ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Randolph The King Of Wolf (Old)

    ลำดับตอนที่ #4 : ฟิแลนเดอร์ (Re-Write)

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 49




                    การฝึกที่แสนลำบากยากเข็นของผมได้เริ่มต้นทันทีหลังจากที่ผมได้นอนหลับเต็มอิ่ม โธ่...ชีวิตผม  อ๊ากกกกกก!!!!  สักวันผมต้องเส้นเลือดในสมองแตกตายแน่!

    คุณของสงสัยล่ะสิว่าการฝึกของผมเป็นอะไร  กรุณาลืมการฝึกโหด  ๆ หรืออะไรจำพวกที่เกี่ยวกับการต่อสู้ไปได้เลย  เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมฝึก!!!  

    เอาล่ะวันนี้เราจะเรียนเกี่ยวกับการปกปิดสัญชาติญานหมาป่าน่านไง  เริ่มแล้ว  เสียงแจ้ว ๆ ของย่านี่ฟังไปฟังมาก็คล้าย ๆ กับเสียงของยายอลิสเลย   สิ่งที่ผมต้องฝึกก็คือ...การดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ให้ความลับเรื่องสายเลือดหมาป่าแตก   คุณอาจจะคิดว่ามันง่ายล่ะสิ    แต่ผมขอบอกตามตรงเลยว่ายากมากกกกก   แถมยังน่าเบื่อสุด ๆ อีกต่างหาก   ทุก ๆ วันผมกับย่าจะต้องเข้ามาในห้อง ๆ หนึ่งซึ่งภายในห้องนั้นจะมีกระดานดำและโต๊ะเก้าอี้หลายตัว   ย่าก็จะมายืนอยู่หน้าชั้นเรียนแล้วคอยพูดอธิบายเกี่ยวกับการปกปิดเรื่องสายเลือดหมาป่า   ส่วนผมก็จะนั่งก้มหน้าก้มตาหลับแข่งกับเสียงพูดของย่า   ซึ่งย่ามักจะตอบแทนความขี้เกียจของผมด้วยการเอาไม้ลบกระดานเคาะหัวผม (ซึ่งมีครั้งนึงหัวผมโนขึ้นเท่าลูกมะนาว!)  ผมจะอธิบายให้ฟังคล่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ย่าสอน

    ปัญหาข้อแรกเลย  ผมต้องฝึกวิธีระวังไอ้พวกผีดูดเลือด  ย่าบอกไว้ว่าไอ้พวกนี้เป็นพวกกัดไม่ปล่อย  แถมเลือดหมาป่ายังเป็นเลือดที่พวกนี้ชอบรับประทานด้วย  สรรพคุณก็ดีเหลือหลาย   ยิ่งไอ้สายพันธ์หิมะของผมนี่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่   ทั้งรักษาโรค   ฟื้นฟูกำลัง  ทำให้ร่างกายแข็งแรง  สนใจติดต่อได้ที่เบอร์..... (อ้าวเฮ้ย!  ไอ้แรนดอล์ฟ  นอกเรื่องแล้วนะแก!)   อย่างที่บอก...เลือดของมนุษย์มหาป่าเปรียบเสมือนยาวิเศษของผีดูดเลือด  ถ้าขืนความแตกขึ้นมามีหวังผมเลือดหมดตัวแน่

    ผีดูดเลือดจะเป็นพวกจมูกไว  ถ้าเกิดเลือดเธอมีแผลแผลแม้แต่นิดเดียว   ไอ้พวกนี้อาจจับได้ว่าเธอเป็นมนุษย์หมาป่า  ดังนั้นให้ระวังมาก ๆ  เพราะถ้าเกิดความแตกเมื่อนไหร่  ก็เตรียมตัวรับความ ตายได้เลย ผมอยากจะคิดว่าย่าพูดเล่นเหลือเกิน

    ต่อไปปัญหาข้อสอง  ผมต้องพยายามควบคุมไอ้ดวงตาหมาป่างี่เง่านี้ให้ได้  กว่าผมจะปิดมันได้ (หมายความว่าทำให้ตามันหายไปอ่ะ  คนอื่นจะได้ไม่เห็น)เล่นเอาเกือบแย่เลย   แถมมันยังชอบโผล่ออกมาทุกครั้งเวลาที่ผมเผลอ  เฮ้อ...สงสัยผมคงต้องหาผ้ามาคาดหัวดีกว่ามั้ง

    ตั้งสมาธิให้ดีแรนดอล์ฟ  จินตนาการว่ามันหายไป ย่าผมมักจะย้ำคำนี้นักหนา  โธ่!  แน่จริงก็ลองมาทำอย่างที่ผมทำสิแล้วจะรู้

    ปัญหาข้อสาม  ข้อนี้ย่าผมล่ะห้ามนักห้ามหนา  ห้ามทำตัวเด่น!!!  ห้ามเด่นเด็ดขาด  โธ่เอ้ย   ข้อนี้ผมทำได้สบายอยู่แล้ว  เพราะปกติผมก็ไม่ค่อยเด่นอยู่แล้ว (ยกเว้นเวลาแปลงร่าง)  หน้าตาผมก็ดีปานกลางสมองก็งั้น ๆ  จะมีดีก็แค่นิสัยนั่นแหละ (ไม่ค่อยจะชมตัวเองเลยน๊ะ : คนเขียน)  

    ปัญหาข้อสี่  เวลาแปลงร่างของผม  ซึ่งข้อนี้ทำเอาผมเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ   แต่ย่าผมนี่สิกลับไม่เครียดเลยซักนิด  แถมยังบอกว่า...

    เมื่อถึงเวลาเธอก็จะสามารถเอาตัวรอดได้เอง สาธุ  เอเมน  อาเลลูยา  ขอให้มันเป็นอย่างที่ย่าพูดด้วยก็แล้วกัน  เพราะไม่อย่างนั้นย่าคงได้รับซากของสิ่งไม่มีชีวิตกลับจากฟิแลนเดอร์แน่

    นอกจากปัญหาสี่ข้อใหญ่นี้  ยังมีปัญหาข้อย่อย ๆ อีกเป็นสิบ ๆ ข้อ   เมื่อวันเวลาที่ผมจะต้องไปไอ้โรงเรียนที่ชื่อว่าฟิแลนเดอร์ใกล้เข้ามา   ผมเริ่มตระหนักแล้วว่าผมกำลังถูกถีบส่ง  วันสุดท้ายของการฝึก   ย่าให้เมอร์เข้ามาฝึกทักษะการต่อสู้เบื้องต้นให้ผม   ซึ่งผมอยากจะร้องดัง ๆ ว่า  ทำไมเพิ่งมาฝึกเอาวันสุดท้าย!

    ผมรู้สึกแปลกใจมากเพราะไม่คิดว่าเมอร์จะมีความสามารถทางด้านการต่อสู้  แต่ก็นะ   คนเราไม่สามารถดูกันภายนอก   ขนาดย่าผมดูภายนอกนั้นเป็นคนเงียบ ๆ   แต่ที่ไหนได้   ดันพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ   จนบางทีผมถึงกับหูชาเลยทีเดียว(ยิ่งกว่าแม่ผมเสียอีก)

    กฎข้อแรกของทักษะการต่อสู้ประจำตระกูลมอร์ฟอลรัชคือการ หนี’   ไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ต้องหนีได้ทุกสถานการณ์   ที่ท่านมีเรียลสั่งให้กระผมฝึกทักษะการต่อสู้ให้คุณหนูบ้าง   ก็เพราะว่าในการที่จะเข้าเรียนที่ฟิแลนเดอร์นั้น  นักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบเมอร์พูด   ส่วนผมก็อ้าปากค้าง  ให้ตาย  หน้าอย่างผมเนี่ยนะจะทดสอบผ่าน  

    เข้าท่าดีนี่ ผมพูดขึ้นพลางกรอกตา  พลางคิดที่จะหาวิธีหนีออกไปจากที่นี่   ซึ่งมันก็ไม่มีซักวิธีเลย

     “ ส่วนทักษะการต่อสู้ก็ง่าย ๆ มีหลักอยู่แค่สามข้อเท่านั้น เมอร์พูดพลางตั้งท่าเตรียมพร้อม

    ข้อแรกคือสมาธิ  ห้ามต่อสู้ด้วยอารมณ์โกรธ  จิตใจต้องแน่วแน่ไปยังคู่ต่อสู้   อย่าสนใจคนรอบข้างโดยเด็ดขาด เมอร์พูดพลางขยับตัวแล้วม้วนตัวตีลังกากลางอากาศ   ส่วนผมก็อ้าปากค้างแบบอึ้ง    โห! สุดยอด  อย่างงี้ผมจะรอดไหมเนี่ย...

    ข้อสองจงทำด้วยความนุ่มนวลและงดงาม  ราวกับว่ากำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางหมู่ชน แล้วมันเกี่ยอะไรกับการเต้นรำฟ่ะ!

    ข้อสุดท้าย  จงเปิดตาให้กว้าง  เพราะจะมีการแทงข้างหลังเสมอ!  ต่อไปเราก็มาปฏิบัติกันเลย!อ้าว!  เฮ้ย!  ปฏิบัติเลยเรอะ!  ย่าคร๊าบบบบบบบบ  นึกยังไงให้ผมออกมาฝึกเนี่ย!

    เดี๋ยว  ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมน๊ะ ผมพูดเสียงสั่น ๆ เกิดมาผมยังไม่เคยชกกับใครมาก่อนเลยนะ!   อย่าว่าแต่ชกเลย   เรื่องอะไรที่ขึ้นต้นด้วยคำว่ากีฬาทำเอาผมเกือบตายมาหลายครั้งแล้ว

    เดี๋ยวกระผมจะช่วยสอนให้ขอรับคุณหนู เมอร์ตั้งท่าพร้อม   ส่วนผมก็ยืนสั่นเหมือนลูกนก   พระเจ้า!  ผมยังไม่อยากตาย    

     “ กระผมจะไปแล้วนะขอรับ! พูดจบเมอร์ก็พุ่งตัวมาอย่างรวดเร็ว     

     

    เดี๋ยว!  อย่า!  ว๊ากกกกกกกกกกก ~ ~ ~ ”


     

    สบายดีไหมจ๊ะแรนดอล์ฟหลานรัก ย่าเดินมาในห้องอาหารพลางพูดอย่างอารมณ์ดี   ส่งสัยย่าจะแก่จนมองอะไรไม่ชัด   เลยไม่ค่อยเห็นสภาพผมในตอนนี้!

    สบายดีมาก ผมพูดพลางเน้นเสียงพยางค์สุดท้าย   ก่อนที่จะก้มลงไปทานอาหารต่อ   เวลาแห่งนรกของผมเริ่มต้นเมื่อตอนที่เมอร์พุ่งตัวมีที่ผม   ผมคงสลบไปตั้งแต่หมัดแรกแล้วถ้าเกิดผมไม่เข่าอ่อนจนทรุดลงกับพื้นขึ้นมา   แต่เมอร์กลับบิดตัวแล้วยกเท้าหมายจะเตะไปยังซี่โครงผม   ผมรีบยกแขนขึ้นมารับลูกเตะของเมอร์จนแขนเป็นรอยช้ำ   ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของเมอร์ทำให้ผมกระเด็นกลิ้งไปบนพื้นจนมีรอยข่วนเต็มตัว   แต่เมอร์ไม่หยุดแค่นั้น!  เขากลับวิ่งตรงมาที่ผมหมายจะโจมตีต่อ   โอ้ ! งานนี้ผมก็วิ่งเผ่นลูกเดียวอ่ะดิ   ผมนึกอยากจะตะโกนถามเมอร์ว่าจะฆ่ากันรึไงห๊ะ!’   แต่ก็ไม่มีโอกาศได้พูดซักที   เมอร์ยิ่งรุกหนักเรื่อย ๆ   ทั้งเตะทั้งต่อยทั้งศอกทั้งถีบ   แถมยังทำท่าทางไม่เหนื่อยอีก   แต่ผมนี่สิเหงื่อแตกพลั่ก   นึกสงสัยว่าตัวเองไปเอาแรงที่ไหนมาวิ่งหนีเมอร์ได้    ผมเล่นวิ่งไล่จับอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเมอร์ก็หยุดโจมตีแล้วพูดว่า    

    เก่งมาขอรับคุณหนู  การฝึกจบลงแล้วขอรับ

    สุดท้ายผมก็ขึ้นมาอาบน้ำทั้งงง ๆ นั่นแหละ   อะไรง่ะ   ผมไม่ได้ทำอะไรซักอย่างทีนะ!    


     

     

    ย่ามีข่าวดีมาบอกนะแรนดอลฟ์ นั่นคือคำพูดคำแรกที่ย่าพูดขึ้นในเช้าวันที่ย่าจะส่งตัวผมเข้าโรงเชือด  เอ้ย!  โรงเรียนฟิแลนเดอร์   ใช่แล้ว!!!   วันนี้นี่แหละที่ผมต้องไปโรงเรียนนั่น  

    เหรอผมพูดแบบเซ็ง ๆ  รู้สึกว่านี่จะเป็นข่าวดีรอบที่ 13 แล้วมั้งในอาทิตย์นี้  ซึ่งแต่ล่ะครั้งมันก็ดีจริงจริ้งงงง  (แบบว่าดีไปหมดเลย)

    ข่าวดีก็คือหลานไม่ต้องเข้าทดสอบเพื่อที่จะเข้าโรงเรียนฟิแลนเดอร์   เพราะผู้อำนาวยการยอมรับหลานเข้าโรงเรียนแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นจากอาหารแบบงง ๆ  ไหงยอมรับง่ายงี้

    หา!  ทำไมล่ะ! นี่หมายความว่าไอ้ที่ผมฝึกการต่อสู้จนตัวช้ำตัวเขียวนั่นก็ไม่มีความหมายเลยอ่ะดิ!  

    ทำไมน่ะเหรอ   ก็ถ้าโรงเรียนไหนปฏิเสธทายาทคนสุดท้ายของสายเลือดหมาป่าล่ะก็   ก็คงเป็นโรงเรียนที่ห่วยที่สุดในโลกแหละ ผมทำช้อนตกเสียงดัง   นึกไม่ถึงว่าย่าจะเอาเรื่องสายเลือดหมาป่าไปบอกคนอื่นทั้ง ๆ ที่ย้ำกับผมนักผมหนาว่า ห้ า ม บ อ ก ใ ค ร เ ด็ ด ข า ด

    สงสัยว่าย่าจะลืมบอกไปว่า   ที่ตระกูลเราสามารถอยู่ได้มาถึงบัดนี้ก็เพราะมีคนหนุนหลังให้  และคน ๆ นั้นก็คือลารค์...ผู้อำนวยการประจำโรงเรียนฟิแลนเดอร์   ซึ่งมีศักดิ์เป็นว่าที่อาของหลานไงล่ะ

    อืม...ก็ดีผมพูดแบบเซ็งสุด ๆ ตอนแกผมก็กะว่าจะแกล้งทำเป็นสอบตก   จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียนนั่น  แต่คราวนี้ผมก็ไม่มีข้ออ้างแล้วล่ะสิ  โธ่...ความยุติธรรมมันอยู่ไหน  ทำไมไม่เป็นยายอลิสแทนที่จะเป็นผม

    ผมแทบจะกระเดือกข้าวไม่ลง  เฮ้อ...ชีวิตผมจะเป็นยังไงต่อไป  นี่ผมต้องไปอยู่ท่ามกลางไอ้พวกผีดูดเลือด  ครึ่งคนครึ่งสัตว์  กับไอ้พวกที่มีเวทย์มนต์เหรอ  ไม่เอา!!!  ผมไม่อยากไปอยู่กับไอ้พวกประหลาดพวกนั้น (แรงกว่าตัวเองปกตินักแหละ : คนเขียน)  ครายก็ได้ช่วยผมที!!!

     



               เกิดมาก็ 15 ปีแล้ว   ผมคิดว่าผมเป็นคนที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดสูงและผมภูมิใจมากที่มีความสามารถแบบนี้ติดตัว   แต่ไม่รู้ทำไม   ผมกลับไปสามารถเอาตัวรอดจากโรงเรียนฟิแลนเดอร์ได้   โอ้พระเจ้า!  ลูกจำได้ว่าลูกไม่เคยทำบาปหนักอะไรเลย   แต่ทำไมท่านถึงแกล้งลูกเช่นนี้!

    ผมว่ามันเป็นการส่งตัวที่ง่ายมากเลยล่ะ  ผมได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนจากเมอร์   ย่าไม่ได้ออกมาส่งผมเพราะกลัวว่าจะมีคนจำได้   เมอร์จึงรับหน้าที่มาส่งผมเองโดยมีย่ายืนอวยพรให้ผมโชคดี   นี่คงเป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่ผมได้ออกมาข้างนอก

    โลกเดสเซอร์เลสนี่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากโลกที่ผมเคยอยู่เลย  มีต้นไม้ใบหญ้าเหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้นไม้หลายต้นจะขยับเขยื้อนได้เหมือนมีผีมาสิง  แถมบางชนิดยังอันตรายอีกต่างหาก (แบบว่ากินคนได้ทั้งตัว)   มียานพาหนะเหมือนโลกมนุษย์เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่รถ   แต่มันเป็นมังกรขนาดย่อมและม้ามีปีกรูปร่างต่าง ๆ กันไป   พวกมันสามารถบินได้เร็วมากเลยทีเดียวล่ะ   คุณไม่ต้องแปลกใจเลยถ้ามีมังกรบินเต็มท้องฟ้าในเมืองใหญ่!!!   ผู้คนก็เป็นคนธรรมดาเหมือนคนในโลกที่ผมเคยอยู่   เพียงแต่ว่าจะมีคนที่มีลักษณะแปลกประหลาดนิดหน่อย   เพราะคนพวกนี้สามารถใช้เวทย์มนต์ได้   คุณไม่ต้องแปลกใจถ้าคนพวกนี้เดินไปเดินมาโดยมีกระเป๋าและข้าวของต่าง ๆ ลอยตามหลัง!!!   ผมตื่นตาตื่นใจมาก  โดยเฉพาะเจ้ามังกรที่เมอร์ขี่อยู่...มันชื่อว่าฟีนี่   มันน่ารักมากเลยทีเดียวล่ะ   แต่คงจะดีไม่น้อยถ้ามันไม่เลียหน้าผมพร้อมกับพ่นควันดำ ๆ ออกมา

    เราบินผ่านเมืองต่าง ๆ  (เมืองเชฟรา  เมืองอูดอร์  เมืองแรสเตอร์และเมืองต่าง ๆ อีกมากมายที่ผมจำไม่ได้)   สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้รู้ว่าการจัดระบบของโลกนี้จัดเป็นทวีปต่าง ๆ  ซึ่งตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ทวีปกลางซึ่งเป็นทวีปที่มีคนอยู่เยอะที่สุด  มีเมือง ๆ ต่าง ๆ  แบ่งแยกไปทั้งหมด 27 เมือง   แต่ละเมืองก็จะมีโรงเรียนประจำเมือง   ส่วนโรงเรียนฟิแลนเดอร์ก็คือโรงเรียนประจำเมืองฟิแลนเดอร์   ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังและเป็นโรงเรียนเดียวที่รับนักเรียนทุกประเภท   ซึ่งปกติโรงเรียนจะมีแบ่งแยกไปคือโรงเรียนสำหรับผีดูดเลือด   โรงเรียนสำหรับชาวเงือก   โรงเรียนสำหรับผู้ใช้เวทย์   แต่ฟิแลนเดอร์เป็นแห่งเดียวที่ให้นักเรียนทุกประเภทเข้าสอบคัดเลือก

    นั่นคือเมืองฟิแลนเดอร์ขอรับ เมอร์บอก   ผมรีบมองดูทันที   เมืองฟิแลนเดอร์ก็ดูธรรมดาเหมือนหมู่บ้านที่ผ่าน ๆ นั่นแหละ   เพียงแต่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีปราสาทที่ใหญมาก!!!  ย้ำ!!!  ใหญ่จริง ๆ   ผมสัมผัสได้ถึงความสง่าของกำแพงหินสีหม่น ๆ   หอคอยต่าง ๆ ที่สูงโดดเด่น   ความสูงของปราสาทนั้นเทียมฟ้าเลยก็ว่าได้!!!    ผมยอมรับเลยว่าไม่เคยเห็นสิ่งก่อสร้างที่ไหนใหญ่เท่านี้มาก่อน!!!   แถมด้านหลังปราสาทยังมีป่าขนาดใหญ่ที่ดูค่อนข้างน่ากลัวอีกด้วย  

    ผมก้มลงดูเมืองฟิแลนเดอร์  ร้านค้า  โรงแรม  บาร์  ตั้งอยู่เบียดเสียดกันมากมาย   ผู้คนต่างเดินไปเดินมาอย่างรีบเร่ง   มีพ่อค้าคอยตระโกนบอกชื่อสินค้าลดราคา   ผมว่าที่นี่ต้องเป็นเมืองสำหรับการค้าขายแห่งใหญ่เลยทีเดียว  

    เมอร์บังคับให้ฟีนี่ลงจอดตรงดาดฟ้าของปราสาท   ที่ดาดฟ้านั้นไร้ผู้คน   ไม่มีใครอยู่เลย   ผมเริ่มงงเล็กน้อยจึงหันไปหาเมอร์แล้วถามว่า

    เอ่อ  ไม่มีคนอยู่เลยเหรอ

    คนที่เข้ารับการทดสอบคงมากันก่อนหน้านี้ขอรับ  ส่วนคนที่มีสิทธิพิเศษคงทยอยกันมาเรื่อย ๆ นับว่าพวกเรามาเร็วนะขอรับ

    เหรอ ผมมองไปรอบ ๆ มองเห็นบานประตูที่ถูกเชื่อมต่อไปตัวปราสาท   อีกด้านนึงก็สามารถมองเห็นวิวของหมู่บ้านฟิแลนเดอร์  

     

    นี่ขอรับเมอร์ยื่นของให้ผมซึ่งประกอบด้วยผ้าคาดหัว  เสื้อคลุมสีดำและถุงอีกใบ

    ที่คาดหัวนี้ไว้ป้องกันไม่ให้ดวงตาหมาป่าโผล่มาขอรับ เมอร์อธิบาย   ผมเลยต้องรับไปผูกอย่างช่วยไม่ได้  

    นี่เป็นเสื้อคลุมประจำกลุ่มของคุณหนูขอรับ  คุณหนูได้อยู่กลุ่ม แบล็ค’ ”

    แบล็ค  หึหึ  คงไม่ได้มีกลุ่มพิงค์ด้วยน๊ะ ผมพูดพลางหยิบเสื้อคลุมมาใส่  

    มีกลุ่มพิงค์ด้วยขอรับ เฮ้ย!  เมื่อกี้ผมพูดเล่นน๊ะ!

    แล้วก็ในถุงนี้มีเงินอยู่ขอรับ   นายท่านบอกว่าเอาไว้ให้คุณหนูใช้   แล้วคุณท่านจะคอยส่งมาให้ทุกเดือนขอรับ   มีหน่วยเงินคือบาเรดขอรับเหรียญสีทอง 10 บาเรด  สีเงิน 5 บาเรด  และทองแดง 1 บาเรดขอรับ เมอร์อธิบายพร้อมกับยกเหรียญให้ผมดู   ผมพยักหน้าก่อนจะยัดถุงเงินไว้ในกระเป๋า

    เดี๋ยวกระผมจะพาไปส่งนะขอรับ ”  เมอร์พูดก่อนจะเดินนำผมเข้าสู่ปราสาท   ผมสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ    โอ้ชีวิตในโรงเรียนของผมจะเป็นยังไงนะ

     

     






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×