ตอนที่ 11 : โบราณว่าไม่ร้ายไม่ใช่ผู้ชาย
มือเหี่ยวย่นเจือกลิ่นยาพลิกดูฝ่ามือขาวที่มีเลือดซึมชื้น สีหน้าแววตาของผู้มองซับซ้อนอย่างยิ่งขณะค่อยๆใส่ยาและพันแผลอย่างเบามือ ภายในห้องกว้างแม้ผู้คนจะยืนอยู่หลายชีวิตแต่กลับเงียบแทบไม่มีเสียงหายใจ ดวงตาทุกคู่ต่างจดจ่ออยู่ที่รอยแผลในมือของเจ้าของตำหนักที่นั่งเอนหลังบนเตียงกว้าง ผ่านไปอึดใจใหญ่ทุกอย่างจึงแล้วเสร็จ
“ท่านอ๋อง”ท่านหมอชรานิ่งคิดชั่วครู่ก่อนจะหยิบล่วมยามาสะพาย ดวงตาที่ยังแจ่มใสจับจ้องวงหน้างามงดของเจ้าของตำหนัก “รอยแผลนี้ แม้ไม่นับว่าบาดเจ็บมาก แต่อย่างไรก็ตาม โปรดถนอมพระวรกาย”
ถ้าข้าไม่เจ็บป่วยบ้างอะไรบ้างท่านจะมีงานทำเหรอ คันปากอยากตอบแบบนั้นเต็มกำลังแต่ข้าก็รู้ว่าคนพูดแสดงความห่วงใยในฐานะหมอ ดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ “ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านหมอ”
“ท่านหมอเชิญทางนี้”
แล้วบรรยากาศเหมือนงานศพนี่มันอะไร?
หลังจากเหล่าไท่ลุกขึ้นเชิญท่านหมอจากไป ทุกอย่างก็อยู่ในความสงบ ข้านั่งนิ่ง มองทุกคนที่ยังคงเงียบแสนเงียบ พร้อมใจกันหุบปากฉับและเอาแต่จ้องข้าด้วยแววตา..เออ รู้แล้วน่ะว่าข้าพลาด รู้แล้วว่าทำพวกเจ้าเป็นห่วง แต่อย่ามามองกันแบบนี้ได้ไหม ไอ้แววตาทั้งห่วงทั้งกล่าวหาทั้ง..โอ้ยย ข้ารู้สึกคันโคตรๆ คันยิบในดวงใจเหลือจะกล่าว อย่ามองมาแบบนี้ ข้าไม่ชิน!
หลบตาแดงก่ำยังกับจะร้องไห้ของกวางน้อยเสี่ยวเฉียวและสายตากึ่งพ้อกึ่งคร่ำครวญของหลิวหลี ไม่นับสายตาคู่อื่นในห้องอีกอย่างน้อยสามคู่ก่อนจะหันไปหาหลินจวินเจ๋อ ตอนนี้ต่อให้ท่านแม่ทัพแดนใต้มองข้าด้วยแววตารังเกียจเดียจฉันท์ก็ไม่คิดจะโมโห แต่บัดซบ..รายนั้นก็มองข้าด้วยแววตาดุจเดียวกัน ไม่สิ เพิ่มเติมคือความโกรธหน่อยๆ ข้าเองก็ทราบจากเหล่าไท่ว่าที่หลินจวินเจ๋อมาปรากฏตัวในจวนอย่างรวดเร็วแบบนั้นเพราะเขาส่งคนของทางตำหนักไปเรียก ข้านึกถึงท่าทีร้อนรนของท่านแม่ทัพแดนใต้เบื้องหน้า รึเขาคิดจะมาเอาเรื่อง?
“ข้าจะนอน” รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ธรรมดา ข้าเลยขอหนีหางจุกตูดชั่วคราวเพราะเดาใจคนเหล่านี้ไม่ถูก รีบดึงผ้าห่มคลุมแล้วหันหลังให้ ในสมองกำลังคิดไปหาคำตอบที่แย่ที่สุดโดยอัตโนมัติ ถ้าหากพวกเขารู้ว่าข้าไม่ใช่จวิ้นอ๋อง..
“เดี๋ยว ข้ามีเรื่องคุยกับเข้า” หลินจวินเจ๋อคว้าแขนข้าไว้แล้วลากออกมาจากผ้าห่มอย่างอุกอาจ สามีที่รักวันนี้ช่างใช้แรงได้ถูกกาละเทศะจริงๆ ฮึบเดียวก็ลากข้าออกมาจากผ้าห่มและจับให้นั่งได้อย่างรวดเร็วแถมด้วยลูบหัวสองทีเหมือนปลอบเด็กน้อย เจ้าลูกเสือนี่ ไม่คิดว่าล่วงเกินท่านอาซิ่นผู้นี้มากไปหน่อยเหรอห๊ะ
“ข้าง่วง” นึกขึ้นมาได้ว่ายังต้องเล่นมุกท่านอ๋องผู้โดนทำร้ายจิตใจอยู่ ข้าจึงเปลี่ยนจากถลึงตาใส่เป็นเผลอสบตาแล้วหลบอย่างรวดเร็ว ลูกไม้นี้แน่นอนว่าทำให้หลินจวินเจ๋อชะงักไป เขาเองก็คงเพิ่งนึกได้ว่าระหว่างตนเองกับจวิ้นอ๋องมีประเด็นชวนอิหลักอิเหลื่อกันอยู่ คิดออกแล้วใช่ไหม ดีมาก ฉะนั้นไสหัวไป-
“ไม่ได้” เสียงแข็งทำไม แค่เพราะเป็นฮีโร่เข้ามาขวางระหว่างข้ากับรัชทายาทสายเอสนั่นทำให้หลงระเริงคิดว่ามีบุญคุณหรือสั่งได้รึ สำคัญตัวผิดแล้วพ่อหนุ่ม ลูกเต่าแม้จะอัพเกรดแล้วก็เป็นได้แค่ลูกเสือ คิดมาสั่งข้ายังเร็วไป..ข้าหรี่ตามองเขาด้วยอารมณ์ที่เริ่มกรุ่นๆ พยายามบอกตัวเองว่าที่เคืองไม่ใช่เพราะชนักติดหลัง..
“ทุกคนออกไปก่อน ข้ามีธุระคุยกับท่านอ๋อง”
ไม่ต้องรอให้ข้าอ้าปากเถียง หลินจวินเจ๋อก็ชิงสั่งการพร้อมชี้นิ้วให้คนของข้าลุกออกไปแต่โดยดี ซึ่งบ่าวรับใช้แค่ละคนก็เชื่อฟังเป็นที่สุด ออกไปเฉยๆไม่พอมีงับประตูแถมให้อีกขั้น นี่เรียกว่ากำลังส่งเสริมสนับสนุนข้าหรือกำลังทำอะไรกันแน่ ที่สำคัญนายของเจ้าคือใคร จวิ้นอ๋องไม่ใช่เหรอ พวกคนทรยศ!
“ทำไมวันนี้เจ้าเชิญรัชทายาทมา?”
คำถามดังชัดเจน ชัดมากจนข้าไม่มีโอกาสบ่ายเบี่ยง ไม่มีเวลาเล่นมุกผู้สะเทือนใจจากศึกยามเมาอีกแล้ว ข้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางมองหลินจวินเจ๋อซึ่งกอดอกหน้าตาเคร่งเครียดเบื้องหน้าแล้วลอบถอนใจ เขายังคงนิ่งรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหากไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็จะไม่ลุกออกไปให้ข้าตอบยังไงดีล่ะ บอกว่าเชิญรัชทายาทมาเพราะอยากให้เขาเล่นงานเสนาบดีจ้าวให้หมอบงั้นหรือ คิดว่าข้าสมองเสื่อมรึไงถึงจำไม่ได้ว่านั่นเป็นพ่อของคุณหนูจ้าว ข้าบอกเขาแล้วได้อะไร เขารู้แล้วยังไง สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นเอง
“อาซิ่น” เมื่อเห็นข้าไม่ตอบ หลินจวินเจ๋อก็เรียกชื่อแล้วถามย้ำ “เจ้าทราบดีว่าตนเองมีอาการเช่นใดต่อหน้าเขา ทำไมถึงเรียกเขามา แล้วยังตกลงอะไรกันอีก?”
“ข้าจำไม่ได้”
“อะไรนะ?”
“ข้าบอกว่า ข้าจำไม่ได้”เงยหน้าขึ้นสบตาคู่คมเงียบๆ ข้าตัดสินใจกล่าวอ้างถึงอีกหนึ่งสาเหตุก่อนแล้วเก็บประเด็นที่สองเอาไว้ จากประสบการณ์วันนี้ หากข้าทะเล่อทะล่าเข้าหารัชทายาทอย่างไม่รู้อะไรเหมือนคนตาบอดผลคงออกมาน่าสมเพชเหมือนเดิม ถามคนอื่นแล้วไม่มีใครกล้าตอบ วันนี้หลินจวินเจ๋อนั่งอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องเมาแล้วก็ได้ ข้าจะถามคำถามที่ค้างคาให้จบกันไปเสียที
“ตั้งแต่ที่ข้าเมาเหล้าพับไปครั้งก่อน หลังตื่นขึ้นมาบางความทรงจำก็ขาดหาย บางอย่างก็เลือนลาง ข้าจำไม่ได้ว่าระหว่างข้าและรัชทายาทมีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น ข้าไม่รู้ว่าเขาและข้าเคยคุยกันอย่างไร สนิทสนมกันหรือไม่ ทำไมร่างกายของข้าจึงได้สั่นกลัวอย่างแปลกประหลาดยามเข้าใกล้เขา ข้าไม่รู้ ดังนั้นจึงต้องการจะรู้”
“เจ้าจึงเชิญเขามางั้นหรือ?” สีหน้าแววตาของหลินจวินเจ๋อดั่งจะถามว่าข้าบ้าไปรึเปล่า ทั้งที่มีอาการเช่นนั้นแล้วยังเชิญหวงไท่หยางมาพบ
“แล้วอย่างไร ข้าไม่ต้องการอยู่กับความไม่รู้” ต่อให้จริงๆมีเจตนาจะถีบก้นเสนาบดีจ้าวให้คว่ำ แต่นี่ก็เป็นคำถามหนึ่งที่อยากทราบเหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงตอบไปอย่างไม่ยอมแพ้ การเดินท่ามกลางเครื่องหมายเควชั่นมาร์กสนี่ คิดว่าสนุกงั้นหรือ นั่นก็ไม่รู้นี่ก็ไม่รู้ ไอ้คำว่าลืมแล้วก็ดีนั่นมันคำปลอบใจชั้นเลวเท่านั้นเอง คนต้องเกี่ยวข้องกันแต่จำอะไรไม่ได้เลยนี่ตลกหรือ ต้องเอาสมองเขวี้ยงผนังห้องก่อนสิถึงจะคิดแบบนั้นได้
“ข้าอยากทราบ แต่ถามไปก็ไม่มีใครกล้าพูด ทุกคนกล่าวว่าเพราะราชโองการ..ราชโองการ แล้วอย่างไร? หรือข้าต้องอยู่อย่างไม่รู้เรื่องของตัวเอง ข้าและเขาไม่เกี่ยวข้องกันได้หรือ ท่านพี่ ท่านเองก็รู้ดีเรื่องอำนาจภายในราชสำนัก ข้าไม่ปรารถนาจะเป็นหมากให้ผู้อื่นจับเดิน ดังนั้นจึงต้องได้รู้ หากไม่อยากให้ข้าพบเขาอีก ก็จงบอกมาสิ”
“เจ้า...ให้ท่านหมอตรวจดูแล้วหรือ”
“ร่างกายและหัวของข้า สมบูรณ์ดีทุกประการ”
อย่ามาเนียนเปลี่ยนเรื่องกับเหล่าจือนะเว้ย!
คิ้วกระตุกหงุดหงิดจนเกือบออกลายนิสัยเก่า ข้าพยายามปั้นหน้ารักษารอยยิ้ม ไม่อยากให้ใบหน้าน้อยๆของจวิ้นอ๋องกับปากสวยๆนี่ปล่อยคำสถาบหยาบคายของปีสองพันมาให้เป็นราคีแก่คนงาม พยายามแล้วก็ทำได้แค่กระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มแปลกๆ และกำลังห้ามตัวเองไม่ให้จับกด เอ๊ย จับหลินจวินเจ๋อมาชกหน้าสักที เพราะต่อให้คิดไปข้าก็ไม่มีปัญญาทำให้กำแพงฉางเฉิงสั่นสะเทือน
“ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้น.....”
“ท่านพี่” ข้ายิ้มหวานมากขึ้นอีกระดับเมื่อเห็นการพยายามบ่ายเบี่ยงอย่างสุดกำลังของอีกฝ่าย ยิ้มนี่หวานมากแค่ไหนก็แสดงถึงอันตรายมากขึ้นเท่านั้นหลินจวินเจ๋อน่าจะทราบดี ดังนั้นท่านแม่ทัพแดนใต้จึงสูดหายใจลึก ข้าเอื้อมมือไปหาเขา จับบนไหล่หนาแล้วบีบแรงๆสักที
“หากไม่กล้า ก็จงบอกว่าไม่กล้า อย่าบ่ายเบี่ยง อย่าพยายามเปลี่ยนเรื่อง แค่ท่านบอกว่าเกรงพระราชอาญาแค่นี้ข้าก็เข้าใจแล้ว อาซิ่นเองก็ทำใจไว้แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบ อย่าได้กล่าววาจามากมายเลย ท่านโกหกไม่เก่ง พาลเสียเวลาเปล่าๆ”
“ใครว่าข้ากลัว!”
ต่อให้ลูกเต่ากลายมาเป็นลูกเสือ แต่หลุมที่เคยขุดแล้วดักได้ยังไง ก็ยังคงได้ผลอยู่อย่างนั้น
ข้ายิ้มละไมมองหลินจวินเจ๋อที่สวนคำออกมาทันควันด้วยความรู้สึกหลากหลาย จะว่าประทับใจกับความสำเร็จในการหลอกล่อของตนเองก็ใช่ แต่ที่เหนือกว่าคือความรู้สึกเอ็นดูปนสิ้นหวังในพัฒนาการของมนุษย์ชอบกล หลินจวินเจ๋อท่านแม่ทัพคนนี้หลังถูกข้าจัดการตบๆไปหลายทีก็สำแดงความฉลาดและจิตสำนึกออกมาจนรู้ว่ามีดีอยู่บ้าง หลายวันก่อนเขายังระแวงว่าจะโดนข้าจัดฉากตบตาทำเอาปลาบปลื้มกับระดับไอคิวที่เพิ่มขึ้น แต่วันนี้พอโดนแหย่ไปทีก็เดินตกหลุมอย่างเดิม จะมอบคำว่าโง่ให้ก็ยังเกรงใจเปลี่ยนเป็นซื่อบื้อก็แล้วกัน
อาการเกาถูกที่คันมันแบบนี้สินะ คนเรามีจุดต้องห้ามไม่เหมือนกัน อย่างข้าให้โดนด่าว่าชั่ว เลว ไร้จิตสำนึก ไร้หัวใจยังรู้สึกเฉยๆ แต่จะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟถ้าโดนด่าว่าหน้าตาแย่ ส่วนหลินจวินเจ๋อ แหย่อะไรเขาไม่ได้ผลเท่ากับการพูดว่าเป็นคนขี้ขลาดกลัว ช่างเป็นหลุมเล็กๆที่ขุดได้ง่ายแต่ประสิทธิภาพสูงจริงๆ
ท่านแม่ทัพแดนใต้โพล่งออกมาเหมือนจะรู้ว่าตกหลุมพรางแล้วจึงนิ่งงันไป ส่วนข้าที่รู้สึกว่าเล่นมุกท่านอ๋องผู้เศร้าโศกต่อไปไม่ถนัดแล้วก็ระบายยิ้ม สบตาอย่างจำเพาะเจาะจงให้คนไม่กลัวคายมันออกมา อย่าได้คิดปิดเรื่องของข้าจากตัวข้าเด็ดขาด!
“ก็ได้ เจ้าชนะข้าจะเล่า ถ้าเจ้าต้องการฟังจริงๆ” เชื่อฟังแบบนี้แต่แรกก็ไม่มีเรื่องแล้ว ข้านิ่งรอฟังเรื่องทั้งหลายจากหลินจวินเจ๋อด้วยอาการสงบ ท่านแม่ทัพแดนใต้นั่งนิ่งขรึมจ้องมองตรงมา สองมือวางบนเข่าอากัปกริยาดูเป็นทางการซ้ำยังจริงจังอย่างยิ่ง ความจริงใจที่อีกฝ่ายแสดงออกทำให้ข้าพอใจไม่น้อย ถ้ารู้ว่าถามตรงๆจะได้คำตอบคงไม่ลำบากไล่ถามคนอื่นให้เมื่อย
“ข้าต้องการทราบจริงๆ ท่านพี่”
“ไม่เสียใจ?”
“อย่าร่ำไรอีก”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนเราจะแต่งงานกัน” ในที่สุดก็เริ่มเล่า ข้าพยักหน้ารับรู้ ขณะที่ใบหน้าของหลินจวินเจ๋อมีสีจางๆระบายข้างแก้มดูน่าขันไม่น้อย คงจะเขินคำว่างานแต่งกระมัง ไม่ก็เขินเรื่องความวินาศในงานที่ตัวเองทำไว้ ดูแล้วคาดว่าคงเป็นประเด็นหลัง “สองเดือนหลังจบศึกทะเลตงไห่ เจ้ากลับมาพร้อมชัยชนะ ตอนนั้นราชโองการประทานสมรสออกมาแล้ว จวนจวิ้นอ๋องกำลังเร่งจัดงาน..แต่ก่อนเจ้าและองค์รัชทายาทสนิทสนมกันดี ทั้งยังเคยเป็นเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกันในวังหลวง”
นิ่งฟังแล้วข้าพยักหน้ารับทราบ เรื่องราวความสนิทสนมของทั้งสองไม่ผิดไปจากที่คิดนักเพราะนับจากชาติกำเนิดแล้วถือว่าสามารถสนิทสนมกันได้ ข้ามุ่นหัวคิ้วเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บที่ข้างขมับ เอาอีกแล้ว..นึกถึงเรื่องของหวงไท่หยางทีไรก็ปวดหัวเสมอ
“หนึ่งอาทิตย์ก่อนแต่งงาน เจ้าหายตัวไป” หา..ข้าเบิกตากว้างหันไปมองหลินจวินเจ๋อ “ออกตามหาแล้วไม่พบตัว จนในที่สุดสามวันให้หลังเจ้าก็กลับมา เจ้าอยู่ที่ตำหนักรัชทายาทและหลังจากนั้นเจ้าก็จะมีอาการเช่นนี้เวลาพบกับเขา แต่เรื่องราวนอกเหนือไปจากนั้น ข้าไม่รู้”
“ไม่รู้”
“ใช่ ข้าไม่ทราบ” สามีแต่ในนามหันมาจ้องสบตาข้าเงียบๆและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “นี่คือเรื่องที่ผู้คนฝั่งรัชทายาท ฮ่องเต้ ตลอดจนคนของวังจวิ้นอ๋องได้รู้ แต่เจ้าพบเจออะไร เจ้าทำอะไรที่นั่น มีเพียงเจ้ากับรัชทายาทเท่านั้นที่ทราบ ผู้คนรู้เพียงเจ้าหายตัวไปและถูกพบอีกครั้งที่ตำหนักของเขา แต่ไม่มีใครทราบรายละเอียด เจ้าไม่พูด รัชทายาทกล่าวเพียงว่าเดินหมากกันข้ามวันข้ามคืนจนลืมแจ้งเท่านั้น..” หางเสียงคนพูดมีแววเยาะ นัยน์ตาคู่นั้นฉายประกายเดียจฉันท์วาบผ่าน “หลังจากนั้นทุกคนถึงค่อยทราบเรื่องที่เจ้าแปลกไป แต่อีกฝ่ายคือองค์รัชทายาท จะทำอะไรได้เล่า ฝ่าบาทก็ทำเพียงออกราชโองการห้ามคบหาติดต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงมากลั่นแกล้งเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นบ้าไป”
“ทั้งที่รู้ว่าข้าโดนลักพาตัวไป วันเข้าหอท่านยังพูดจาโหดร้ายกับข้าอีกนะ ท่านพี่” ไม่รู้ทำไมข้าถึงพูดแบบนี้ ข้าหลับตาลง อาการปวดหัวยังคงอยู่ขณะหัวใจเต้นตุบๆ ได้รู้ในสิ่งที่ต้องการแต่ดูไปก็เหมือนจะไม่รู้อะไรเลย ข้าก้มลงมองฝ่ามือตนเองที่ถูกพันไว้ นึกย้อนไปถึงหวงเทียนหยางว่าจะต้องทุกข์ทรมารกับมันแค่ไหนแล้วรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด
ข้าไม่รู้และยังคงจำไม่ได้ว่าอะไรเกิดขึ้น ความทรงจำทุกอย่างยังว่างเปล่าบอดใบ้เหมือนวันแรกไม่มีผิดเพี้ยน แต่ฟังจากที่หลินจวินเจ๋อบอกเล่า สิ่งที่จวิ้นอ๋องต้องเจอย่อมไม่ใช่เรื่องดี เรื่องร้ายอาจแบบไหนล่ะที่จะทำให้คนๆหนึ่งเกิดอาการกลัวอีกฝ่ายจนขึ้นสมองได้ขนาดนี้ แม้กระทั่งจำไม่ได้ กระทั่งวิญญาณเขาจากไปร่างกายก็ยังหวาดหวั่นจนเรียกได้ว่าแทบประสาทเสีย
“ข้าขอโทษ ฮูหยิน” น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวเบาๆทำให้ข้าละออกจากหวังค์ ฝ่ามือของหลินจวินเจ๋อกำลังวางบนศีรษะและลูบช้าๆด้วยท่าทีอ่อนโยนนัก อัปกริยาระมัดระวังราวกับข้าเป็นแค่แก้วบางๆพร้อมแหลกสลายทุกเมื่อจุดรอยยิ้มขัน ข้ารู้ดีว่าเรี่ยวแรงอีกฝ่ายมีมาก การจะมาระวังอะไรแบบนี้คงทำเอาเกร็งไม่น้อย ขนาดข้าเป็นผู้ชายเจ้ายังคิดมาก แล้วกับแม่นางจ้าวคนงามผู้นั้น..
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่ต้องขอโทษ”
“โอ๊ย..เจ้าทำอะไร?!”
“กัดไง” ข้าละคมเขี้ยวออกมาแล้วพ่นลมหายใจพรืด ลอยหน้าไม่รู้สึกรู้สากับท่าทีตกอกตกใจนั่น ขณะที่มือของหลินจวินเจ๋อก็ปรากฏรอยเขี้ยวเล็กๆขึ้นทันตา อา..เห็นรอยแผลแล้วข้าสบายใจขึ้นเยอะ
“เจ้ากัดข้าทำไม ฮูหยิน” หลินจวินเจ๋อส่งเสียงลอดไรฟัน สีหน้าท่าทางพยายามคุมความโกรธอย่างสุดกำลังนั่นดูน่ารักไม่น้อย
“พอดีข้าคันเขี้ยว”
“อะไรนะ!”
ข้ายิ้มหวาน ปล่อยมืออีกฝ่ายแล้วทำหน้าไม่รู้มีชี้เสีย ผู้ชายอกสามศอกกะอีแค่โดนกัดไม่จับไม่คันอะไรหรอก ไม่รู้เขาจะโวยไวไปทำไม ข้าก็แค่เอาคืนส่วนของคนงามไปเท่านั้น แค่รู้หมั่นไส้ปนๆหงุดหงิดใจเมื่อคิดว่าสามีสุดที่รักเบื้องหน้าจะไปลูบหัวกอดประโลมคุณหนูจ้าวอันเป็นที่รักยิ่ง คิดแล้วมัน..
“ภรรยา ข้าเล่าให้เจ้าฟังไปแล้ว เจ้าพอนึกอะไรออกบ้างไหม?” ท่านแม่ทัพแดนใต้มองสบตาข้า แล้วเขาก็ขยับตัวถอยห่างจากข้างเตียง
“ไม่ ยังจำอะไรไม่ได้” เรียกภรรยาก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก ข้าอยากบอกเขาแบบนั้น แต่เห็นท่าทีถอยพรวดๆเหมือนกลัวโดนกระโจนกัดคอแล้วมันน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงป่ายผ้าห่มออกจากข้างกาย เคลื่อนตัวลงจากเตียงช้าๆ
“เจ้าควรพักผ่อน” หลินจวินเจ๋อลุกพรวดแล้วใช้สองมือยันบ่าข้าไว้มั่น แรงกดหนักๆทำเอาต้องยิ้มหวานมากกว่าเดิม
คนงามคลี่รอยยิ้มดั่งบุปผาเบ่งบาน ผู้คนที่ได้เห็นควรจะนิ่งงันแล้วทำตาลอยเคลิบเคลิ้มถึงจะถูก คงมีแต่คนบ้าเช่นหลินจวินเจ๋อที่เหงื่อตกคล้ายกลัวถูกเล่นงานเป็นกำลัง ยิ่งเห็นแล้วยิ่งหมั่นไส้ปนน่าหงุดหงิด นี่น่ะเรอะท่านแม่ทัพแดนใต้ผู้ยิ่งใหญ่ เขาร้อนรนกลัวอะไรแบบนี้ ไม่ใช่ว่าไปทำความผิดอันใดไว้หรอกนะ
“ข้าเจ็บมือ อย่างอื่นปกติดี ท่านพี่” ข้าหรี่ตามองเขา เอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายที่กดไหล่ไว้ ปลายนิ้วเล็กๆลูบหลังมือกร้านเบาๆ พลางลากเล่นและยิ้มหวานชวนเคลิบเคลิ้ม ข้าเอียงคอมองท่านแม่ทัพเบื้องหน้า รอดูว่าเขาจะมีปฏิกริยาเช่นไร หากปล่อยมือ แน่นอนว่าข้ารอเล่นงานอยู่แล้ว ไม่ว่าหว่างขาหรือหน้าท้องก็น่าจับทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าไม่ปล่อย..อืม เขาจะปล่อยให้ข้าลูบหลังมมือเล่นไปเรื่อยๆก็ไม่มีปัญหา ข้าเตรียมลากมือขึ้นสูงอยู่แล้ว
“ฮูหยิน สำรวมกริยาด้วย”
“หือ ข้าทำอะไรหรือท่านพี่?” ข้าทำหน้าเหรอหรา สามีภรรยาจับมือกันเรียกว่าลวนลามหรือ กระทั่งไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่จับมือลูบมือเล่นก็ไม่เรียกลวนลาม หวงไท่หยางยังเคยทำมาแล้ว หลินจวินเจ๋อเองก็ไม่ใช่ประเภทไก่อ่อนไม่เคยแตะต้องอิสตรี มาสะดีดสะดิ้งเพราะโดนผู้ชายลวนลามนี่เรียกขวัญอ่อนหรือเว่อร์เกินดีล่ะ
“ข้าเผลอไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองอีกหรือ” ดูเหมือนจะถูกรู้ทันแล้ว ข้ามองอีกคนทำหน้าปั้นยากแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ยอมละมือออกแต่โดยดี เลิกเล่นก็ได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหาร ไว้ได้มาในกำมือแล้วข้าจะจับให้หนำใจตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย
“ขุ่นเคืองอะไร ท่านพี่ข้าก็บอกว่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว” แต่นี่คือการระบายแค้นย้อนหลัง
“เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ” หลินจวินเจ๋อส่ายหัวน้อยๆ ท่าทีทั้งอ่อนใจทั้งโล่งใจที่ข้ายอมรามือ เขาปล่อยมือจากไหล่ข้า แต่ก็ไม่ได้ขยับนี ตรงกันข้ามกลับนั่งลงที่เดิม ในแววตาที่ทอดมองมาทอแววอ่อนโยนลงไม่ได้แข็งกร้าวด้วยความเดียจฉันท์เช่นวันเก่า นี่ทำให้ข้าแน่ใจว่าวิธีแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขาเริ่มเห็นผล
“ท่านพูดสองครั้งแล้ว..ตกลงชอบแบบไหนมากกว่ากัน”
“เจ้าก็คือเจ้า อาซิ่น”
ข้าเงยหน้ามองเขา ดวงตาเป็นประกายวาบ คำพูดของหลินจวินเจ๋อไม่มีอะไรพิเศษ ฟังแล้วมันก็รื่นหูดี แต่ชื่อนั่นต่างหากที่ทำให้ข้าต้องยกมุมปากยิ้ม อาซิ่น...อาซิ่น ชื่อนี้เป็นของข้าแต่ก็ไม่เหมือนของข้า ข้าคืออาซิ่นแต่ไม่ใช่จวิ้นอ๋อง ที่อยู่ตรงหน้าคือจวิ้นอ๋องเหลียงจื่อซิ่น ความรักความภักดี ผู้คนที่สนิทสนมมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน มองแล้วก็ได้แต่บอกว่านี่ไม่ใช่ของข้า พวกเขาไม่ได้ห่วงข้า แต่ห่วงจวิ้นอ๋อง ไม่ได้รู้จักข้าแต่รู้จักจวิ้นอ๋อง..
แต่ตอนนี้ข้าก็คือจวิ้นอ๋อง ไอ้ประเด็นดราม่าน้ำเน่าอย่างรักฉันที่ตัวฉันหรือรักฉันเพราะเห็นฉันเป็นใครน่ะมันเก่าแล้ว ยังไงวิญญาณจวิ้นอ๋องคนเดิมก็คงไปเกิดใหม่ ร่างนี้กลายมาเป็นของข้าแล้วยังจะคร่ำครวญอะไรอีก ไม่ต้องเสียเวลานอนดื่มนมก็โตเลยแถมก็มีโบนัสทั้งหน้าตาดี มีเงิน มีอำนาจแถมผู้ชายรอบตัว จะบ่นไปทำไม๊ให้เสียหลาย ที่ข้าเสียดายจริงๆจังๆตั้งแต่ลืมตาขึ้นมามีอย่างเดียวคือกินคนงามไม่ได้เท่านั้น!
“เจ้ายังไมได้บอกข้าว่าตกลงอะไรกับรัชทายาท”
นี่ก็ยังไม่ลืม ข้ามองท่านแม่ทัพเบื้องหน้าจ้องเขม็งแล้วนิ่ง ยิ้มจางขณะในหัวเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
“ท่านเองก็น่าจะทราบมิใช่หรือ” ออกปากถามมาก็เปล่าการจะปฏิเสธ อีกฝ่ายจงใจพูดขนาดนี้แล้วบ่ายเบี่ยงได้อย่างไร ข้าเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาสีดำสนิทคมปลาบเบื้องหน้า ยิ้มและตอบออกมาอย่างฉะฉาน ตาวาววับฉายประกายกล้าไม่ยอมแพ้ซึ่งนั่นทำให้เขานิ่งงัน หลินจวินเจ๋อเองคงทราบแล้วเช่นกันว่าข้าคุยเรื่องอะไร
“ข้าบอกว่าจะจัดการให้เจ้า”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่านหรอกนะ ท่านพี่” ได้ยินคำตอบชวนขันก็ต้องยิ้มออกมาเสียทีหนึ่ง “ข้าไม่ได้คำนึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับจ้าวหนิงเฉิงมากนัก แต่เห็นว่าแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจะถูกกว่า ในเมื่อตระกูลจ้าวเป็นคนของรัชทายาท ข้าก็แค่อยากให้รัชทายาทช่วยเหลืออะไรเล็กๆน้อยๆ...ให้พวกเขาหุบปาก”
“เจ้า..เพราะเหตุนั้นถึงกับทรมารตัวเอง..”
“ไม่ได้ทรมารแต่อย่างใด” ข้าหัวเราะแล้วมองสีหน้าอันฉายแววอารมณ์หลากหลายเบื้องหน้า เอื้อมมือไปกุมมือหลินจวินเจ๋อแล้วบีบเบาๆเสียคราหนึ่งราวกับจะให้กำลังใจ “นี่คือสิ่งที่ข้าต้องทำ และควรทำมานานแล้ว ไม่ปกป้องตนเองมีหรือใครจะมาปกป้อง ข้าจะไม่อยู่เฉยๆให้ผู้คนเอาโคลนมาปาใส่กำแพงวังจวิ้นอ๋องอีก เรื่องครั้งนี้ต่อให้ท่านบอกจะไปคุยกับเสนาบดีจ้าว ด้วยตำแหน่งแล้วท่านก็ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้ แต่กับข้ามันต่างกัน”
“เรื่องราวระหว่างเราที่แล้วมาก็ช่างมันเถอะ เห็นท่านเคร่งเครียดมาหลายวันข้าเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เพียงแต่..หากจะต้องเป็นศัตรูกับรัชทายาทหรือตระกูลจ้าวจริงๆ ท่านเองก็คงถูกผูกติดกับข้าไปด้วย ที่ข้าลงมือเองในครั้งนี้ก็เป็นการดีกับท่าน จะอย่างไรกับคุณหนูจ้าวผู้นั้นก็ผูกสัมพันธ์รักใคร่กัน ให้ท่านออกตัวไปวิวาทกับเขาอนาคตอาจเข้าหน้ากันไม่ติด เมื่อถึงเวลานั้น..เอาเถอะ...เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ ข้าเองก็คงต้องปล่...”
“เหลวไหล”
ไม่ทันพูดจบ ฝ่ามือหนาก็ตะปบเข้าให้ที่ไหล่แล้วออกแรงดันให้ทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง ข้ากระพริบตาปริบมองหน้าเขา หลินจวินเจ๋อมีสีหน้าเคร่งเครียดทั้งยังเม้มปากแน่น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม คนแรงมากกว่ากล่าวเสียงแข็ง ดันตัวข้านอนซ้ำเอาผ้าห่มคลุมเรียบร้อย แถมกดไหล่แน่นๆไม่ยอมให้ลุก ข้ามองหน้าเขาตาปริบๆ ในใจคิดว่าถ้าขู่จะปล้ำสักรอบคงสมยอมไป..แค่กๆ
“อาการป่วยทำให้เจ้าพูดจาเหลวไหลคิดอะไรมากมายเสียจริง นอนเสีย นอนพักมากๆจะได้ดีขึ้น“ คนตรงหน้าปั้นหน้าเคร่งสอนแล้วถอนใจเบาๆ “เรื่องที่เสนาบดีจ้าวทำลงไป ข้าไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย นี่คือขัดแย้งแล้ว ไม่ว่าจะส่งผลกระทบอย่างไร ข้าก็ยอมรับ แม้ข้าจะรักชอบลูกสาวของเขาแต่ข้าจะไม่ให้เขานำเรื่องนี้มาข่มขู่ได้ คนรักกันจริงย่อมสามารถจับมือกันก้าวผ่านอุปสรรค เจ้าอย่าได้คิดมากไป ไม่ว่าอย่างไรที่ข้าออกตัวพูดจาตำหนิพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดจากใจจริง”
“ข้ายื่นโอกาสให้ท่านแล้วนะ ท่านพี่” ฟังว่าเขาหมายถึงอะไร ข้าก็หัวเราะออกมา
“นอนพักซะ ฮูหยิน” หลินจวินเจ๋อมองข้าด้วยดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ภาพสะท้อนเข้าไปในเงาตาของกันและกันขณะที่เขาขยับปาก คิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป แม่ทัพแดนใต้ใช้มือปลดม่านมุ้งรอบเตียงให้คลี่ตัวลง เขาส่งข้าให้นอนทั้งอย่างนั้นแล้วผละออกมาโดยไม่สนใจท่าทีงวยงงสุดชีวิตของข้าแม้แต่นิดเดียว
“อ้อ จริงสิ..” คนกำลังก้าวขาออกไปจากห้องชะงักเท้า ชะโงกหน้ามามองจากนอกเตียงด้วยท่าทีขัดเขินแปลกๆ “..กับข้าวมีมากมาย ตั้งโต๊ะให้ข้าทานคนเดียวก็เสียดาย กลับมากินด้วยกันเถอะ”
ท่านพี่ ท่านช่างน่าเอ็นดูเสียจริง
ข้าตะแคงศอกมองคนที่เดินออกไปแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ ดวงตาเป็นประกายวิบวับเมื่อได้ยินคำพูดนั้น หลินจวินเจ๋อก็ยังคงเป็นหลินจวินเจ๋อ คนรักความยุติธรรมเห็นใครโดนรังแกหน่อยเป็นต้องเข้าไปขวาง เป็นอีกครั้งแล้วที่ความมีคุณธรรมของเขาถูกข้าจับมาใช้ประโยชน์ ไอ้ที่พูดๆไปนั่นคิดว่ามาจากใจจริงงั้นรึ..ฝันไปเถอะ ข้าก็แค่เล่นมุกจะจับแสร้งปล่อย ให้สอดคล้องกับสภาพท่านอ๋องผู้โศกเศร้าหลังเสียตัวแล้วก็คิดตกเท่านั้น เดิมทีก็แค่ต้องการให้เขาเห็นใจข้า ไม่นึกว่านอกจากทำให้หลินจวินเจ๋อเอนมาทางตัวเองได้แล้ว ยังตัดสินใจอะไรบ้าๆอีกต่างหาก
คนรักกันจริงย่อมสามารถจับมือกันก้าวผ่านอุปสรรค เขาคิดเช่นนั้นจริงหรือ หลินจวินเจ๋อรู้หรือแสร้งไม่รู้กันแน่ว่าที่เขาทำคือการฆ่าตัวตาย ข้าเห็นมาเยอะแล้วกับคนที่เชื่อเรื่องแบบนี้ เชื่อว่ารักแล้วสามารถข้ามผ่านเรื่องราวเลวร้ายมากมายได้ เชื่อด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี เชื่อแล้วทุกสิ่งก็พังทลาย...ที่เจ้ากำลังทำคือการทำลายความสัมพันธ์ที่ตัวเองสร้างมากับมือแท้ๆ
แต่ข้าไม่เสียใจหรอกนะ สามี เพราะแบบนี้มันเข้าทางสุดๆไปเลย!
คนยื่นของดีมาจะไม่รับได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นเขาตัดสินใจเองข้าก็แค่ยืนทำตาปริบๆปล่อยให้เขาผดุงคุณธรรมในฐานะคนถูกกลั่นแกล้งให้ร้ายไป ข้ายิ้มกระหยิ่มย่องใจกับความสำเร็จและโชคที่ตัวเองได้รับ ตัดสินใจพักเรื่องตบตีกับรัชทายาทและจ้าวหนิงเฉิง นั่งชมดูหลินจวินเจ๋อแทนที่ และยังคงพอใจอยู่แบบนั้นจนอีกสามวันต่อมา
“ท่านอ๋อง ข้ามีข่าวมาแจ้ง องค์รัชทายาทจะรับแม่นางจ้าวลี่เซียนเป็นอนุขอรับ”
หวงไท่หยาง ไอ้XXX !!
+++++++++++++++++++++++++
ชื่อตอนนี้จริงๆอาจเป็นของรัชทายาท55 ส่วนความลับก็ยังคงเป็นความลับต่อไปเพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่เพราะอะไรทำไมอาซิ่นโกรธนัก คำตอนอยู่ที่ตอนต่อไปค่า แล้วพบกัน
ปล.จะมีคนผิดหวังรึเปล่าหว่าที่อาซิ่นแกร้ายขนาดนี้ และในอนาคตยังจะร้ายมากขึ้นด้วย(...)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถ้าลาสต์บอสจริงๆแล้วเป็นจวิ้นอ๋องตัวจริงขึ้นมาล่ะ (...)
อารมณ์แบบ วิญญาณยังหลับอยู่ในส่วนลึกของร่างกาย แล้วตื่นขึ้นมา
ผ่างงงงงงง
ตอนอ่านนี่อุทานแบบเดียวกับนายเอกเลย555
มีบางวูบก็คิดนะว่าอาซิ่นบางทีก็ร้ายไปหน่อย แต่คิดไปคิดมามันก็เข้ากับที่ตัวเองสัญญากับร่างเดิมอาซิ่นไว้ตั้งแต่แรกเลยเข้าใจได้อยู่นะ555 ถือว่าสมเหตุสมผลและเดินเกมเก่งมาก/ปรบมือให้ 55555555