ตอนที่ 18 : เจตนาดีหรือไม่คนจะมาก็ยังคงมา
“ท่านพี่ ท่านจะทำหน้าแบบนั้นไปอีกนานเท่าไหร่?” วางหมากลงบนกระดานอย่างค่อนข้างชินมือ หมากดำนอนนิ่งๆอยู่บนกระดานที่ค่อนข้างสูสี ไม่ใช่เพราะคู่ต่อสู้เก่งขึ้นแต่เป็นเพราะคนเล่นไม่มีสมาธิ
“ทำไม ข้าทำไม่ได้รึ?” ถามกลับแล้วหยิบหมากขาววางมั่วเสียทีให้แพ้ง่ายขึ้นอีกหน่อย ข้าหันไปมองคนหน้าบูด ทำเมินไม่สนใจกระดานหมากแล้วหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือเก็บหมากขาวที่คนตรงหน้าวางมาอย่างไม่ระวัง ดวงตาพรายยิ้ม
“ได้สิ ข้าทราบแล้วว่าท่านพี่กำลังถังน้ำส้มคว่ำ แต่แง่งอนมากเข้าจะถูกลูกน้องท่านล้อเอานะ”
“ข้าไม่ได้หึงหวง” คนถูกว่าหันมาบอก ดวงตาเบิกโตคล้ายไม่ยอมรับข้อกล่าวหาสุดใจ
“ข้าก็ไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำ” มองคนตัวโตกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านแล้วรินน้ำชาให้อย่างเอาใจเสียทีเผื่อจะหายฟึดฟัด “ท่านแค่ไม่ชอบใจที่ข้ารับเอาเด็กหนุ่มคนนั้นมาเท่านั้นเอง แต่คนจะให้ยังไงก็จะให้ จะปฏิเสธน้ำใจทำไมล่ะ”
กล่าวถึงต้นสายปลายเหตุอย่างปลอดโปร่งแล้วข้าก็หันไปมองสบตาหลินจวินเจ๋อ ท่านแม่ทัพแดนใต้ฟังแล้วขมวดคิ้ว เขายังคงแค่นเสียงออกมาจากลำคอ ท่าทางไม่ยินยอมคล้ายกำลังประท้วง เมื่อคืนข้าไม่รับทำไมวันนี้เจ้าถึงรับ ช่างไม่ยุติธรรม
มองลูกตาที่ราวกับพูดได้ของอีกฝ่ายข้าก็หยิบเอาขนมหวานให้คนตรงหน้าร่วมแทะด้วยอีกทีจะได้ไม่หงุดหงิดมากขึ้น เรื่องราวเกิดจากอะไรก็คงต้องย้อนนึกไปถึงยามเช้าของวันนี้ หลังผ่านงานเลี้ยงคืนนั้นไปแล้วและเหล่านายทหารต่างเตรียมทัพจะเดินทางต่อ นายอำเภอซือหลินคนนั้นก็มาพบข้าอีกครา เฉาฉินโม่วที่มีสีหน้าเจื่อนแล้วเจื่อนอีกคล้ายเพิ่งตระหนักว่าเมื่อคืนทำความผิดใหญ่หลวงไว้ก็กล่าวขออภัยที่ล่วงเกินตามมาด้วยมอบเด็กหนุ่มหน้าตาน่ากินคนหนึ่งให้ กล่าวว่านี่เป็นเด็กรับใช้ในจวนของตน เมื่อวานเผลอทำตัวเสียมารยาทกับจวิ้นอ๋องจึงอยากมอบข้ารับใช้คนนี้ให้เพื่อเป็นการขอขมา เขากล่าวว่าหากจวิ้นอ๋องไม่รับคงกังวลใจเสียจนนอนไม่หลับ รู้สึกผิดจนอยากโดดน้ำฆ่าตัวตายรึอะไรคล้ายๆอย่างนั้นไม่หยุดจนข้านึกรำคาญ คนให้มาแล้วก็ออกปากรับไป ไม่ใช่เพราะเขาหน้าตาดีหรอกนะ แค่กๆ
เอาล่ะ แม้เด็กหนุ่มคนนั้นจะหน้าตาดีจริง แต่ข้าไม่ได้รับเขามาเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียวหรอก อีกฝ่ายจงใจมอบคนให้ต่อหน้าคนหมู่มาก เป็นชายหนุ่มไม่ใช่สตรีจะเอาข้ออ้างใดมาปฏิเสธอีก เห็นนายอำเภอซือหลินพยายามเหลือเกินในการจะยัดคนมาอยู่ข้างกายข้าไม่ก็หลินจวินเจ๋อ หากคิดไม่ออกว่ามีเรื่องราวแอบแฝงก็ดูจะโง่ไปหน่อย อยากส่งคนมาสอดส่องก็เชิญส่งมา ข้ารับเอาไว้แล้วและจะสอดส่องเขาอีกต่อเช่นกัน ไม่ว่านี่จะเป็นคนของรัชทายาทหรือลูกตะพาบตัวไหนก็ตาม
“ท่านจะหงุดหงิดไปไย หรือเรายังไม่ชัดเจนว่ามีคนคิดสอดส่อง เขาอุตส่าห์เผยเจตนาชัดเจนขนาดนี้ ก็ให้ดูเสียหน่อย” จิบชากรุ่นไอร้อนแล้วมองสบตาคนที่ขมวดคิ้วหงุดหงิดไม่หาย หลินจวินเจ๋อมองหน้าข้า ท่าทางเหมือนอยากพุ่งมาฉีกเนื้อทิ้งทำเอาต้องระวัง แต่สุดท้ายเขาก็ทำเพียงส่ายหน้าอีกครา
“รับมา หรือจำเป็นต้องเอาไว้ข้างกาย อย่าลืมว่าเจ้ามียาพิษใดก็ไม่ทราบอยู่ในตัว เมื่อแจ้งใจว่าอีกฝ่ายเข้าหาด้วยจุดประสงค์แอบแฝง ยังจะเสี่ยงทำไม” แม่ทัพแดนใต้กล่าวเคร่งเครียดแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง เขามองข้าด้วยสายตาประหนึ่งพานพบคนโง่ที่สุดในปฐพี “อาซิ่น ร่างกายเจ้าเองไม่แข็งแรง หากถูกฉวยโอกาสวางยาพิษหรือกระตุ้นพิษในกายเล่าจะทำอย่างไร เหตุใดจึงชอบทรมารตนเอง”
“ข้าเคยได้ยินคำกล่าว..มิตรสหายดีต้องเอาไว้ใกล้ตัว แต่ศัตรูต้องเอาไว้ใกล้ยิ่งกว่า” ข้ายิ้มน้อยๆ มองคนที่เผยความห่วงใยด้วยแววตากระจ่างวาบ รู้สึกพอใจอยู่ในที “ขอบคุณท่านพี่ที่ห่วงใย แต่เขาจับตาข้า ข้าไหนเลยไม่จับตาเขา รอดูว่าเขามีลูกเล่นอะไร คิดทำอะไร อาจทราบถึงจุดประสงค์ของคนที่ส่งมาได้ง่ายขึ้น”
“ข้าไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่เจ้าเอาตัวไปเสี่ยง!”
“หากท่านห่วงข้านัก..” ยิ้มน้อยๆพลางสบตาสีดำสนิทของท่านแม่ทัพแดนใต้ที่ดูจะทำตัวน่ารักขึ้นทุกวันแล้วขยับตัวกระแซะเข้าไปใกล้ เบียดนั่งตรงข้างๆแบบไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัวแล้วคว้าแขนมากอดหมับ “ก็มาอยู่ด้วยกัน”
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหน!” คนสะดุ้งรีบดึงแขนออกราวต้องของร้อนแต่มีหรือจะรอดพ้นมือเหนียวยิ่งกว่ากาวของข้า แค่หยอกเล่นแค่นี้ก็สะดุ้งเสียแล้วทำเอาต้องหัวเราะ ดูแล้วการเดินทางนี่ก็ไม่น่าเบื่อเท่าไหร่ที่มีคนอยู่ข้างกาย “ไปถึงเมืองถานเฟิ่ง ไหนเลยมีเวลาพัก ข้าจะนำรี้ไพร่พลไปตั้งค่ายห่างจากประตูเมืองสิบลี้ เจ้าเองอยู่ในเมืองก็ต้องคอยเตรียมรับสถานการ์ณ”
“ก็เห็นท่านห่วงข้านักหนานี่” รู้ดีเชียวล่ะแต่ยังอยากก่อนกวนนี่นา ข้าเอื้อมมือดึงจมูกท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เบาๆเป็นการหยอกล้อแล้วผละออกมา “อย่าได้คิดมาก ข้ามีเหล่าไท่และอาหงอยู่ ส่วนเด็กรับใช้คนนั้น หากเล่นจนเบื่อแล้วข้าจะโยนออกไปให้ท่านฝึกเขายืนยามเอง”
“ผอมราวกับกุ้งแห้ง มีเนื้อหนังเท่านั้นหรือจะถืออาวุธไหว” หลินจวินเจ๋อวิจารณ์รูปร่างของอีกฝ่ายอย่างสนุกปากพลางใช้มือลูบจมูกตัวเองไปด้วยก่อนที่ดวงตาคมวาวคู่นั้นจะหันมาอีกครั้ง เขาหรี่ตาลง มองมาที่ข้าด้วยแววตาครุ่นคิด “เหตุใดเจ้าจึงตั้งชื่อเขาว่าเสี่ยวเจี๋ย”
“ข้าตั้งชื่อเขาว่าเสี่ยวเจี๋ยมิได้หรือ?”
“เจ้าทราบดีว่าข้าหมายถึงอะไร..” หลินจวินเจ๋อทอดสายตามองมา ในแววตาคู่นั้นมีความกังวลเจือจาง “เด็กรับใช้ผู้นั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ซ้ำยังตั้งชื่อคล้ายกันอีก..มิใช่ว่าเจ้าเห็นเขาเป็นตัวแทนใครหรือรึ”
“เด็กคนนั้นไหนเลยจะเหมือนเสี่ยวเฉียวไปได้” เห็นคนไม่ยอมเปิดปากเอ่ยชื่อเหยื่อสังหารของตัวเองแล้วข้าก็หัวเราะ หลินจวินเจ๋อคงคิดมากไปแล้วจึงกลัวว่าข้ารู้สึกเสียใจกับการจากไปของเสี่ยวฉียวจนคิดเอาเด็กรับใช้ที่ได้รับมาอุปโลกเป็นอีกฝ่าย “ที่ตั้งให้คล้าย เพียงให้ทุกคนได้ตระหนักเท่านั้น หากไม่อยากเป็นเช่นเสี่ยวเฉียว ก็อย่าทำตัวเหมือนเสี่ยวเฉียว หากถูกข้าตั้งชื่อให้คล้ายเสี่ยวเฉียว นั่นหมายถึงข้าไม่ไว้วางใจคนผู้นั้นแล้ว”
“หากเจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดี” ได้ฟังคำตอบที่ทำให้พอใจไม่น้อยแล้วหลินจวินเจ๋อจึงระบายลมหายใจ สีหน้าปลอดโปร่งมากขึ้น
“แต่น่าเสียดาย ข้าอยากเห็นท่านหึงหวงต่ออีกสักนิดนะท่านพี่”
“ข้าบอกว่าไม่ได้หึงไง”
คนกำลังจิบชาหันมามองข้าตาเขียวแล้วประท้วงอย่างไม่จริงจังนัก เห็นท่าทีผ่อนคลายไม่ได้โกรธเคืองอันใดข้าก็ยิ้มออกมาอีกครา หยิบหมากดำออกมาวาง นึกไปถึงเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็บปี ใบหน้าขาวใส ดวงตายิ้มหยีจนเป็นพระจันทร์เสี้ยวดูจริงใจผู้นั้นแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ รสนิยมการเลือกเอาคนที่มีสีหน้าใสซื่อชวนไว้ใจมาวางข้างกายข้านี่ช่างตื้นเขินดีแท้ จะวางคนมาสืบหาอะไรจากข้างกายข้าหรือ เอาเลย แต่อย่าได้ลืมไปว่าข้าเองก็รู้จักเล่นละครมากพอให้พวกเจ้าโดนตลบหลังเสียทีแล้วกัน..
“ท่านแม่ทัพ พวกเราเจอพ่อค้ากับขบวนสินค้ารายหนึ่งอยู่ไม่ไกล เข้ามาขอความช่วยเหลือขอรับ”
เสียงทหารที่รายงานอยู่ริมประตูรถม้าทำให้บทสนทนาของข้าและหลินจวินเจ๋อชะงัก ข้าปล่อยมือจากท่อนแขนน่าฟัดของเขาแล้วกลับมานั่งที่เดิมอย่างสงบด้วยทราบดีว่าเขาจะต้องออกไปจัดการ กระนั้นถ้อยคำที่รายงานก็ทำให้เราทั้งคู่ต้องมองตากันเงียบๆประหนึ่งจะปรึกษา คนผู้หนึ่งจู่ๆเข้ามาขอความช่วยเหลือ ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ร้อนอันใด หรือเป็นเพียงกลลวงหนึ่งกันแน่
“ทราบแล้ว ข้าจะออกไปจัดการ”
“ระวังตัวด้วย”
ข้าบอกเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายลุกออกไป หลินจวินเจ๋อหันมามองแล้วพยักหน้าตอบรับ ท่าทีซึ่งนับว่าโอนอ่อนเข้าหามากกว่าแต่ก่อนทำให้ข้าอารมณ์ดีไม่น้อย ดูเหมือนจูบนั้นก็ไม่ได้เสียเปล่าสักเท่าไหร่ ท่านแม่ทัพแดนใต้เองก็เริ่มมีความเกรงใจและสนใจในความคิดของข้าขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ได้หุนหันพลันแล่นกระโชกโฮกฮากเอะอะด่าทออีกแล้ว บ่งบอกว่าเริ่มมีจวิ้นอ๋องอยู่ในใจไม่ว่าจะฐานะอะไรก็ตาม
“ท่านอ๋อง เปลี่ยนเสื้อผ้ารอก่อนดีหรือไม่ขอรับ” เสียงของเหล่าไท่ดังออกมาจากหน้าประตู “อีกสองชั่วยามคงถึงเมืองถานเฟิ่งแล้ว ชาวเมืองและท่านเจ้าเมืองก็มารอรับอยู่ เตรียมตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้น่าจะดีกว่า”
“มาสิ” ข้าตกลงพลางหันไปหยิบเม็ดหมากออกจากตาราง “..อ้อ เอาเสี่ยวเจี๋ยวมาช่วยด้วยนะ เขาเป็นเด็กรับใช้ในจวน น่าจะชำนาญพอดู”
เหล่าไท่ชะงัก เขาเงียบไปอึดใจจนข้านึกว่ามีปัญหา ก่อนที่จะกระแอมเบา “ขอรับ”
“เจ้าเองก็อย่าได้น้อยใจไปเล่า อาหง ข้ายังต้องมีองครักษ์ตัวน้อยคอยปกป้องคุ้มครองอยู่” ส่งเสียงบอกหลานชายของเหล่าไท่ซึ่งมีหน้าที่เป็นคนคุ้มกันข้างกายเสียทีข้าก็เอนหลังรอ ปิดตาลง คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะมีฝีไม้ลายมือเช่นใดก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อแว่วเสียงหัวเราะคุ้นหู
“เส้าไป๋มาเคารพท่านพ่อ!”
“เจ้าเด็กน้อยคนนี้ มาถึงแล้วไยไม่เข้ามาเล่า” ข้าส่งเสียงเรียกลูกชายบุญธรรมของตัวเองพลางมองเด็กชายแก้มกลมมุดรถม้าเข้ามาแล้วถลามากอดเอวหมับ ข้างกายเขายังมีเสี่ยวเจี๋ย เด็กรับใช้คนใหม่ที่นายอำเภอซือหลินยกให้ข้า เสี่ยวเจี๋ยผู้มีใบหน้างดงาม ตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยวยิ้มเต็นหน้าก่อนจะคุกเข่าเรียบร้อย
“ข้าน้อยเกรงว่าจะเข้ามารบกวนเวลาแต่งตัวของท่านอ๋องน่ะขอรับ” พอฟังคนกล่าวรับผิดชอบข้าก็ร้องอืมเบาๆ ยิ้มแย้มมองเสี่ยวเจี๋ยซึ่งหันไปช่วยเหล่าไท่จัดเตรียมเครื่องแต่งกาย คนๆนี้ฉลาดไม่น้อยเลยทีเดียว แค่มาถึงก็รู้ว่าควรเข้าหาใครอย่างไร หากข้าไม่สนใจเขา เขาก็หันไปยังผู้อื่นที่ข้าให้ความสนใจแทน คนตาไม่บอดย่อมทราบว่าข้ากับหลินจวินเจ๋อรักและเอ็นดูเด็กน้อยเส้าไป๋ผู้นี้..ส่วนคนเพิ่งมาถึงเช่นเสี่ยวเจี๋ยรู้ได้อย่างไร? เห็นทีเขาคงมี’เจ้านาย’ที่รอบรู้พอสมควร
“รบกวนอันใดกัน เจ้าตัวน้อยถึงเพียงนี้ ไม่กินพื้นที่นักหรอก” ข้ากล่าวพลางหันไปบีบแก้มเล็กๆเล่นอย่างอารมณ์ดีแล้วปล่อยให้เส้าไป๋นั่งแทะขนม ตัวเองรับเอาเสื้อยาวตัวนอกจากเหล่าไท่มาเปลี่ยน ปากก็ถามคล้ายใส่ใจและไม่ใส่ใจ “เสี่ยวเจี๋ยเดินทางร่วมกับกองทัพเป็นอย่างไรบ้าง คงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยกระมัง”
“ไม่เลยขอรับ ทุกคนเป็นมิตรอย่างยิ่ง” เด็กรับใช่คนใหม่กล่าวแล้วยิ้มอย่างใสซื่อให้ข้า
“ดีแล้ว ข้านึกว่าเจ้าไม่คุ้นเคยกับการเดินทางไกล จะลำบากเสียอีก”
“เสี่ยวเจี๋ยแม้เป็นเด็กรับใช้บนจวนทว่าก็ได้เดินทางไปไหนมาไหนค่อนข้างบ่อยขอรับ อีกทั้งเหล่าทหารและพี่ๆน้องๆทั้งหลายต่างเอื้ออารีและช่วยเหลือข้าน้อยเป็นอย่างดี ไม่ลำบากแต่อย่างใด”
“อืม ดี อีกเดี่ยวจะถึงเมืองถานเฟิ่งแล้ว ไว้ไปถึง เหล่าไท่จะจัดการที่พักส่วนตัวให้” ข้ายืนขึ้นให้เหล่าไท่ช่วยจัดผ้ารัดบั้นเอว กล่าวเรื่อยๆราวกับเป็นเรื่องธรรมดาแต่เสี่ยวเจี๋ยกลับเบิดตากว้าง เห็นเป็นเรื่องน่าตกใจยิ่งนัก
“เสี่ยวเจี๋ยนอนกับทุกคนได้ขอรับ ท่านอ๋องอย่าได้...เสี่ยวเจี๋ยรับความเมตตานี้ไม่ไหวจริงๆ” อีกฝ่ายกล่าวอย่างประหม่าลนลานพลางก้มหน้าคุกเข่า
“นายอำเภอเฉามอบเจ้าให้ข้า ไหนเลยจะดูแลทิ้งๆขว้างๆได้ อีกอย่างเจ้าเองก็ดูเข้ากันดีกับเส้าไป๋ หากวันใดข้าไม่ว่างอยู่ดูแลอาจต้องให้เจ้ารับเป็นธุระช่วยจัดการ ปล่อยให้นอนรวมกับคนอื่นเรียกว่าดูแลไม่ดีแล้ว”
“ทะ..ท่านอ๋อง” เด็กหนุ่มเบิกตามองข้า ท่าทางราวกับลืมแล้วว่าการพูดคุยทำกันอย่างไร
“ออกไปเอาชุดใหม่ให้เส้าไป๋ที เลือกตัวสีฟ้าอ่อนนะ จะได้ดูเป็นคุณชายขึ้นมาหน่อย เดี่ยวผู้คนจะมองไม่ออกว่าเป็นบุตรชายข้า แต่ไพล่คิดว่าท่านแม่ทัพคลอดออกมาแทน”
“เอ๋ ท่านพ่อ! พูดแบบนี้หากท่านพ่อได้ยิน--”
“หากไม่อยากให้บิดาถูกเล่นงาน เจ้าก็อย่าบอกเขาซิ” ข้าสำทับเจ้าตัวน้อยที่ทำตาโตเหรอหราแล้วเริ่มหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจนั้นด้วยรอยยิ้ม ส่วนเสี่ยวเจี๋ยที่ถูกบทสนทนาของข้าและบุตรชายบุญธรมกล่อมจนต้องยิ้มตามก็ร้องอ๊ะ ทำท่านึกขึ้นได้แล้วรีบถอยหลังออกไปทำตามคำสั่ง
ลับตาแผ่นหลังที่เดินจาก ข้าหันไปมองเส้าไป๋ที่เลิกแทะขนมแล้วมองมาตาแป๋ว เอ่ยถามยิ้มๆ “พี่ชายเสี่ยวเจี๋ยเป็นเช่นไรบ้าง”
“พี่ชายเสี่ยวเจี๋ยช่างอัธยาศัยดีและสายตาดียิ่ง ตอนนั้นเส้าเอ๋อร์กำลังคุยกับพี่ชายหยุนเฮ่า เขายังอุตส่าห์มาทักทาย” กล่าวแล้วเจ้าตัวน้อยก็ยิ้มเต็มใบหน้า ท่าทางใสซื่อหากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นกลับวาววับ พราวไปด้วยแววหัวเราะ
“แล้วเส้าไป๋ชอบพี่ชายเสี่ยวเจี๋ยหรือไม่” ข้ามองสบตาคู่นั้นนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง
“ชอบมากขอรับท่านพ่อ พี่ชายเสี่ยเจี๋ยช่างน่าสนใจยิ่ง” เส้าไป๋ตัวน้อยตอบอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหันไปหยิบขนมบนจานมาทานอีกครั้ง ดูไม่สนใจสิ่งที่ถูกถามเท่าไหร่ สิ่งที่เด็กน้อยแสดงออกมาดูน่ารักไร้พิษภัย ทว่ากลับกลบประกายตาวาวๆคู่นั้นไม่มิด ลูกชายของข้าไม่ใช่เด็กโง่เง่า เส้าไป๋ต่อให้ฉลาดน้อยกว่านี้อีกสักนิดก็ย่อมตระหนักได้ว่าพี่ชายผู้นั้นมากอัธยาศัยจนเกินพอดี
“ปีนี้เส้าเอ๋อร์เองอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว..หากบิดาจะมอบงานเล็กๆน้อยๆให้ จะสนใจหรือไม่?”
“ข้าจะจับตาดูเขาไม่ให้คลาดสายตาขอรับ”
ข้ายกมือลูบเส้นผมนุ่มของเด็กน้อยเบาๆอย่างเอ็นดูขณะที่เหล่าไท่ยื่นเสื้อคลุมสีเลือดนกมาให้สวมใส่ ใกล้จะถึงเมืองถานเฟิ่งแล้ว ขบวนจึงรอท่าเพื่อจัดระเบียบทัพอีกครั้ง เห็นดวงตาวิบวับฉายประกายฉลาดรู้ทันของเจ้าเด็กน้อยที่ทำซื่อตอนเมื่อเจอกันแล้วข้าหมั่นเขี้ยวเหลือคณา อยากจับมาแทะกินเล่นให้หนำใจเสียทีถ้าไม่ติดว่านี่คือลูกชายของคนงาม
แต่ก็ด้วยเป็นลูกชายนั่นล่ะ แม้เป็นเพียงลูกชายบุญธรรม แต่คนในจวนจวิ้นอ๋องที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ทัพชื่อก้องและท่านอ๋องผู้ฉลาดหลักแหลม มีหรือจะโง่งม เสี่ยวเจี๋ยเลือกเขาเป็นเป้าหมาย ถือว่าอำนวยความสะดวกข้าอย่างยิ่ง..
“แต่เรื่องบิดาบอกว่าท่านพ่อคลอดเจ้าออกมา อย่าพูดให้เขาได้ยินเชียวนะ”
กำแพงเมืองขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านท่ามกลางแสงตะวัน ก้อนอิฐเรียงรายกันเป็นปราการอันแข็งแกร่งไร้ผู้ทำลาย เมืองถานเฟิ่งสมเป็นเมืองหน้าด่านที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในแดนใต้ ภาพกำแพงสูงท่ามกลางทุ่งหญ้าและป่าเขาโดยรอบช่างโดดเด่นและงดงามเหนือคำบรรยาย ข้าเงยหน้ามองกำแพงสีขาว ขณะก้าวเท้าเดินนำผู้คนไปยังร่างของเจ้าเมืองและข้าราชการที่รอต้อนรับอยู่ ลองทบทวนความทรงจำแล้วพบว่าชายวัยกลางคนที่ประสานมือค้อมกายต้อนรับข้าด้วยแววตายินดีสุดประมาณนั้นคือเหวินเฉิน เขาเป็นคนที่ถูกข้าแต่งตั้งให้มาดูแลเมืองถานเฟิ่งนับแต่นับสืบทอดตำแหน่งจากบิดาเพื่อช่วยจวิ้นอ๋องปกครองเมืองนี้
“เหวินเฉินคารวะนายน้อย”คนมีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองกลับแทบคุกเท่าโขกศีรษะให้ ข้าเห็นว่าปล่อยให้เขาทำตัวเองคงอายุสั้นจึงรีบประคองให้ลุกขึ้นและมอบรอยยิ้มหวานๆให้แทน
“ท่านเจ้าเมืองไหนเลยมาคารวะเช่นนี้ได้ รอก่อนเถอะ แล้วค่อยสนทนากัน” ข้าตบไหล่เขาเบาๆ แล้วผละออก เข้าใจดีว่าคนซาบซึ้งคิดอยากแสดงความจงรัก แต่ปล่อยให้คนอื่นรอคงไม่ดีเท่าไหร่ ดังนั้นจึงหันไปพูดคุยแนะนำตัวกับข้าราชการคนอื่น ส่วนด้านหลังก็มีหลินจวินเจ๋อรอรับการเคารพและดอภาปราศัยกันท่ามกลางสายตาของทหารและชาวเมืองนับร้อยพัน
ข้าก้าวเท้าเข้าไปในเมืองพลางสนทนากับเหวินเฉิน ชายผู้นี้คอยพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวต่างๆอย่างมิรู้เบื่อ ดวงตาของเขาเปี่ยมด้วยความสุข เช่นเดียวกับข้าที่รู้สึกพึงพอใจ ความภาคภูมิและยินดีที่ได้กลับมายังเมืองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆอย่างเต็มตื้นในหัวใจ คงเป็นความรู้สึกของคนงามที่ออกมาอีกแล้ว..ข้าเงยหน้ามองสภาพบ้านเรือนแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ สมแล้วกับเป็นเมืองที่จวิ้นอ๋องครอบครอง ดูเจริญรุ่งเรือง เป็นระเบียบไม่แพ้ที่ไหนๆ แล้วยังเป็นบ้านเกิดของสามีคนดีเสียด้วย..
คิดพลางปรายตามองหลินจวินเจ๋อที่เดินหน้าบานอยู่ไม่ไกลจากกัน ความรู้สึกของการถูกเชิดชูเป็นวีรบุรุษกับการได้กลับบ้านคงทำเอาเขาปลื้มแทบแย่ จะว่าไปแล้วผู้คนในเมืองนี้ก็ชวนให้สบายใจไม่น้อย พวกเขาไม่ทำสีหน้าแปลกๆยามมองข้า ไม่มีการซิบซิบชี้ชวนใดๆ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เทิดทูนท่านเจ้าเมืองนี่ทำให้ข้าประจักษ์ได้ว่าเหวินเฉินทำงานที่จวิ้นอ๋องสั่งการไปอย่างดี สำหรับคนงามจะเมืองไหนก็คงไม่มีค่าเท่าเมืองถานเฟิ่ง ในเมื่อเป็นเมืองที่ฮ่องเต้ประทานตำแหน่งให้ครอบครอง ไหนเลยทำแค่ตั้งคนมาดูแลแล้วนั่งกินเบี้ยหวัดอย่างเดียว
“พ่อค้าพวกนั้น..ชาวไห่เยี่ยนใช่หรือไม่?” ขณะเดินไปยังจวนเจ้าเมือง หางตาข้ามองเห็นชายฉกรรจ์หลายคนที่สวมเสื้อผ้าแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป ที่ศรีษะก็คาดอัญมณีเป็นสายสร้อยเล็กๆ ลักษณะบางอย่างที่บ่งถึงเชื้อชาติอันแตกต่างทำให้ข้าจับสังเกตุได้
“ขอรับ แม้จะใกล้เปดศึกกัน แต่การค้าขายก็ยังไม่หยุดชะงักในทันที รายได้หลักของถานเฟิ่งคือการค้าชายแดน..” เหวินเฉินอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดพลางกระซิบต่อ “แต่ก็มีคนแสดงความวิตกมาเช่นกัน ว่าหากสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะทำเช่นไร”
“ขอเพียงเป็นพ่อค้าจริงๆ แม้เป็นคนไห่เยี่ยนเราก็ต้อนรับ” ข้าตอบพลางขมวดคิ้วน้อยๆ “เหวินเฉิน ท่านลองสำรวจรายชื่อผู้คนในเมืองดูว่ามีประชากรเท่าไหร่ แล้วใครที่เป็นพ่อค้าจากต่างถิ่นให้ลงทะเบียนไว้ หากมีคนแปลกหน้าเข้ามาจะได้สังเกตได้ง่าย เราเองก็ต้องระวังพวกสายลับของไห่เยี่ยนไว้ด้วย”
“รับทราบขอรับ ท่านอ๋อง”
“แล้วจา...นั่นใคร?”
“ใครหรือ..” หลินจวินเจ๋อยืนฟังอยู่ไม่ไกลพอเห็นข้าหันไปมองทางซ้ายมือก็มองตาม จนแน่ใจว่าข้ามองอะไรก็หัวเราะ “นั่นมู่เซิน พ่อค้าที่มาขอความช่วยเหลือจากกองทัพอย่างไรเล่า ลาเทียมม้าของเขาบาดเจ็บ ไม่อาจขนของได้ จึงต้องขอหยิบยืมม้ามาเทียมเกวียนขนของชั่วคราว”
“มู่เซิน...งั้นหรือ?” ข้าเอ่ยถามเสียงแผ่ว เท้ายังคงไม่ขยับไปไหนราวกับถูกปักตรึง ขณะที่ตาจ้องอีกฝ่ายราวกับเห็นผี ขณะที่บุรุษผู้นั้นราวกับรู้ว่าถูกมอง ร่างสูงจึงหันมายิ้มนุ่มนวล ประสานมือเคารพแสดงความขอบคุณ
“เขามีอะไรหรือ?”
“......”
“อาซิ่น?”
“..มะ ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ” พยายามยิ้มออกมาโง่ๆทีหนึ่งแล้วข้าจึงเดินต่อ พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปรกติแต่ฝีเท้ากลับรู้สึกเบาโหวง เหมือนได้ยินคำถามซักไซ้ปนความห่วงใยของหลินจวินเจ๋ออยู่ข้างหูแต่ข้าก็เพียงตอบว่าไม่มีอะไร แต่สองมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมกลับสั่นระริก รู้สึกถึงหยาดเหงื่อซึมชื้นที่ข้างขมับ อยากเดินไปหาเขาคนนั้นแล้วเขย่าแรงๆให้จำกันได้ ในหัวมีชื่อซ้ำไปซ้ำมาราวกับเครื่องเล่นแผ่นสะดุด
มู่เซิน..มู่เซินอะไรกัน นั่นน่ะคืออาจารย์หวัง!
ใบหน้าแบบนั้น แววตาแบบนั้น จะเป็นใครได้นอกจากเขา เจ้าของเส้นผมดำสนิทที่มีรอยยิ้มดั่งสายลมกลางวสันต์คือหวังอี้เสี่ยไม่ผิดแน่ คือแฟนหนุ่มน่าตายที่เคยยกมือลูบหัวเบาๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นด้วยแววตารักใคร่ คนที่กอดเขาเอาไว้และกระซิบบอกให้รักตัวเองมากๆ บอกว่าอาซิ่นโตแล้วต้องดูแลตัวเองดีๆ เขาเคยบอก ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็ยังเฝ้าดูเธออยู่เสมอ..
รู้สึกราวกับถูกค้อนหนักๆฟาดเข้าให้ที่ขมับจนมึนเบลอ ความทรงจำที่เลือนลางจากอดีตที่ผ่านมาไหลวนในห้วงคิด เดินจากมาแล้ว แต่ตายังหันไปมองแผ่นหลังแสนคุ้นเคยนั้น แม้จะแต่งตัวเช่นไร มีชื่อแบบไหน แม้ที่อยู่ตรงนี้เขาจะเป็นใคร ในใจข้าก็ยังจดจำคนๆนั้นด้วยชื่อเดียว
หวังอี้เสี่ย..
อยากพบอีกเหลือเกิน
+++++++++++++++++
ตอนนี้มาพร้อมกับคนใหม่ๆที่มากด้วยหลายเจตนาค่ะ55 ถือว่าเป็นบทสำหรับเปิดตลคใหม่ที่น่าจะทำให้เรื่องน่าปวดหัวขึ้นอีกหลายขุม #แค่กๆ
แถมด้วยคนในอดีตที่มาตามหลอกหลอน(?)อาซิ่นของเรา ใครกันจะไม่มีอดีต สืบเสาะเรื่องของคนงามมาแล้วคราวนี้มาถือเผือกเรื่องอาซิ่นกันค่ะ เพราะอะไรทำไมถึงกลายเป็นเกย์หื่น #อะไรนะ #เป็นมาแต่แรกแล้ว การโจมตีใดจะทรงอานุภาพเท่าแฟนเก่าเป็นไม่มี!
คู่แข่งที่น่ากลัวปรากฏตัวแล้ว แล้ว แล้วว ทั่นแม่ทัพโปรดระวัง55
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

(ตัวฉัน... ฉันอวยคู่แรร์อีดแล้ว...)
ตั้งแต่อ่านมาตัวประกอบ ญ.มีสองตัว สมกับเป็นฮาเร็มของอาซื่อ!555