ตอนที่ 5 : การแจกแจงบัญชีเป็นหน้าที่ของภรรยา
“แล้วท่านพี่มีอะไรจะคุยกับข้า?”
หลังผ่านช่วงเวลามื้อเที่ยงอันสนุกสนานและยัดขิงเข้าปากท่านแม่ทัพจนอีกฝ่ายมีสีหน้าเฝื่อนขมเหลือประมาณจนพอใจแล้ว ข้าก็สั่งให้คนพาเส้าไป๋ไปร่ำเรียนกับอาจารย์ของเขาต่อ ดวงตาหงส์ตวัดจ้องมองร่างแกร่งปานศิลาของหลินจวินเจ๋อซึ่งมีอาการคล้ายเป็นโรคหวาดผวา หลังจากตอนเช้าโดนข้าจู่โจมจับหนอนน้อยไปที ตอนเที่ยงยังมาเจอคำพูดหมายหัวและตัวซ้ำเข้าไปอีก ท่านแม่ทัพแดนใต้จึงเกิดอาการระวังตัวแจ ขยับถอยห่างออกไปไม่ยอมเข้ามาใกล้ ช่างหลังตัวเองเสมอต้นเสมอปลายไม่มีที่ติ เขาคิดว่าทำตัวแบบนี้แล้วข้ายังจะอยากได้อีกจริงๆเรอะ ทำเหมือนมีมังกรน้อยทำด้วยทองคำ ใครเห็นเป็นต้องอยากได้ก็ไม่ปาน แต่จะว่าไปข้าก็อยากได้อยู่หรอกนะ ได้มาแล้วทิ้งน่ะ
คิดเรื่องชั่ว..แค่ก เรื่องดีๆได้แล้วข้าก็ยิ้มหวานส่งให้ไปก่อน แต่ดูเหมือนสามีผู้นี้จะไม่วางใจในรอยยิ้มนี้เสียแล้ว หลินจวินเจ๋อคงรู้แล้วว่าภัยจะถึงตัวมากกว่ามีเรื่องดีเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายโมโหมากขึ้นอีกสักนิด ข้าจึงยกแขนขึ้นเท้าคางแล้วขยับมุมปากส่งสายตาก่อกวนไม่หยุด
“เรื่องที่เจ้าแจ้งต่อพ่อบ้านหลิว” หลินจวินเจ๋อหันมากระแอมเบาๆ กอดอกกล่าวเสียงเคร่ง วางท่าทีจริงจังเป็นที่สุด
“ทำไม..หรือแค่นี้ท่านพี่ก็ลำบากแล้ว”
“ข้าเคยลำบากมามากกว่านี้ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นเป็นอย่างไร” น้ำเสียงของหลินจวินเจ๋อมีแววเยาะ ท่าทีไม่เดือดร้อนอะไรจริงๆทำให้ข้าต้องจ้องมองเขาด้วยความแปลกใจ “แต่ข้าจะอดก็ช่างเถิด เพียงแต่อย่าให้บ่าวไพร่ ลูกน้อง ตลอดจนเด็กน้อยเหล่านั้นต้องลำบาก”
“แล้วท่านจะทำอย่างไร?”
“ข้าจะมาตกลงกับเจ้า”
“ท่านพี่ มีหรือคนรอฟังต้องมาร่างข้อเสนอเอง ท่านต้องการอย่างไร จะทำอย่างไร มีอะไรแลกเปลี่ยน ท่านพูด”
ข้าลุกขึ้นช้าๆ กวาดมองอาณาเขตงดงามของจวนจวิ้นอ๋องที่ราวกับสวนสวรรค์ ศาลาหงส์ตั้งอยู่บนสระน้ำขนาดใหญ่ที่ปลูกบัวเลี้ยงปลาไว้จนเต็ม อากาศบริสุทธิ์ที่คนในโลกปัจจุบันไม่มีโอกาสพบเจอมากนักทำให้ข้าต้องสูดหายใจเข้าเต็มๆปอด หางตามองเห็นดอกท้อสีชมพูสดผลิบานและดวงตาซึ่งฉายความประหลาดใจของหลินจวินเจ๋อ ก่อนจะผายมือไปทางตำหนักกลางที่อยู่ไม่ไกล
“ไปคุยกันที่ห้องหนังสือ”
ข้าวางท่าจริงจังไม่เอ่ยปากหยอกเย้าใดๆแล้วเดินนำไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากวันนี้ไม่สวมชุดสีอ่อนทำท่าทางเอะอะน้ำตาจะร่วงภาพที่ปรากฏจึงดูสง่างามยิ่งนัก บุรุษร่างสูงโปร่งในอาภรณ์งดงาม ชายเสื้อคลุมสีดำขลิบทองสะบัดพริ้ว เส้นผมสีดำราวน้ำหมึกทิ้งตัวแนบแผ่นหลัง ใบหน้างดงามสูงส่งเกินบรรยาย ถ้าไม่ได้หลงตัวเองจนเกินไป ข้าว่าวันนี้ข้าดูดีมากทีเดียว อีกทั้งยังทำให้สามีตนเองทราบว่าข้าต้องการจะคุยธุระจริงๆ ไม่ได้คิดหลอกเขาไปกินในห้องหับ
หรือข้าแค่ขู่เล่น? ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง? ผิดแล้ว ข้าคิดและกำลังทำอย่างที่พูดทุกประการ แต่จุดมุ่งหมายแต่แรกของอาซื่อคนนี้คือการแก้แค้นแทนคนงามด้วยการกินแล้วเขี่ยทิ้ง คิดจะตกผู้ชายมาไว้ในอุ้งมือทั้งทีต้องมีทั้งลูกล่อลูกชน ปล่อยให้อีกฝ่ายระวังตัวแจแบบนี้ก็ไม่สนุกน่ะสิ หึ หึ
ห้องหนังสือของตำหนักกลางเป็นห้องที่ใหญ่และโอ่อ่าที่สุดเรียกว่าเป็นรองเพียงห้องโถงและห้องนอนเจ้าของบ้าน แม้ข้าจะเดินนำมาอย่างผึ่งผายแต่เมื่อก้าวเท้าเข้ามากลับต้องชะงักไปวูบหนึ่ง ต่อให้เหลียงจื่อซิ่นคนนี้พอจะจำอะไรได้ลางๆจากความทรงจำของจวิ้นอ๋อง แต่การมาเจอของจริงเรียกว่าคนละเรื่อง หนังสือหายาก ตำราในม้วนไม้ไผ่ และกระดาษเย็บเป็นเล่มถูกวางไว้บนชั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เทียบกับการตกแต่งอย่างงามวิจิตรของห้องหับอื่นๆในตำหนัก ห้องหนังสือกลับเรียบง่ายและมีบรรยากาศของความเคร่งขรึม โต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่และแท่นหมึกพู่กันหลากชนิดวางไว้พร้อมใช้ ดูท่าจวิ้นอ๋องดูจะชอบหนังสือมากทีเดียว
“เชิญนั่ง”
ข้าผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงหน้าอย่างเป็นการเป็นงานขณะที่กวางน้อยเสี่ยวเฉียวเดินมาช่วยดึงเก้าอี้ให้ข้านั่งอย่างน่ารัก ข้าขอบคุณพลางยิ้มหวานหยดและส่งสายตามุ่งมาดปราถนาจะจับกินไปให้เจ้าตัวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก่อนจะเบนสายตามามองสบตาคมปลาบคู่นั้น ร่างสูงใหญ่ของหลินจวินเจ๋อนั่งขมวดคิ้วอยู่บื้องหน้า ท่าทีเหมือนไม่เข้าใจเรื่องราวระหว่างพวกเราเท่าไหร่ คงเพราะที่ผ่านมาตัวเองไม่ได้ถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้..ข้ามองเขาแล้วแค่นยิ้มออกมาอย่างขันๆ
“ท่านต้องการอะไร?” เอ่ยถามไปสั้นๆพลางขยับแขนเว้นที่ให้ถ้วยชาหอมกรุ่นจากเสี่ยวเฉียว ยิ้มวางมาดเป็นท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ข้าและท่านแม่ทัพโง่เบื้องหน้าหนึ่งคือสามีภรรยา แต่อีกหนึ่งก็เป็นอ๋องและข้าราชสำนัก ที่ผ่านมาหวงเทียนหยางทำตัวเป็นภรรยาคนงามแสนดีมาตลอด แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นค่า มาวันนี้เลยกลายร่างเป็นราชนิกูลผู้สูงส่ง ดูซิว่าในหัวกลวงๆของหลินจวินเจ๋อจะยังพอมีเนื้อสมองอยู่บ้างไหม
“เรื่องขัดแย้งของเราสอง หาได้จำเป็นต้องพ่วงบ่าวไพร่ให้พวกเขาเดือดร้อน” น้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังดังออกมาจากปากของท่านแม่ทัพแดนใต้ “เจ้าไม่ชอบที่ข้าจะตบแต่งกับคุณหนูจ้าว ข้าทราบดี แต่การทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากทำให้เกิดข้อครหาเท่านั้น”
“อ้อ ที่แท้ท่านพี่กลัวข้าครหาด้วยหรือ?”
“ข้าไม่...!”
“ต่อให้ท่านไม่กลัวข้อครหา ข้าเองก็ต้องกลัว หวงเทียนหยางทำตัวใจแคบ กลั่นแกล้งสามีตัวเองเพราะไม่พอใจที่อีกฝ่ายจะรับลูกสาวเสนาบดีมาเป็นเมียน้อย ท่านหมายถึงแบบนั้นสินะ?” ข้าพล่ามตัดหน้าเขาและพูดเรื่องคุณหนูจ้าวอย่างคล่องปาก ยิ้มหวานๆให้ขณะที่ในใจกำลังคำรามฮึดฮัด “อันที่จริง ข้าไม่กลัวเลยท่านพี่ จะเล่าลือก็เล่ากันไป ทำราวกับทุกวันนี้ชื่อเสียงข้าดีงามนักหนา รึบางที ท่านก็ไม่ได้กลัวข้าจะเสียหายอยู่แล้ว น่าจะกลัวสตรีอันเป็นที่รัก...ต้องเดือดร้อน”
พูดๆไปทำไมเหมือนกำลังทำร้ายตัวเอง ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อยกับอาการปวดหนึบๆตรงหัวอก ชะรอยจะเป็นความรู้สึกตกค้างจากคนงามกระมัง ถ้าอยู่คนเดียวข้าคงได้ตีแผ่นอกขาวๆสักทีด้วยความหมั่นไส้ไปแล้ว หวงเทียนหยางท่านยังจะรักใคร่ยึดติดอะไรกับเขามากมาย รู้ทั้งรู้อยู่ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจ ทำไมถึงดึงดันดื้อดึงทรมารตัวเองขนาดนี้
คิดดูแล้วพฤติกรรมที่คนงามได้ทำลงไปก็ใช่จะน่าสรรเสริญ ถ้าเปลี่ยนเป็นมุมมองของคุณหนูจ้าวคนนั้น หวงเทียนหยางคงเหมือนตัวร้ายที่ขัดขวางความรักของนาง นับแต่ได้อวยยศเป็นแม่ทัพเมื่อสองปีก่อน จ้าวลี่เซียนและหลินจวินเจ๋อก็ค่อยๆสานสัมพันธ์กันเรื่อยมา ทั้งสองคนรักกันและแทบตระเตรียมหมั้นหมายกันอยู่แล้ว แต่เมื่อจวิ้นอ๋องกลับจากทะเลตงไห่ สายฟ้าชื่อสมรสพระราชทานก็ผ่าเปรี้ยงแยกปฐพีออกเป็นสอง(อันนี้ข้าแค่เปรียบเทียบนะ) หวงเทียนหยางทั้งหน้าด้าo...เอิ่ม ไม่สนใครและไม่แยแสคำนินทา นั่งยันนอนยันจะเอาหลินจวินเจ๋อเป็นสามี สุดท้ายก็คว้าอีกฝ่ายมาได้และพรากคู่ยวนยางออกจากกันได้สำเร็จ
เฮ้อ...ถ้านี่เป็นนิยายรักประโลมโลก สักพักจวิ้นอ๋องหวงเทียนหยางก็คงพัวพันคดีใหญ่ๆแล้วถูกกำจัดในที่สุด จากนั้นจ้าวลี่เซียนกับหลินจวินเจ๋อก็ได้ครองรักกันสมใจ เสียแต่นี่ไม่ใช่นิยาย และคนที่เป็นตัวเอกคือข้าไม่ใช่แม่นางจ้าวหรือแม้แต่คนงามหวงเทียนหยาง ท่านอาซื่อผู้นี้น่ะชอบเรื่องร้ายๆ เป็นที่สุด พูดก็พูดว่าแต่ก่อนแย่งแฟนชาวบ้านมาก็เยอะ ขึ้นชื่อว่าอยากได้แล้วข้าไม่สนว่านั่นจะเป็นของใคร ต่อให้ถูกด่าว่าไม่มีสำนึกก็ไม่เจ็บไม่คัน ที่สำคัญที่สุดคือข้าอยู่ฝ่ายหวงเทียนหยาง อะไรที่คนงามอยากได้ก็ต้องได้!
“และที่สำคัญ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด” ใจลอยนึกเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่นาน ข้าก็กลับมาสู่โลกความจริงกับใบหน้าหล่อเหลาน่ากระทืบของหลินจวินเจ๋อ “ท่านเอาคำว่าสามีภรรยามาอ้าง บอกว่าข้าทำเพราะหึงหวง...ผิดแล้ว ท่านพี่ นี่ไม่ใช่การกระทำในฐานะฮูหยินของท่าน แต่ข้ากำลังลงมือในฐานะของจวิ้นอ๋อง ท่านคงทราบดีว่าจวนจวิ้นอ๋องทำการค้า พ่อค้าไม่ใช่นักบุญ เรื่องทำกุศลนี่ผ่านมาเป็นปีคงพอแล้วกระมัง”
“นี่ค่าใช้จ่ายของจวนท่าน เดือนหนึ่งต่อเดือนหนึ่ง ได้เคยสนใจหรือไม่?” ข้าโยนบัญชีใส่หน้าเขาแล้วหยิบชามาจิบ ปล่อยให้หลินจวินเจ๋อสะดุ้งกับค่าใช้จ่ายสักพักก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าทราบดีว่าท่านเป็นแม่ทัพ ไม่ถนัดงานบ้านงานเรือน แต่คำว่าไม่ถนัดกับไม่ทำมันฟังไม่ขึ้นนะท่านพี่...เราแต่งงานกันมาหนึ่งปี ข้าเห็นว่าตัวเองเป็นภรรยาจึงคอยดูแลเรื่องต่างๆไม่ให้บกพร่อง บุรุษทำงานนอกบ้านได้เงินมาก็ย่อมต้องให้ภรรยาเก็บไว้ ข้าไม่เห็นเงินเดือนของท่านสักตำลึงก็ช่างเถอะ..วังจวิ้นอ๋องไม่ได้ยากไร้ถึงเพียงนั้น แต่ท่านพี่...ไม่ทราบว่าหนึ่งปีมานี้ ท่านละอายใจบ้างหรือไม่?”
“อะ...อะไร...”
“ท่านเอาแต่โกรธและคิดแค้นที่ข้าพรากท่านออกจากแม่นางลี่เซียน ข้อนี้ข้าทราบดีอยู่” ข้ามองสีหน้าที่เริ่มจืดเจื่อนเหมือนทำตัวไม่ถูกของหลินจวินเจ๋อแล้วยิ้มหวาน บอกตัวเองว่าเขายังพอมีจิตสำนึกอยู่จริงๆล่ะมั้ง “แต่หลังจากถูกมัดติดรวมกันแล้ว ท่านยินดีจะ’เกาะ’ภรรยาตัวเองแบบนี้ต่อไปจริงๆรึ หลินจวินเจ๋อ ข้าทราบว่าท่านรักเกียรติและศักดิ์ศรีมาก พอถูกบังคับให้รับผู้ชายเป็นภรรยาโดยไม่เต็มใจจึงรู้สึกโกรธเคืองเป็นที่สุด แต่ศักดิ์ศรีที่ท่านถือไว้ในมือไม่เห็นปรากฏตอนข้าต้องจ่ายค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ฟืนไฟ ตลอดจนเงินเดือนข้ารับใช้ ท่านแม่ทัพให้ภรรยาเลี้ยงดูมาตลอดหนึ่งปีนี่ละอายใจบ้างไหม และนอกจากนี้ ท่านยังคิดจะแต่งภรรยาน้อย หาคนมาร่วมใช้เงินทองของข้า คิดละอายใจบ้างหรือไม่!”
“ยังไม่หมด” ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแต่ในใจกำลังเดือดปุดๆ พอได้บ่นถึงความอยุติธรรมที่หวงเทียนหยางต้องพบเจอแล้วชักอารมณ์กรุ่นมากขึ้นทุกที “ทุกวันนี้ที่กินอยู่หลับนอนของท่านเป็นเงินของจวนจวิ้นอ๋อง เห็นแก่ว่ายอมข่มความรังเกียจทนอยู่กับข้า ดังนั้นที่แล้วมาถือเป็นกุศล ข้าไม่คิดเก็บหนี้ย้อนหลัง ไม่คิดให้ลูกๆบุญธรรมของข้าต้องลำบาก ค่าเล่าเรียกอ่านเขียนค่าอาหารเด็กน้อยเหล่านั้นจวนจวิ้นอ๋องรับไว้เอง อย่าได้ลำบากมากังวล แต่ท่านในฐานะนายของจวนแม่ทัพ นับจากนี้ควรรับผิดชอบผู้คนบ่าวไพร่ในบ้านของตน จวนจวิ้นอ๋องไม่มีเหตุอันใดให้รับเลี้ยงดูคนในจวนแม่ทัพ นี่คือคำตัดสินของข้าผู้เป็นอ๋อง หวงเทียนหยางไม่ได้รับเงินจากสามีซักอีแปะ จึงไม่มีปัญญาเอาที่ไหนมาจับจ่ายใช้สอยดูแลบ้านของท่าน นี่คือคำกล่าวของภรรยา ท่านต้องคิดและหาวิธีจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง หลินจวินเจ๋อ”
เฮ้อ...ระบายออกหมดทุกอย่างแล้วมันช่างดีจริงๆ ไม่อึดอัดแถมยังสะใจยิ่งนัก ข้าหันไปหยิบชาหอมๆมาจิบอีกรอบ สีแดงของมันนี่คงเป็นต้าหงเผา ถ้าเป็นยุคปัจจุบันก็ตกราคาหลายดอลล่าห์ไม่ใช่ของที่จะดื่มกันง่ายๆ ตรงนั้นก็พู่กันที่ทำมาจากหยกสีเขียวสดใส มาอยู่ในร่างคนมีเงินนี่มันดีจริงๆ คิดอะไรพูดอะไรก็เสียงดังกว่าคนอื่น...แถมตอนนี้ดูจะดังพอแทรกเข้ากะโหลกหนาๆของหลินจวินเจ๋อแล้ว
ข้าหยิบพู่กันมาเขี่ยขนขาวๆนุ่มๆของมันเล่น ปรายตามองท่าทีนิ่งขึงนั้นแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายคิดอะไรด้วยตัวเอง ที่จริงคนประเภทนี้ ยามเป็นเหลียงจื่อซิ่นเขาพบเจอมามากเชียวล่ะ และอีกประเภทที่น่าปวดหัวกว่าคือหวงเทียนหยางที่ทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่ม ข้าเข้าใจว่าเขารักแล้วจึงทุ่มให้อีกฝ่ายทุกอย่าง แต่ความดีและเม็ดเงิน คิดว่าเงินซื้อความรักได้ มันก็ได้อยู่หรอกนะในตอนแรก ตามอุ้มชูดูแลควักเงินออกนั่นจ่ายนี่ให้โดยไม่เอ่ยทวงสักกระผีกเพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะซาบซึ้ง แต่ผลคือพอปีกกล้าขาแข็งแล้วเขาก็ไป ร้ายกว่านั้นคือหันไปคว้าสตรีอย่างสามีไม่ได้ความนี่
“ข้าขอโทษ เรื่องนี้เป็นข้าผิดต่อเจ้าเอง”
เงียบไปชั่วหม้อข้าวเดือด น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงของท่านแม่ทัพแดนใต้ก็ดังขึ้น ข้าเงยหน้าขึ้นจากการพิจารณาแท่งฝนหมึกที่ทำจากหยกขาว สีหน้าแปลกใจอย่างปิดไม่มิดกับคำขอโทษคำแรกที่ได้ยินจากปากหลินจวินเจ๋อ ดูเหมือนจะเป็นคำแรกที่ได้ฟังนับจากแต่งงานมาเช่นกัน หัวใจของคนงามถึงได้เต้นระรัว ข้ามองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งมีท่าทีเคร่งขรึม เห็นความรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้าและหว่างคิ้วของเขา ดวงตาคมวาวสีดำสนิทคู่นั้นเข้มจัด ปากตาคิ้วคางดั่งรูปปั้น ใบหน้าท่วงท่าสมชายชาตรีดูคล้ายกำแพงที่ตั้งตระหง่านไม่ยอมเอนไหว นักรบยุคโบราณที่ต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองคงเป็นเช่นนี้ ข้าที่พบเจอชายทำตัวไม่ใช่ชายมาจนชินรู้สึก...ฉิบ ใจเต้นขึ้นมา
“อ่ะแฮ่ม...เอ่อ ไม่เป็นไร”
รีบสะบัดหน้าหนีมาก่อนพลางสูดหายใจควบคุมสติไม่ให้หลุดลอยไปกับภาพนักรบหนุ่มมาดแมนหน้าตาดีเบื้องหน้า แม้จะรู้ๆอยู่ว่าหลินจวินเจ๋อเองก็น่ากินแต่เนื่องจากพฤติกรรมน่าเอารองเท้ายัดปากของเขาทำให้ข้ามุ่งจะแทะแล้วทิ้งอย่างไม่ไยดี มาตอนนี้พอทำตัวเป็นผู้เป็นคนก็ถึงกับ...ไม่ หนึ่งเดียวในใจข้าคือคนงามหวงเทียนหยาง เจ้าลูกเต่าที่ทำให้คนงามของข้าต้องมีน้ำตา มันต้องถูกจับแก้ผ้าประจานเท่านั้น!
“เรื่องที่แล้วมาก็ช่างมัน ท่านพี—ท่านเองก็เถอะ จากนี้จะทำอย่างไร” ตั้งสติได้และนึกถึงเงาคนงามในกระจกข้าก็หันกลับมาพูดคุยอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้ง ตามองคนที่พัฒนาจากลูกเต่ามาเป็น...พยัคฆ์กระมัง เสือดำท่าทางพ่วงพีอาจหาญ กำลังมองมาที่ข้า ดวงตาคมกริบคู่นั้นไม่ได้ฉายแววเกลียดชังอีกแล้ว นั่นทำให้น่าดูขึ้นอีกหน่อย
“เด็กๆที่อาศัยอยู่ในจวน เจ้าจะรับดูแลพวกเขาใช่หรือไม่?”
“ใช่ เป็นข้าเองที่รับเอามาดูแลตั้งแต่ต้น เรื่องอาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม ตลอดจนอาจารย์ที่จะมาฝึกสอน ทุกอย่างวังจวิ้นอ๋องจะรับผิดชอบ ท่านอย่าได้กังวล” อีกฝ่ายถามถึงเด็กพวกนั้นก่อนใครทำให้ข้าแปลกใจ แต่ก็พยักหน้าตอบไปแต่โดยดี แม้อาซื่อผู้นี้จะไม่ค่อยชอบการทำตัวเป็นพ่อพระของหวงเทียนหยาง แต่ให้คิดว่าเป็นแหล่งผลิตกวางน้อยน่ากินก็พอไหว
“ข้าไม่ต้องการคนคอยรับใช้มากนัก พวกบ่าวไพร่ เวรยาม และข้ารับใช้บางคน ส่งคืนให้เจ้า ขออย่าได้ขายออกไปได้หรือไม่?”
“ย่อมได้ บ่าวไพร่นี้แต่เดิมก็เป็นของจวนอ๋อง ไม่คิดขายทิ้ง“
“ข้าวเปลือกข้าวสารที่ได้รับจัดสรรมา หากแบ่งสรรปันส่วนนำไปขาย..”
“ข้าจะให้เหล่าไท่ช่วยจัดการ”
“ขอบคุณ ...หลังจากนี้ทุกเดือนให้พ่อบ้านหลิวมาเบิกเงินค่าใช้จ่ายจากข้า ลดบ่าวไพร่ลงบ้างแล้ว ค่าใช้จ่ายย่อมน้อยลงบ้างกระมัง” หัวคิ้วเข้มจัดพาดเฉียงราวกับปลายดาบนั้นขมวดเข้าหากัน ท่าทีคร่ำเคร่งด้วยความไม่ชำนาญที่จะต้องจัดการเรื่องพวกนี้ทำให้ข้าอดยิ้มไม่ได้ และเป็นรอยยิ้มจริงๆ ไม่ใช่แสยะยิ้มแบบทุกครา
“ย่อมต้องลดลง ทางที่ดีท่านให้พ่อบ้านหลิวทำบัญชีไว้ จากนั้นคอยตรวจดู สิ่งใดที่สิ้นเปลืองไม่จำเป็น ตัดออกก็จะประหยัดไปได้อีก หากท่านมีข้อสงสัยก็เรียกพวกเขามาสอบถาม เหล่าไท่และพ่อบ้านหลิวจะช่วยอธิบาย”
“แล้วหนี้สินที่ค้างไว้ตลอดหนึ่งปี”
“ท่านยังไม่มีหนี้ สามี” ข้าขมวดคิ้ว จ้องมองอีกฝ่าย
“ไม่ ย่อมต้องมี หนึ่งปีที่ผ่านมาเจ้ารับผิดชอบจ่ายเงินแทนข้าจริง เป็นหนี้ยิ่งต้องสมควรจ่าย รวบรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วแจ้งต่อข้าเถอะ ข้าจะชดใช้คืน” หลินจวินเจ๋อยื่นบัญชีที่ข้าส่งมอบให้คืนมา สีหน้ายังคงเจือด้วยความรู้สึกผิด ข้ามองหน้าเขา รู้สึกแปลกใจระคนประทับใจไปด้วยกัน ความรู้สึกของการสั่งสอนลูกเต่าให้พัฒนาอีโวลูชั่นเป็นเสือดำคงจะเป็นแบบนี้ จู่ๆก็รู้สึกปลื้มเหมือนลูกชายได้ที่หนึ่งตอนสอบก็ไม่ปาน
พอเห็นความจริงจังของอีกฝ่าย ข้าก็ชักเข้าใจหวงเทียนหยางขึ้นมาอีกนิดหน่อยที่ตกหลุมรักเจ้าเสือดำตัวนี้ หลินจวินเจ๋อไม่ใช่คนโง่ ต่อให้มุทะลุดุดันตามประสาทหารอยู่บ้างแต่ก็มีสมอง เรื่องการเมืองหรืองานบัญชีไม่ถนัดแต่ก็สอนได้ พอบอกกล่าวว่าตรงๆก็รู้จักปรับตัว คนหน้าตาดีสันดานไม่ได้ชั่วร้าย เป็นคนซื่อตรงแต่ก็จริงใจเปิดเผย ถ้าเข้าหาให้ถูกทางสักหน่อย....เฮ้อ คิดแล้วยังอยากไปดึงแก้มคนงามอีกสักสองสามที
“ทั้งหมดหนึ่งแสนสี่หมื่นห้าพันตำลึง ท่านแน่ใจหรือที่จะชดใช้คืน?”
“ตอนนี้ข้ามีเงินเก็บอยู่หกหมื่นตำลึง หลังจากนี้จะให้พ่อบ้านหลิวนำมามอบให้” บอกสรุปค่าใช้จ่ายแล้วอีกฝ่ายก็นิ่งไปอึดใจก่อนจะกล่าว ข้าพยักหน้าช้าๆ มีเงินเก็บเท่านี้แสดงว่าอีกฝ่ายก็ไม่ใช้จ่ายสิ้นเปลืองนัก ถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เลว...หือ เดี๋ยวนะ
“แล้วท่านล่ะ?”
“ข้าทำไม”
“ข้าถามว่าแล้วท่านล่ะ?” เงินหกหมื่นตำลึงนี่คงเตรียมไว้แต่งเมียน้อยไม่ใช่รึ ข้าส่งสายตาถามเขาไปแบบนั้น
“ข้า..?” หลินจวินเจ๋อทวนคำถาม เมื่อเห็นแววตาสงสัยของข้าก็ยิ้ม ไม่นานจึงเข้าใจในความหมาย แต่ดูท่าทีของเขา บ่งบอกว่าคงคิดมากไม่น้อย แม่จะยังทำตัวประหนึ่งแท่งศิลา “เรื่องทุกอย่างข้าย่อมต้องพักไว้ก่อน หรือเจ้าไม่ยินดี”
“ยินดี..ข้าย่อมยินดี” ถูกถามเช่นนี้ข้าก็ยิ้มหวานหยดย้อยไปให้เขาพร้อมเอียงคอมองอย่างที่คิดว่างามแล้วน่ามองแล้วเสียทีหนึ่ง ดูจากปฏิกริยาของสามีตรงหน้า มันคงจะงามมากพอทำให้อีกฝ่ายหุบยิ้ม “แต่ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ยังต้องพยายามแต่งคุณหนูจ้าวอยู่ดี หรือมิใช่”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
อย่าทำหน้าภูมิใจมากได้ไหม อย่ากอดอกยิ้มมาดมั่นเปล่งรัศมีเรืองรองมั่นอกมั่นใจน่าหมั่นไส้แบบนั้นให้ข้าเห็นได้มั้ย ต่อให้ไม่ใช่หวงเทียนหยางยังรู้สึกคันปลายเท้ายิบๆ ชักอยากเหยียบย่ำทำลายความฝันผู้คนซะให้ดับดิ้น พอยอมลงให้หน่อยหลินจวินเจ๋อก็แสดงความรักออกมาอย่างภาคภูมิไม่เห็นหัว คิดรึเปล่าว่าข้าที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้คือเมียพระราชทานของเจ้าน่ะ ต่อให้จะเป็นคนขอให้พระราชทานตัวเองออกไป แต่เมียก็คือเมีย ทำแบบนี้กะจะก่อสงครามกันรึ!
“อย่าลืมว่าข้าเป็นฮูหยินของท่านล่ะ ท่าน-พี่”
เห็นคนทำหน้าแบบนั้นแล้วข้าหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัดจึงย้ำสองคำเน้นๆใส่เขาไป พอโดนมองด้วยท่าทีเหมือนกรุ่นๆก็เมินไปเสีย เหอะ พอยอมถอยเข้าหน่อยก็ทำลำพองใจ คิดว่าพัฒนาจากลูกเต่ามาเป็นลูกเสือมีหรือข้าจะกลัว? ข้าหยิบพู่กัน เตรียมร่างสัญญาเขียนหนังสือประทับตราหนี้สินไว้เป็นหลักฐาน ด้วยความหมั่นไส้อีกเช่นกันจึงกวักมือ ยื่นที่ฝนหมึกไปให้เขา
“ฝนหมึก ข้าจะเขียนสัญญา”
“สัญญาอันใด”
ท่านสามีลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทำสีหน้าไม่พอใจอยู่บ้างที่ถูกใช้งานแต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไร ไม่แน่คงกลัวข้าจะเอาเรื่องหนี้สินท่วมหัวมาเล่นงานอีกจึงทำตัวสงบเสงี่ยม เคลื่อนร่างใหญ่ๆนั่นมายืนอยู่ข้างโต๊ะอักษร หยิบแท่งหมึกแล้วออกแรงฝนหมึกเพียงครู่เดียวก็ได้น้ำหมึกสีดำเป็นจำนวนมาก ข้ากัดปลายพู่กัน ท่าทีเคร่งเครียดเล็กน้อย ที่กังวลไม่ใช่เรื่องรายละเอียดแต่เป็นวิธีการเขียนและสำนวน แม้จะมีความจำของร่างเดิมบอกให้ทราบว่าตัวหนังสือเป็นอย่างไร แต่ข้ายังไม่เคยลองสักที แล้วยิ่งเขียนด้วยพู่กันจีนไม่ใช่ปากกาลูกลื่นยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่
“สัญญาประทับตราหนี้สิน..ระหว่างข้าและท่าน” ลังเลไปก็ไม่ได้อะไร ข้าจึงจุ่มหมึกเริ่มเขียนในที่สุด จากชะงักในวินาทีแรกที่ตวัดปลายพู่กันกลับกลายเป็นลื่นไหล ตัวอักษรงดงามชดช้อยสามารถบรรจงเรียงร้อยออกมาได้ดั่งใจ คนสวยไม่พอยังลายมือสวย ข้าเคยได้ยินว่าลายมือของหวงเทียนหยางนั้นมีค่ายิ่งนัก ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณธ์ในฐานะสมบัติของชาติ ดูจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“ต้องเขียนสัญญาด้วยหรือ?” ท่านแม่ทัพที่กำลังฝนหมึกดูจะสนอกสนใจเรื่องนี้ไม่น้อย ข้าหันมาจุ่มหมึกเพื่มแล้วลอบส่ายหน้าให้เขา คิดๆดูแล้วอีกฝ่ายก็อายุแค่ยี่สิบห้า ยังไงเหลียงจื่อซิ่นผู้นี้ก็แก่กว่าเขาถึงสามปี ประสบการณ์ทำงานเอกสารต่างๆยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งมารวมกับความทรงจำของคนฉลาดล้ำเช่นหวงเทียนหยางแล้วก็ประหนึ่งติดปีก เห็นอีกฝ่ายบื้อใบ้ถึงขั้นไม่รู้จักจัดการเรื่องบ้านเรือน ก็จำต้องเอ่ยปากสั่งสอนเสียที
“ลมปากคนมีหรือเชื่อได้ สิ่งที่รับประกันไว้คือหนังสือสัญญา” ปลายพู่กันแตะปาดลงบนแท่นหมึกเมื่อรู้สึกว่าน้ำมากเกินไป “ท่านเองก็ร่ำเรียนรู้หนังสือมาบ้าง ไม่ทราบหรือว่าการจดบันทึกสำคัญที่สุด คนเป็นแม่ทัพยังต้องรู้หนังสือ อย่างน้อยจึงจะอ่านเขียนคำสั่งราชการได้ เรียนพิชัยสงครามจากปากเปล่ามาก็จริง แต่ว่างๆหัดเอาลมออกจากหัวบ้าง”
“เอาอะไรออกจากหัวนะ?” ท่านแม่ทัพผู้นี้ ข้าพูดจาไปยืดยาว ทำไมจำได้แค่เรื่องไร้สาระกันวะ
“ข้าหมายถึงท่านหัดอ่านหนังสือ หาความรู้เสียบ้าง” น่าเหนื่อยใจเสียจริงกับคนที่ทื่อมะลื่อเหมือนท่อนไม้ ข้าตวัดสายตากล่าวหาเขาเสียที จากนั้นก็วางพู่กัน จับเอามือซ้ายของหลินจวินเจ๋อจุ่มลงไปในน้ำหมึกลวกๆ ไม่ทันให้ท่านแม่ทัพได้ไต่ถามอะไรก็จัดการประทับลายนิ้วมือลงบนนั้น แล้วประทับลายนิ้วมือตัวเองตามไป สิ้นสุดการเขียนหนังสือสัญญาก็ส่งไปให้อีกฝ่าย
“เรียบร้อย นี่คือหนังสือสัญญาที่ประทับลายมือของท่านและข้า แสดงให้ทราบว่าท่านยังติดหนี้ข้าอีกเก้าหมื่นกว่าตำลึง จากนี้ทำตัวดีๆล่ะ สามี”
ข้าเอ่ยพลางยื่นหนังสือสัญญาที่เขียนด้วยลายมืออันสูงค่าของตัวเองมอบให้อีกฝ่าย หลินจวินเจ๋อซึ่งนิ้วโป้งยังมีรอยหมึกขมวดคิ้วก้มลงมองกระดาษเบื้องหน้า อ่านอยู่ไม่นานจึงเข้าใจและพับเก็บหนังสือสัญญานี้ไว้ในอกเสื้อ คนตัวสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นหันมาจ้องมองข้าอีกครั้ง พิจารณาด้วยสายตาบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกแปลกๆ หรือว่าความจะแตก? ไม่กระมัง อย่างหลินจวินเจ๋อที่รู้จักหวงเทียนหยางแค่ในสิ่งที่จวิ้นอ๋องอยากให้เห็น มีหรือจะจับความผิดปกติได้
“เจ้าดูเปลี่ยนไป”
“อย่างไร?” ข้าไม่ปฏิเสธ เอ่ยปากถามพลางสบตาเขา มองลึกเข้าไปในลูกตาสีดำสนิทที่สะท้อนภาพตัวเอง มันคงนานน่าดูที่หลินจวินเจ๋อไม่ได้จ้องมองและสบตาหวงเทียนหยาง เนื่องจากใจไม่รักดีนี่กำลังเต้นโครมครามอีกรอบ
“เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน”
“ท่านเห็นแค่ในสิ่งที่ข้าอยากให้เห็น ไหนเลยจะรู้ว่าข้าเปลี่ยนไปหรือไม่เปลี่ยนเลย” ที่สุดแล้วท่านแม่ทัพสมองหมูก็อธิบายอะไรมากไม่ได้ ข้ารู้สึกโล่งใจพร้อมๆกับรู้สึกอยากกลั่นแกล้งเขาขึ้นมา ดูท่วงท่าอาจหาญของคนที่กอดหนังสือสัญญาแนบอกแล้วมันช่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
“แล้วท่านชอบข้าแบบไหนมากกว่ากันล่ะ ท่านพี่”
ป๊าบ!!
“เจ้า!!”
สิ้นเสียงตะโกนด้วยความโกรธข้าก็ยิ้มออกมาอย่างขบขัน ใบหน้ายังคงอาการไม่สะท้านสะเทือน ชม้อยชายตาน่าคลื่นไส้ให้สามีคนดีไปด้วย แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ให้มองอีกแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่เดินตึงๆออกไปจากห้องอักษรด้วยอาการกัดฟันกรอดๆและใบหน้าแดงก่ำ มือกำหมัดแน่นท่าทางเหมือนอยากจะฆ่าคนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนข้าที่พยายามกลั้นหัวเราะแทบตาย แต่สุดท้ายก็หลุดขำพรืด
ไม่นึกเลยว่าท่านแม่ทัพแดนใต้ยังมีดีอีกอย่างนอกจากหน้าตาและฝีมือ นั่นคือบั้นท้ายฟิตปั๋ง!!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภรรยาที่ดีต้องลวนลามสามีทุกวัน //อาซื่อหล่อนมันร้าย55
รู้สึกตั้งแต่สามีโผล่ออกมาก็โดนลวนลามทุกตอนเลยค่ะ555 สมเป็นเกย์หนุ่มมือไวใจเร็วแห่งคศ.20 (แล้วจู่ๆท่านแม่ทัพก็กลายเป็นเหยื่อขึ้นมา เอ๊ะ! เหยื่อแต่แรกแล้วเหรอ(...)
ส่วนตอนนี้ ท่านแม่ทัพก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดน้า ต่อให้ตรงเกินไปบ้างแต่ก็เป็นคนดีและจริงใจ หวงเทียนหยางจีบหนุ่มผิดวิธีจริงๆล่ะค่ะผลลัพธ์ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ จีบถูกวิธีมันต้องแบบอาเหลียงที่จับตรงไหนได้ให้จับ #ผิดแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หาเงินมาชดใช้ แถมยังถามถึงหนี้เก่าอีก
ถึงจะสมองหมูไปหน่อย แต่เนื้อแท้ก็เป็นคนดี 5555