขียนไปขำไป ฉู่เหวินโดนดาเมจคิลไปแล้ว แต่อาซิ่นผู้ลงมือก็ตายตามไปติดๆ
น้ำส้มไหนี้ช่างแปรปรวนนักกก
ขายตรงเปิดจองนิยายเหมือนเดิม สนใจดูรายละเอียดตรงนี้ได้เลย >> https://docs.google.com/document/d/1qKrLQhy14sUsIpxCO2m3mZIPhCcQDYTT5hmai_LgyL0/edit
เพจ FB : https://www.facebook.com/mywhynn/
ทวิต @Secrate_Wind
และเม้าท์นะยายแท็ก #จวิ้นอ๋อง นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ทั้งคู่คงนึกไม่ถึง อาซิ่นจะเล่นไม้นี้ แต่อาซิ่นเองคงนึกไม่ถึงจะโดนจับตีก้น 5555
นี่มันเหมาะสมกันจริงๆ ฮาอ่ะ โดนตีเป็นเด็กสามขวบ งานนี้ท่าจะแค้น อิอิ
รอติดตามต่อคะ หาแนวนี้อ่านมานานแล้ว ถูกใจมาก
ขอให้ไรท์และครอบครัวจงมีความสุข สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ตลอดปีและตลอดไปคร้าาาาา.
เดี๋ยวก็โดนโกรธหรอก จะเจอดี