10 ยอดอันดับ อาหารขายดีที่อันตราย - 10 ยอดอันดับ อาหารขายดีที่อันตราย นิยาย 10 ยอดอันดับ อาหารขายดีที่อันตราย : Dek-D.com - Writer

    10 ยอดอันดับ อาหารขายดีที่อันตราย

    คนอเมริกันถูกบอมบ์ด้วยโฆษณาจากทางทีวีอย่างหนักหน่วงทุกวัน จนเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่ออาหารที่ทำลายสุขภาพมาเป็นในแง่ดี

    ผู้เข้าชมรวม

    1,260

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    1.26K

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ต.ค. 48 / 07:04 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      10 ยอดอันดับ อาหารขายดีที่อันตราย
      คนอเมริกันถูกบอมบ์ด้วยโฆษณาจากทางทีวีอย่างหนักหน่วงทุกวัน จนเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่ออาหารที่ทำลายสุขภาพมาเป็นในแง่ดี ร้านค้าของชำในแต่ละท้องถิ่น จะมีสินค้ามากกว่า 35,000 ชนิดที่เก็บสต็อคเอาไว้ ซึ่งไม่เหมาะสมที่ท่านจะบริโภคมันถ้าท่านขีดวงจำกัดหลีกเลี่ยงที่จะไม่บริโภคสินค้าใหม่ๆจำพวกเนื้อ นม และเบเกอรี่ รวมถึงสินค้าบริโภคที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบสำเร็จรูปที่ตั้งชั้นวางขายขวางเอาไว้เป็นพิเศษอีก ท่านก็จะมีสุขภาพดีขึ้นมากอีกอักโขเลยทีเดียว แต่การที่ประเทศเราเป็นต้นตำรับประเภทอาหารฟ๊าสฟู๊ด เราจึงควรมาพิจารณาถึงสิ่งประกอบที่มีอยู่ในอาหาร 10 อันดับยอดนิยมที่อันตรายต่อสุขภาพกันดูบ้าง

      1. แฮมเบอร์เกอร์

      จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรม

      เวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุงทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูงทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัด

      เนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว การใช้สารเคมีสีแดงย้อมทำให้เนื้อดูสดแฮมเบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะย้อมด้วยสารเคมีสีแดง ยกเว้นแต่จะทำด้วยกรรมวิธีอื่นๆ

      แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน

      เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)

      แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย

      อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนอเมริกันถึงได้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ

      เนื้อบดเป็นเสมือนกับอาหารของคนลี้ภัยอาหารเบอร์เกอร์ทำให้เกิดโรค E-coli ที่ต้องทำการรักษา มากกว่าโรคที่เกิดจากอาหารชนิดอื่น

      แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารยิ่งใหญ่รายการเดียวที่ทำให้เกิดความเสียหายและก่อความทุกข์ให้กับอาหารของอเมริกัน...บริการอาหารได้นับพันล้านชุด...ค่าหมอและค่าโรงพยาบาลรักษานับพันล้านเหรียญ...

      ฮอร์โมนที่ใช้ฉีดวัวควาย ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้ หากท่านบริโภคเนื้อเหล่านั้น

      ชีสเบอร์เกอร์ ประกอบด้วยไขมันทั้งหมดเกินกว่า 100% ของอาหารไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน

      เบอร์เกอร์คิง ซ้อนหลายชั้นชุดพิเศษ จะให้พลังงาน 1.150 แคลอรี่ และไขมันรวม 76 กรัม เป็นไขมันอิ่มตัว 33 กรัม และเกลือโซเดียมอีก 1,530 ม.ก.

      เครื่องปรุงรสของเบอร์เกอร์ พริก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ล้วนใช้สารก่อมะเร็งจากเกลือเคมีกำมะถันเพื่อควบคุมความสดของผัก

      เบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะมีเกลือโซเดียมอยู่ 1,090 ม.ก. (เท่ากับ 45% ของปริมาณที่กำหนดให้ใช้ในแต่ละวัน) ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

      2. ฮอทด็อก

      จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรม

      เวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุง ทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัด

      ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน

      เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%

      ฮอทด็อกทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย

      ฮอทด็อกจะใส่สารไนไตรท์ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสารที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

      สารเติมช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม อาจเป็นจำพวกธัญญาหาร อาจเป็นนมผงรบกพร่องมันเนย ถั่วเหลืองหรือสารอย่างอื่นก็ได้ ทำให้เพิ่มจำนวนคาร์โบไฮเดรตและกระบวนการในการผลิตด้วย

      ถุงหลอดที่ใช้บรรจุฮอทด็อกทำจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ที่เป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้สูง

      มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40%

      เมื่อนำไปปิ้งย่าง มันจะให้สารพิษร้ายแรงที่เรียกว่า อะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อมะเร็งและทำลายประสาท

      3. เฟร้นช์ฟราย มันฝรั่งทอด

      เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”

      การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

      น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์

      มันฝรั่งมีดรรชนี กลีซิมิค(Glycemic) อยู่สูงมาก นั่นหมายถึง มันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก การรับประทานมันฝรั่งปิ้งหนึ่งหัว (หรือเฟร้นช์ฟรายในปริมาณเทียบเท่ากัน) จะมีประมาณน้ำตาลเท่ากับรับประทานเค้กช็อคโกเล็ตชิ้นโตๆทีเดียว

      4. ออริโอ คุกกี้ คุ๊กกี้ที่ขายดีอันดับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา (ขนาด 6 ชิ้น = ขนาดในการบริโภคต่อครั้ง)

      ที่เด่นชัดมากก็คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว

      ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก

      พลังงาน 370 แคลอรี่ที่แทบจะไม่มีสารประกอบของอาหารที่ให้พลังงานอยู่เลย แคลอรี่เทียบได้เท่ากับการรับประทานเนื้ออกของไก่ 2 ชิ้น

      คุกกี้ 6 ชิ้น จะมีไขมันอยู่ 12 กรัม ไขมันอิ่มตัว 2.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 40 ---หมายถึง คุ๊กกี้แค่ 6 ชิ้น มี จำนวนคาร์โบเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวันเสียอีก

      ออริโอคุกกี้จะเพิ่มความกระหายน้ำตาลให้ท่านได้มากยิ่งขึ้นภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้น

      กลิ่นรสธรรมชาติที่ระบุไว้นั้น เป็นสารเคมีจากทางโรงงานที่ทำให้ออริโอมีรสชาติยังกับคุกกี้ช็อกโกเล็ตจากกระบวนการผลิตชั้นสูง ที่ทำให้ออริโอคุกกี้ได้กลิ่นรสที่ไม่ได้เป็นมาจากธรรมชาติเหล่านั้นที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

      บริษัท นาบิสโก ได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยจำนวนไขมันที่แปรเปลี่ยน (Transfats) ว่า มีอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพียงแต่บอกว่า มีอยู่ในปริมาณที่ยอมรับได้สำหรับอาหารในประเภทนี้

      น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

      5. พิซซ่า

      พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด
      1. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้นที่ไม่ควรจะเรียกว่าเนยแท้ได้เลย
      2. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไปใหม่
      3. ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน
      4. แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม
      5. มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ ในฝ้ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆเอาไว้ได้มากที่สุด กระทรวงเกษตรและกระทรวงสาธารณะสุขต่างก็ไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่า มันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็นน้ำมันไฮโดรจีเนตและมีอันตรายต่อสุขภาพของท่านเป็นอย่างยิ่ง

      ผิวหน้าแป้งพิซซ่าที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจจะมีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) เกิดขึ้น ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาทได้

      การเพิ่มหน้าพิซซ่า เพ็พเปอโรนิหรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจากไนไตรต์ สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน

      6. น้ำอัดลม

      สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน

      กรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

      น้ำโซดาจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูกของท่าน ช่วยทำเกิดโรคกระดูกพรุน

      ในน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง จะมีน้ำตาลที่ไม่ให้พลังงานอยู่ประมาณ 12 ช้อนชา

      ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว (Diet soda) ที่ใช้น้ำตาลเทียมสังเคราะห์ (Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายของท่านกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะว่า น้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก

      สีที่ใช้เติมในน้ำอัดลม เป็นสารเคมีก่อมะเร็ง

      เราเรียกน้ำอัดลมนี้ว่า น้ำตาลเหลว เพราะมันมีน้ำตาลประกอบอยู่สูง การดื่มน้ำอัดลม ก็เสมือนกับการกินแท่งช็อกโกเล็ตน้ำตาลเหลว

      ส่วนประกอบสำคัญในน้ำอัดลมก็คือ น้ำเชื่อมฟรัคโต๊สที่ได้มาจากข้าวโพด

      7. ชิ้นไก่ทอดเนื้อนุ่มไร้กระดูก

      ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆ

      การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมัน

      มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง

      มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นในห้องปฏิบัติการทดลอง และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้

      มีสารฟอสเฟตประกอบอยู่ด้วย ทำให้ร่างกายเกิดเป็นกรด เป็นการยากที่จะทำให้มันเผาไหม้ไขมันได้อย่างเหมาะสมถูกต้อง จึงถูกสะสมและยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

      นัคเก็ตชิคเก้นบางอัน (ของแม็คโดนัล) จะมีสารอะลูมิเนียมด้วย ซึ่งเป็นสารพิษที่มีอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย

      น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์

      8. ไอศกรีม

      มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน

      มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน

      มีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

      เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfat) ไปจากธรรมชาติและ

      1. ช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรัล
      2. ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน
      3. ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น(เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง)


      ฮอร์โมนที่ฉีดให้กับวัวเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนม จะลดการเมตะโบลิสซึมของร่างกายให้ลดน้อยลง ทำให้เกิดเนื้องอก ซีสต์และมะเร็งที่ทรวงอกและรังไข่

      9. โดนัท

      โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่

      ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน

      มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

      โดนัทนั้นทอดในน้ำมันที่มีการออกซิไดซ์ และในแต่ละครั้งน้ำมันนั้นใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์

      ดังกิ้นโดนัทเปลี่ยนน้ำมันใช้ทอดทุกครั้งเมื่อทอดโดนัทครบ 3,600 ชิ้น

      น้ำมันในอุณหภูมิที่สูงจะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลงเป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดีของท่าน

      มีน้ำตาลอยู่สูง ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

      10. โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยวยามว่างที่มียอดขายมาอันดับ 1 ของอเมริกันชน

      คนอเมริกันในปัจจุบันบริโภคโปเตโต้ชิพมากกว่าประชากรอื่นใดในโลก มีการบริโภคมันสำปะหลังเป็นอันดับสองรองจากข้าว มันกลายเป็นสินค้าโลกไปแล้ว

      มันสำปะหลัง 4 ปอนด์ ใช้ทำโปเตโต้ชิพได้เพียง 1 ปอนด์

      ขนาดเล็กของโปเตโต้ชิพที่บรรจุ 2 ออนซ์ มันจะมีพลังงานที่อัดแน่นสูงเกินกว่า 300 แคลอรี่

      น้ำมันที่ใช้ในการทอดโพเตโต้ชิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์

      การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

      การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้

      การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งชิ้น อาจได้รับสารอะคริลิไมด์เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำ ดื่มหนึ่งแก้ว

      มีไขมันอิ่มตัวแอบแฝงอยู่มาก

      มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได้

      “HEALTH CHIPS สูตรใหม่ที่แนะนำสู่ตลาดอย่างยี่ห้อ BAKED LAYS หรือ OLESTRA อาจมีอันตรายมากกว่าโปเตโต้ชิพแบบธรรมดาเสียอีก”

      BAKED LAYS มีพลังงานที่อัดแน่นของแคลอรี่เกือบใกล้เคียงกับ LAYS โพเตโต้ชิพ แบบธรรมดา มีส่วนผสมระหว่างมันสำปะหลังกับอาหารจำพวกแป้งอื่นๆแล้วนำมาอัดแน่นเป็นแผ่นโพเตโต้ชิพมีสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็งอยู่มาก

      OLEAN / OLESTRA โปเตโต้ชิพ

      อาจก่อให้เกิดมีน้ำมันออกทางบริเวณทวารหนักหรืออาจสร้างปัญหาให้กระเพาะอาหารหรือลำไส้ได้ (ตามรายงานที่พิมพ์เอาไว้บนถุง)

      ไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปได้น้อยลง

      ทำให้ปิดกั้นการดูดซึมสารคาโรทินอยด์และสารเคมีอื่นๆที่ได้มาจากพืชที่ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคจุดด่างของผิวหนังทำงานได้ด้อยลง

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×