ตอนที่ 5 : TIN : 05 100%
TIN : 05
พี่เป็นห่วงธีร์
[เบาแก๊สหน่อยอิน]
เท่าที่ฟังคุณแม่บ้านคนนั้น ธีร์ไม่ชอบให้คนเข้ายุ่งตอนป่วย และก็คงจะจริง ดูจากการที่ผมโดนเมื่อตอนแรกนั่นแหละ สัมผัสได้เลยว่าธีร์โมโหมากจริงๆตอนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นผม ไม่อยากจะคิดถ้าเราไม่รู้จักกัน ผมจะน่วมแค่ไหนนะ
[อินได้ยินไหมลูก]
ส่วนเรื่องอาหารกับยาเนี่ย คิดๆดูแล้วมันน่าโมโหมากเลยนะนะครับ โมโหที่เขาไม่รักสุขภาพ มันดูไม่มีเหตุอะไรที่เข้าท่าเลยสักนิด
[อิน เดี๋ยวจะไหม้แล้วนะ]
แต่พอคิดอีกตลบหนึ่ง ผมจะดูยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขามากเกินไปไหม มันเป็นเรื่องของธีร์ โดยที่ผมก็เป็นแค่ลูกเพื่อนพ่อของเขาที่ได้รู้จักกันเท่านั้น ถ้าผมเข้าไปยุ่มย่ามพูดเตือนให้เขาเปลี่ยนนิสัย แบบนั้นจะกลายเป็นผมเองหรือเปล่าที่วุ่นวายกับเขา
แต่ถึงยังไงก็อยากยุ่งเพราะผมเป็นห่วงและหวังดีกับเขามาก หวังดีถึงขนาดโทรหาพ่อให้ช่วยสอนทำข้าวต้มกุ้งให้เขาเลยเนี่ย
ว่าแต่ ทำไมพ่อเงียบไป
[ได้ยินพ่อไหมอิน]
“ครับ อะไรนะครับ”
[พ่อบอกให้เบาแก๊ส]
“อ่อ..” ผมพยักหน้าให้กับหน้าจอโทรศัพท์บนเคาท์เตอร์ครัว พ่อส่ายหน้าน้อยๆเหมือนผมทำอะไรผิด
[พ่อเรียกตั้งนานไม่ได้ยินเหรอ]
“ขอโทษครับ อินคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
[คิดอะไรหืม? เรื่องเจ้าธีร์เหรอ]
“ก็ใช่ครับ” ผมบอกพ่อไปว่าผมมาบ้านคุณอาธันเพราะมาเยี่ยมธีร์ที่ป่วยไม่สบาย เล่าให้พ่อฟังไปนิดหนึ่ง แค่ที่ว่าเขาไม่ยอมกินอาหารและยา ทำให้แม่ครัวไม่ได้เตรียมอาหารไว้ เป็นเหตุให้ผมต้องขอให้ท่านช่วยแนะนำวิธีทำแก่คนทำอาหารไม่เป็นแบบผม “อินคิดว่าอินจะเตือนน้องดีไหม”
[แล้วทำไมจะไม่ดีนะ]
“อินจะยุ่งเรื่องน้องเกินไป” ผมบอกที่คิด
[หืม? แต่อินก็ทำเพราะเป็นห่วงไม่ใช่เหรอ ยังไงก็ต้องรับรู้ได้อยู่แล้วว่าไม่ได้ทำเพราะอยากยุ่ง แต่เพราะเป็นห่วง]
“ครับ..”
[เอาน่า ถ้าธีร์ว่าอะไรมาบอกพ่อ เดี๋ยวพ่อจัดการไอ้ธันให้]
“พ่อ..” ผมขำออกมากับคำพูดของท่าน ก่อนที่จะตัดสายไปเพราะยังไม่เสร็จเอกสารของโรงเรียน
ไม่รู้ว่าจะต้องกะปริมาณเท่าไหนถึงจะพอให้กับคนป่วย ผมก็เลยตักมาเกือบเต็มถ้วย หาถาดรองและหยิบยาที่เธอคนเมื่อกี้เตรียมไว้ให้วางบนถาด ตามด้วยช้อนส้อม เล็งทุกอย่างให้อยู่ในระยะสวยงามจนพอใจก็เดินออกจากครัวมา
ก๊อก ก๊อก
“พี่เองนะธีร์” ส่งสัญญาณให้คนในห้องรับรู้ เดี๋ยวเขาจะไม่พอใจเพราะคิดเป็นคนอื่น ร่างสูงบนเตียงไม่ได้ขานตอบเพราะกำลังนอนหลับตาบนเตียง
ตื่นมาค่อยกินก็ได้มั๊ง
ผมยังมีเวลาอีกนิดหน่อย ตอนนี้พึ่ง 6 โมงครึ่ง ผมอยู่หอแถวๆมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว เดินทางแปบเดียวเหมือนกับตอนมาก็คงถึง เพราะฉะนั้นรอให้เขาตื่นมาแล้วได้เห็นชัดๆว่าอีกฝ่ายกินค่อยกลับดีกว่า
ความตั้งใจเริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป จนตอนนี้จะสองทุ่มแล้ว ธีร์ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ข้าวต้มของผมเย็นชืดไปเรียบร้อย จะปลุกก็ไม่อยากรบกวน แต่ถ้าไม่ปลุกแล้วดึกไปมากกว่านี้ผมคงต้องกลับก่อน
“อือ..” โชคดีที่ธีร์ขยับตัวยกมือขยี้ตา ผมคว้าท่อนแขนนั้นไว้ทำให้เจ้าตัวยู่หน้าเพราะโดนขัด
“พี่เคยบอกแล้วว่าห้ามขยี้ตา” พูดจบก็ปล่อยท่อนแขนออก เมื่อกี้ผมสัมผัสได้ว่าเขายังตัวร้อนอยู่เลย
“ดึกแล้ว” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นหลังจากมองนาฬิกา
“ไม่เป็นไรครับ” ผมส่ายหน้าพร้อมพูดไปด้วย เดินไปยกถาดข้าวต้มถ้วยแรกในชีวิตมาหย่อนตัวบนเก้าอี้ข้างเตียงเหมือนเดิม “กินข้าวต้มหน่อยครับ”
“...”
“ฝีมือพี่ทำเองเลยครับ ไม่รู้ว่าอร่อยไหม”
“...”
“เป็นข้าวต้มกุ้งที่ธีร์ชอบด้วย” ผมบอกกับคนที่เงียบมองถ้วยในตักผมตาไม่กระพริบ ให้เดาก็คือคงจะไม่อยากกิน แต่ผมบอกแล้ว่าถ้าธีร์ไม่กินก็ไม่ต้องเรียกผมว่า อิน “หรือว่าอยากให้มันร้อนไหมครับ เดี๋ยวพี่เอาลงไปอุ่นให้”
“ไม่”
“งั้นกินเลยครับ” ผมบอกเสียงแหบที่ตอบมาเมื่อกี้ ขยับยื่นถาดไปให้ คนรับมองหน้าผมสลับกับอาหารช้าๆจนผมรู้สึกได้ชัดเจนว่าเขาไม่อยากกิน “ธีร์”
“อืม” เขาพยักหน้ารับยื่นมาเหมือนจะรับไป แต่ผมถอยหลบและเอาไปวางบนโต๊ะโคมไฟแทน
ผมคงจะต้องยุ่งแล้วแหละ ผมไม่ไหวกับคนดื้อคนนี้จริงๆ
“พี่รู้นะว่าเราพึ่งรู้จักกัน แล้วพี่กับธีร์ก็ไม่ได้สนิทกันมาก แต่พี่จะยอมให้ธีร์ว่าพี่เลยว่าพี่ยุ่งพี่วุ่นวาย แต่พี่ไม่ไหวจริงๆนะครับ” ผมบอกเร็วๆ ปฏิกิริยาของธีร์ไม่มีอะไรมากนอกจากฉายความสงสัยออกมาทางแววตา “พี่รู้มาว่าธีร์ไม่กินข้าวตอนป่วย”
“...” จากแววตาฉงนแปรเป็นความตกใจ “ใครเล่า”
“ไม่ต้องถามครับ ฟังพี่ก่อน” ผมบอกขัด ถ้าบอกไปเดี๋ยวคุณพี่คนนั้นไม่ปลอดภัย “พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมธีร์ถึงไม่กินอะไรเลยทั้งๆที่ตัวเองกำลังไม่สบาย พี่คิดว่าถ้าพี่พูดไปจะดูเป็นพี่ยุ่งเรื่องธีร์มากเกินไปหน่อย แต่พี่อดไม่ได้จริงๆ พี่เป็น..” คำสุดท้ายมันไม่ออกมาซะอย่างนั้น ยิ่งได้สบตากับคนบนเตียง หน้าผมก็ร้อนขึ้นมาปากพะงาบๆแบบไม่มีเสียง
“เป็น?”
“เป็นห่วงครับ พี่เป็นห่วงธีร์ พี่เลยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา”
“ขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษพี่ ขอโทษสุขภาพตัวเองของธีร์เถอะ ทำแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วใช่ไหมละครับ”
“ใครบอก”
“พี่บอกว่าไม่ต้องถามไง” ผมว่าเสียงขุ่นๆ ยกจานอาหารส่งให้เขา “แล้วพี่ก็ได้ยินมาอีกว่าธีร์ไม่กินยาทุกครั้งเหมือนกัน”
“อืม” เขายอมรับ
“ทำไมละครับ ทำไมไม่กินยา ปล่อยให้หายเองแบบนั้นมันไม่ดีเลยนะ เกิดเป็นหนักมีอะไรแทรกซ้อนจะทำยังไง”
“ขอโทษ”
“ไหนลองบอกเหตุผลพี่มาสิว่าทำไมไม่กินข้าวกับยา”
“ไม่อร่อย”
“อะไรไม่อร่อย”
“ข้าว”
“ก็ให้เขาทำให้ดีๆ” ผมบอก
“ไม่” ธีร์บอกต่อสีหน้าเขายังคงนิ่งเหมือนเดิม ส่วนผมตอนนี้งุ่นง่านจนย้ายไปนั่งบนเตียงกับเขาแล้ว “ไม่รู้รส”
“ก็เพราะธีร์ไม่สบายไง”
“ใช่” เขาขานรับผมสั้นๆ ไม่พูดอะไรต่อ เหมือนกับว่าการที่เขาไม่กินอะไรเลยเพราะว่าไม่รู้รสชาติผลจากอาการป่วยคือ เรื่องที่มีเหตุผลซะอย่างนั้น
มือผมตอนนี้กำหมดแน่นแล้ว
“แล้วยาละ ทำไมไม่กิน”
“ไม่กินข้าว” รู้สึกได้ถึงหน้าผากตัวที่ย่น คิ้วที่ขยับจนแทบชนบนหน้าตัวเองเลยครับ
“เพราไม่ได้กินข้าว เลยไม่กินยาเหรอ”
“อืม”
“ธีร์!” เหตุผลที่แสนจะน่าโมโหทำเอาความอดทนหมด เผลอลุกขึ้นยืนเรียกชื่อเขาออกมาเสียงดัง “ทำไมเป็นทำตัวดื้อขนาดนี้!”
“ดื้อ?” ยัง ยังจะมาเอียงหน้าถามอีก ไม่รู้ตัวจริงๆเหรอว่ามันดื้อ เหตุผลของเด็กดื้อๆที่ผู้ใหญ่ที่ไหนได้ฟังก็คงจะต้องโมโหแบบผมกันทั้งนั้น
“ใช่ ดื้อมาก ถ้าพี่เป็นอาธันพี่จะตีธีร์”
“คงไม่ว่าง” เสียงเบาๆพร้อมกับใบหน้าหล่อที่เบือนไปอีกทาง ฉุดอารมณ์ผมและให้นั่งลงเป็นปกติ
น้ำเสียงมันเหมือน..กำลังตัดพ้อออกมา
“ไม่เป็นไร งั้นพี่เป็นพี่เหมือนเดิม จะได้ว่างมาดูเด็กดื้อ”
“อืม” ธีร์ขานรับในคอ ผมเห็นว่าเขากำลังอยู่ในช่วงที่น่าเคลิ้มตามที่พูดได้ง่ายๆจึงขยับถาดไปวางบนหน้าขาของคนที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่
“พี่ทำอาหารครั้งแรกเลยนะครับ ไม่รู้ว่าอร่อยไหม แต่อยากให้ธีร์กิน”
“อืม” ข้าวต้มคำเล็กๆเข้าไปในปากบางเรียบร้อย สีหน้าเรียบนิ่งตึงขึ้นจนผิดสังเกต
รสชาติมันแย่หรือยังไง
“อร่อยไหมครับ”
“ไม่”
ฉึก!
หน้าชาเป็นแบบนี้นี่เอง
“ไม่รู้รส”
“อะ.อ่อ. ธีร์ป่วยไง” เสียงผมกระท่อนกระแท่นไปเลย ถ้าธีร์บอกว่าไม่อร่อยจริงๆผมคงไม่กล้าทำให้ใครกินอีก แล้วก็คงรู้สึกผิดมากๆที่อุตส่าห์จะให้เขาได้กินอาหารดีๆ แต่กลับมาตกม้าตายด้วยฝีมือตัวเอง
“ใช่” ขานรับน่ายุ่งๆ ก่อนจะตักเข้าปากอีกคำ “อยากรู้รส”
“ต้องรอหายป่วยก่อน”
“พอหาย..” เขาลากเสียงจนผมผละสายตาจากถ้วยข้าวต้มขึ้นมอง “จะทำให้เหรอ”
เอ่อ..
“ได้สิ” ผมยิ้มรับ ยกมียีหัวธีร์เบาๆ “กินให้หมดนะครับ จะได้กินยา”
“อืม”
มื้อเย็นของธีร์จบลงโดยมีผมยืนแสตนด์บายเพื่อทานยาต่อ ส่งยาและน้ำที่เดินลงไปเอาเมื่อกี้ไปให้ สีหน้าอิดออดของธีร์ทำเอาผมต้องปั้นหน้าจริงจัง ซึ่งมันยากมากๆกับการที่จะขรึมต่อหน้าคนป่วยทำกำลังช้อนตามอง
แบบนี้เรียกอ้อนไหมนะ
“ไม่อยากกิน”
“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวไม่หาย”
“หาย” เขาพูด
“แต่ก็ช้าใช่ไหมละ” คนถูกถามเงียบ เพราะมันเป็นความจริง ผมรู้ “กินนะครับ พี่อยากให้ธีร์หายแล้ว ปากซีดๆแบบนี้ไม่หล่อเลย”
“จริงเหรอ” ธีร์ทำหน้ายุ่ง คิ้วเข้มขมวดปมตรงกลาง อันที่จริงผมก็พูดไปงั้นแหละ ธีร์ยังหล่อเหมือนเดิม ปากก็ไม่ได้ซีดด้วย แค่สีมันอ่อนลงนิดหน่อย “ไม่หล่อเหรอ”
“ครับ ไม่หล่อเลย” ผมแกล้งต่อ เห็นท่าทีของเขาแบบนี้แสงแห่งความสำเร็จเหมือนจะใกล้แค่เอื้อม “แต่ถ้ากินยาแล้วหายดี จะหล่อมากๆเลย”
“สองเม็ดไหม”
“อะไรนะครับ” เมื่อกี้เขาเหมือนพึมพำกับตัวเอง แต่มันดังพอให้ผมได้ยิน แต่ไม่พอให้รู้เรื่อง
“สองเม็ด”
“ทำไมครับ”
“กิน”
“กินทำไมตั้งสองเม็ด”
“หายไวๆ” ธีร์บอกเสียงนิ่ง บ่งบอกว่าเขากำลังจริงจัง “อยากหล่อ”
“เม็ดเดียวก็พอครับ”
“…” เด็กดื้อส่วนใหญ่เวลาโดนขัดใจก็จะทำหน้ายุ่งยกมือขึ้นกอดอก ซึ่งก็คือธีร์ตอนนี้
“ค่อยๆหล่อไปครับ หล่อมากใจพี่จะวาย” ผมบอกยิ้มๆ ยกมือขยี้กลุ่มเส้นผมนั่นอีกรอบ “กินยาครับ พี่ต้องกลับแล้ว” เป็นเวลา 3 ทุ่มแล้วครับ เท่ากับว่าผมอยู่ที่นี่มาเกือบ 6ชั่วโมงแล้ว
“ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ธีร์นอนพักเถอะ”
“ไม่”
“ธีร์... นอนพักนะ” ผมบอกเสียงอ่อน ธีร์ทำหน้าลังเลแต่ก็ขยับลงไปนอนเหมือนเดิม.
“อิน”
“ครับ?” ผมหันถาม คว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย
“ถึงแล้ว..”
“..”
“โทรมา”
“โอเคครับ” ผมฉีกยิ้มให้ธีร์อย่างเอ็นดู ขยับเดินไปหาเขา วางมือลงบนเส้นผม นี่ครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ แต่รู้สึกชอบลูบมากจริงๆ “นอนพักได้แล้วครับ ไม่ดื้อนะ”
“อืม”
----------------------------------
ขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้ลงนะครับ
พอดีเมื่อวานไปเดินงานประจำปีของวัดแถวบ้านกลับก็หลับยาวๆไปเลยครับลืมสิ้นเลย5555
ไม่รุ้ว่าผมรู้สึกไปเองไหมนะครับ แต่ว่าสองวันมานี้ยอดอ่านนิยาย ยอดเม้น ยอดเฟบ ทุกยอดเลยมันพุ่งขึ้นไวมากๆ
ไวจนบางทีอยากร้องไห้เลยครับ ดีใจมากๆๆๆ
ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านแล้วชื่นชอบกันนะครับ
รู้สึกมีกำลังใจมากๆเลยครับ
ขอให้สนุกกับตอนที่ 5 นะครับ
ไว้เจอกันตอนหน้า
สวัสดีครับ
** ตรวจคำผิดแล้วนะครับ แต่ไม่รู้ว่าถี่ถ้วนไหม ขอโทษนะครับ***
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

5555