ตอนที่ 29 : ดวงตาต้องสาปขององค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยน
ฐานที่มั่นที่หนึ่งซึ่งบัดนี้กลายเป็นที่ตั้งทัพใหญ่ของเทียนจิ้น ภายในกระโจมของแม่ทัพใหญ่หลินจวินเจ๋อ บนโต๊ะเขียนหนังสือมีร่างบุรุษผู้หนึ่งนั่งอ่านจดหมายอยู่ ร่างเพรียวในชุดเสื้อผ้าทะมัดทะแมงประกอบด้วยใบหน้างามล้ำสะดุดตาผู้พบเห็น ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นเพ่งมองสารส่งข่าวในมือ เจ้าตัวนิ่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองกระดาษพลางขมวดคิ้วน้อยๆ คร่ำเคร่งไม่รับรู้ความเป็นไปภายนอก สิ่งที่ปรากฏทำให้ดวงตาของหลินจวินเจ๋อทอประกายลึกล้ำ นิ่งมองอยู่ครู่ใหญ่คล้ายอยากเก็บภาพที่เห็นไว้ในความทรงจำก่อนจะเดินตรงเข้าไป
“เหล่าไท่ส่งข่าวมาแล้ว” ได้ยินเหมือนมีใครเข้ามา..ข้าหันไปตามเสียงฝีเท้าของคนสวมเกราะ โบกกระดาษมือให้ท่านแม่ทัพใหญ่ซึ่งเดินเข้ามาแล้วยื่นไปให้เจ้าตัวรับ
“ว่าอย่างไรบ้าง” คนนั่งลงข้างๆก้มตัวถอดเกราะเอ่ยปากถามโดยไม่รับจดหมายไปอ่าน เห็นว่าอีกฝ่ายไปตรวจกำลังพลเตรียมการศึกและเพิ่งมาถึงพบเหงื่อเต็มหน้าข้าจึงรินชาหอมให้
“ไม่ใช่” ข้อมูลที่ได้รับน่าปวดหัวกว่าใช่ไม่น้อยข้าจึงยิ่งขมวดคิ้ว จ้องจดหมายในมือพลางถอนใจไปด้วย “ข้าได้แต่สั่งให้ระวัง ตราบใดที่ยังไม่เผยพิรุธ ยากจะจัดการ”
“ยากจัดการหรือไม่อยากจัดการ”
“ท่านจะหาเรื่องข้าหรือ?” ฟังคำพูดไม่ถูกหูแล้วข้าขมวดคิ้วแทบเป็นปมใส่เขา มองคนนิ่งถอดเกราะอย่างไม่พอใจนัก
เหล่าไท่ส่งจดหมายกลับมาแล้วแจ้งว่ามู่เซินไม่ได้ไปไหน ซ้ำแนบด้วยจดหมายจากเส้าไป๋ กล่าวว่าวันนั้นตนเองและเสี่ยวเจี๋ยนั่งดวลหมากอยู่ในร้านกับเถ้าแก่มู่ทั้งวัน ดังนั้นไม่มีทางที่มู่เซินจะเป็นองค์ชายฉู่เหวินคนนั้นไปได้ แต่ความเกี่ยวข้องย่อมต้องมี ข้าเขียนกำชับให้จับตาคนผู้นี้ไว้อย่าได้คลาดสายตา ผลสืบสวนมาเช่นนี้จะให้ข้าทำอะไรได้อีก ไม่เกี่ยวเรื่องเขาคือมู่เซินเสียหน่อย
ส่วนอีกเรื่องนั้นน่าลำบากใจยิ่งกว่านั้นและต้องพักไว้ก่อน นั่นคือใครเป็นคนเผยเรื่องข้าถูกพิษ วงค้นหาถูกจำกัดแคบลงยิ่งชวนให้คิดหนัก และข้าเองก็ไม่อยากเจอกรณีแบบเสี่ยวเฉียวอีกเป็นครั้งที่สอง
“ข้าถามเผื่อฮูหยินกลัวกระทบการค้า”
ข้ามองคนหน้าตึงมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วยิ้มมุมปาก หลินจวินเจ๋อผู้กำลังผลิตทะเลน้ำส้มเพราะเรื่องข้าออกปากจะรับองค์ชายเจ็ดเป็นสาวอุ่นเตียง ยังออกอาการบึ้งต่อไปอย่างไม่นำพาเรื่องที่ข้าบอกว่าเพียงล้อเล่น ซ้ำหงุดหงิดมาถึงตอนนี้ กระทั่งเรื่องมู่เซินยังมองขวาง คนผู้นี้นี่ช่าง…
“คนจ่ายเงินมาแล้วยังไม่ได้ของ เขาสิต้องร้อนใจ”
เงินเข้ากระเป๋าแล้วข้าไม่นำพามากนักหรอก มู่เซินเป็นสายลับจริงคิดค้าขายปกปิดจริงข้าก็ยึดเงินยึดร้านเสียเลย แม้บอกว่าค้าขายกับวังจวิ้นอ๋อง ข้าก็ไม่กังวล แต่คนขี้หวงนี่กลับคิดว่าข้าละเว้นเพราะเรื่องเขาหน้าตาเหมือนอาจารย์หวัง ไม่คิดหรือไรว่าสำหรับข้าก็เป็นได้เพียงคนหน้าเหมือน ตัวลอกเลียนแบบเท่านั้น เขาไม่ใช่หวังอี้เสี่ยตัวจริง ข้าไม่ใจอ่อนกับเขาหรอก
“อีกอย่าง ที่เขาค้าขายด้วยคือร้านที่ท่านลงทุนถ้าเป็นเช่นนี้กำไรอาจลดลงเล็กน้อย ท่านคงต้องใช้เวลาอีกหน่อยจึงจะปลดหนี้สินได้”
“เป็นหนี้ทั้งชีวิตข้าก็หาได้กังวล” สามีทำหน้าไม่พอใจ ตอบเสียงออกห้วนขณะที่ข้าหัวเราะ
“ท่านถามเจ้าหนี้อย่างข้าด้วย” ข้าไม่อยากมาตามเก็บเงินเขาทั้งชีวิตที่เหลือ “แต่คิดไปอีกที…ท่านก็ไม่มีเป้าหมายสู่ขอผู้ใดตอนนี้ ช้าไปอีกหน่อยคงไม่เป็นไร”
“ข้าพลาดวาสนาแล้วนอกจากลี่เซียนก็ไม่มีผู้ใดอีก เป็นเช่นนี้เจ้าไม่พอใจ?” ตาคู่คมวาวมองปราดคล้ายหาเรื่อง ข้าเพียงคลี่ยิ้ม ไม่ตอบคำ เขาสู่ขอแม่นางจ้าวผู้นั้นไม่ได้แล้วเพราะนางเป็นอนุภรรยาของผู้อื่น แต่ใช่ว่าจะสู่ขอสตรีอื่นไม่ได้ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ถ้ามีเมื่อนั้นหลินจวินเจ๋อคงอยากเร่งปลดหนี้อีก ให้เขารีบๆคืนเงินไปดีกว่า การพูดว่าจะไม่มีใครในอนาคต สำหรับข้าแล้วมันช่างเป็นถ้อยคำอันเลื่อนลอยเกินกว่าจะเชื่อจริงจัง
“ข้ากล่าวว่าจะไม่รับอนุภรรยาแล้ว เจ้าไม่พอใจหรือ?” หลินจวินเจ๋อถามย้ำ สีหน้าคล้ายรอฟังบางสิ่ง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายวาบ หากแต่ข้าหัวเราะ หากพูดว่าไม่เชื่อเขาจะมีสีหน้าตกอกตกใจหรือไม่
“ท่านอย่าพูดถึงอนาคตที่คาดเดาไม่ได้เลย กล่าวเช่นนี้ระวังเถอะจะเสียใจภายหลัง”
“ฮูหยิน..”
“เลิกหน้าบึ้งได้แล้ว ท่านไปหาข่าวมาให้ข้าที” ลุกขึ้นมาบีบแก้มตึงๆของสามีอย่างนึกหมั่นไส้และตัดบทไปในตัว เปลี่ยนเรื่องแล้วข้าก็รีบผละออกก่อนอีกฝ่ายจะดึงลงไปกองบนตัก มองสีหน้าเสียดมเสียดายและอาการไม่ยินยอมที่ปรากฏอยู่ครู่หนึ่งแล้วนึกขันไม่น้อย
“ข่าวอันใดเล่า”หลินจวินเจ๋อหันไปมองกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือครู่หนึ่งแล้วหันมามองข้าเงียบๆ
“ข้าอยากทราบข้อมูลขององค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยน ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ ท่านช่วยรวบรวมให้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องตาของเขา”
“ตา?” หลินจวินเจ๋อฟังแล้วขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ใช่” สบตาคู่นั้นที่ฉายแววงวยงงแล้วข้ายิ้มออกมา ดวงตาเป็นประกายวาววับ “ขออย่างละเอียดนะท่านพี่ ชนิดว่ารู้ยิ่งกว่าสาวๆข้างเตียงเขาเลยทีเดียว”
“เพราะเจ้าจะรับเขาเป็นสาวอุ่นเตียงเลยต้องค้นประวัติงั้นรึ” หลินจวินเจ๋อแค่นเสียงฮึในลำคอ คนผู้นี้คงต้องการไล่บี้ข้าเรื่องนี้อย่างไม่เลิกรสจริงๆ มีโอกาสเมื่อใดเป็นต้องหาเรื่องทุกครา
“ท่านหงุดหงิดเรื่องนี้ทำไม ผู้คนรู้กันทั่วว่าข้าแกล้งข่มเขา ยังจะทำน้ำส้มหกเรี่ยราดอีก”
“ข้าเพียงแต่..ไม่พอใจ” คนพอโดนไล่เบี้ยเอาจริงๆก็ลดเสียง เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ยิ่งข้าจึงบิดแก้มเขาไปแรงๆอีกครั้ง
“เช่นนั้นก็จำเอาไว้ ยามท่านบอกจะรับอนุ ข้าก็รู้สึกเช่นนี้” คนงามเสียใจสาหัสกว่าด้วยซ้ำ หวงเทียนหยางน่ะน้ำตาร่วงเพราะเจ้ามาตั้งเท่าไหร่! คิดแล้วข้าจึงลงมือหนักขึ้น
“ข้ารู้ ข้ารู้” ฝ่ามือหนาประคองฝ่ามือขาวๆเอาไว้แล้วลูบเบาๆหลินจวินเจ๋อส่งสายตาขออภัยโทษมาให้ข้าแล้วรั้งตัวใหัมานั่งตักจนได้ ข้าทรุดตัวลงบนตักของเขา ได้กลิ่นเหงื่อกำจายมาจากอีกฝ่ายจึงบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังเสียที ขณะที่ท่านแม่ทัพใหญ่คลี่ยิ้มเต็มใบหน้าแล้วจูบเข้าให้ที่หลังมือ
แก้มร้อนฉ่า กำลังอึ้งๆหลินจวินเจ๋อก็กอดไว้พร้อมกระซิบ “ดังนั้นข้าจึงไม่คิดรับอนุภรรยาอีกแล้ว”
เจ้าเพิ่งคิดได้? เจ้าพูดเพราะเห็นว่าข้าเอ่ยปากรับองค์ชายเจ็ดเป็นสาวอุ่นเตียงงั้นสิ? ข้าดึงมือออกจากมือของเขา ยิ้มน้อยๆพลางลุกขึ้นจากตักอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ไปหาข้อมูลมาให้ข้าที”
“อาซิ่น….”
ข้าไม่ได้มองตาที่คล้ายสุนัขขอความรักของท่านแม่ทัพใหญ่ เพียงเดินไปรุนหลังเขาให้ลุกขึ้นอย่างไม่อยากสานประเด็นเพิ่ม เรื่องคิดรับอนุภรรยาเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุที่ข้าได้มาอยู่ในร่างคนงามด้วยซ้ำ พอมาตอนนี้คนบอกจะไม่ต้องการข้าเลยไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ หลินจวินเจ๋อยังรักจ้าวลี่เซียน ดังนั้นทุกอย่างเป็นไปได้เสมอในอนาคตที่แสนไม่แน่นอน..
“รีบเข้าเถอะ หากเขาเป็นอย่างที่ข้าคิด คนๆนั้นจะมีจุดอ่อนหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างมากทีเดียว”
ชีวิตก่อนของเขาเหลียงจื่อซิ่นมีแฟนหนุ่มหลายคน คบๆเลิกๆกันไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่คนที่เขาจำได้ดีเป็นพิเศษหนึ่งในนั้นคืออาเว่ย คนที่บินลัดฟ้าไปทำงานที่ฝรั่งเศส หนุ่มเชื้อสายจีนแท้ๆแต่ดันผิดโผล่มีลูกกะตาเป็นสีฟ้าเข้มจนทำพ่อแม่วิวาทคิดว่าคบชู้กันเกือบเลิกรา ไปๆมาๆหาหมอแล้วจึงสรุปได้ว่ามันเป็นความผิดปกติของยีนส์
อาเว่ยเล่าให้เขาฟังอย่างขบขันแบบนั้นล่ะ เจ้าตัวออกจะชื่นชอบตาสีแปลกของตัวเองไม่น้อยเพราะมันมีสเน่ห์ อาซิ่นเองก็คิดว่ามีสเน่ห์มันดูสวยเข้ากับใบหน้าอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี แต่ตาสีสวยๆนี่มีปัญหาไม่น้อย เขาค่อนข้างจำได้ดีเพราะยังได้ไปเป็นเพื่อนอาเว่ยหาจักษุแพทย์อยู่บ่อยๆ อีกฝ่ายเป็นโรคตาแพ้แสง อยู่ในที่แจ้งแล้วจะมีปัญหาด้านการมองเห็น ยืนอยู่กลางแดดนานๆภาพจะยิ่งไม่ชัด จุดโฟกัสจะเบลอพร่าไปเรื่อยๆ อาเว่ยมักใส่แว่นกันแดดสีชา คอยบ่นอยู่เรื่อยว่าไม่ถูกกับแดดจ้าเสียจริงๆ
แล้วถ้าหากองค์ชายเจ็ดคนนั้นประสบปัญหาเดียวกับอาเว่ยล่ะ?
ข้ายืนอยู่ข้างกายหลินจวินเจ๋อ ที่เดิมคือตำแหน่งกุนซือคอยฟังคำกล่าวของเหล่าแม่ทัพ ยามนี้ไพร่พลคึกคักเตรียมออกศึกกันอีกครั้งแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของเหล่าขุนศึกมาคิดวางอุบายแผนการรบขั้นต่อไป ข้ากวาดตามองดูขุนศึกทั้งหลาย พบแม่ทัพโม่ที่อาการดีขึ้นพอจะมาออกรบและนั่งฟัง ก่อนจะเห็นแม่ทัพจ้าวผู้ถูกธนูบาดเจ็บหนักแต่ยังรั้นมานั่งประชุมทั้งที่อาการหนัก ในใจนึกนับถือแต่ก็เป็นกังวล พร้อมกันนั้นคิดอะไรได้จึงเอ่ยปากถามขึ้นกลางที่ประชุม
“พวกท่านคิดอย่างไรกับดวงตาของฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยน” คร้านจะเรียกองค์ชายแล้วข้าจึงโพล่งเรียกชื่อเขาแทนที่ ทำให้ผู้คนที่สนทนากันอยู่มีสีหน้าแปลกใจ
“ท่านอ๋องหมายความเช่นไร หรือดวงตาต้องสาปขององค์ชายผู้นั้นมีเล่ห์กลใดซ่อนอยู่?” กุนซือซุนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเอ่ยถาม ข้าฟังแล้วพยักหน้าช้าๆ
“เรื่องนั้นต้องรบกวนทุกท่านที่เคยปะทะกับเขาช่วยไขข้อข้องใจให้ข้า…”
ข้าเอ่ยแล้วยิ้มน้อยๆนึกเวทนาองค์ชายฉู่เหวินอยู่บ้าง จากข้อมูลที่ข้าได้รับมา องค์ชายเจ็ดผู้นั้นก่อนถูกกล่าวขานว่าเป็นเทพสงครามเขาคือองค์ชายต้องสาปแห่งไห่เยี่ยน เนื่องจากเกิดมามีดวงตาสีประหลาดซ้ำใบหน้ามีรอยแผลอัปลักษณ์ผู้คนจึงหวาดกลัว ไอ้เรื่องแผลนั้นช่างมันเถิด แต่เรื่องดวงตากล่าวไปก็น่าขันนัก คนอย่างเขาถ้าเกิดในศตวรรษที่20ให้หล่อหน่อยคงเป็นได้ถึงดาราหนัง ความ'พิเศษ'ไม่เหมือนใครช่างน่าสนใจจะตาย แต่ในยุคนี้ผู้คนกลัวความแปลกและแตกต่าง ตาสีฟ้าของเขาจึงกลายเป็นดวงตาต้องสาปไปได้
แต่ดวงตาคู่นั้น ถ้าเขาเป็นอย่างที่ข้าคิดมันคงเป็นของต้องสาปจริงๆ อย่างน้อยก็สาปให้เป็นจุดอ่อนของเขาที่อาจแพ้สงครามนั่นล่ะ คิดแล้วข้าจึงหันไปมองแม่ทัพจ้าวเงียบๆ
“แม่ทัพจ้าว ยามท่านประมือกับองค์ชายเจ็ด นั่นเป็นเวลาใด?”
“เรียนท่านอ๋อง เป็นยามเซิน(15-17น.) “ แม่ทัพจ้าวแม้งวยงงแต่ก็กล่าวตอบแต่โดยดี
“ขอข้าถามอีกข้อ เช่นนั้นเวลาที่แม่ทัพเหลียงเข้าต่อสู้ก็เป็นยามอิ่ว(17-19 น.) ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง”
“กุนซือซุน ทัพไห่เยี่ยนที่มีองค์ชายเจ็ดเป็นผู้นำทัพบุกฐานที่มั่นที่หกในเวลาใด?”
“ตอนนั้นที่พวกเราเห็นควันส่งสัญญาณ คือยามซื่อ (09-11 น.) ขอรับ”
“ท่านแม่ทัพ นับรวมจากห้าปีก่อนที่เคยประมือกัน องค์ชายผู้นั้นไม่เคยสู้กับท่านในเวลาเที่ยงวันใช่หรือไม่?”
“ใช่” หลินจวินเจ๋อตอบคำตามที่คาดทำให้ข้าพยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆด้วยความพอใจ จึงหันไปสบตาเหล่าแม่ทัพทั้งหลายที่อยู่ในอาการงวยงง
“จากคำพูดของข้า พวกท่านเห็นสิ่งใด.?”
“องค์ชายเจ็ดผู้นั้นไม่ออกรบยามแดดแรง หรือยามเที่ยงวัน?” กุนซือซุนยกมือลูบหนวดที่ปลายคางตนเอง กล่าวขึ้นช้าๆ
“นั้นก็ถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” ข้าไม่หวังให้ใครตอบถูกอยู่แล้ว เพราะองค์ความรู้ของคนในสมัยนี้ไหนเลยจะครอบคลุม พวกเขาเพียงทราบว่าฉู่เหวินมีดวงตาต้องสาปก็เท่านั้น แค่ความรอบคอบของกุนซือซุนกล่าวมาเท่านี้นับว่าดียิ่งแล้ว ดังนั้นข้าจึงรีบกล่าวท่ามกลางสายตาใคร่รู้ของขุนทัพทั้งหลาย
“นี่ไม่ใช่นิสัย แต่เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่ง องค์ชายผู้นั้นที่แท้ปัญหาทางสายตา จุดอ่อนของเขาคือไม่สามารถอยู่ท่ามกลางแสงจ้านานๆได้ สังเกตได้ว่านอกจากพบปะกันยามเที่ยงของวันแลกศีรษะแม่ทัพเหลียง เขาไม่เคยออกนำทัพยามตะวันขึ้นสูง ในวันนั้นกลยุทธ์ของเรามิได้ผิดพลาด เพียงแต่เรามิทราบจุดอ่อนนี้ของเขา ดังนั้นไม่ว่ากระทำเช่นไรฉู่เหวินจึงไม่สวมเกราะออกรบ แต่เมื่อแสงแดดโรยราลง..เขาก็ออกมา”
กล่าวไปแล้วข้าจึงนึกได้ถึงสาเหตุการตายองแม่ทัพเหลียง ผู้อื่นก็เช่นกันดังนั้นสีหน้าหลายคนต่างก็เเปรเป็นเคร่งเครียดครุ่นคิด หากที่แท้คนอย่างไม่ทัพเหลียงต้องสิ้นชีพเพราะความไม่รู้เช่นนี้นับว่าน่าเสียดาย..
“ฮ่าๆเช่นนี้นับว่าเราทราบถึงจุดอ่อนของศัตรูแล้วใช่หรือไม่!” เสียงอันดังของแม่ทัพโม่ดังแทรกขึ้นมาในห้วงคิดทำให้ข้าหันไปมองเขา โม่เยี่ยนเฉวียนแม้บาดเจ็บถูกทวนก็ยังคึกคักอักโข คำพูดของเขาทำให้ทุกคนยิ้ม รวมทั้งข้าด้วยเช่นกัน
“ใช่แล้ว ท่านอ๋องปรีชายิ่งนัก” แม่ทัพเจ้าหันมาประสานมือให้ข้าด้วยมีหน้าสดใสขึ้นพลางตบโต๊ะเบาๆ “คนเป็นเช่นนี้ แม้จุดอ่อนเพียงเล็กน้อยมีหรือจะไม่รู้พลาด พวกท่านเห็นควรว่าใช้แผนใด”
“โหมบุกช่วงกลางวัน” หลินจวินเจ๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมอันเป็นเอกลักษ์ของขุนทัพยามกระหายเลือด “ฉู่เหวินออกมาไม่ได้ ย่อมต้องให้แม่ทัพของตนเองออกศึก เราจะโจมตีเมื่อยามอู่(11น.) พักรบเมื่อถึงยามเซิน(15น.) ตัดหัวแม่ทัพวันละคนสองคนมีหรือจะยาก หากฉู่เหวินคิดโผล่หน้ามา ก็ต่อสู้ยืดเยื้อทอดเวลาออกไปให้มากที่สุด ยิ่งนานคนเสียเปรียบย่อมเป็นมัน”
“แล้วยังต้องแบ่งผู้คนเฝ้าระวัง คนผู้นั้นอาจโจมตีกลับ แต่เขาจะโจมตีมาเวลาใด ถือว่าค่อนข้างแน่นอน ย่อมไม่ลำบากที่จะคิดแผนรับมือ”
“ถือเป็นข้อมูลเล็กน้อยแต่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ท่านอ๋องช่างล้ำลึกยิ่งนัก ผู้น้อยขอคารวะ” กุนซือซุนอาศัยจุดที่ผู้คนกำลังปรึกษาแผนการกันอย่างคึกคักมาประสานมือเคารพข้า ฟังแล้วจึงได้แต่หัวเราะและรับคำ
“กุนซือซุนยกยอเกินไปแล้ว” ถ้าไม่เคยคบหาเป็นแฟนกับอาเว่ย ข้าก็คงไม่รู้ เรื่องนี้ขอยกผลประโยชน์ให้กิ๊กเก่าจริงๆ
“ข้าน้อยหาได้ยกยอ..แต่ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทราบถึงเรื่องตาขององค์ชายเจ็ดผู้นั้นมาจากที่ใดหรือ?”
“ข้าพอดีเคยอ่านตำราแพทย์เก่าๆแล้วนึกขึ้นได้…”เห็นสายตาใคร่รู้ประหนึ่งจะถามว่ามันคือตำราอะไรแล้วก็ตัดสินใจหัวเราะเบาๆกล่าวรวบรัดอีกครา “เคยมีสหายผู้หนึ่งของข้ามีดวงตาเป็นสีฟ้าเข้มและมีปัญหายามอยู่ที่แจ้งเช่นกัน”
“เป็นสหายผู้ใดหรือ?”
ข้ากล่าวไม่ทันจบคำ ก็แว่วเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังพร้อมกลิ่นน้ำส้มฉุนกึก…
หลินจวินเจ๋อ วุ่นวายเรื่องการรบทัพของเจ้าต่อไป๊!
หลังจุดอ่อนของฉู่เหวินถูกข้าวิเคราะห์เกิดเป็นแผนการใหม่ ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดียุทธวิธีนี้ได้ผลดังคาดทำให้ทุกคนยิ่งมีความมั่นใจ เทียนจิ้นสามารถตัดหัวแม่ทัพของไห่เยี่ยนได้อีกสามคน แม้จะมีแม่ทัพบาดเจ็บบ้างแต่ก็ไม่มีใครเสียชีวิต แม่ทัพโม่และแม่ทัพจ้าวหายจากอาการบาดเจ็บเข้าร่วมสมรภูมิ ขวัญกำลังใจทหารดียิ่ง กระทั่งฉู่เหวินทราบว่าทางเทียนจิ้นรู้ถึงจุดอ่อนตนคิดเข้าต่อสู้ก็ถูกรุกไล่ ในที่สุดเจ็ดวันต่อมาทัพเทียนจิ้นก็สามารถยึดฐานที่มั่นที่ห้าคืนได้ และรีบขนย้ายกำลังพลมาตั้งเป็นทัพใหญ่เตรียมเผด็จศึกต่อไป
ฉู่เหวินหันมาโจมตีฐานฐานที่มั่นที่ห้า คิดยึดกลับคืน โดยอาศัยบุกโจมตีกลางคืน และการนั้นเองที่แม่ทัพทุกนายตกลงใช้'กลเมืองร้าง'ตั้งรับกับศัตรู..
++++++++++++
อาเว่ยคนนี้เป็นอดีตกิ๊กอาซิ่นที่ยังอยู่ฝรั่งเศสซึ่งเจ้าตัวบ่นไปตอนบทแรกโน่นนนค่ะ55
วันนี้มาดึกหน่อยแต่ยังทันวันนะ!555//ชาวบ้านรุมตี พาร์ทหน้าท่านอาซิ่นของเราจะได้บู้บ้างแล้ว ็นอย่างไรโปรดติดตาม
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ว่าแต่เดี๋ยวน้ำสมหกตลอดเลยนะคะท่านแม่ทัพพพ ><
แต่ท่านแม่ทัพ ช่วงนี้ทำน้ำส้มหกบ่อยนะ รู้สึกจะหึงหวงอาซิ่นมาก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ท่านแม่ทัพเริ่มมีใจให้อาซิ่น อยากให้เทียนหยางอยู่ด้วยจัง สงสารนางรักท่านแม่ทัพมากจนตัวตายยังไม่ได้รับความรักตอบ เฮ้อ