ตอนที่ 30 : มีคือมี ไม่มีคือมี
‘อุบายเมืองร้าง'ในข้อนี้คืออันใด?
อธิบายด้วยมุมมองของคนที่เรียนประวัติศาสตร์และวรรณกรรมมาพอสอบเข้า ท่านอาซิ่นคนนี้ก็รู้จักกลเมืองร้างนี้มาจากละครเรื่องสามก๊กฉบับคลาสสิค ถามคนที่โตมากับฮ่องกงยุคTVBครองเมืองซิ มีหรือจะไม่รู้จักละครประวัติศาสตร์เรื่องนั้น ฉากจูกัดเหลียงสวมชุดสีน้ำเงินดีดกู่ฉินบนเชิงเทินฉากหลังคือกำแพงเมืองไร้ผู้คน เขามีเพียงหนึ่งคนไร้กองทัพหนุนหลังกลับทำใหทัพนับพันที่ประจัญหน้าอยู่ถอยหลังได้ สมกับเป็นหนึ่งในสุดยอดสามสิบหกกลยุทธ์อันลือชื่อ
ภาพที่เห็นในละครเรื่องนั้นทุกอย่างมันช่างง่ายดายและชวนฮึกเหิม แต่ในความจริงเรื่องราวไม่ได้ง่ายแบบนั้น ทหารทั้งหลายมีใครไม่รู้จักกลยุทธ์นี้ ควักมาใช้ผิดที่ทางนอกจากจะไม่รอดแล้วยังอาจส่งผลเสียรุนแรง ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนมิใช่คนโง่ นอกจากหน้าด้านอย่างยิ่งแล้วยังเจ้าเล่ห์ฉลาดร้าย ดังนั้นจึงต้องวางแผนซ้อนแผนกันหลายชั้น โดยหลักคือใช้อุบาย'มีคือมี'ซ้อนกลคนที่รู้อุบาย’มีคือไม่มี' อันเป็นหลักสำคัญของกลเมืองร้าง
ขั้นแรก ทัพไห่เยี่ยนเตรียมโจมตีฐานที่มั่นที่ห้าซึ่งบัดนี้กลายเป็นฐานทัพใหญ่ อีกฝ่ายเตรียมกำลังโจมตีอยู่บริเวณฐานที่มั่นที่หกซึ่งมากด้วยทัพม้า ดังนั้นทหารม้าที่เคลื่อนที่เร็วดุจปีศาจของไห่เยี่ยนจึงจะเป็นทัพหน้าอย่างแน่นอน หลินจวินเจ๋อจึงให้แม่ทัพจื้อผู้โดดเด่นด้านการตั้งรับอันดุดันหนักหน่วงเป็นทัพหน้า รับหน้าศึกพร้อมกำลังพลสองหมื่น
ขั้นที่สอง ศึกครั้งนี้เริ่มในยามค่ำคืน ดังนั้นความมืดจึงเป็นทั้งอุปสรรคและของขวัญ แม่ทัพโม่พร้อมทหารฝีมือดีอีกเจ็ดพัน อ้อมจากฐานที่มั่นที่หนึ่งไปยังฐานที่มั่นที่เจ็ด เข้าโจมตีชิงสร้างความวุ่นวายหลอกให้ทัพใหญ่ของไห่เยี่ยนหัวปั่น อีกทางก็ให้ทหารลอบเข้าไปเผาเสบียงของทัพไห่เยี่ยน แม่น้ำหลวนหลงถูกปิดทางน้ำตั้งนานแล้ว หากเพลิงลุกไหม้ระหว่างทำศึกใหญ่แม้รีบร้อนเพียงใดก็ไม่มีน้ำให้ดับไฟ
ขั้นที่สาม นี่จึงเป็นการใช้ประโยชน์จากอุบายเมืองร้าง หลังปะทะทัพม้าของไห่เยี่ยนแล้วแม่ทัพจื้อจะแสร้งถอยให้ทัพไห่เยี่ยนตามเข้ามาจนถึงหน้าฐานที่มั่นที่ห้าซึ่งไร้ผู้คน ไร้ธงรบ ไม่มีแม้แสงไฟยามค่ำคืน ประตูเปิดกว้าง ให้ทหารที่รอดชีวิตวิ่งเข้าไปแล้ว ‘รอ'ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร
หากไห่เยี่ยนคิดว่านี่คือกลอุบาย ไม่ตามเข้าไปในฐานที่มั่น พลซึ่งซุ่มอยู่นอกฐานที่มั่นก็จะโจมตีขนาบข้าง และทหารที่ซ่อนตัวอยู่ในฐานที่มั่นที่ห้าก็พร้อมออกมาปะทะกันซึ่งหน้า แต่หากไห่เยี่ยนคิดตามเข้ามา ทหารที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในก็จะปะทะกันโดยตรงโดยมีทัพใหญ่ซึ่งนำโดยหลินจวินเจ๋อที่ซุ่มรออยู่ด้านนอกชักนำไพร่พลเข้าโจมตีตลบหลัง
ไห่เยี่ยนคิดตีฐานที่มั่นที่ห้าคืน ขณะที่เทียนจิ้นก็คิดปกป้องฐานที่มั่นแห่งนี้ ดังนั้นทั้งสองจึงจดจ่อโดยหารู้ไม่ว่าเป้าหมายจริงของเทียนจิ้นในคืนนี้คือฐานที่มั่นที่เจ็ด การเผาเสบียงทำลายขวัญกำลังใจทหารไห่เยี่ยนหรือการโจมตีโดยแม่ทัพโม่ล้วนเป็นแผนหลอกดึงความสนใจ สร้างความสับสนเท่านั้น กำลังเสริมอีกสามหมื่นของแม่ทัพจ้าวจากฐานที่มั่นที่สองต่างหากคือตัวจริงที่จะใช้ตีชิงฐานที่มั่นที่เจ็ดซึ่งวุ่นวายเพราะถูกเผาเสบียง
การหลอกล่อแบ่งความสนใจเป็นหลายชั้นหลอกให้อีกฝ่ายหัวหมุน แผนนี้เป็นแผนสำหรับรับมือคนฉลาดที่เต็มไปด้วยความระแวงเช่นองค์ชายเจ็ดโดยเฉพาะ ให้เขางวยงงและไม่ชัดเจนว่าความมุ่งมาดปราถนาของทัพเทียนจิ้นแท้จริงคือสิ่งใด แต่แผนการนี้แม้คิดวางแผนรวบรัดก็ต้องอาศัยความระมัดระวังในการแบ่งกำลังพลเป็นอย่างมาก หมากตานี้เทียนจิ้นเลือกเทหมดหน้าตักหากสำเร็จแล้วยึดฐานที่มั่นที่เจ็ดและปกป้องฐานที่มั่นที่ห้าได้ทัพไห่เยี่ยนจะถูกล้อมและตกเป็นรองอย่างชัดเจน
สำคัญอีกอย่างคือการเก็บความลับ เนื่องจากแน่ใจแล้วว่าข่าวรั่วไหลมาจากสายลับของไห่เยี่ยน เพื่อความไม่ประมาทข้ากับหลินจวินเจ๋อจึงสุ่มหัวกันวางแผนซ้อนแผน เลือกใช้วิธีเช่นที่ข้าเคยใช้ เรียกแม่ทัพเข้ามาทีละคน บอกเล่าแผนการที่อีกฝ่ายต้องทำโดยไม่แจ้งเรื่องอื่น ไม่ได้อธิบายทุกอย่างเหมือนเคย ให้พวกเขาทราบเพียงนี่คือกลเมืองร้าง ให้ทุกคนเข้าใจว่าจะรับมือการโจมตีขององค์ชายเจ็ดด้วยกลยุทธ์นั้นตามที่ได้ตกลงกันไว้
แท้จริงแล้วนี่เป็นมาตรการรักษาความลับทึ่ข้ากับท่านแม่ทัพใหญ่วางไว้ นี่คือแผนสร้างความสับสนโดยเอากลเมืองร้างมาตบตา จะหลอกผู้อื่นย่อมต้องหลอกคนของตัวเองให้ได้ก่อน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากพวกเราสองคน สิ่งที่ทำนี้เป็นการจำกัดวงข่าวสาร ให้คนทราบแผนการเพียงจำกัด ไม่ว่าสายลับผู้นั้นเป็นใครเขาจะไม่มีทางล่วงรู้แผนการได้ทุกขั้นตอน
เสียงกลองตึงตังยังดังขึ้นไม่หยุดขณะที่ความมืดเข้าปกคลุม กองทัพไห่เยี่ยนตีกลองเตรียมบุกตั้งแต่ยามเย็นแล้ว แม่ทัพทุกท่านเตรียมพร้อมออกศึก ส่วนข้าหลังปรึกษาวางแผนกับหลินจวินเจ๋ออยู่ถึงยามซวี(19.00 น.) ก็กำลังเตรียมเดินทางไปยังฐานที่มั่นที่หนึ่ง
พระจันทร์ลอยขึ้นแล้วยามเตรียมออกเดินทาง แม้ทหารส่วนมากจะถูกแบ่งกำลังพลไปยังฐานที่มั่นที่ห้าซึ่งเป็นทัพใหญ่ แต่ฐานที่มั่นที่หนึ่งยังคงเป็นที่มั่นสำคัญไม่ได้ถูกละทิ้ง ที่นั่นกลายเป็นแหล่งดูแลทหารบาดเจ็บและจุดรับข่าวสารสำคัญ ตอนนี้ฐานที่มั่นที่ห้ากำลังจะถูกเข้าโจมตีไม่เหมาะจะอยู่ ดังนั้นข้าจึงถูกหอบขึ้นหลังม้าไปกับทัพยอดฝีมือของแม่ทัพโม่ ฉวยจังหวะที่ทัพหน้าของแม่ทัพจื้อออกรับข้าศึกขี่ม้าอ้อมไปยังฐานที่มั่นที่หนึ่ง
“สวมหมวกไว้เสียหน่อย เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน”
ท่ามกลางแสงจันทร์นวล ใบหน้าของหลินจวินเจ๋อซึ่งนำกำลังพลเคลื่อนออกจากฐานที่มั่นที่ห้าเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง เขายังมาส่งพร้อมกับเดินเข้ามาวางหมวกเกราะหนักๆแล้วใช้มือผูกเชือกให้หมวกเกาะอยู่บนศีรษะของข้าแล้วผละออกมา ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาอย่างเงียบเชียบหากส่งความหมายมากมายเกินจะกล่าว คนอยู่ในเกราะใหญ่สะท้อนแสงจันทร์นวล โดยรอบมีเพียงความมืดมิด ฐานที่มั่นที่ห้าดับไฟเงียบเชียบปลดธงออกเรียบร้อยแล้ว ทัพใหญ่แบ่งไพร่พลเคลื่อนออกมาเงียบๆ ทหารกลุ่มใหญ่สำหรับโจมตีกระหนาบมีหลินจวินเจ๋อคอยคุม อีกส่วนที่มุ่งไปฐานที่มั่นที่เจ็ดคือกำลังพลของแม่ทัพโม่
“ขอบคุณมาก” ข้าจัดหมวกเกราะบนศีรษะด้วยมือตนพลางยิ้มน้อยๆหัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นปนหวั่นๆ หลินจวินเจ๋อมองข้า เขาพยักหน้าแล้วหันไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา
“ฝากแม่ทัพโม่ดูแลท่านอ๋องด้วย”
“ผู้น้อยจะดูแลอย่างสุดความสามารถ ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ” โม่เหยียนเฉวียนในชุดเกราะองอาจกล่าวพลางประสานมืออย่างเคร่งขรึม
“ท่านเองก็ระวังตัวด้วย” เห็นแม่ทัพโม่เตรียมโดดขึ้นม้า ข้าทราบว่าต้องไปแล้วจึงเอ่ยสำทับสบตาสีดำวาววามคู่นั้น โม่เยี่ยนเฉวียนยื่นมือมาดึงข้าขึ้นม้า ข้าเกาะหลังแม่ทัพโม่ท่ามกลางไพร่พลที่นิ่งรอคอยเตรียมตัวเดินทาง
“ไม่เกินยามโฉ่ว (01-03 น.) ข้าจะไปรับ รักษาตัวด้วย!” หลินจวินเจ๋อเองก็กระโดดขึ้นม้า หากตาคู่นั้นจ้องข้าเขม็งกล่าวเคร่งขรึม
“ข้าจะรอ ท่านพี่”
ข้าระบายยิ้มน้อยๆ กล่าวกับเขาโดยเรียกสามีกลางสาธารณะชนเป็นครั้งแรกด้วยใจคิดจะแหย่อีกคนเล่นให้คลายความเครียดเสียหน่อย แต่ครั้งนี้คนที่ต้องแปลกใจกลับเป็นข้า วาจาที่ภรรยาเอ่ยเรียกสามีหาได้ทำให้หลินจวินเจ๋อหงุดหงิดอับอาย สามีกระทำเพียงเลิกคิ้วน้อยๆ ขยับริมฝีปากคล้ายบอกว่า'ฝากไว้ก่อน'ชวนให้คันหัวใจอย่างยิ่ง
ขยับปากบอก'ไม่กลัวหรอก'แล้วข้าก็เบือนหน้าหนี ปล่อยให้รอยยิ้มเต็มแก้มกลืนไปกับสายลมหวีดหวิว เสียงกีบม้า และแสงจันทร์กระจ่างตา
แผนของข้าและเขาเริ่มขึ้นแล้ว..
++++++
ใกล้ถึงยามไห่(21.00 น.)หลังพาข้ามาถึงฐานที่มั่นที่หนึ่ง แม่ทัพโม่ก็นำทัพเดินทางไปถึงฐานที่มั่นที่เจ็ดแล้ว ข้าทราบข่าวจากแสงไฟที่ปะทุขึ้นมาจากอีกฝั่ง ส่วนไพร่พลของแม่ทัพจื้อก็ถอยมาจนถึงประตูฐานที่มั่นที่ห้าซึ่งไร้ผู้คน ทัพไห่เยี่ยนไม่เข้าปะทะดังคาด ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนใช้พลธนูยิงธนูไฟเข้าไปยังฐานที่มั่นที่ห้า ดังนั้นหลินจวินเจ๋อจึงนำทัพใหญ่ตีกระหนาบ การศึกปะทะกันอย่างดุเดือด ยังไม่ทราบผลแพ้ชนะ
“ท่านอ๋อง แม่ทัพจ้าวพร้อมกำลังพลสามหมื่น เดินทางถึงฐานที่มั่นที่เจ็ดแล้ว”
เข้ายามจื่อ(23.00 น.) ขณะที่ข้ากำลังนี่งเขียนรายงานการรบส่งไปยังเมืองหลวง เสียงแจ้งข่าวจากกุนซือซุนก็ดังขึ้น ข้าพยักหน้าให้เขาอย่างพอใจ ทุกอย่างยังคงเป็นไปนามแผน หลังจุดไฟเผาเสบียงทัพไห่เยี่ยนเรียบร้อย แม่ทัพจ้าวซึ่งคุมกำลังพลสามหมื่นของฐานที่มั่นที่หนึ่งก็เร่งนำทัพเข้าโจมตีฐานที่มั่นที่เจ็ดตามแผน เมื่อยามนี้ไปถึงแล้ว ขั้นต่อมาคือแม่ทัพโม่จะถอนกำลังกลับ
“กุนซือซุน ฝากกำชับแม่ทัพเหลียงเชาให้ช่วยดูแลความเรียบร้อยด้วย”
“ขอรับ ท่านอ๋อง”
คล้อยหลังซุนลู่หยุน ข้าวางพู่กันในมือ มองไปยังทางเข้ากระโจมเงียบๆ ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของการรบเบื้องนอกสภาพในค่ายทัพนี้ต่างหากที่สะกดให้เลือดในกายหนาวเหน็บ
ตอนนี้ หรือกล่าวได้ว่าอีกหนึ่งชั่วยาม ฐานที่มั่นที่หนึ่งนี่คือ'เมืองร้าง’ที่แท้จริง
กำลังพลของเทียนจิ้นตอนนี้เรียกว่าถูกนำมาใช้เต็มอัตราศึก เดิมทีกำลังพลที่เหลือโดยไม่นับรวมคนจากค่ายใหญ่คือเก้าหมื่น จากสงครามหลายวันที่ผ่านมาทำให้ทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนไม่น้อย ดังนั่นทหารที่ใช้การได้จึงมีเจ็ดหมื่นคนโดยประมาณ แม่ทัพจื้อนำไพร่พลหนึ่งหมื่นรับทัพไห่เยี่ยน หลินจวินเจ๋อรับหน้าที่ตีกระหนาบได้ไพร่พลไปสองหมื่น แม่ทัพโม่นำคนเจ็ดพันโจมตีฐานที่มั่นที่เจ็ดพร้อมลอบเผาเสบียง จากนั้นแม่ทัพจ้าวนำไพร่พลอีกสามหมื่นยกไปโจมตีฐานที่มั่นที่เจ็ด เหลือคือทหารอีกไม่เกินสามพันเฝ้าฐานที่มั่นที่หนึ่งและฐานที่มั่นที่สอง นี่คือช่วงเวลาเปราะบางของสถานการ์ณ หากทัพไห่เยี่ยนคิดโจมตีย่อมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
นี่เป็นสถานการณ์ที่จูกัดเหลียงเผชิญยามต้องใช้อุบายเมืองร้างในครานั้น เพราะไพร่พลมีน้อยไม่อาจต่อกรจึงต้องเล่นเล่ห์กล ข้าเองก็เช่นกัน แต่หากไม่เสี่ยงมีหรือจะสามารถชิงชัย เมื่อคิดวางแผนนี้มีหรือจะไม่ทราบถึงผลกระทบ แต่เล่นไพ่ยังต้องรู้จักเกไพ่ เมื่อเทหมดหน้าตักย่อมต้องลองเสี่ยง โอกาสเช่นนี้หากปล่อยไปก็ไม่มีอีกแล้ว ถ้าคืนนี้สามารถยึดฐานที่มั่นที่เจ็ดคืนมาได้ ทัพไห่เยี่ยนก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีก ที่ต้องทำคือเฝ้าระวังจนกว่าจะถึงยามโฉ่ว(01.00น.) หลังแม่ทัพโม่วนำไพร่พลคุมกำลังเจ็ดพันมาถึง เรื่องทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี
ตอนนี้ในฐานที่มั่นที่หนึ่งมีผู้คนอยู่หลายพัน แต่ส่วนมากนั้นคือผู้บาดเจ็บที่นอนอยู่ในโรงหมอ ส่วนไพร่พลทหารที่ประจำการอยู่มีประมาณพันกว่าคนถูกควบคุมโดยแม่ทัพเหลียงเชาเพื่อตรวจตราอย่างกวดขัน ส่วนฐานที่มั่นที่สองมีแม่ทัพเว่ยคุมกำลังหนึ่งพันรักษาการอยู่เช่นกัน จุดสำคัญของทัพเทียนจิ้นที่ต้องแสดงคือจุดนี้ ‘มีคือมี ไม่มีคือมี'ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตบตาศัตรูว่ามีกำลังพลรักษาการอยู่มากให้จงได้ เพื่อมิให้ทัพไห่เยี่ยนรู้ความนัยอาศัยโจมตี หากสามารถประคองตนผ่านไปได้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน
คลี่เอาแผนผังฐานที่มั่นที่หกมาอ่านดูเมื่อข้ามิอาจทำใจให้สงบเพื่อเขียนรายงานต่อ พยายามวิเคราะห์สภาพฐานที่มั่นที่หกไปพลางๆเตรียมคิดแผนโจมตีต่อหากทุกอย่างสำเร็จ หากเทียนจิ้นครองฐานที่มั่นที่หกได้ ไห่เยี่ยนก็ถูกล้อมแล้ว..
“ท่านอ๋อง” ขณะที่ข้ากำลังฝันหวานคิดไปล่วงหน้าถึงความสำเร็จ กุนซือซุนก็เดินเข้ามาพลางเรียกด้วยสีหน้าผิดปกติเล็กน้อย “มีผู้มาขอเข้าพบขอรับ”
“ในเวลานี้น่ะรึ?” ข้าทวนคำด้วยสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน ในยามศึกกระชั้นชิด มีใครมาถามอยากพบหน้า หรือจะมีข่าวอะไรแจ้ง?
“ขอรับ คนผู้นั้นกล่าวว่าชื่อเส้าไป๋ เป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง มากับคนติดตามชื่อเสี่ยวเจี๋ยขอรับ”
“เส้าไป๋?” ยิ่งฟังข้ายิ่งรู้สึกไม่เข้าท่า เส้าไป๋ได้รับคำสั่งจากข้าให้คอยจับตาเสี่ยเจี๋ยตลอดจนมู่เซินอยู่ในเมืองถานเฟิ่ง ไม่มีสาเหตุอันใดที่เด็กน้อยผู้นั้นจะปรี่มาขอเข้าพบยามดึกคืนรบทัพจับศึกเช่นนี้ อีกทั้งไม่มีจดหมายแจ้งล่วงหน้า หากมีอะไรพวกเขาควรบอกแก่เหล่าไท่ที่รังอยู่ค่ายใหญ่มิใช่หรือ หรือจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น?
“พวกเขาอยู่ที่ใด กุนซือซุน?”
“เนื่องจากทหารยามไม่คุ้นหน้า จึงคุมตัวไว้แล้วให้ข้ามาแจ้งข่าวแก่ท่านอ๋อง ตอนนี้ทั้งสองอยู่ที่ประตูค่ายขอรับ”
“ดี” ทหารเหล่านี้มิใช่คนติดตามของข้า ไม่แปลกที่เขาตลอดจนกุนซือซุนไม่รู้จักหน้าเส้าไป๋ “พาข้าไปเถอะ”
“ท่านอ๋องเชิญ” ซุนลู่หยุนผายมือนำข้าแล้วเดินไป
เดินตามหลังกุนซือซุนสู่ประตูด้านหน้าข้าก็มองดูไพร่พลทหารที่เดินตรวจตรากันพลุกพล่านไปด้วย ดวงจันทร์ใกล้จะลอยเหนือศีรษะแล้วเวลาที่แม่ทัพโม่ใกล้มาถึงคงอีกไม่นาน จากนั้นหลินจวินเจ๋อก็สัญญาว่าจะมาถึงก่อนยามโฉ่ว รอฟังข่าวจากแม่ทัพจ้าว…
“กุนซือซุน แน่ใจหรือว่าใช่ทางนี้?” ข้าหยุดฝีเท้าพลางเลิกคิ้วขึ้นช้าๆมองสภาพรอบกายที่ดูจะไม่ใช่ทางไปประตูหน้าอย่างที่อีกฝ่ายบอก ซ้ำผู้คนยังค่อนข้างบางตาอย่างน่าสงสัย ข้าหันไปมองซุนลู่หยุน หรือว่าคนผู้นี้…
“พอดีข้าได้บอกให้ทหารนำตัวพวกเขามารอที่นี่น่ะขอรับ จะได้ไม่ลำบากท่านอ๋องมาก” ซุนลู่หยุนหันมายิ้มตอบ
“เช่นนั้นหรือ งั้นรบกวนกุนซือซุนพาพวกเขามาหาข้าที่กระโจมด้วยก็แล้วกัน”ข้ามองรอยยิ้มนั้นแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ฝ่าเท้าขยับหมุนตัวคิดเดินกลับอย่างไม่ไว้ใจ
“ได้ขอรับท่านอ๋อง” น้ำเสียงตอบรับอย่างรวดเร็วคล้ายไม่มีเรื่องราวใดดังมาจากปากอีกฝ่าย กล่าวจบแล้วซุนลู่หยุนก็หมุนตัวเดินต่อ อัปกริยาไร้ท่าทีผิดปกติทำให้ข้าเบาใจ แต่คิดระแวงไว้ในสถานการ์ณนี้ย่อมดีกว่าปล่อยปละละเลย
“หึ หลบได้ดีไม่น้อย”
บัดซบบบบบบบบบ
ให้มันได้อย่างนี้! ไม่ทันวางใจว่าตัวเองคิดมากไปซุนลู่หยุนก็หันกลับมาพร้อมกระบี่อ่อนในมือ ข้าทายอะไรดีๆไม่ถูกไยแม่นเรื่องพวกนี้ได้ อีกฝ่ายไม่พูดเปล่ายังตรงเข้ามาหาข้าพร้อมกระบี่คมกริบในมือ ซุนลู่หยุน!ไอ้ลูกตะตาบเป็นหมัน! นี่มันรังแกคนไม่มีทางสู้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีความแค้นหรือเป็นสายลับแต่หลอกข้ามาที่เปลี่ยวคนแล้วยังชักดาบมาเล่นงานกันอีกมันเรียกว่าปอดแหก! แน่จริงก็ใช้มือเปล่าสิวะ แน่จริงก็มาลองมวยข้างถนนกับเหล่าจือไหมล่ะ!
สถบในใจอย่างดุเดือดแน่สภาพข้าในร่างคนงามเริ่มเหงื่อตกกีบแล้ว ทำไมข้าต้องมาวิ่งหนีคนถือกระบี่คิดฆ่ากันสภาพแบบนี้ด้วยหา ภาพคนงามวิ่งหนีหน้าตั้งนี่แม้งามแต่ก็ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง อาวุธก็ไม่มีแล้วยังโชคร้ายอีก ใครบอกว่าเป็นอ๋องโชคดี ข้าขอคัดค้าน! ข้าอยากกลับไปตบหัวตัวเอง!
“ทหาร!!!”
“เปล่าประโยชน์ พวกมันถูกกำจัดหมดแล้ว ไม่ได้ยินหรอก” ซุนลู่หยุนกล่าวพลางหลบท่อนไม้ที่ข้าหยิบมาเป็นอาวุธชั่วคราว อีกฝ่ายหัวเราะหยันพลางลูบปลายคางตนเองด้วยท่าทีของท่านกุนซือผู้น่าเลื่อมใส “ได้ข่าวว่าจวิ้นอ๋องพอมีฝีมือดาบบ้าง แต่สุดท้ายก็เท่านี้เองหรือ?”
“หึ คนถือดาบสู้คนมือเปล่า ท่านกล้าวิจารณ์เช่นนี้ไม่อายตัวเองรึ” ฝีมือดาบกับผีอะไรกันล่ะ นี่คือเหลียงจื่อซิ่นมิใช่หวงเทียนหยางตัวจริง ข้าจำได้แค่เพลงดาบงูๆปลาๆเท่านั้น แถมยังไม่มีดาบได้แต่ถือไม้สู้ด้วยท่าทีเก้ๆกังๆสุดบรรยาย มาพูดจาแบบนี้แน่จริงก็โยนกระบี่ทิ้งสิ!
“ขออภัย แต่คิดให้ข้าทิ้งดาบ ย่อมไม่ง่าย”
“เช่นนั้นก็ควรหุบปาก!” ข้าล่ะเกลียดคนรู้ทัน
“เช่นนั้นท่านอ๋องก็ไม่ควรเหม่อคิดเรื่องอื่นระหว่างประดาบกัน”
นี่เจ้ากล้าเรียกการถือกระบี่ไล่ตีคนถือไม้ว่าเป็นการประดาบด้วยรึ
ข้ามองซุนลู่หยุนด้วยสายตาแฝงความเวทนาในหลายจุดขณะที่กระบี่อ่อนเล่มบางพาดอยู่ตรงลำคอ ท่อนไม้ในมือข้ากลายเป็นเศษไม้ไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่มันซื้อเวลาให้ข้าได้ไม่มาก ข้าจ้องมองดวงตาสีดำสนิทของท่านกุนซือเบื้องหน้าห รี่ตาลงเล็กน้อยพลางยิ้ม
“กุนซือซุนรู้สึกภูมิใจหรือไม่ที่ชนะคนมือเปล่า?”
“ไม่ว่าจวิ้นอ๋องจะพยายามพูดจาเช่นไรก็เสียแรงเปล่า” ร่างในอาภรณ์สีเปลือกไม้เดินมาหาข้าช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจในชัยชนะ
. “คงเป็นเป็นเช่นนั้น คนที่เจ้าฟังคงมีแต่ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยน”
“ท่านอ๋องยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย” แววตาผู้กล่าวเปล่งประกายวาบเมื่อยินคำกล่าวของข้า ซุนลู่หยุนยิ้มน้อยๆ ก้าวมาประชิดอีกขั้น “เจ้าสงสัยข้าตั้งแต่เมื่อใด?”
“ข้าสงสัยทุกคน ทุกคนในที่ประชุมแม่ทัพทุกนามที่อยู่ในกระโจมหลังนั้น”,เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ข้าก็ขยับไปใกล้เขาเช่นกัน ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยขณะแย้มรอยยิ้มหวานท่ามกลางแสนจันทราชวนผู้คนเพ้อคลั่ง
“แต่ข้าเองก็ไม่คิดว่าเราจะเลี้ยงสุนัขทรยศนายตัวหนึ่งมานานถึงเพียงนี้ น่าเสียดายจริงๆที่แม่ทัพเช่อจงต้องมาตายเพราะเจ้า!”
“เจ้ามันจะรู้อะไร!!”
เหล่าจือเองก็ไม่อยากฟังดราม่าของเอ็งโว้ย!
ไวเท่าความคิดเมื่อซุนลู่หยุนทำท่าจะโผเข้ามาหาด้วยท่าทีเพ้อคลั่ง ข้าก็ยกเท้าถีบกลางลำตัวของเขาทันที ไม่คิดสนใจหรอกว่าเขาจะมีความแค้นหริอเรื่องสะเทือนใจอะไรเป็นแรงผลักดันให้ทำแบบนี้ จะบ้านพังเพราะใครก็ไม่เกี่ยวกัน!
บรรจบเหยียบขยี้หว่างขาแล้วก็พลันได้ผล อันว่าดวงใจชายไหนเลยกระทบกระเทือนได้ เล่นงานข้าแบบนี้ข้าก็ไม่ลังเลหรอกที่จะโจมตีใต้เข็มขัด คิดแล้วก็กระทืบซ้ำอย่างไม่แยแส เชิงกระบี่ไม่ถนัดแต่ถ้าเชิงมวยจรจัดข้ามั่นใจ!
“อึ่ก! เจ้า!!” ดวงตาคนเหมือนมีประกายแค้นพวยพุ่งเมื่อข้าตรงเข้าคร่อมทัพเตรียมเผด็จศึกด้วยลีลาแบบอันธพาลข้างถนน หึ ชาติก่อนเหล่าจือเองก็เคยเป็นกุ๊ย ให้ต่อสู้แบบประชัดนี่ข้าถนัดนักล่ะ คิดกระทืบคนอื่นต้องรับได้ตอนโดนคนอื่นกระทืบสิวะ ว่าแล้วข้าก็บรรจงมอบกำปั้นแห่งความแค้นให้มันอีกสักหลายที
“ข้าทำไม หรือคนอย่างจวิ้นอ๋องต่อยคนไม่ได้?” ข้าถามท่ามกลางเสียงหมัดกระทบหน้าทำเอาอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง คิดว่าเหล่าจือเป็นลูกพลับนิ่มๆให้บีบรึไง จำไว้ซะว่าข้าเป็นกระบองเพชร บีบมาแกนั่นล่ะจะถูกหนามตำคามือ!
“ข้าก็ไม่คิดอยู่เฉยเช่นกัน!”
“อ่----“ เพราะประมาทไปอีกฝ่ายจึงสะบัดแขนคิดพลิกกายกลับ เรี่ยวแรงของจวิ้นอ๋องที่ทับอยู่ไม่ได้มีมากนักจนเซไปตามแรง ข้าพยายามระดมหมัดชกไปที่เขาแล้วพลันชะงัก ดวงตากระจ่างวาบเมื่อนึกได้ถึงของที่อยู่ในชายเสื้อ คิดดังนั้นจึงรีบชักมีดสั้นที่สามีอันเป็นที่รักให้มาพุ่งเข้าไปหาทันที
“….”
ข้าลุกขึ้นรีบเตะกระบี่อ่อนของซุนลู่หยุนออกห่างทันทีขณะดวงตาเบิกกว้าง จ้องภาพเบื้องหน้าตาไม่กระพริบ ข้าจำได้ว่าหลินจวินเจ๋อเคยกล่าวเรื่องมีดสั้นนี้ว่ามียาพิษรุนแรง แต่เพียงชักมีดแทงลงที่ไหล่แล้วอีกฝ่ายเบิกตากว้างเริ่มชักกระตุก ลือดทะลักออกจากปากในชั่วพริบตาก็ สิ่งที่เกิดก็ช่างเป็นภาพเหนือจินตนาการจริงๆ..
ข้าฆ่าคนไปแล้ว
“จวิ้นอ๋องช่างไม่ธรรมดาสมคำร่ำลือจริงๆ”
เสียงบางอย่างที่คุ้นหูอย่างประหลาดดังขึ้นเบื้องหลัง ไม่ทันหันกลับไปมองกลับรู้ชาวาบและเจ็บตื้อที่ลำคอ ข้าพยายามเบิกตาฝ่าความง่วงงุนที่เข้ามารุกไล่ ก่อนสติจะปลิวหายไป ที่มองเห็นเป็นเพียงเสี้ยวหน้าคุ้นเคยสะท้อนแสงจันทร์ฉายของคนๆหนึ่ง
หวังอี้เสี่ย?
++++++++++++++++
ท่านแม่ทัพอุตส่าห์นัดว่าจะมารับ รอเก้อแล้วแถมเมียหาย งานนี้ไหน้ำส้มระเบิดแน่ๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ท่านแม่ทัพกลับมาได้แล้ว
ฮืออ....อาซิ่นถูกลักพาตัวไปแล้วน้า!