ตอนที่ 15 : สายลม แสงแดด ขุนเขา และชายงาม การเดินทางจะให้ดีต้องมีพร้อมสรรพ(1)
กระดานสี่เหลี่ยมตีเส้นเป็นตารางขนาดเท่ากันมีหมากตัวสีดำสลับขาววางอยู่ เสียงวางหมากดังขึ้นเป็นระยะท่ามกลางเสียงม้าและผู้คนภายนอก ภายในรถม้าขนาดใหญ่โอ่โถงมีร่างของชายหนุ่มสองคนนั่งประจัญ ต่างคร่ำเคร่งกับการขับเคี่ยวด้วยเกมประลองปัญญา คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งสวมเกราะอ่อนในชุดนักรบท่าทีองอาจหาญกล้า อีกหนึ่งคือบุรุษรูปงามชวนตะลึงแลเสื้อผ้าหรูหราทะมัดทะแมง..นั่นคือข้าเอง
เพี๊ยะ!
เสียงวางหมากตบท้ายค่อนข้างดังขณะคนถือหมากดำถอนหายใจยาว “ข้าแพ้แล้ว”
“เจ้าใจเร็วเกินไป ยังมีทางเดินต่อ ไฉนไม่ลองดู”
“จนแต้มขนาดนี้ข้าจะดันทุรังต่อไปทำไม ทำตัวเองขายหน้าแล้ว” คนที่กล่าวพลางหยิบหมากดำออกจากกระดานอย่างผู้พ่ายแพ้ยังคงเป็นข้า หยิบๆเม็ดหมากขึ้นมาแอบลอบมองท่านขุนศึกผู้เป็นคู่ต่อสู้แล้วถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง ข้านึกอยากเดินไปตบปากตัวเองที่ด่าว่าหลินจวินเจ๋อโง่ ถ้าหากเขาโง่ คนเล่นหมากล้อมแพ้เขาอย่างข้าไม่โง่กว่ารึไง
นึกย้อนไปถึงเรื่องราวก่อนเดินทางออกจากเมืองหลวง หลังราชโองการมาข้าและคนทั้งวังจวิ้นอ๋องก็มีเวลาเตรียมตัวเพียงเจ็ดวันก่อนจะเดินทางออกไปรับหน้าศึก หลินจวินรับบทผู้นำทัพก็วิ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดสรรอาวุธยุทโธปกรณ์และผู้คน แค่จัดการกองทัพอย่างเดียวก็หัวหมุนแทบไม่ได้หยุดพัก ส่วนเหล่าไท่เองก็วุ่นวายกับการจัดสรรผู้คน คัดเลือกบ่าวไพร่ในจวนไปตามรับใช้ข้าถึงเมืองถานเฟิ่ง ดังนั้นไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างก็วิ่งวุ่น แน่นอนว่าว่างที่สุดคือข้าที่ธุระใหญ่คือการตรวจบัญชี รับเงิน และจ่ายเงินออกไป ซึ่งถือว่าเป็นงานที่สนุกดีแท้
หลังจ่ายค่าภาษีที่นาที่ดินและร้านค้าต่างๆของจวนจวิ้นอ๋องเสร็จเรียบร้อย ขันทีข้างพระวรกายฮ่องเต้ก็แทบดิ้นเมื่อเงินที่ข้าบริจาคกลับลดลงจากปีก่อนกว่าครึ่ง เรื่องนี้ข้าเพียงแต่ยิ้มอย่างอ่อนหวานกล่าวอธิบายเขาด้วยท่าทีนุ่มนวลเต็มไปด้วยมารยาทถึงที่สุด เอ่ยถึงเงินที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องใช้เลยมิอาจบริจาคให้เท่าเดิมด้วยอาการสงบ ซ้ำยกเรื่องศึกสงครามมาอ้าง
เมื่อพวกเขาบีบข้าไม่ได้ผลก็ไปจัดการเอากับหลินจวินเจ๋อ เรื่องนี้ข้าได้บอกกล่าวกับอีกฝ่ายไว้แล้วให้เตรียมตัว เมื่อเสบียงและสิ่งของที่จัดให้มานับว่าขาดแคลนซ้ำมิครบกับกำลังพลจึงได้แต่ยิ้มหวานที่มีคนกระโจมลงไปในหลุมที่ขุดไว้ ทางหนึ่งบอกให้แม่ทัพแดนใต้ส่งฏีการ้องเรียนอีกทางก็จัดคนให้ไปแพร่ข่าวดีๆเช่นว่าทหารจะออกรบแต่ก็ไร้อาวุธ มีการทุจริตเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่ทันออกรบ อา...นี่ไม่นับว่าท่านเสนาบดีจ้าวหนิงเฉิงผู้นั้นคือเสนาบดีกลาโหม สุดท้ายข่าวลือแพร่กระจายขึ้นมา คนที่แบกก้นหมอดำเป็นใครถ้าไม่ใช่เขา
ผลสุดท้ายเรื่องนี้กลายเป็นข่าวจุดชนวนความไม่พอใจของปวงชน จนต้องลากเรื่องยาวไปถึงหน้าท้องพระโรง วันนั้นข้าเองก็อยู่ที่นั่น ความรู้สึกหวาดหวั่นเกรงอกเกรงใจใดๆต่อเจ้าของสถานที่หมดไปแล้วเมื่อประจักษ์ว่าเหล่าราชนิกูลเป็นพวกกินเนื้อไม่คายกระดูก จ้าวหนิงเฉิงร่ำร้องว่าเขาถูกปรักปรำ ด้วยงบประมาณมีเพียงน้อยนิดไหนเลยจัดหาเสบียงมากมายได้ แล้วก็หันมามองข้าดั่งกล่าวหา เพียงเท่านี้สถานการณ์กลับพลิกไป มองแล้วน่าขันยิ่ง เงินบริจาคให้เปล่า เพียงมอบน้อยกว่าทุกทีกลับกลายเป็นความผิดแล้ว
“ฝ่าบาท ในเมื่อราชสำนึกเดือดร้อนเพียงนี้ ข้าก็มิอาจดูดายได้” คนกำลังรอประโยคนี้จากปากข้าชัดๆเนื่องจากพูดออกมาแล้วสีหน้าฮ่องเต้ก็แสดงความพอใจ “เสบียงกองทัพขาดแคลน ข้อนี้ย่อมทำลายขวัญกำลังใจไพร่พล ข้าเองก็ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ ไหนเลยจะยอมให้ทหารร่วมรบตกระกำลำบาก ร้านค้าของวังจวิ้นอ๋องมีพวกพืชพรรณธัญญาหารขายอยู่มาก ข้าจะขอขายให้ราชสำนักในราคากึ่งหนึ่ง เช่นนี้ดีหรือไม่”
ข้ายิ้มละไม ทำตัวเป็นคนใจกว้างเหลือคณา สีหน้าไม่ทุกข์ร้อนอย่างยิ่งโดยไม่สนผู้อื่น คิดว่าร่วมกันเล่นงิ้วฉากนี้แล้วจะบีบข้าถวายเงินให้อีกหรือ ฝันไปเถอะ เหล่าจือเป็นเจ้าของเงิน ไม่ให้เสียอย่างใครจะทำไม คิดหรือว่ากดดันแค่นี้แล้วข้าจะยอมง่ายๆ คิดจะโต้วาทีเรอะ ก็มาสิ! ต่อให้ข้าไม่ได้ฉลาดเป็นอัจฉริยะ แต่เรื่องประทะคารมและด่าคนเหลียงจื่อซิ่นออกจะมั่นอกมั่นใจ
“ท่านอ๋อง” จ้าวหนิงเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าเครียดคล้ำ “ขอข้ากล่าวสักประโยคเถิด ยามนี้บ้านเมืองผจญศึกสงคราม วังจวิ้นอ๋องมีทรัพย์สินมากมายแทนที่จะช่วยเหลือจุนเจือราชสำนักกลับกระทำเช่นนี้ นับว่าหน้าเลือดอย่างยิ่ง”
“หน้าเลือด?” ข้าอุทานด้วยสีหน้าตื่นตกใจปานคาดไม่ถึงเหลือคณาว่าจะได้ยินคำกล่าวหา “ข้าหน้าเลือดที่ใด ข้าวสารอาหารแห้งตลอดจนเสบียงต่างๆ หากราชสำนักมีความประสงค์ข้าจวิ้นอ๋องขอมอบให้เพียงคิดราคากึ่งหนึ่ง นี่นับว่าหน้าเลือดหรือ ร้านข้าวสารที่มุมถนนจั๋วซึ่งท่านเสนาบดีจ้าวสั่งคนไปกว้านซื้อมิใช่ว่าขายให้ด้วยราคากระสอบละสิบสองตะลึงหรือรึ นั่นต่างหากเรียกว่าขูดเลือด หรือเพราะร้านนั้นเป็นของคนรู้จักจึงคิดว่าเหมือนจุนเจือกันในครอบครัว”
“ท่านกล่าวหาข้า! กล่าววาจาพล่อยๆเช่นนี้ได้อย่างไร!” มองหน้าตาแทบเต้นหนวดกระดิกของตาเฒ่านี่แล้วช่างสำราญยิ่งนัก เขาไม่ได้โง่พอจะไม่รู้ว่าข้าเขวี้ยงข้อกล่าวหาอะไรใส่ ฉวยโอกาสยามบ้านเมืองมีศึกสงครามกล้าหาผลประโยชน์ใส่ตัว มีโทษถึงประหารเก้าชั่วโคตร “ร้านนั้นค้าขายกับราชสำนักมานานปี มีผู้ใดบ้างไม่ทราบ ทุกอย่างล้วนตรวจสอบได้ทั้งนั้น!”
“ใช่แล้ว ร้านนั้นค้าขายกับราชสำนักมาหลายปีจนร่ำรวยยิ่ง” ข้าพยักหน้า ยิ้มออกมาหวานหยด “ดังนั้นข้าจึงรู้สึกแปลกใจนักที่ราชสำนักขัดสนเงินทองแต่กลับไม่คิดลดให้สักอีแปะ เขาทำเช่นนั้นก็ช่างเถิด ล้วนชอบด้วยเหตุผลเพราะเป็นคนค้าขายไม่ถือว่าแล้งน้ำใจ แต่ข้าจวิ้นอ๋องมีร้านค้าของตน เห็นกองทัพเดือดร้อนจึงขันอาสาช่วยลดราคาให้กึ่งหนึ่งกลับเป็นคนหน้าเลือด ดุลยพินิจของท่านเสนาบดีกลาโหมช่างสดใหม่ยิ่ง”
“หากคนจะให้ ไยต้องคิดราคา นี่เป็นกระทำคบคิดหวังผล!” ได้ฟังข้าแดกดันไปเต็มปากตาเฒ่าเสนาบดีก็พูดไม่ออก ที่สุดก็เข่นเขี้ยวเอาเหตุผลไร้สาระน่าปาไข่เน่าใส่บ้านมาจนได้ “ร้านข้าวสารจั๋วเป็นของราษฎร ไหนเลยควรกดขี่ แต่ท่านเป็นอ๋องในราชตระกูล กลับหาประโยชน์จากราชสำนัก เอาสินค้าของตัวเองมาเร่ขาย ไม่นับว่าน่าละอายใจหรือ!”
“ท่านเสนาบดีจ้าว” หลินจวินเจ๋อซึ่งยืนแถวอยู่ด้านหน้าแม่ทัพฝ่ายบู้ ฟังข้าถกเถียงกับจ้าวหนิงเฉิงอยู่นานก็โพล่งขึ้นมาบ้าง คนทำหน้าดุดันเหมือนจะฆ่าใครตายได้ทุกเวลาจ้องกดดันอดีตว่าที่พอตาอย่างหนัก “กระทำคบคิดหวังผลใด กล่าวอันใดควรระมัดระวัง ข้ากับจวิ้นอ๋องต้องออกรบผจญอันตรายอยู่หน้าด่าน เสบียงนี้หากขาดแคลนคนลำบากยังคงเป็นพวกเรา ใครอยากหาเรื่องลำบากใส่ตัว?”
“ใช่แล้ว ทหารกำลังจะออกรบ เสบียงไม่พอเพียงนี่เป็นความผิดของคลังและกลาโหมมิใช่หรือ เหตุใดต้องให้วังจวิ้นอ๋องออกหน้า คนละอายใจควรเป็นพวกท่านมากกว่าที่ไร้สามารถ!” แม่ทัพบู๊นายหนึ่งใต้สังกัดหลินจวินเจ๋อกล่าวสวนขึ้นมาบ้างด้วยอารามดุดัน เป็นผลให้เกิดเสียงซุบซิบนินทาทั่วท้องพระโรง
“ราษฏรชายแดนกำลังเดือดร้อน กองทัพกลับล่าช้าเพราะขุนนางเอาแต่ทุ่มเถียง นั่นก็ขาดนี่ก็ไม่พร้อม ฝ่าบาท..ข้าน้อยมีข้อสงสัย เหตุที่กองทัพมีเสบียงไม่เพียงพอ เป็นเพราะงบประมาณขาดแคลนหรือเพราะ..” เกาเซิง มหาบัณฑิตซึ่งทำหน้าที่สั่งสอนเหล่าราชโอรสกล่าวขึ้นเบาๆ “ความสามารถ”
“ท่าน!”
“ขอพวกท่านอย่าได้ทุ่มเถียงกันต่อเลย นี่อย่างไรก็หน้าพระพักตร์ หวงเทียนหยางขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยออกหน้าอธิบายให้ท่านเสนาบดีจ้าวเข้าใจ”
ข้าเห็นการวิวาทหนักข้อจึงวางตัวเป็นคนดีช่วยไกล่เกลี่ย แรกเริ่มมีแต่ข้ากับเสนาบดีจ้าว แต่หลังหลินจวินเจ๋อออกหน้าแม่ทัพบู้ใต้สังกัดเขาต่างก็รีบเอ่ยปาก การศึกนี้คนที่ร้อนใจคงไม่พ้นทหารที่ต้องออกรบ ความคิดพวกเขาหาได้ซับซ้อน ราชสำนักเงินทองไม่พอ มีคนเสนอเสบียงให้โดยคิดราคาแค่กึ่งหนึ่งเหตุใดยังไม่ยอมรับไว้ ดังนั้นจึงมองจ้าวหนิงเฉิงปานศัตรูคู่อาฆาต ส่วนเกาเซิง ผู้คนต่างทราบกันทั่วว่าเขาไม่กินเส้นกับท่านเสนาบดีกลาโหมมาแต่ไหนแต่ไร
“ท่านเสนาบดีจ้าว ไม่ได้ทำผิดไยต้องละอาย ข้าเพียงเสนอทางเลือก คนเลือกไม่ใช่ท่าน” เมื่อทุกคนเงียบเสียง ข้าจึงยิ้มอ่อนหวานอย่างชวนขนลุกเป็นพิเศษแล้วปรายตาไปยังร่างบนบัลลังก์มังกร “กล่าวว่าข้าเป็นอ๋องในราชตระกูล ที่แท้ท่านก็จำได้ว่าข้าคือหนึ่งในราชวงศ์เช่นกัน ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทควรแล้วหรือที่กล่าววาจาจาบจ้วงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
“อึ่ก!..ท่าน!”
“อีกอย่าง ท่านเสนาบดีจ้าว กล่าวถึงเรื่องเอาสินค้าตัวเองมาเร่ขาย ข้าหวงเทียนหยางยังมิอาจสู้ท่านได้ ท่านเองก็นำของที่บ้านมาเร่ขายแก่วังหลวงมิใช่หรือ” ข้าถามเขาแล้วยิ้ม กระพริบตาอย่างใสซื่อแต่กวนประสาทเป็นที่สุด
“นำมาขายอันใด หากมีสิ่งใดมอบให้ได้ข้าย่อมทูลถวายโดยให้เปล่า มิได้--” จ้าวหนิงเฉิงเป่าหนวดถลึงตา คิดโต้แย้งข้อกล่าวหาของข้าที่ว่าเอาของมาเร่ขาย แต่กว่าจะนึกได้ว่าวาจาให้เปล่านั่นกลับทำร้ายตนเอง และข้ากำลังด่าเขาเรื่องเอาลูกสาวใส่พานถวายรัชทายาทก็สายไปเสียแล้ว
“ที่แท้ท่านก็ให้เปล่านี่เอง มิน่าเล่า...” ข้าทำหน้าเข้าอกเข้าใจพลางหัวเราะเบาๆ ไม่นำพาสีหน้าราวกับลมจุกอกนั้น ด้วยคิดว่าวางเพลิงไปพอสะใจแล้วจึงควรแก่เวลาเข้าเรื่องเสียที “ท่านเสนาบดีจ้าวจะนำขายหรือให้เปล่าก็เรื่องของท่าน ข้อนี้เทียนหยางมิกล้าก้าวก่าย แต่เรื่องเสบียงราชสำนักขาดแคลน วังจวิ้นอ๋องขอประกาศตัวช่วยเหลือเพียงเท่านี้ จะรับไว้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทุกท่าน ข้าเองก็ต้องออกศึกไปไกลถึงเมืองถานเฟิ่ง คงไม่อาจได้เยี่ยมหน้ามาบ่อยๆ ..การศึกข้างหน้าใหญ่หลวงนัก นับแต่นี้เรื่องเสบียงกรังทั้งหลายคงได้แต่รบกวนท่านเสนาบดีกลาโหมแล้ว”
ข้ายิ้มละไม หันไปประสานมือแก่จ้าวหนิงเฉิง มองเผินๆดูเหมือนเป็นผู้น้อยยอมลงแก่ผู้อาวุโสแต่โดยดี ทว่ามีใครจะดูไม่ออกบ้างว่าข้าหมายถึงอะไร วันนี้สามีภรรยาวังจวิ้นอ๋องมีเรื่องถกเถียงกับเสนาบดีกลาโหม หากภายหน้ามีข่าวเสบียงทัพขาดแคลน จ้าวหนิงเฉิงย่อมถูกเพ่งเล็งว่าหาเรื่องกลั่นแกล้ง คิดแค้นส่วนตัวไม่เห็นส่วนรวม และเพื่อให้เรื่องนี้จบขึ้นดีอีกหน่อย ข้าจึงสั่งให้คนไปแพร่ข่าวลือการถกเถียงในวันนี้อย่างรวดเร็ว ลือไปลือมากลายเป็นว่าเสนาบดีกลาโหมคิดคดโกงกลั่นแกล้งแม่ทัพที่กำลังจะออกศึก ทำเอายามมาส่งข้าออกเดินทางรัชทายาทมีสีหน้าดำคล้ำปานก้นหม้อ
เฮอะ ทำยังกับข้าแกล้งเขาก่อน เป็นพวกเขารนหาที่เองแท้ๆ ตอนแรกเงินส่งให้ครึ่งเดียวก็ยังถือว่าส่ง กลับมาหาทางกลั่นแกล้งหลินจวินเจ๋อ กับสามีคนนั้นแม้จะโง่ไปหน่อย แต่ชื่อเสียงของเขาในหมู่ราษฎรก็ไม่ได้ย่ำแย่ ซ้ำเป็นแม่ทัพ เป็นวีรบุรุษปกป้องบ้านเมือง แค่เขาร้องดังหน่อยคนอื่นก็ลุกตามแล้ว ต้องขอบคุณวงจรการแพร่ข่าวลือของฝั่งตระกูลจ้าวที่สร้างภาพหลินจวินเจ๋อเป็นแม่ทัพคนดีคนซื่อ พอข้ามารับไม้ต่อเลยสามารถสร้างละครฉากวีรบุรุษลำเค็ญได้ไม่ลำบากอะไร ชอบเล่นเรื่องข่าวลือปั่นหัวชาวบ้านนัก คิดหรือว่าตัวเองมีปัญญาทำคนเดียว
หลังจากวางเพลิงเสร็จแล้วข้าและหลินจวินเจ๋อก็เดินทางลงใต้ แดนใต้ไม่หนาวเหน็บดังนั้นเสื้อผ้าอาภรณ์ของข้าจึงไม่ต้องหอบไปมากให้รกรุงรัง การเดินทางเรียบร้อยดีไม่มีติดขัด แต่กลับมีเรื่องอื่นชวนกังวลยิ่งกว่านั่นคือสมองของข้า กล่าวซ้ำอีกครั้งว่าข้าเหลียงจื่อซิ่นเป็นคนธรรมดา ย้ำอีกรอบว่าความถนัดที่สุดคือหาเงินและตกผู้ชาย ดังนั้น ตำแหน่งกุนซือทัพที่แปะไว้บนหัวทำให้ข้ามีปัญหาแล้ว..
ความทรงจำได้รับมาแบบไม่ปะติดปะต่อ ความรู้ได้รับมาแต่เหมือนหนังสือทิ้งไว้ในกล่องเก็บสมบัติไม่มีคนแงะ ต่อให้ข้ารู้แต่ไม่รู้จักใช้ สมองนี่ไม่ได้รับสืบทอดเอาความอัจฉริยะของหวงเทียนหยางมาแม้แต่น้อย แล้วที่แย่คือท่านอ๋องผู้นี้กลับปรีชาสามารถเรื่องกลศึก ข้าที่หัวกลวงเปล่าจะรับมือยามต้องออกรบได้อย่างไร เข้าใจว่าคนเกิดมาก็ฉลาดได้เลยเรอะ ไม่มีทาง! สุดท้ายได้แต่อ้างเอาเหตุผลว่าเพราะยาพิษซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นยาชนิดใดทำให้ความจำเลอะเลือนต้องฝึกฝนตัวเองอย่างเร่งด่วน วันทั้งวันที่เดินทางทำได้แต่นั่งอ่านหนังสือพิชัยสงคราม หลินจวินเจ๋อเห็นดังนั้นจึงมาร่วมวงถกเรื่องการรบทัพจับศึกเคี่ยวกรำสมองข้าจนเปื่อย ใครกันหนอบอกว่ามาอยู่ในร่างนี้แสนสบาย ข้าอยากย้อนเวลาเดินไปตบหัวตัวเองนัก ทั้งวางยา ถูกทรยศ เจอรัชทายาทโรคจิตพ่วงด้วยสามีงี่เง่า นี่น่ะเหรอสบาย คนงามต้องรีบเปิดหนีเพราเจ้าพวกนี้แน่ๆ!
คิดไปแล้วก็ละเหี่ยใจนัก แท้จริงข้าวางแผนงาบ เอ๊ย! วางแผนสนิทสนมกับหลินจวินเจ๋อในช่วงเดินทางนี้และตั้งตาจะงาบเขาสุดกำลัง แต่กลับล่มไม่เป็นท่า เหนื่อยแทบตายใครจะมีแรงไปตะปบก้นคนอื่น ได้แต่มองสามีหุ่นน่าแทะเดินไปแล้วก็เดินมา พอได้นั่งเดินหมากจ้องตากันไปเท่านั้น ที่น่าเศร้าคือข้าไม่เคยเล่นหมากล้อมมาก่อนในชีวิตที่ผ่านมาแต่คนงามกลับเล่นหมากล้อมเก่งมาก ในความทรงจำนั้นหลินจวินเจ๋อเป็นหมูตัวนึงที่จวิ้นอ๋องสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย แต่กับข้าตอนนี้ที่เอาชนะเขายังไม่ได้ นี่ควรเรียกว่าลูกหมู หรือโคลนติดขาหมูดี
“เจ้าอย่าใจร้อน หลายวันมานี้ฝีมือพัฒนาไปมาก” เห็นข้าเงียบไปหลินจวินเจ๋อก็กล่าวปลอบ ข้าเงยหน้ามองเขาอย่างไร้ความหมาย วันก่อนแพ้ไปหกเม็ด วันนี้ก็แพ้ไปสี่ ถ้าแบบนี้หมายถึงความก้าวหน้าล่ะอาจใช่
“ข้าอยากออกไปเดินเล่นแล้ว วันนี้จะพักกันที่ใด ท่านพี่?” คร้านจะกล่าวถึงความโง่ที่แม้แต่บรรพบุรุษเห็นยังต้องหลั่งน้ำตา ข้าเอ่ยปากถามพลางเปิดหน้าต่างรถม้าชะเง้อมองดูทิวทัศน์ อากาศโดยรอบอุ่นขึ้นมาเนื่องจากเดินทางใกล้ถึงจุดหมาย พรรณไม้ยังคงเขียวขจี โดยรอบกายข้าเป็นทุ่งกว้างดูโล่งโปร่ง บรรยากาศยามแสงแดดอ่อนแรงทำให้ฟ้าร่มลมตกน่าท่องเที่ยวไม่น้อย
“วันนี้เราตั้งค่ายกันอยู่ตรงเนินด้านโน้น” หลินจวินเจ๋อกล่าวพลางชี้ไปยังเนินเขาอีกฟากที่เห็นเงาร่มไม้รำไร “ที่นั่นอยู่ใกล้ต้นน้ำ สามารถลงไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัวได้ง่าย วันพรุ่งจะเข้าเขตอำเภอซือหลิน สามารถแวะเข้าพักที่จวนนายอำเภอก่อนจะเข้าเขตเมืองถานเฟิ่ง วันนี้ได้แต่ลำบากไปก่อนแล้ว”
“ลำบากอันใด เดินทางรอนแรมมาหลายวันแล้วเพิ่งร้องโอดครวญมิช้าไปหรือ” ฟังแล้วข้าส่ายหน้าขบขัน ขบวนเดินทางอันประกอบไปด้วยไพร่พลและทหารเดินเท้านั้นค่อนข้างช้าด้วยสัมภาระผู้คนและเสบียงค่อนข้างมาก ถนนหนทางเองก็ลำบากพอสมควร แต่ความลำเค็ญเหล่านั้นไม่เคยแผ้วพานถึงขบวนของวังจวิ้นอ๋อง ไปออกค่ายสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้นยังทรหดมากกว่า นอนข้านอนในรถม้า สบายไม่ต่างกับตอนอยู่วัง แค่อุดอู้เล็กน้อยกับสมองบวมเพราะหนังสืออีกหน่อย ทุกอย่างก็ยังนับว่าสบายดี..ไม่สิ คงสุขใจกว่านี้ถ้าลากหลินจวินเจ๋อมานอนด้วยกันได้
คิดพลางละสายตาจากหน้าต่างมามองสามีจอมซื่อบื้อตรงหน้า แผนการสร้างความสนิทสนามยามเดินทางยังดำเนินไปด้วยดีแต่เรื่องที่ช่างขัดใจนักคือหลินจวินเจ๋อยังระวังตัวแจทำเหมือนข้าจะลากเขาไปกิน ไม่รู้เป็นเพราะเดินทางกับกองทัพมีแม่ทัพนายกองที่รู้จักกันอยู่เขาจึงมิกล้าเข้าใกล้ข้าให้คนเห็นหรือไม่ แต่อีกฝ่ายระมัดระวังซ้ำปฏิบัติตัวมากมารยาทกับข้ายิ่งนัก ต่อหน้าผู้คนมีเรียกท่านอ๋องมิขาดปาก เริ่มแรกที่ไม่รู้เรื่องราวข้ายังเผลอเรียกเขาท่านพี่เป็นผลให้ท่านแม่ทัพแดนใต้เดินหนีไปครึ่งวัน ทำกระมิดกระเมี้ยนเป็นสาวน้อยในห้องหอน่าตีก้นซักป๊าบจริงๆ
“ฮูหยิน..เจ้ามีคำใดจะกล่าวหรือไม่?” ดูเหมือนข้าส่งสายตาหื่นกระหาย..หมายถึงสายตามาดร้ายไปทางเขามากไปหน่อย หลินจวินเจ๋อจึงเอ่ยถามขึ้น ระยะหลังๆเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเมื่อใดที่ข้าอารมณ์ดีและยามใดที่กำลังหงุดหงิด ดังนั้นการเรียกฮูหยินนี่ไม่ต่างกับการประจบสักนิด
“ข้าเห็นทุ่งหญ้ากว้าง อากาศกำลังดี คิดอยากขี่ม้าเล่นเสียหน่อย ท่านพี่ไปด้วยกันหรือไม่?” เป็นฝ่ายเสนอมาข้าก็ต้องสนอง ดังนั้นจึงกระพริบตาปริบๆแล้วยิ้มหวาน แต่แววตาบ่งชัด ข้าไม่ได้ถาม ข้าอยากขี่ม้าและเจ้าต้องไปกับข้า
“ย่อมได้”
“ข้าอยากขี่ม้าของท่าน” อีกคนรับคำข้าก็ร้องต่อนี่คือการได้คืบจะเอาศอกอย่างแท้จริง หลินจวินเจ๋อฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมเบาๆ
“เจ้าขี่เจ้าเฮยจื่อได้หรือ?”
“ไม่ได้” เจ้าม้าบ้านั่นพยศยังกับอะไรดี คนที่มีทักษะขี่ม้าต่ำเรี่ยดินอย่างข้ามีหรือจะจัดการไหว “ท่านก็เป็นคนขี่สิ”
“แต่แบบนั้น...”
“ทำไมรึ?”
“ไม่..ไม่มีอะไร ถ้าอย่างนั้นเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะไปเอาม้ามา”
“แล้วข้าจะรอนะท่านพี่” ข้ายิ้มมองเขาแล้วทอดน้ำเสียงและสายตาหวานชวนใจสั่น ขณะกำลังหัวเราะลั่นอยู่ในใจ หลังจากปวดหัวกับหนังสือและโศกากับความพ่ายแพ้ในกระดานหมากแล้วก็มีการกลั่นแกล้ง..แฮ่ม หมายถึงการแสดงความรักต่อสามีผู้นี้ล่ะที่ทำให้ผ่อนคลายยิ่งนัก ใครใช้ให้เขาเกรงสายตาคนอื่นจนวางตัวห่างเหินกับข้า เข้าใจอยู่หรอกว่ากำลังขัดเขิน แต่อาซิ่นผู้นี้ยิ่งเป็นคนประเภทยิ่งว่ายิ่งยุ อายมากนักก็ยิ่งอยากโชว์ ฉะนั้นจึงได้แต่กล่าวว่าขอรังแกท่านแม่ทัพแดนใต้ด้วยใจเบิกบานยิ่งแล้ว
เรียกอาหงมาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมงขึ้นไม่นานหลินจวินเจ๋อก็มาถึงพร้อมเจ้าเฮยจื่อ ข้าลงจากรถม้ามองสบตาเจ้าสี่ขาที่นิสัยพยศและกวนประสาทได้ไม่แพ้เจ้านายอย่างเป็นต่อ เจ้าม้าตัวสีดำสนิทพ่วงพีลักษณะดีตัวนี้คือม้าศึกของหลินจวินเจ๋อ คนตั้งชื่อว่าม้าเป็นหมาไปได้อย่างไร้รสนิยมยิ่งนัก ส่วนเจ้าม้าพยศแม้โดนเรียกเป็นหมาดำก็ยังเชิดหน้าทรนง มันมีชื่อว่าทั้งพยศและไม่เชื่อฟังจนมีแต่หลินจวินเจ๋อที่สามารถขี่ ในความทรงจำของข้า คนงามก็ถูกใจมันมาตลอดแต่ทำได้เพียงลอบมองชื่นชม ดังนั้นในฐานะผู้สืบทอดอุดมการณ์ของหวงเทียนหยาง ข้าจึงปีนขึ้นไปขี่มันและซุกตัวลงไปในอ้อมแขนของหลินจวินเจ๋ออย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เรียกว่าหนึ่งได้ถึงสอง!
“เรียบร้อยแล้ว ท่านพาข้าไปได้เลย”
ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติและยิ้มหวานเรี่ยราดให้สายตาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่มองมาจากทั่วทุกสารทิศ ควรทราบว่าข้าเดินทางมากับกองทัพชายฉกรรจ์นับแสนด้วยฐานะกุนซือทัพ เจ้าเมืองถานเฟิ่งพ่วงภรรยาอีกตำแหน่ง แน่นอนว่าบุคคลในตำนานเช่นนี้ย่อมเป็นที่จับจ้อง ข้ารู้ว่าทุกคนล้วนได้ฟังข่าวลือมามากมาย บ้างก็บอกว่าข้าเป็นท่านอ๋องวิปริตบังคับผู้ชายแต่งงาน บ้างก็เห็นว่าหลินจวินเจ๋อชังน้ำหน้าข้ายิ่งนัก หลายคนเองก็ยังทราบเรื่องตำนานรักของเขาและคุณหนูจ้าว ดังนั้นเพื่อความแน่ใจของทุกคน ควรออกตัวให้ชาวบ้านรับรู้ถึงความรักใคร่กลมเกลียวกันเสียหน่อย คิดแล้วข้าก็เอนหลังซุกตัวเองในอ้อมแขนของหลินจวินเจ๋อ สัมผัสได้ถึงชุดเกราะที่เขาใส่แล้วอยากจับถอดไปขบกล้ามอกเล่นสักที
“ฮูหยิน เจ้าสำรวมกริยาด้วย” คำพูดอย่างตาเฒ่าคร่ำครึถูกข้ามองผ่านขณะหางตามองเห็นสีแดงข้างแก้มของเขา เมื่อแสงแดดส่องบนใบหน้าคมคายแล้วสะท้านภาพออกมาช่างน่าดูชม
“ท่านอายที่ถูกผู้คนพบเห็นหรือ รึกลัวโดนหัวเราะเยาะ?” สายลมพัดผ่านใบหน้าขณะที่เจ้าเฮยจื่อเร่งฝีเท้า หลินจวินเจ๋อชักม้าพาข้าอ้อมผ่านรี้ไพร่พลและขบวนเดินทางขี่ม้าตัดผ่านไปยังทุ่งโล่งกว้างที่บัดนี้ถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นอาบไล้จนเป็นสีทองสว่าง ข้าทราบดีว่าในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง แม้มีตำแหน่งสูงส่งเพียงไร การแต่งกับบุรุษด้วยกันยังถือเป็นเรื่องน่าอาย
“เดี๋ยวขี่ตัดผ่านไปถึงเนินฝั่งนั้นเลยก็แล้วกัน จะได้เร่งตั้งค่าย” หลินจวินเจ๋อไม่ตอบคำ แต่ไม่พูดก็นับเป็นคำตอบแบบหนึ่ง
“ถ้าท่านไม่ชอบข้าลงก็ได้” ข้าเสนอ คร้านจะอยู่กับคนที่เอาแต่เกร็งสนใจสายตาผู้อื่นจนไม่เป็นอันทำไร
“พากันมาแล้ว จะลงไปอีกทำไม” หลินจวินเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเคร่งมองข้าในอ้อมแขน นิ่งไปครู่แล้วถอนใจเบาๆ “ยามนี้เตรียมทัพออกศึก แม่ทัพต้องครองใจทหาร หากเห็นข้า....”
“ไม่เห็นท่านก็เห็นข้าอยู่ดี พวกเขาเชิดชูท่านเป็นวีรบุรุษ ไม่มีใครเสื่อมความนับถือในตัวท่านหรอก จะแอบนินทาข้าเป็นจิ้งจอกหลอกท่านแม่ทัพเสียมากกว่า” คิดแล้วก็หัวเราะขำ “แต่เอาเถอะ เรื่องนี้เป็นปัญหาของข้า ข้าย่อมจัดการเอง”
“อาซิ่น...” เสียงคนพูดชักเคร่ง เขาไม่ชอบเสมอเวลาข้าพูดจาถล่มตัวเองไม่ว่าจริงหรือลวง
“อย่ากังวล ท่านพี่ หรือท่านไม่ทราบว่าความงามของข้าร้ายกาจเพียงใด”
เชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยสะท้อนท้อนแสงตะวันรอนยามเย็น สายลมพัดพาเอาเส้นผมกระจัดกระจาย ข้าหันไปมองเขาอย่างมั่นอกมั่นใจเป็นที่สุด ดวงตาคู่งามวาววับทั้งอวดดีและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา หวงเทียนหยางเป็นคนงามล่มเมืองถึงเพียงนี้ มีใครไม่ใจอ่อนได้บ้าง ไม่ต้องกล่าวถึงกองทัพที่ไม่พกพาเอาสตรีมาด้วย แค่ข้ายิ้มหวานชม้ายชายตาคนก็หลงเพ้อไปเป็นแถว ข่าวลือน่ารังเกียจพวกนั้นเทียบอะไรได้กับตัวจริง พวกเจ้ามีคนงามขนาดนี้ให้มอง มีคนงามขนาดนี้ยิ้มให้ ยังกล้าตาขวางใส่อีกเหรอ!
“ถูกแล้ว ความงามของฮูหยินช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
ข้าฟังคำชมเรื่องที่อีกฝ่ายยอมรับจากปากในที่สุดแล้วหัวเราะ คิดไปแล้วกว่าจะทำให้ท่านแม่ทัพแดนใต้เลิกพ่นคำว่ารังเกียจไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงวางมือข้างหนึ่งบนแขนของหลินจวินเจ๋อที่ยังคงกุมบังเหียนม้า เจ้าเฮยจื่อวิ่งไปตามสายลมอย่างไม่เร็วไม่ช้า แม่ทัพผู้กล้าบังคับอาชาด้วยท่าทีห้าวหาญ ส่วนข้าที่เป็นคนงามในอ้อมแขนก็ยืดตัวขึ้นโฉบตัวไปจูบแก้มอีกฝ่ายอย่างไม่สนสายตาใคร
คนโดนตัวแข็งทื่อฉับพลัน สัมผัสที่แก้มแผ่วเบาและน่ารักเกินจะบอกว่าถูกลวนลาม พอหลินจวินเจ๋อทำท่าหันมาจะต่อว่าข้าก็จูบปากเขาซ้ำอีกทีหนึ่งทำเอาท่านแม่ทัพหน้าร้อนฉ่า คนตกใจอยากสะบัดข้าลงม้าแค่ไหนก็ทำได้แค่กุมบังเหียนต่อไปด้วยอยู่บนม้าตัวเดียวกัน ข้ารู้ดีและถือโอกาสนี้นี่แหละที่จะลวนลามเขา ได้กินเต้าหู้สามีแบบอีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้นี่สนุกไม่หยอก หลินจวินเจ๋อถูกจูบปากไปที่ก็ปิดปากสนิทไม่กล้าหันมาจะบ่นอีกแล้ว ปล่อยให้ข้ามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับทั้งขำทั้งเอ็นดูเหลือหลาย พ่อหนุ่ม ที่เหล่าจือวางแผนว่าระหว่างทางจะกินเจ้าให้ได้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!
ลงมาจากม้าในที่สุดเมื่อมาถึงเนินอีกฝั่ง ข้าถูกเขาจูงลงม้าแต่หลังจากนั้นหลินจวินเจ๋อก็เงียบกริบไม่พูดไม่จา ทำตัวเหมือนสาวน้อยแง่งอนชวนตบตูดอีกรอบ ข้ามองเล็งบั้นท้ายเขาอย่างมีเลศนัย นึกคันมือเหลือประมาณแต่ก็ยังสู้เดินเข้าไปหา เอาหัวยุ่งๆชนแขนที่กอดอกอยู่สักคราเรียกร้องความสนใจ
“ ไม่พอใจหรือ..ข้สแค่อยากให้รางวัล ท่านชมข้า”
“นั่น...นั่นไม่นับเป็นรางวัลสักเท่าไหร่”
“ก็ได้ งั้นข้าลวนลามท่าน!”ข้าพูดออกมาอย่างชัดเจนและหน้าทน ไม่คิดว่าการลวนลามผู้ชายคนนึงที่มีฐานะเป็นสามีตัวเองจะผิดอะไร หลินจวินเจ๋อหันมามองข้า ใบหน้าของเขาถูกแสงอาทิตย์ฉาบย้อมจนดูเหมือนรูปปั้นทองแดง แม่ทัพแดนใต้ยกมือขึ้นอย่างชวนใจหายว่าจะถูกลงมือ แต่หลินจวินเจ๋อก็แค่ใช้ปลายนิ้วสางผมยุ่งเพราะแรงลมให้เงียบๆ ดวงตาเข้มจัดลึกล้ำ
“ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”
“จะคิดว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน” ข้าไม่รู้สึกเจ็บคันใดๆเลย ซ้ำตอนนี้พอใจอย่างมากที่แผนเอาตัวเข้าคลุกวงในเนียนลวนลามเนียนอ้อนเนียนซบประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี กำลังเงยหน้าขึ้นคิดกล่าวอะไรต่อ นายทหารคนหนึ่งก็วิ่งมาหา เขาคุกเข่าลงไม่ไกลกล่าวเสียงดังฟังชัด
“ท่านแม่ทัพ ถึงเนินเขาแล้ว จะตั้งค่ายเลยหรือไม่”
“สั่งให้ตั้งค่ายที่นี่ ส่วนทหารที่ว่างงานแล้วก็ผลัดเปลี่ยนกันไปพักผ่อน อาบน้ำชำระร่างกายได้”
“อาบน้ำ..” หลังนายทหารรายนั้นจากไป ข้าก็หันมามองหลินจวินเจ๋อ ดวงตาเป็นประกายระยับ
“ใช่ พวกเราเองรอนแรมมาหลายวัน ไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย วันนี้โชคดีพบลำธารขนาดใหญ่ เจ้าเองก็คงอยากอาบเช่นกัน เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนจัดพื้นที่ส่วนตัวให้”
“ข้าไปด้วย เป็นผู้ชายด้วยกัน แยกไปเพื่ออะไร” หลินจวินเจ๋อเข้าใจว่าข้ากระหายจะอาบน้ำเสียเต็มประดากล่าวขึ้น แต่ข้าส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆประกาศเจตนารมย์พลางเกาะแขนเขาออดอ้อนคล้ายเด็ก ดวงตาพราวระยับอย่างชอบอกชอบใจเป็นที่สุด หลินจวินเจ๋อมสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้างกับคำขอซ้ำถูกอ้อนเช่นนี้ แต่ตอนนี้มีหรือข้าจะสนใจ จุดมุ่งหมายน่าสนใจกว่าเห็นๆ
ได้นั่งมองผู้ชายฝูงใหญ่ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ อาหารตาชั้นดีขนาดนี้ จะพลาดได้ยังไง!
++++++++++++++++++++++++
หลังตบเกรียนไปเล็กน้อยก็เดินทางกันแล้วค่ะ ตอนแรกจะให้บอสโผล่ตอนนี้ แต่อาซิ่นมากระซิบว่ายังลวนลามไม่สาแก่ใจเลยขออีกนิด ตอนหน้าคงได้เจอกันค่ะ
ม้าของหลินจวินเจ๋อชื่อเฮยจื่อที่หมายถึงหมาดำ เซนส์การตั้งชื่อของท่านแม่ทัพช่าง..555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 10 มกราคม 2560 / 01:58