ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Randolph The King Of Wolf (Old)

    ลำดับตอนที่ #6 : วันแรกของการเรียน

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.พ. 48






    หลังจากที่ผมเดินเข้าห้องไป  ทั้งห้องก็ต้องอยู่ในอาการเงียบ  โซเล็มนั่งอ่านซองจดหมายจากผู้อำนวยการเงียบ ๆ อยู่บนเตียงของเขา (เขาไม่คิดจะเปลี่ยนเจ้าชุดเปื้อนเลือดนั่นด้วยซ้ำ!)   ผมนึกได้ว่าผมยังไม่ได้ดูตารางเรียนของตัวเองเลยจึงค่อย ๆ หยิบซองจดหมายออกมาอีกครั้ง



        “ พรุ่งนี้วันพุธ วิชาที่จะเรียนมีเพียงวิชาเดียว  เวลาเรียน บ่ายโมงถึงสี่โมงครึ่ง   วิชาที่เรียนคือ....การรักษา???   วิชาบ้าบออะไรเนี่ย?  ให้นักเรียนไปพบกันที่ห้องสมุนไพรเหนือ ” ผมรู้สึกงงแตกกับตารางเรียนมาก   เพราะมันเรียนไม่เป็นเวลาเลยน่ะสิ!   แต่ละวันผมเรียนไม่เกินสองวิชาทั้งนั้น!   วันเสาร์กับอาทิตย์ก็หยุดอีก   แถมยังมีวันที่ผมเรียนวิชาเดียวตั้ง 2 วัน!   แต่ล่ะวิชาก็ชื่อแปลก ๆ ทั้งนั้น!  เช่นไอ้วิชาเรียกวิญาญานเนี่ย!   ผมจ้องมองตารางเรียนตาค้าง   ถ้าเดาไม่ผิดวิชาพวกนี้ย่าผมเลือกให้แหง๋ ๆ



        “ นอกจากนั้นเรายังมีกลุ่มกิจกรรมพิเศษให้นักเรียนเลือกมากมาย   เช่น   กลุ่มนักต่อสู้   กลุ่มนักข่าว   กลุ่มนักล่าของ   กลุ่มนักรักษา   กลุ่มนักดนตรี   กลุ่มนักอ่าน   กลุ่มนักยาพิษ   กลุ่มนักว่าง   กลุ่ม.... ”ผมนั่งอ่านรายชื่อกิจกรรมพิเศษ   กิจกรรมพวกนี้ให้เราเลือกเอาเองว่าจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง   เวลาทำกิจกรรมก็คือเวลาว่างหลังจากคาบเรียนต่าง ๆ หรือวันเสาร์กับอาทิตย์ก็ได้  ดู ๆ ไปแล้วก็น่าสนใจดีไม่เบา  



        ผมหันไปมองโซเล็ม  แล้วก็ต้องตกใจเพราะเขาจ้องผมอยู่ก่อน   นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาไม่บ่งบอกอะไรทั้งสิ้น   สีหน้ายังคงเรียบเฉย   โซเล็มไม่ใช่คนหน้าขรึม   ไม่ใช่คนเฉยชา  แต่ผมว่าเค้าเป็นคนไร้ความรู้สึกมากกว่า  ทั้งการกระทำ  น้ำเสียง  ใบหน้า  บ่งบอกว่าเขาเป็นคนไร้ความรู้สึก



        “ พรุ่งนี้ฉันมีเรียนวิชาปรุงยาพิษช่วงเช้า  นายล่ะ? ” เขาเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน   ดูเหมือนเขาจะพยายามผูกมิตรกับผมน๊ะ?   แต่จะดีไม่น้อยหากเขาแสดงความรู้สึกซักนิด   อย่างเช่นยิ้ม ไมใช่ทำหน้าเฉยเมยเหมือนคนที่กำลังเหม่อลอย



        “ วิชาการรักษาช่วงบ่าย ”ผมตอบ



        “ อืม  นายได้สิทธิ์พิเศษในการเข้าเรียนใช่ไหม ”เขาถาม



        “ อืม  ถามทำไม ”



        “ เปล่า  แค่สงสัย  ท่าทางนายดูมีฝีมือ  ฉันเลยคิดว่านายทำการทดสอบเข้ามา   แต่ตอนทำการทดสอบฉันไม่เห็นหน้านายเลยคิดว่าคงไม่ใช่ ”



        ผมเกือบหัวเราะก๊ากออกไปกับคำพูดของโซเล็มแล้ว  อยากถามเหลือเกินว่าเขาใช้อะไรดูผมถึงได้คิดว่าคนอย่างผมจะมีฝีมือ  นึกไม่ถึงว่าโซเล็มจะมีอารมณ์ขันขนาดนี้!



        “ นายวาดภาพฉันไว้สูงเกินไปโซเล็ม  คนอย่างฉันมันก็แค่คนธรรมดาเท่านั้น ” ผมพยายามเก๊กเสียงเข้มเหมือนที่พระเอกทางโทรทัศน์เขาชอบทำบ่อย ๆ   ทั้ง ๆ ที่ในใจของผมอยากจะหัวเราะก๊ากออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด   แต่เขากลับคลี่ยิ้ม!   คุณเชื่อไหมว่าเขายิ้ม   แต่ผมว่าเวลาเขาไม่ยิ้มดูดีกว่าตอนเขายิ้มตั้งเยอะ   ทำไมน่ะเหรอ   ก็มันสุดแสนจะน่ากลัวอ่ะดิ!  รอยยิ้มของเขาไปไม่ถึงดวงตาซักนิด   เขาแค่กระตุกริมฝีปากเฉย ๆ ส่วนใบหน้ายังคงนิ่งเหมือนเดิม  โอ้!  คืนนี้ผมคงนอนฝันร้ายแน่ ๆ  



        “ ฉันจะคอยดู  แรนดอล์ฟ  ฟอล  มอร์รัช ”พูดจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก (โดยไม่คิดจะเปลี่ยนไอ้ชุดที่มันเปื้อนเลือดเลยซักนิด!)



    ..........................................................................



           คำคืนอันแสนโหดร้ายของผมผ่านไปอย่างเชื่องช้า  ผมต้องนอนฟังเสียงเจ้าเวย์ราเฟลกรน  เสียงขยับตัวของลูสเชอร์  เสียงลุกขึ้นไปเข้าหกน้ำของลิสชอร์  แถมยังเสียงละเมอของโซเล็มอีก! (ที่จริงผมคงไม่เสียวเท่าไหร่นักถ้าเกิดเค้าไม่ละเมอว่า ‘ฉันจะฆ่ามัน! ๆ ’) กว่าผมจะทำใจหลับได้ก็ปาไปตีสาม!  



        ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ปรากฎว่าทั้งห้องเหลือเพียงลูสเชอร์เพียงคนเดียว   เจ้าตัวยังคงนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงอย่างมีความสุข   ผมเงยหน้าไปมองนาฬิกาปรากฎว่าเก้าโมงกว่า ๆ แล้ว  สงสัยคนอื่น ๆ คงไปเรียนกันหมดแล้วล่ะ   ดีเหมือนกันผมจะได้ทำอะไรสะดวกหน่อย   ผมบิดตัวสองสามทีก่อนที่จะเดินเช้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปลงฟัน



        “ ฮ้าว ~ ~ เช้าแล้วเหรอ ”ลูสเชอร์พึมพัมก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผม  เขาค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนอีกรอบแล้วพูดเหมือนคนละเมอว่า



        “ แรนดอล์ฟขอดูดเลือดนายหน่อยดิ ”ผมสะดุ้ง   ตัวแข็งค้าง  เมื่อกี้ลูสเชอร์พูดว่าไรนะ!   ผมค่อย ๆ เหลือบตาไปมองลูสเชอร์ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเมื่อกี้ไอ้เจ้านี่มันละเมอ!



        ผมยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก  ก่อนที่จะนับอุปกรณ์การเรียน  ซึ่งจากที่ผมอ่านจากตารางเรียนมา  อุปกรณ์สำหรับวิชาการรักษาก็มีแค่หนังสือเล่มใหญ่ (ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงขนาดมันเท่าไหร่  รู้ไว้แต่ว่ามันหนักมาก!)   สมุดจด   และก็ปากกาสำหรับจด   อุปกรณ์พวกนี้สามารถหาได้จากตู้ข้างเตียงทั้งหมด



        ผม....ผ่าน

        แว่นตา....ผ่าน

        รองเท้า....ผ่าน

        อารมณ์....ผ่าน

        เสื้อคลุม....ผ่าน

        รอยยิ้มพิมพ์ใจ...ผ่านชัวร์!



        สรุปว่าตอนนี้ผมเป็นนักเรียนมาดเนี้ยบแล้ว  ผมหยิบการ์ดสำหรับเปิดประตูแล้วออกจากห้องไป เมื่อวานผมเดินสำรวจทางเดินเกือบรอบปราสาทแล้ว  คาดว่ายังไงวันนี้ผมคงไม่หลงทางง่าย ๆ หรอก



        ผมสำรวจนาฬิกาอีกครั้ง  สิบโมงสี่สิบามนาที  ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนที่ผมจะเรียนวิชาการรักษา   อย่างแรกผมต้องตรงไปโรงอาหารก่อนเลย!



    .........................................................................



            “ โห ”ผมอดร้องไม่ได้เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ห้องอาหาร  มันใหญ่สุด ๆ เลย  อาหารถูกแบ่งไว้เป็นซุ้มต่าง ๆ ทั้งของคาว   หวาน   เครื่องดื่ม   อาหารพื้นเมือง  รวมไปถึงอาหารแปลก ๆ  ที่ผมยังไม่เคยมาก่อนในชีวิต!!!   นักเรียนมากกว่า 60% (คิดว่าน๊ะ) ต่างอยู่ในห้องอาหารแห่งนี้   มีโต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารตั้งแต่โต๊ะสำหรับสองคน   สี่คน   หกคน   แปดคน   และสุดท้าย 12 คน    ผมหยิบถุงเงินที่เมอร์ยื่นให้ผมขึ้นมา   พยายามทบทวนความจำเกี่ยวกับค่าเงิน   ‘ สีทอง 10 บาเรท  สีเงิน 5 บาเรท  สีทองแดง 1 บาเรท  ’



        ผมเลือกซื้อข้าวผัดจากซุ้มอาหารที่ขายอาหารจำพวกข้าว  ร้านนี้มีอาหารมากมายหลายชนิด   ผมเสียเงินสำหรับค่าอาหารและค่าน้ำไปทั้งหมด 4 บาเรท (เหรียญสีทองแดงสี่เหรียญ) นับว่าไม่แพงเท่าไหร่



        ผมเลือกนั่งโต๊ะสำหรับสองคนที่ค่อนข้างอยู่ห่างจากกลุ่มคนพอสมควร   ที่นั่งตรงนั้นสามารถมองเห็นรอบ ๆ โรงอาหารได้ชัด   ผมเลยนั่งจ้องคนอื่นไปซะเพลินเลย



        นักเรียนที่มาเรียนที่ฟิแลนเดอร์นั้นมีมากหน้าหลายตา   ไม่ใช่แค่มากหน้าหลายตาอย่างเดียวน๊ะ  แต่ยังมีนักเรียนแทบทุกวัยเลยล่ะ!



        จากที่ย่าผมบังคับให้ผมนั่งประวัติของฟิแลนเดอร์   ทำให้ผมรู้ว่าโรงเรียนนี้เป็นหลักสูตรเรียนไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีกำหนดว่าเราจะจบเมื่อไหร่   โดยหากเราต้องการจะเรียนจบเราต้องสอบฝ่านให้ครบทุกวิชาที่เราเลือก   ซึ่งการสอบจะมีทั้งหมดสามขั้นแล้วแต่อาจารย์ผู้สอนว่าเค้าจะให้สอบอะไร   เมื่อเราผ่านทั้งสามขั้นก็แปลว่าเราจบหลักสูตรวิชานั้นเรียบร้อยแล้ว   ซึ่งจำเป็นต้องสอบให้ผ่านทุกวิชาจึงจะจบจากโรงเรียนนี้ได้   จากประวัติของนักเรียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ผ่านมา   คนที่สามารถเรียนจบได้เร็วที่สุดคือ เคย์นีเซีย  เรียวคราล์ฟ โดยที่เค้าใช้เวลาเรียนแค่ 6 เดือนเท่านั้น!



        ระหว่างที่ผมนั่งเหม่ออยู่ (ยังไม่ได้กินข้าวซักคำที)   สายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่ง   ผมจำคนที่นั่งหัวโต๊ะได้ดีเพราะเจ้านั่นคือเวย์  ราเฟล (ลูกชายนักล่าค่าหัว)   ส่วนคนอื่น ๆ ที่นั่งกับเวย์นั้นผมไม่รู้จักสักคนเลย  แต่ท่าทางกลุ่มของเวย์จะเฮ้วน่าดู   สมาชิกในกลุ่มของเวย์ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน  เริ่มจากเด็กหนุ่มร่างยักษ์ (ย้ำว่ายักษ์จริง ๆ)   (กระซิบ) ไอ้หมอนี่หน้าตาห่วยมาก ๆ  หน้าอย่างกับคุณลุงแก่ ๆ ที่อายุเลย  40  ไปแล้ว   แถมผมกับตายังเป็นสีออกเทา ๆ อีกต่างหาก    ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าไอ้หมอนี่อายุกี่ปีกันแน่   จากเสื้อผมคิดว่าหมอนี่อยู่กลุ่มกรีน  คนถัดมาเป็นเด็กหนุ่มผมแดง   ย้ำว่าแดงเถือกเลยล่ะ   ผมแดงยังไม่พอน๊ะไอ้หมอนี่ยังใส่ชุดสีแดงทั้งชุดเลย   สงสัยคงใสมาประชันกับโซเล็มที่ใส่ชุดแดงขาว (แน่ะ  ยิ่งพูดยิ่งแขวะคนไปทั่วน๊ะแรนดอล์ฟ : เซน่าจัง)   ซึ่งตัดกับตาสีฟ้าน้ำทะเลของเขาเหลือเกิน   จากที่ผมสังเกตไอ้หมอนี่เล่นพูดจ้อไม่หยุดเลย   ท่าทางจะเป็นพวกชอบพูดน้ำไหลไฟดับ (หมอนี่อยู่กลุ่มเรดชัวร์ ๆ)  ต่อมาก็สาวน้อยน่ารักอ่ะนะ  (ขอบอกว่าน่ารักจริง ๆ แต่ไม่ใช่สเป็คผมหรอก)  ท่าทางคุณหนูมาก ๆ ผมเห็นนั่งยิ้มหวานโปรยไปซะทั่วเลย   เล่นเอาผู้ชายแถว ๆ นั้นน้ำหลายหก   ผมสีทองปล่อยสยาย   ปากนิดจมูกหน่อย   สงสัยอยู่กลุ่มพิงค์  คนสุดท้ายในกลุ่มของเวย์เป็นเด็กผู้หญิงอีกคน   พูดตามตรงว่าคนนี้อยู่ห้าว ๆ   แต่ขอบอกว่านัยน์ตาสีเขียวของเจ้าหล่อนน่ะสวยมาก ๆ เลยล่ะ  คนนี้อยู่กลุ่มบลู



        ระหว่างที่ผมนั่งวิจารณ์สมาชิกในกลุ่มของเวย์ (วิจารณ์!  เหอะ ๆ อย่างนี้เค้าน่าจะเรียกว่านินทามากกว่าน๊ะ)  เสียงคุ้นหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น



        “ ขอนั่งด้วยคนได้ไหม? ”



        “ เชิญ ๆ  ” ผมพูดโดยไม่หันไปมองเจ้าของเสียง (พอดีกำลังนินทา เอ้ย! วิจารณ์สนุกปากเลยยังไม่อยากหยุดน่ะ) จนผมเริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะไอ้คนที่มาขอนั่งกับผมเล่นจ้องผมไม่เลิก  (รู้สึกถึงสายตาอำมหิต  หึหึ)



        ทันทีที่ผมหันหลังไปผมก็ต้องตัวแข็งค้าง  ไอ้เจ้านี่!  ไอ้เจ้านี่!  ไอ้หมอนี่!  โอ้ย!   คนในฟิแลนเดอร์มีเป็นร้อยเป็นพัน   ทำไมพระเจ้าจึงได้ดลบันดาลให้ไอ้หมอนี่มาขอนั่งกับผม   อ๊าก! ผมสีเงิน!  ตาสีม่วง  เสื้อผ้ารุ่มร่าม แว่นตาข้างเดียว  หมอนี่คือคนที่คุยกับโซเล็มเมื่อตอนนั้น!



        “ สวัสดี  ฉันชื่อว่าเซลเดเรี่ยน โรกูล อาโดเรีย เรียกฉันว่าเซลก็ได้ ”



          “ สะ....สะ.........สวัส  ดะ...ดี  แฮะ ๆ ฉันชะ...ชือว่าแรนดอล์ฟ  ฟอล  มอร์รัช นะ..น่ะ ”อ๊าก  ไอ้เสียงบ้าเอ้ย!  ทำไมต้องมาสั่นตอนนี้ด้วยฟ่ะ



        “ ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยล่ะ  เคยทำไม่ดีไว้กับฉันรึไง \" เซลเดเรี่ยนถามกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  แต่ผมอ่ะสิ  สะอึกเลย  หยองวุ้ย!  



        “ นายอยู่ห้อง 111 ใช่ไหม ”



        “ อือ ”ผมตอบเบา ๆ   รู้สึกโล่งอก   หมอนี่มันจำผมไม่ได้!   อ๊าก!   ผมโล่งอกจนรู้สึกอยากจะกระโดดขึ้นเต้นรำบนโต๊ะอาหารเลย!  ( - -” )



        “ อืม...  เอาเถอะ  ทานอาหารกันดีกว่า ”หมอนี่แปลกคนดีจัง  ช่างเหอะ  กินข้าวผัดให้อิ่มดีกว่า



        ผมเหลือบตาไปเห็นจานอาหารของเซลเดเรี่ยนแล้วแทบจะกระเดือกข้าวผัดไม่ลง   แถมยังอยากจะพ่นไอ้ข้าวผัดที่ผมกินลงไปแล้วออกมา   หมอนี่มันกินอะไรของมันอ่ะ!   ตัวอะไรสักอย่างที่มีลักษณะคล้ายกิ้งกือยักษ์ผสมแมลงป่อง   ขนหัวผมลุกตั้งชัน  ใครมีกระโถนบ้าง!  ผมอยากอ้วก



        “ เป็นไร  ทำไมหน้าซีด ๆ ”เซลเดเรี่ยนถามด้วยความเป็นห่วง



        “ อ๋อ  เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ๆ ”ผมตอบกลับไป  รู้สึกโล่งใจที่เสียงหายสั่นแล้ว   เซลเดเรี่ยนจ้องผมเหมือนกับจะอ่านใจผมอยู่พักหนึ่ง   ผมจ้องกลับ  หมอนั่นยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะบอกว่า



        “ ประสานสายตากับฉันอย่างงี้ระวังจะโดนอ่านใจเข้าล่ะ ”เฮ้ย!   ตายล่ะหว่า!   เมื่อกี้เล่นจ้องตามันซะนานจะโดนอ่านใจไหมฟ่ะ



        “ ฮ่า ๆ ๆ   เมื่อกี้ฉันล้อเล่นน่ะ   อย่างนายไม่ต้องอ่านใจหรอก   เพราะอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด ” ผมเริ่มกลัว ๆ เซลเดเรี่ยนขึ้นมา   ไอ้หมอนี่เป็นคนเดายากอ่ะ  ไม่สามารถเดาพฤติกรรมได้เลย  เป็นเพื่อนกับเจ้าโซเล็มก็สมกันดี    



    ผมพยายามสังเกตลักษณะภายนอกของเซลเดเรี่ยน   อืม...ไม่แน่หมอนี่อาจจะเป็นคนดีกว่าที่คิดก็ได้   ท่าทางก็ดูฉลาด   หน้าตาก็ดูดีเหมือนกัน   แถมอาจจะมีฝีมือทางด้านการต่อสู้ด้วยก็ได้   จะเสียอยู่อย่างเดียวก็ไอ้ที่เสื้อผ้ารุ่มร่ามนั่น  ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ากล้าใส่เดินได้ยังไง   แต่ตอนที่ผมได้ยิน(แอบฟัง)เขาคุยกับโซเล็ม  เห็นโซเล็มบอกว่าเขาเป็นดาร์คเอล์ฟ   แล้วดาร์คเอล์ฟมันเป็นอะไรหว่า    



        “ เอ...นั่นนายกินอะไรเหรอ ” ผมอดใจถามไม่ได้  เมื่ออาหารตรงหน้ามันช่างยั่วยวนเหลือเกิน



        “ อ๋อ  นี่เหรอ  เค้าเรียกว่าสกอปีดราก้อน  รู้ไหมไอ้เจ้านี่น่ะเป็นอาหารที่ให้คุณค่าอาหารครบทั้ง 5 หมู่  แถมยังมีเนื้อยังอร่อยมาก ๆ ด้วย  นายอยากลองไหม ” เซลเดเรี่ยนเลื่อนจานมาตรงหน้าผม  ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับพูดว่า



        “ เชิญนายอะไรไปคนเดียวเถอะ ”เซลเดเรี่ยนเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดว่า



        “ ถึงภายนอกกันจะน่าเกลียด  แต่เนื้อของมันอร่อยน๊ะจะบอกให้ลองชิมสักหน่อยเถอะน่า ”



        “ ไม่ ”



        “ น่า  ใจกล้าหน่อยดิ ”



        “ ไม่ ”



        “ น่า ”



        “ ไม่ ”



        สุดท้ายผมก็นั่งเถียงกับหมอนั่นจนถึงเที่ยงกว่า ๆ (โห  เถียงกันร่วมชม.เลยเรอะ)   เรานั่งคุยกัน     หมอนี่มันสุนัขจิ้งจอกในคราบลูกแกะชัด ๆ !   ครึ่งชั่วโมงแรกหมอนี่ก็ดูธรรมดา  ท่าทางนิ่ง ๆ เฉย ๆ ใจเย็น    แต่พอมาครึ่งชั่วโมงหลังดันแปลงร่างกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ซะได้!   ตอนแรกเซลเดเรี่ยนถามผมว่าทำไมผมถึงได้สิทธิพิเศษไม่ต้องทำการทดสอบเข้าเรียน   ผมอุตส่าห์ตีหน้าขรึมบอกว่าเป็นความลับของตระกูล  เซลเดเรี่ยนก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร   แต่ที่ไหนได้เจ้านั่นกลับพูดหลอกล่อผมไปติดกับ   เล่นเอาผมหลุดปากไปว่าผู้อำนวยการสกูร  ลาร์คเป็นอาผม  ขืนอยู่กับหมอนี่บ่อย ๆ มีหวังผมคงหลุดปากบอกหมอนี่ไปว่าผมเป็นมนุษย์หมาป่าแน่!



        “ ต่อไปนายเรียนวิชาไรล่ะแรนดอล์ฟ ”เซลเดเรี่ยนถามขึ้น   ผมก้มมองนาฬิกา   เที่ยงยี่สิบสิบห้าแล้ว   คงได้เวลาไปเข้าห้องเรียนแล้วล่ะมั้ง  



        “ วิชาต่อไปที่ฉันเรียนคือวิชาการรักษาน่ะ  แล้วนายล่ะเซล ”ผมถามกลับ  



        “ วิชาเดียวกับนายนั่นแหละ  งั้นเราไปพร้อมกันดีกว่า ”ผมพยักหน้าเออออ   อย่างน้อยผมก็มีเพื่อนไปเรียนวิชาแรกในโรงเรียนประหลาดนี่แล้ว.....    



    ......................................................................................





        ห้องสมุนไพรเหนืออยู่ห่างจากห้องอาหารค่อนข้างมาก   เล่นเอาผมอยากจะเป็นลมกลางทางเสียให้ได้   ยิ่งเดินไปไกล    ทางเดินก็ยิ่งวังเวงและชวนขนลุกสุด ๆ  คนก็น้อยแสนน้อย  (น่าจะพูดว่าไม่มีคนเลยมากกว่า)   หยากไย่ก็เต็มไปหมด   ชวนคนลุกซะจริง ๆ   กำแพงสีหม่น ๆ นั้นสามารถบอกได้อย่างนี้ถึงอายุที่วันเวลาที่ผ่านมา   แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ   ตรงทางเดินอ่ะ!   มี ร อ ย เ ลื อ ด ด้วย บรื๋อ ~ ~



        “แถวนี้มักจะไม่ค่อยมีคนเพราะมันเข้าเขตหวงห้ามแล้ว   ทางหอคอยทิศเหนือนี้จะเป็นสถานที่เก็บอาวุธโบราณและพวกสัตว์ประหลาดที่ใช่ในการสอบ   ฉันก็ไม่รู็ว่าทำไมเหมือนกัน   แต่ดูเหมือนนักเรียนจะกลัวจนไม่กล้าเข้าไปใกล้แถวนั้นเลยล่ะ \" เซลเดเรี่ยนพูดพลางมองไปรอบ ๆ พร้อมกับยิ้มมุมปาก   ยังไงไปรู้นะ   แต่ผมว่าเขาเหมาะกับสถานที่สยองแบบนี้ดี   ดู ๆ แล้วเหมือนภาพวาดเลย  



        \" ถึงจะอย่างนั้นก็เหอะ...ฉันนึกอยากมาตรวจตราแถวนี้สักครั้ง   นายสนใจจะมาด้วยไหมแรนดอล์ฟ ” ผมสะดุ้ง  พร้อมกับหันไปมองเซลเดเรี่ยนแบบงง ๆ   โห!   เชื่อเค้าเลย  อยู่ดี ๆ ก็ดีอยู่แล้ว   เรื่องอะไรผมจะไปหาเหาใส่หัวล่ะ   ไม่มีทางซะล่ะ   (แบบว่าตอนนี้มีเหาให้กังวลเยอะอยู่แล้ว  คิก ๆ : เซน่าจัง)



        “ ไม่ล่ะ  นายไปเถอะ ”ผมหันไปมองรอบ ๆ อีกครั้ง   ยังไงก็แล้วแต่ผมก็ไม่มีทางมาเดินเล่นในที่แบบนี้โดยไม่จำเป็นแน่!



        “ แค่นี้ทำใจเสาะไปได้ ”เซลเดเรี่ยนพูดเหน็บผมเข้าให้



        “ ต่อให้ไม่ใจเสาะฉันก็ไม่ไปหรอก ”ผมโต้คืน  ส่วนเซลเดเรี่ยนก็แค่ยักไหล่เป็นราวกับจะบอกว่า ‘ ไม่ต้องแก้ตัวก็ได้ ’  



        ในที่สุดเราก็เดินถึงห้องเรียน   ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในห้องผมก็ต้องตาค้าง!   เพราะภายในห้องนั้นเป็นป่า!   มีต้นไม้สีสันและรูปร่างแปลกงอกขึ้นสูงมากมาย   ผมยืนตะลึงค้างเพราะลึกเข้าไปมีลานเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะเรียนตั้งอยู่ประมาณ 10 กว่าโต๊ะ   ซึ่งมีนักเรียนนั่งอยู่แล้ว 4 คน   หน้ากระดานดำมีหญิงชราร่างเล็กยืนอยู่   ใบหน้าของเธอนั้นยิ้มแย้มดูอบอุ่น   หมวกปีกกว้างปิดผมสีทองเป็นลอนหนาไว้มิด   นัยน์ตาสีฟ้าหันมาจับจ้องผมพักหนึ่งก่อนที่จะหันไปมองเซลเดเรี่ยนต่อ   เธอคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะพูดว่า



        “ ถ้าเดาไม่ผิดพ่อหนุ่มผมดำคือแรนดอล์ฟ  ฟอล  มอร์รัช   ส่วนพ่อหนุ่มผมเงินคือเซลเดเรี่ยน   โรกูล  อาโดเรีย... ”



        “ ครับ ”ผมและเซลเดเรี่ยนตอบพร้อมกัน



        “ เชิญ ๆ ๆ  นั่งตามสบาย  รู้สึกว่าเธอสองคนจะมาเป็นคนสุดท้ายนะ ”  ผมรู้สึกงง ๆ   ถ้าหากผมกับเซลเดเรี่ยนมาถึงเป็นสองคนสุดท้าย  งั้นก็แปลว่าวิชานี้มีคนเรียนแค่ 6 คนเองเหรอ!



        “ ถูกแล้วแรนดอล์ฟ  ฟอล  มอร์รัช  คาบนี้มีนักเรียนเรียนแค่ 6 คนเท่านั้น ” หญิงชราพูดขึ้นหลังจากที่ผมนั่งบนโต๊ะเรียน(โดยมีเซลเดเรี่ยนนั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ)   ผมหน้าซีด!  ป้าคนนี้รู้ได้ไงว่าผมคิดอะไรอยู่!  อ๊าก ~ ~ อย่าบอกนะป้าคนนี้อ่านใจคนได้   นี่ผมกำลังจะเสร็จป้าคนนี้เหรอ!!! (เอ่อ...แรนดอล์ฟ...นายอย่าพูดกำกวมมากนักได้ไหม  เดี๋ยวเค้าเข้าใจผิด : เซน่าจัง)



        “ หึหึ   ฉันอ่านใจคนไม่เป็นหรอก  พวกเธอไปต้องตกใจไป   ฉันเพียงฟังเสียงลมหายใจของพวกเธอเท่านั้น  รู้ไหม  ทุก ๆ ครั้งที่เธอหายใจ   ความรู้สึกนึกคิดของเธอก็จะถูกปลดปล่อยออกมาด้วย  ” หญิงชราพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม(ซึ่งไม่ต่างกับนางปีศาจ)   ส่วนผมก็ต้องพยายามปั้มหัวใจที่กำลังจะหยุดเดินให้กลับมาเต้นอย่างสม่ำเสมอ  เฮ้อ...ขืนอยู่ฟิแลนเดอร์นาน ๆ ผมคงหัวใจวายก่อนแก่แน่



          “ เอาล่ะ  ฉันชื่อว่าเกรส  แคเรีย  เรียกฉันว่ามิสเกรสก็ได้ ” มิสเกรสพูดพร้อมกับปรายตามองทางผมแว่บหนึ่ง   ก่อนที่จะหันไปมองคนอื่นต่อ   ผมเริ่มหายใจกระตุก  ป้าแกจะจับว่าผมเป็นมนุษย์มหาป่าได้รึเปล่าเนี่ย



        “ เอาล่ะฉันจะตอบคำถามที่แรนดอล์ฟสงสัยให้ล่ะกัน   เหตุที่ทำให้คนลงเรียนวิชานี้น้อยก็เพราะพวกเค้าไปลงเรียนวิชาการรักษาภาคเสริมกันหมด   ซึ่งวิชาการรักษาภาคเสริมนั้นจะเป็นแบบการใช้ปราณรักษาตัวเอง   ซึ่งต่างกับวิชาการรักษาภาคหลักที่ฉันจะสอนพวกเธอ   เพราะมันจะรวมหมด   ทั้งการใช้ปราณรักษาตัวเอง   การสกัดสารพีชต่าง ๆ มาทำเป็นยารักษาโรค   และเราจะเรียนรู้ถึงการทำยาต่าง ๆ ในตำนานกันด้วย ” ท่าทางการสอนของมิสเกรสนั้นคล้าย ๆ กับเซลล์แมนที่กำลังบรรยาถึงคุณลักษณะของสินค้าที่ตนนำมาเสนอขาย   แต่ถึงกระนั้น...การพูดของเธอก็ไม่ได้ทำให้ผมง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย



        “ ศาสตร์แห่งการรักษานั้นมีมานานหลายร้อยปีแล้ว   ตั้งแต่สมัยที่พวกเราอยู่บนโลกมนุษย์   สมัยนั้นผู้มีพลังพิเศษมักจะถูกมองว่าเป็นพ่อมดแม่มดและถูกตามล่าบ่อย ๆ   ยิ่งพวกผีดูดเลือด  เงือก  หรือมนุษย์หมาป่าก็ยิ่งแล้วใหญ่   พวกเราเลยจำเป็นต้องคิดค้นประดิษฐวิธีการรักษาโรคและบาดแผลต่าง ๆ ขึ้นมา............ ” ผมเริ่มจัดการจดตามคำพูดของอาารย์เกรสอย่างรวดเร็ว   แต่ระหว่างที่ผมเรียนอย่างตั้งใจนั้น  เสียง ๆ หนึ่งก็เข้ามารบกวนโสตประสาทหูของผมอย่างแรง



        “ คร่อก...........ฟี้ ”



        ผมหันไปมองเจ้าคนข้าง ๆ อย่างหงุดหงิด   เด็กหนุ่มผมแดงยังคงนอนหลับอย่างมีความสุข   ผมดูชุดสีแดงของเขาซึ่งดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก   เนื่องจากเขานอนคว่ำหน้าผมเลยไม่สามารถมองเห็นหน้าเขาได้     มิสเกรสยังคงสอนต่อไปโดยไม่สนใจไอ้หมอนี่สักนิด   ผมพยายามสนใจกับการเรียน   แต่มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้เมื่อมีเสียงมารบกวนอยู่ข้าง ๆ อย่างงี้



        “ ด้วยเหตุนี้   แคลรีมัสจึงเป็นสารสกัดที่ดีที่จะนำมาสกัดเป็นยารักษาโรคเวบลูม   เอาล่ะ   เจฟฟรี่  ไหนลองตอบดูสิว่าเค้าใช้ส่วนไหนของต้นแคลรีมัสมาสกัดเป็นยารักษาโรลเวบลูม ” เด็กหนุ่มผมแดงเงยหน้าขึ้นอย่างงัวเงีย  ทันทีที่เค้าเงยหน้าผมก็จำได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร!  หมอนี่มันหนึ่งในสมาชิกขอกลุ่มของเวย์นี่  เขาจ้องมิสเกรสอย่างงัวเงียก่อนจะตอบว่า



        “ ลำต้นและราก ”จากนั้นเขาก็ฟุบหลับต่อไป



        “ ถูกต้องอย่างที่สุด  ด้วยประการนี้.......... ” มิสเกรสยังคงสอนแข่งกับเสียงกรนของไอ้หัวแดงต่อไป    ขี้โกง ๆ ๆ ๆ ๆ  ไอ้หมอนี่มันต้องเป็นพวกที่โง่ดิ  ไหงกลายมาเป็นเด็กฉลาดไปได้  ฮึ่ม  ยิ่งคิดยิ่งแค้น(โว้ย)   แต่ไม่ทันไรเสียงที่รบกวนโสตประสาทผมก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเสียง



        “ ตึก ๆ ๆ ๆ ”



        เซลเดเรี่ยนหยิบปากกาขึ้นมาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ  ผมรู้สึกปวดหัวเพิ่มเป็นทวีคูณ!  อ๊าก ~ ~ พระเจ้า  ทำไมคนดี ๆ อย่างผมถึงได้โชคร้ายอย่างนี้   ย้ายมาอยู่โรงเรียนประจำก็ต้องมาเจอกับพวกแปลก ๆ พวกนี้   พอผมจะเรียนก็ยังไม่ยอมให้ผมมีความสุขอีก!   ถามจริง!  ‘จะแกล้งผมไปถึงไหนห๊ะ!’ ผมว่านายเซลเดเรี่ยนกับนายเจฟฟรี่น่าจะไปจับมือเปิดวงดนตรีป่วนประสาทคนให้มันรู้แล้วรู้รอดซะเลย  จะได้ไม่ต้องมานั่งเคาะจังหวะกับส่งเสียงป่วนประสาทผมแบบนี้!



        ทำใดนั้นผมก็ต้องรีบหยุดความคิดทั้งหมดลงทันที  เพราะอยู่ ๆ เล็บผมก็ยาวขึ้น!   ผมกำลังแปลงร่าง!



       อ๊าก! ~



       ซวย! ~  



       ผมรีบจับไปทั่วหัวอย่างเป็นกังวล  ถึงหูยังไม่งอกแต่ไม่รู้ว่าสีผมกับสีตาของผมเปี่ยนแปลงไหม  ผมคลำ ๆ แถวปากแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเขี้ยวไม่ได้งอกออกมาที  ผมพยายามหายใจเข้าออกพร้อมกับท่องในใจว่า \"เย็นไว้  เย็นไว้.....\"



          เฮ้อ...ทำไมการเรียนวันแรกของผมถึงได้ซวยแบบนี้..............



    ............................................................................



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×