ตอนที่ 2 : TIN : 02 100%
TIN : 02
ดื้อเหรอ
อิดทิพัด : พี่สอบเสร็จแล้ว
ข้อความผ่านแอปสีเขียวถูกส่งไปให้คนรู้จักที่มีนัดหมายกับผมวันนี้
ไม่ใช่คนที่ทุกคนคิดแน่นอนครับ
“ทำหน้าให้มันดีๆเหอะมึง” ผมบอกกับเกวเมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว สีหน้ามันตอนนี้เหมือนคนจะร้องไห้อยู่แล้ว เบ้หน้าไปมาเหมือนสะกดกลั้นอารมณ์อย่างมาก “ผิดเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามต่อ ได้ยินแว่วๆที่หน้าห้องว่ามันไม่ตรงกับเพื่อนอีกคน แล้วพอมันถามผม ก็ไม่ตรงกับผมด้วย
“กูพยายามมากอะอิน” มันว่าเสียงเบา ผมรู้ว่ามันพยายาม เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตีสาม หมายถึงผมคนเดียว ส่วนเกว ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนอนกี่โมง หรืออาจจะไม่ได้นอน
“ไม่เป็นไรหรอก วิชานี้ซ่อมได้”
“มึงไม่เข้าใจกูหรอกอิน” เกวบอกทั้งที่ไม่ได้มองหน้าผม คำพูดมันบาดลึกจนผมเศร้าตาม คว้ามือมันมาบีบๆให้กำลังใจพร้อมออกรถจากลานจอด
“เข้าใจสิ แต่กูไม่ให้มึงเศร้า”
“กูก็ไม่อยากเศร้า แต่มันน่าเสียดาย”
“...” ผมหันมองหน้ามันเชิงให้พูดต่อ แต่มันไม่ได้มองผมเลย ยังคงมองมือที่บีบกันอยู่
“ผิดข้อหนึ่งทั้งๆที่มั่นใจแม่งโคตรเฟล”
“ห๊ะ!” มือที่จับอยู่โดนสะบัดออกโดยผม แทบจะเผลอเหยียบเบรกแล้วด้วย “ที่มึงเศร้าอยู่นี่เพราะผิดข้อเดียวเหรอ!”
“เออดิ กูอ่านยันหกโมงนะอิน เสียดายชิบหาย” ปากหยักบอกเสียงเนือย แววตามันยังคงไม่ได้แสดงท่าทีล้อเล่น “อุตส่าห์บอกมึงว่ารอบนี้จะเอาเต็มบ้าง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยววันศุกร์ก็มีควิซอีก”
“กูไปหอมึงเหมือนเดิมนะ”
“ให้กูไปบ้านมึงไหมละ เดี๋ยวแม่บ่นมึง”
“งั้นก็ได้ แม่กูก็คิดถึงมึงแย่ละ” ผมพยักหน้ารับไม่ได้พูดอะไรต่อ เลี้ยวรถเข้าประตูโรงเรียนที่คุ้นตามาตั้งแต่จำความได้ โรงเรียนของพ่อผมเองครับ คนที่ผมนัดกับไว้อยู่ที่นี่
“นี่พึ่งบ่ายสามอะ มันจะเลิกกันแล้วเหรอ” คนตัวบางถามหลังจากลงจากรถ ผมส่ายหน้าตอบ
“น่าจะยัง”
“แล้วรีบมาทำไม” มันถามเสียงสูง
“เดี๋ยวรถติด”
“เออจริง หน้าโรงเรียนนี่โคตรพ่อโคตรแม่อะ”
“ใช่” ผมขานรับที่เกวมันพูด “แล้วพรุ่งนี้อะ”
“ทำไม”
“คุมน้องๆซ้อมดาวเดือน”
“เห้อ กูไม่เห็นจะเกี่ยวเลย”
“เป็นเพื่อนกูไง” ผมบอก
“ทุกที! ทีตอนลงประกวดละไม่ปรึกษากู”
“กูปรึกษาแล้ว มึงบอกว่าลงๆไปเถอะยังไงก็ไม่ได้”
“กูประชดมึง ก็มึงชอบมาบ่นว่าไม่อยากลง แต่ก็เสือกมาคิดมากกลัวเขาว่า กูเลยวิบ”
“ไม่รู้แหละ มึงต้องไปเป็นเพื่อนกู มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบคนเยอะๆ”
“เออๆ เล่นตัวไปงั้นแหละ”
“โห คนดีของ--- ” ยังไม่จบประโยคผมก็หยุดพูด จนทำให้คนข้างๆหันมองตามอย่างสงสัย ภาพในตาผมตอนนี้คือ บุคคลที่ทานข้าวด้วยกันเมื่อสองวันก่อน ในชุดนักเรียนถูกระเบียบเกือบหมด เดินสะพายกระเป๋าไหล่เดียว .
“หล่อสัส เด็กมัธยมจริงเหรอวะนั่น” ผมไม่รู้ตัวว่าเผลอพยักหน้าตามที่เกวมันพูด ธีร์ในระยะไกลหล่อคมสะดุดตา ราวกับว่าคนที่ใส่ชุดนักเรียนไม่ใช่นักเรียนจริงๆ เป็นพวกพรีเซนต์เตอร์ใส่ถ่ายแบบเฉยๆ
ไม่ได้อวยนะ พูดจริงๆ
“เดี๋ยวมา”
“ธีร์” เสียงผมข้างหลังทำให้เขาหยุดแล้วหันมามองด้วยแววตาแสดงคำถาม ประมาณว่า..
มึงมาได้ไง?
“เลิกเรียนแล้วเหรอ” ผมถามเมื่อเดินไปจนใกล้กับคนสูงกว่าแล้ว
“ยัง”
“แล้วทำไมมาเดินอยู่นี่ละ”
“ไม่มีครู” เขาตอบประโยคห้วนก็จริง แต่น้ำเสียงไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ มันราบเรียบ พอๆกับสีหน้าของเขา
“เดี๋ยวกลับยัง—“
“ไอ้ธีร์ มึง!”
“ไอ้ห่า รีบไปไหน” เด็กนักเรียนสองคนวิ่งสะพายกระเป๋าเข้ามา ตะโกนเรียกเสียงดังชนิดที่ว่าอาจารย์ในอาคารเดินออกมามอง ซึ่งผมเองก็มอง ไม่ได้จะตำหนินะครับ แค่สงสัย.. “เอ้าพี่อิน”
“พี่รีบมาทำไมอะ ยังออกนอกโรงเรียนไม่ได้เลย” หนึ่งในผู้มาใหม่สองคนถามผม ใบหน้าที่เหมือนกันจับจ้องที่ผม แทนเพื่อนที่ตะโกนชื่อมาเมื่อกี้
“พอเลิกจะได้ไปเลยไง เดี๋ยวรถติด” ทั้งคู่ก็พยักหน้ารับไป และมอบความสนใจให้กับคนวัยเดียวกันต่อ
“มึงนะไอ้ธีร์ กูบอกว่ารอก่อนๆ จะชวนไปดูหนังด้วยกัน”
“เออ กูเล่นเกมส์กับไอ้ตุลย์แปบเดียว มึงก็หายไปละ พวกกูก็นึกว่าไปหลงที่ไหน” สองคนที่กำลังบ่นเพื่อนอยู่เป็นแฝดกันครับ ชื่อ ติณ กับ ตุลย์ หน้าเหมือนกันแทบจะแยกไม่ออก และผมก็ยังหาลักษณะแตกต่างของสองคนนี้ไม่ได้ นอกจากมองชื่อในชุดเรียน
“บอกแล้ว” หน้านิ่งตอบกลับ
“บอกอะไร”
“ไม่ไป”
“โหไอ้ธีร์”
“วันนี้ครบรอบสองวันที่รู้จักกับมึงนะเว้ย” ติณบอกเหมือนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ผมคิดตามที่เขาพูด ครบสองวันที่รู้จักกัน ก็เท่ากับว่าธีร์พึ่งมาเรียนได้สองวัน แสดงว่าหลังจากวันที่ทานอาหารด้วยกันก็เข้าเรียนเลย
“เพื่อนกันเหรอ” ผมถามแทรกก่อนที่ติณจะทำเพื่อนลำบากใจกว่าเดิม
“ครับ อยู่ห้องเดียวกัน เลขที่ติดกันเลย” ตุลย์ตอบ
“ถูกครับ เจอหน้ากันมาสองวันถูกชะตามาก มิตรภาพมันช่างงดงามจริงๆ” ติณสมทบ
“แล้วแฝดจะชวนธีร์ไปดูหนังด้วยเหรอ”
“ใช่/ใช่” ขานรับพร้อมกันสมกับเป็นฝาแฝด
“พี่อินรู้จักกับไอ้ธีร์ด้วยเหรอ” ติณถาม
“ครับ รู้จัก” ผมขานรับสองคน ก่อนจะหันมองอีกคนที่เหมือนเขาจะมองผมอยู่ก่อนแล้ว “ธีร์” ผมเรียกเสียงปกติ คิดๆดูแล้วถ้าเขาไปดูหนังด้วยก็ดี อย่างน้อยจะได้สนิทกับติณ ตุลย์มากขึ้น ยังไงก็ต้องเป็นเพื่อนกัน เพราะดูท่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะสานสัมพันธ์ง่ายๆ ต้องเป็นสองคนนี้แหละที่ตื๊อเก่งที่สุดในโลก “ไปดูหนังด้วยกันไหมครับ”
เงียบกริบ
สิ้นเสียงผมก็เงียบลงกันหมด สองแฝดเงียบเพื่อลุ้นคำตอบ ขนาดเกวที่เข้ามาสมทบยังเงียบเพราะไม่เข้าใจเหตุการณ์ ผมมองหน้าธีร์ลุ้นๆ ระบายยิ้มให้เขาเรื่อยเป็นการบอกนัยน์ๆว่าอยากให้ไปจริงๆ
“อืม”
ครืด ครืด
คนเบาะข้างคนขับ หน้ายุ่งเมื่อเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าสั่น รบกวนการนอนของเขา ธีร์ล้วงมาโดยที่ตาเปิดอยู่ข้างเดียว กดรับแบบไม่มองชื่อปลายสายด้วย
“ใคร.. เดี๋ยวโทร...ใช่...ลืม...โอเค”
คนแอบฟังอย่างผมก็งงสิครับ ได้ยินแค่นั้นใครจะเดาได้ว่าคุยอะไร
“โทรศัพท์” เขาเดาว่าธีร์คุยกับผม เลยหันมองเขาด้วยสีหน้าคำถาม “เบลล์โทร”
“หืม?” ถึงจะไม่เข้าใจผมก็ล้วงมันจากกระเป๋าสะพายข้างตัวออกมา ปรากฏสายไม่ได้รับ 12 สาย จากหมายเลขเดียวกัน “คุณเบลล์ต้องตามหาธีร์แน่เลย”
“ใช่”
“พี่ขอโทษนะ พี่ปิดเสียงไว้ คุณเบลล์ว่าอะไรธีร์หรือเปล่า เดี๋ยวพี่คุยให้” รู้สึกเหมือนตัวเองลนๆยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมแค่เข้าใจความรู้สึกของผู้ปกครองที่ตามหาบุตรหลานตัวเองไม่เจอ เพราะขนาดผมที่ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับแฝดแล้วหาพวกนั้นไม่เจอ ผมก็เครียดเหมือนกัน
“ไม่กล้าหรอก”
“อะไรนะ”
“เบลล์ไม่กล้าว่า” อ่า..จริงด้วยสิ
“แต่เดี๋ยวนะ” ผมนึกอะไรออกแล้วสิ “ทำไมคุณเบลล์รู้ว่ามากับพี่ละ”
“เห็น”
“จริงเหรอ”
“ได้ไง”
“ชอบยุ่ง” ธีร์บอกปัด ตัวเขาขยับลงเหมือนจะนอนต่อ
“ว่าพี่เหรอ”
“เบลล์”
“แน่นะ”
“จะว่าอินทำไม” ดวงตาคมถูกซ่อนลงไปโดยเปลือกตาแล้วเมื่อเอ่ยจบ ผมมองหน้าคนที่ไม่รู้ว่าผมมองนิ่งๆ เมื่อกี้เขาเรียกชื่อผม เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ได้ยินคำเอ่ยว่า อิน แม้ควรจะมีคำนำหน้าว่าพี่ก็เถอะ
พอรถจอดเกวก็ชิงลงก่อนแฝดสองคนที่นั่งขนาบตัวเอง บ่นเสียงดังลั่นลานจอดรถว่าเมื่อยมากมายขนาดไหน แต่ต้นเหตุที่นอนทับก็ดูไม่ได้สนใจ ขำด้วยซ้ำที่เห็นเพื่อนตัวบางของผมหงุดหงิด ส่วนธีร์เขาก็สัมผัสได้เองว่ารถหยุด ตาคมเปิดขึ้นและปิดลง ตามด้วยมือใหญ่ที่ขยี้แบบเอาเป็นเอาตาย ราวกับจะให้กระจกตาหลุดออกมาซะอย่างนั้น
“อย่าขยี้” อดไม่ได้ที่จะจับมือใหญ่ๆนั่นไว้ “ตาจะแดง”
“อืม” เขาขานรับ ลดมือลงอย่างว่าง่าย ทำให้ผมเห็นดวงเบื้องหลังที่แดงช้ำไปแล้ว อ้าปากเตรียมจะบ่นต่อ แต่ก็ไม่ทันแฝดที่ฉุดเพื่อนตัวเองออกไปซะก่อน
“แม่ง กูเบื่อไอ้สองตัวนั่น” เกวบ่นเมื่อเขามาเดินข้างผม “ทำตัววุ่นวายสัส”
“เอาน่า อย่างน้อยมึงก็ลืมเรื่องเครียดๆไป”
“ก็มาเครียดกับมันแทนนี่ไง”
“เอาน่า แฝดยังเด็ก”
“มึงพูดแบบนี้ตั้งแต่รู้จักกับมันตอนม.4ละนะ” ผมกับเกวจบจากโรงเรียนพ่อเหมือนกันครับ ตอนม.6 มีโอกาสเข้าร่วมงานวันเกิดครูเกษียณที่โรงเรียนด้วยกัน เพราะแม่เกวก็เป็นครูวิทยาศาสตร์ที่นี่ ก็เลยได้เจอกับแฝดสองคนนั้นที่พึ่งเข้าชั้นม.4 ซึ่งแม่ของแฝดก็เป็นเพื่อนครูต่างโรงเรียนกับพ่อผมและแม่เกว ทำให้ถูกฝากฝังให้ดูแลน้อง ทำให้สนิทกันอย่างที่เห็นตอนนี้นั่นเองครับ “ปวดห้องน้ำ ไปปะ” ก้าวพ้นประตูอัตโนมัติ มันก็พูดกับผมด้วยอารมณ์ปกติ
“ไปๆ” ผมตอบ ปวดอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ก่อนสอบยังไม่ได้เข้าห้องน้ำเลย “ไปห้องน้ำไหม” ผมถามเด็กนักเรียนสามคนข้างหน้า “พี่กับเกวจะไป”
“ไม่ละพี่”
“เหมือนกัน” ติณตอบตามด้วยตุลย์เสริม ผมมองหน้าอีกคนที่ยังไม่เอ่ยอะไร จนให้คำตอบก็ไม่เอ่ย แค่พยักหน้ามาเท่านั้น
“ไงมึง ไม่พูดไม่จา” เกวทักคนตัวโตข้างหลังผม “ชื่อไรนะ ธีร์ปะ”
“ใช่” ผมชิงตอบให้ ถ้ารอให้อีกคนตอบเองไอ้เกวคงได้หงุดหงิดก่อน “ธีร์ นี่เกวนะ เพื่อนพี่”
“อืม” เขารับแบบไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เกวมองหน้าผมน้อยๆเหมือนไม่เข้าใจ
“น้องพูดไม่เก่งมึง ไม่ได้กวนตีน”
“แล้วไป” ที่ผมชิงบอกงั้นเพราะไอ้เกวมันก็เลือดร้อนนักเลงไม่แคร์ลักยิ้มอยู่พอตัว กลัวมันจะคิดว่าธีร์จะหาเรื่องไม่เคารพคนแก่กว่า “รู้จักกันได้ไง” มันถามต่อ
“ลูกเพื่อนพ่อ”
“อ่อ” ไม่มีคำถามต่อเพราะต่างคนต่างแยกทำธุระ เกวเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมใช้โถข้างนอก เหลือบตามองข้างหลังก็เห็นตาคมคู่หนึ่งมองผมผ่านกระจกเงา ผมส่งยิ้มฝืดๆไปให้ ไม่อาจยิ้มจริงใจได้เลย
โดนจ้องกำลังฉี่แบบนี้ใครจะยิ้มออก
ละสายตามาก็สบายใจ ผมหลับตาลงเบาๆปล่อยสิ่งอัดแน่นในท้องจนหมด เช่นเดียวกับเกวที่เดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม คนที่ยืนล้างหน้าอยู่เหลือบมองนิดเดียวก็ก้มลงวักน้ำใส่หน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ระวังเปียกเสื้อ” ผมบอกอย่างเป็นห่วงพลางเปิดน้ำล้างมือตนเองเช่นเดียวกับเกว ธีร์ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร นอกจากปิดน้ำและเช็ดหน้าให้แห้งด้วยท่อนแขนและแขนเสื้อ ผมแอบเห็นว่าเจ้าตัวเน้นตรงตาอีกด้วย
หวังล้างหน้าแก้ง่วงแหงๆ
“ธีร์” ผมเรียกและเข้าประชิดตัวทันที ใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือปาดไปทั่วใบหน้าแทนมือของอีกฝ่าย ใช้มืออีกข้างถือวิสาสะเปิดผมด้านหน้าขึ้นไปโชว์หน้าผากขาวเนียน โดยที่คนเด็กไม่ได้ขัดขืนอะไร นิ่งเสียด้วยซ้ำ
นิ่งเหมือนผมตอนนี้แหละครับ...
ผมมองหน้าเพอร์เฟคด้วยสมองที่คิดอะไรไม่ออก นอกจากชมเขาในใจ ธีร์หล่อมากอยู่แล้ว พอเปิดผมขึ้นแล้วได้เห็นกรอบหน้าทั้งหมดยิ่งหล่อกว่าเดิม หล่อจนผมสติหลุดแบบนี้เลย หล่อจนคิดว่าถ้าธีร์มาประกวดเดือนกับผม เขาต้องได้ตำแหน่งแทนผมแน่ๆ
“กูรอข้างนอกนะ” ขอบคุณเสียงเกวที่ทำให้ผมได้สติ พยักหน้าตอบในท่าทางเดิม ลงมือทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ต่อ ครู่เดียวหยดน้ำบนหน้าคมก็หายไป
“ทำไมถึงดูง่วงนัก” ผมถามทั้งๆที่ยังไม่ได้ผละออกมา ตอนนี้กำลังซับเส้นผมที่โดนน้ำให้เขาอยู่
“นอนดึก”
“ทำอะไรอยู่ครับ” ดวงตาที่มองตรงหลุบลงมาสบตากับผมครู่หนึ่ง แล้วเบนออกไป ไม่ใช่ธีร์เบน ผมนี่แหละชิงเบนขึ้นมองมือตัวเองก่อน
ในห้องน้ำมันร้อนอบอ้าวพอสมควรเลยแฮะ
“อ่านหนังสือ”
“อ่อ” ผมไม่คิดว่าธีร์จะหลอกอยู่แล้ว ลุคเขาไม่ใช่แบบนั้น ลองเป็นแฝดบอกแบบนี้ผมคงสวนไปแล้วว่าเล่นเกมส์น่ะสิ “ง่วงก็นอน ล้างหน้าขยี้ตามันไม่หายหรอก”
“หาย”
“ได้ยังไง”
“เคยทำ”
“มันไม่ได้ผลทุกครั้งหรอกน่า” จู่ๆคำหนึ่งสั้นก็เกิดขึ้นในหัวผม
ดื้อ
ไม่ใช่แค่การกระทำดื้อ คือการเตือนไปรอบหนึ่งนะครับ สีหน้านิ่งๆแต่แววตาสู้สุดใจกว่าได้ผลนั่นนะ โคตรดื้อเลย
“ห้ามทำอีกนะ อย่าดื้อ” นั่นไง ดื้อจริงด้วย คิ้วเข้มขมวดกันนิดๆแล้ว “ปะ ไปข้างนอกกัน” ผมเดินสวนไหล่แกร่งออกมา แต่สัมผัสรั้งๆที่เสื้อนักศึกษาทำให้หยุดมองคนชุดนักเรียนงงๆ
“ธีร์ดื้อเหรอ?”
ผมเหมือนจะตายเพราะก้อนเนื้อในอกเต้นเร็วเกินไปแล้วเนี่ย
---------------------------------------------------
ตอนที่สองแล้วว เป็นไงบ้างเอ่ยย
หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ
ธีร์ไม่ชอบพูดทุกคนก็รู้ ส่วนพี่อินอะน่ารัก และคนเขียนอะน่ารักกว่าพี่อิน555
เจอกันตอนหน้านะครับบ
เป็นกำลังใจให้กัน ติชมได้นะครับบ ขอบคุณมากๆครับ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

3 คำใจละลาย
ธีร์น้อนนน น่ารักอ่ะตัว
ดื้อแต่ลูกน่ารักมากนะเอ้อ
น่ารักที่สุดเลยค้าบน้องธีร์ มันดีมากค่ะคุณไรท์💓💓💓
ถึงน่ารักชิบหายขนาดนี้ 5555