คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฟิแลนเดอร์ (Re-Write)
การฝึกที่แสนลำบากยากเข็นของผมได้เริ่มต้นทันทีหลังจากที่ผมได้นอนหลับเต็มอิ่ม โธ่...ชีวิตผม อ๊ากกกกกก!!!! สักวันผมต้องเส้นเลือดในสมองแตกตายแน่!
คุณของสงสัยล่ะสิว่าการฝึกของผมเป็นอะไร กรุณาลืมการฝึกโหด ๆ หรืออะไรจำพวกที่เกี่ยวกับการต่อสู้ไปได้เลย เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมฝึก!!!
“ เอาล่ะวันนี้เราจะเรียนเกี่ยวกับการปกปิดสัญชาติญานหมาป่า ”น่านไง เริ่มแล้ว เสียงแจ้ว ๆ ของย่านี่ฟังไปฟังมาก็คล้าย ๆ กับเสียงของยายอลิสเลย สิ่งที่ผมต้องฝึกก็คือ...การดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ให้ความลับเรื่องสายเลือดหมาป่าแตก คุณอาจจะคิดว่ามันง่ายล่ะสิ แต่ผมขอบอกตามตรงเลยว่ายากมากกกกก แถมยังน่าเบื่อสุด ๆ อีกต่างหาก ทุก ๆ วันผมกับย่าจะต้องเข้ามาในห้อง ๆ หนึ่งซึ่งภายในห้องนั้นจะมีกระดานดำและโต๊ะเก้าอี้หลายตัว ย่าก็จะมายืนอยู่หน้าชั้นเรียนแล้วคอยพูดอธิบายเกี่ยวกับการปกปิดเรื่องสายเลือดหมาป่า ส่วนผมก็จะนั่งก้มหน้าก้มตาหลับแข่งกับเสียงพูดของย่า ซึ่งย่ามักจะตอบแทนความขี้เกียจของผมด้วยการเอาไม้ลบกระดานเคาะหัวผม (ซึ่งมีครั้งนึงหัวผมโนขึ้นเท่าลูกมะนาว!) ผมจะอธิบายให้ฟังคล่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ย่าสอน
ปัญหาข้อแรกเลย ผมต้องฝึกวิธีระวังไอ้พวกผีดูดเลือด ย่าบอกไว้ว่าไอ้พวกนี้เป็นพวกกัดไม่ปล่อย แถมเลือดหมาป่ายังเป็นเลือดที่พวกนี้ชอบรับประทานด้วย สรรพคุณก็ดีเหลือหลาย ยิ่งไอ้สายพันธ์หิมะของผมนี่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ทั้งรักษาโรค ฟื้นฟูกำลัง ทำให้ร่างกายแข็งแรง สนใจติดต่อได้ที่เบอร์..... (อ้าวเฮ้ย! ไอ้แรนดอล์ฟ นอกเรื่องแล้วนะแก!) อย่างที่บอก...เลือดของมนุษย์มหาป่าเปรียบเสมือนยาวิเศษของผีดูดเลือด ถ้าขืนความแตกขึ้นมามีหวังผมเลือดหมดตัวแน่
“ ผีดูดเลือดจะเป็นพวกจมูกไว ถ้าเกิดเลือดเธอมีแผลแผลแม้แต่นิดเดียว ไอ้พวกนี้อาจจับได้ว่าเธอเป็นมนุษย์หมาป่า ดังนั้นให้ระวังมาก ๆ เพราะถ้าเกิดความแตกเมื่อนไหร่ ก็เตรียมตัวรับความ ‘ตาย’ ได้เลย ” ผมอยากจะคิดว่าย่าพูดเล่นเหลือเกิน
ต่อไปปัญหาข้อสอง ผมต้องพยายามควบคุมไอ้ดวงตาหมาป่างี่เง่านี้ให้ได้ กว่าผมจะปิดมันได้ (หมายความว่าทำให้ตามันหายไปอ่ะ คนอื่นจะได้ไม่เห็น)เล่นเอาเกือบแย่เลย แถมมันยังชอบโผล่ออกมาทุกครั้งเวลาที่ผมเผลอ เฮ้อ...สงสัยผมคงต้องหาผ้ามาคาดหัวดีกว่ามั้ง
“ ตั้งสมาธิให้ดีแรนดอล์ฟ จินตนาการว่ามันหายไป ” ย่าผมมักจะย้ำคำนี้นักหนา โธ่! แน่จริงก็ลองมาทำอย่างที่ผมทำสิแล้วจะรู้
ปัญหาข้อสาม ข้อนี้ย่าผมล่ะห้ามนักห้ามหนา ห้ามทำตัวเด่น!!! ห้ามเด่นเด็ดขาด โธ่เอ้ย ข้อนี้ผมทำได้สบายอยู่แล้ว เพราะปกติผมก็ไม่ค่อยเด่นอยู่แล้ว (ยกเว้นเวลาแปลงร่าง) หน้าตาผมก็ดีปานกลางสมองก็งั้น ๆ จะมีดีก็แค่นิสัยนั่นแหละ (ไม่ค่อยจะชมตัวเองเลยน๊ะ : คนเขียน)
ปัญหาข้อสี่ เวลาแปลงร่างของผม ซึ่งข้อนี้ทำเอาผมเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ย่าผมนี่สิกลับไม่เครียดเลยซักนิด แถมยังบอกว่า...
“ เมื่อถึงเวลาเธอก็จะสามารถเอาตัวรอดได้เอง ” สาธุ เอเมน อาเลลูยา ขอให้มันเป็นอย่างที่ย่าพูดด้วยก็แล้วกัน เพราะไม่อย่างนั้นย่าคงได้รับซากของสิ่งไม่มีชีวิตกลับจากฟิแลนเดอร์แน่
นอกจากปัญหาสี่ข้อใหญ่นี้ ยังมีปัญหาข้อย่อย ๆ อีกเป็นสิบ ๆ ข้อ เมื่อวันเวลาที่ผมจะต้องไปไอ้โรงเรียนที่ชื่อว่าฟิแลนเดอร์ใกล้เข้ามา ผมเริ่มตระหนักแล้วว่าผมกำลังถูกถีบส่ง วันสุดท้ายของการฝึก ย่าให้เมอร์เข้ามาฝึกทักษะการต่อสู้เบื้องต้นให้ผม ซึ่งผมอยากจะร้องดัง ๆ ว่า ทำไมเพิ่งมาฝึกเอาวันสุดท้าย!
ผมรู้สึกแปลกใจมากเพราะไม่คิดว่าเมอร์จะมีความสามารถทางด้านการต่อสู้ แต่ก็นะ คนเราไม่สามารถดูกันภายนอก ขนาดย่าผมดูภายนอกนั้นเป็นคนเงียบ ๆ แต่ที่ไหนได้ ดันพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ จนบางทีผมถึงกับหูชาเลยทีเดียว(ยิ่งกว่าแม่ผมเสียอีก)
“ กฎข้อแรกของทักษะการต่อสู้ประจำตระกูลมอร์ฟอลรัชคือการ ‘หนี’ ไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ต้องหนีได้ทุกสถานการณ์ ที่ท่านมีเรียลสั่งให้กระผมฝึกทักษะการต่อสู้ให้คุณหนูบ้าง ก็เพราะว่าในการที่จะเข้าเรียนที่ฟิแลนเดอร์นั้น นักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบ ” เมอร์พูด ส่วนผมก็อ้าปากค้าง ให้ตาย หน้าอย่างผมเนี่ยนะจะทดสอบผ่าน
“ เข้าท่าดีนี่ ” ผมพูดขึ้นพลางกรอกตา พลางคิดที่จะหาวิธีหนีออกไปจากที่นี่ ซึ่งมันก็ไม่มีซักวิธีเลย
“ ส่วนทักษะการต่อสู้ก็ง่าย ๆ มีหลักอยู่แค่สามข้อเท่านั้น ” เมอร์พูดพลางตั้งท่าเตรียมพร้อม
“ ข้อแรกคือสมาธิ ห้ามต่อสู้ด้วยอารมณ์โกรธ จิตใจต้องแน่วแน่ไปยังคู่ต่อสู้ อย่าสนใจคนรอบข้างโดยเด็ดขาด ” เมอร์พูดพลางขยับตัวแล้วม้วนตัวตีลังกากลางอากาศ ส่วนผมก็อ้าปากค้างแบบอึ้ง ๆ โห! สุดยอด อย่างงี้ผมจะรอดไหมเนี่ย...
“ ข้อสองจงทำด้วยความนุ่มนวลและงดงาม ราวกับว่ากำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางหมู่ชน ” แล้วมันเกี่ยอะไรกับการเต้นรำฟ่ะ!
“ ข้อสุดท้าย จงเปิดตาให้กว้าง เพราะจะมีการแทงข้างหลังเสมอ! ต่อไปเราก็มาปฏิบัติกันเลย! ” อ้าว! เฮ้ย! ปฏิบัติเลยเรอะ! ย่าคร๊าบบบบบบบบ นึกยังไงให้ผมออกมาฝึกเนี่ย!
“ เดี๋ยว ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมน๊ะ ”ผมพูดเสียงสั่น ๆ เกิดมาผมยังไม่เคยชกกับใครมาก่อนเลยนะ! อย่าว่าแต่ชกเลย เรื่องอะไรที่ขึ้นต้นด้วยคำว่ากีฬาทำเอาผมเกือบตายมาหลายครั้งแล้ว
“ เดี๋ยวกระผมจะช่วยสอนให้ขอรับคุณหนู ” เมอร์ตั้งท่าพร้อม ส่วนผมก็ยืนสั่นเหมือนลูกนก พระเจ้า! ผมยังไม่อยากตาย
“ กระผมจะไปแล้วนะขอรับ! ”พูดจบเมอร์ก็พุ่งตัวมาอย่างรวดเร็ว
“ เดี๋ยว! อย่า! ว๊ากกกกกกกกกกก ~ ~ ~ ”
“ สบายดีไหมจ๊ะแรนดอล์ฟหลานรัก ” ย่าเดินมาในห้องอาหารพลางพูดอย่างอารมณ์ดี ส่งสัยย่าจะแก่จนมองอะไรไม่ชัด เลยไม่ค่อยเห็นสภาพผมในตอนนี้!
“ สบายดีมาก ” ผมพูดพลางเน้นเสียงพยางค์สุดท้าย ก่อนที่จะก้มลงไปทานอาหารต่อ เวลาแห่งนรกของผมเริ่มต้นเมื่อตอนที่เมอร์พุ่งตัวมีที่ผม ผมคงสลบไปตั้งแต่หมัดแรกแล้วถ้าเกิดผมไม่เข่าอ่อนจนทรุดลงกับพื้นขึ้นมา แต่เมอร์กลับบิดตัวแล้วยกเท้าหมายจะเตะไปยังซี่โครงผม ผมรีบยกแขนขึ้นมารับลูกเตะของเมอร์จนแขนเป็นรอยช้ำ ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของเมอร์ทำให้ผมกระเด็นกลิ้งไปบนพื้นจนมีรอยข่วนเต็มตัว แต่เมอร์ไม่หยุดแค่นั้น! เขากลับวิ่งตรงมาที่ผมหมายจะโจมตีต่อ โอ้ ! งานนี้ผมก็วิ่งเผ่นลูกเดียวอ่ะดิ ผมนึกอยากจะตะโกนถามเมอร์ว่า ‘จะฆ่ากันรึไงห๊ะ!’ แต่ก็ไม่มีโอกาศได้พูดซักที เมอร์ยิ่งรุกหนักเรื่อย ๆ ทั้งเตะทั้งต่อยทั้งศอกทั้งถีบ แถมยังทำท่าทางไม่เหนื่อยอีก แต่ผมนี่สิเหงื่อแตกพลั่ก นึกสงสัยว่าตัวเองไปเอาแรงที่ไหนมาวิ่งหนีเมอร์ได้ ผมเล่นวิ่งไล่จับอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเมอร์ก็หยุดโจมตีแล้วพูดว่า
“ เก่งมาขอรับคุณหนู การฝึกจบลงแล้วขอรับ ”
สุดท้ายผมก็ขึ้นมาอาบน้ำทั้งงง ๆ นั่นแหละ อะไรง่ะ ผมไม่ได้ทำอะไรซักอย่างทีนะ!
“ ย่ามีข่าวดีมาบอกนะแรนดอลฟ์ ” นั่นคือคำพูดคำแรกที่ย่าพูดขึ้นในเช้าวันที่ย่าจะส่งตัวผมเข้าโรงเชือด เอ้ย! โรงเรียนฟิแลนเดอร์ ใช่แล้ว!!! วันนี้นี่แหละที่ผมต้องไปโรงเรียนนั่น
“ เหรอ ”ผมพูดแบบเซ็ง ๆ รู้สึกว่านี่จะเป็นข่าวดีรอบที่ 13 แล้วมั้งในอาทิตย์นี้ ซึ่งแต่ล่ะครั้งมันก็ดีจริงจริ้งงงง (แบบว่าดีไปหมดเลย)
“ ข่าวดีก็คือหลานไม่ต้องเข้าทดสอบเพื่อที่จะเข้าโรงเรียนฟิแลนเดอร์ เพราะผู้อำนาวยการยอมรับหลานเข้าโรงเรียนแล้ว ” ผมเงยหน้าขึ้นจากอาหารแบบงง ๆ ไหงยอมรับง่ายงี้
“ หา! ทำไมล่ะ! ” นี่หมายความว่าไอ้ที่ผมฝึกการต่อสู้จนตัวช้ำตัวเขียวนั่นก็ไม่มีความหมายเลยอ่ะดิ!
“ ทำไมน่ะเหรอ ก็ถ้าโรงเรียนไหนปฏิเสธทายาทคนสุดท้ายของสายเลือดหมาป่าล่ะก็ ก็คงเป็นโรงเรียนที่ห่วยที่สุดในโลกแหละ ” ผมทำช้อนตกเสียงดัง นึกไม่ถึงว่าย่าจะเอาเรื่องสายเลือดหมาป่าไปบอกคนอื่นทั้ง ๆ ที่ย้ำกับผมนักผมหนาว่า ห้ า ม บ อ ก ใ ค ร เ ด็ ด ข า ด
“ สงสัยว่าย่าจะลืมบอกไปว่า ที่ตระกูลเราสามารถอยู่ได้มาถึงบัดนี้ก็เพราะมีคนหนุนหลังให้ และคน ๆ นั้นก็คือลารค์...ผู้อำนวยการประจำโรงเรียนฟิแลนเดอร์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นว่าที่อาของหลานไงล่ะ ”
“ อืม...ก็ดี ”ผมพูดแบบเซ็งสุด ๆ ตอนแกผมก็กะว่าจะแกล้งทำเป็นสอบตก จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียนนั่น แต่คราวนี้ผมก็ไม่มีข้ออ้างแล้วล่ะสิ โธ่...ความยุติธรรมมันอยู่ไหน ทำไมไม่เป็นยายอลิสแทนที่จะเป็นผม
ผมแทบจะกระเดือกข้าวไม่ลง เฮ้อ...ชีวิตผมจะเป็นยังไงต่อไป นี่ผมต้องไปอยู่ท่ามกลางไอ้พวกผีดูดเลือด ครึ่งคนครึ่งสัตว์ กับไอ้พวกที่มีเวทย์มนต์เหรอ ไม่เอา!!! ผมไม่อยากไปอยู่กับไอ้พวกประหลาดพวกนั้น (แรงกว่าตัวเองปกตินักแหละ : คนเขียน) ครายก็ได้ช่วยผมที!!!
เกิดมาก็ 15 ปีแล้ว ผมคิดว่าผมเป็นคนที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดสูงและผมภูมิใจมากที่มีความสามารถแบบนี้ติดตัว แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับไปสามารถเอาตัวรอดจากโรงเรียนฟิแลนเดอร์ได้ โอ้พระเจ้า! ลูกจำได้ว่าลูกไม่เคยทำบาปหนักอะไรเลย แต่ทำไมท่านถึงแกล้งลูกเช่นนี้!
ผมว่ามันเป็นการส่งตัวที่ง่ายมากเลยล่ะ ผมได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนจากเมอร์ ย่าไม่ได้ออกมาส่งผมเพราะกลัวว่าจะมีคนจำได้ เมอร์จึงรับหน้าที่มาส่งผมเองโดยมีย่ายืนอวยพรให้ผมโชคดี นี่คงเป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่ผมได้ออกมาข้างนอก
โลกเดสเซอร์เลสนี่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากโลกที่ผมเคยอยู่เลย มีต้นไม้ใบหญ้าเหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้นไม้หลายต้นจะขยับเขยื้อนได้เหมือนมีผีมาสิง แถมบางชนิดยังอันตรายอีกต่างหาก (แบบว่ากินคนได้ทั้งตัว) มียานพาหนะเหมือนโลกมนุษย์เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่รถ แต่มันเป็นมังกรขนาดย่อมและม้ามีปีกรูปร่างต่าง ๆ กันไป พวกมันสามารถบินได้เร็วมากเลยทีเดียวล่ะ คุณไม่ต้องแปลกใจเลยถ้ามีมังกรบินเต็มท้องฟ้าในเมืองใหญ่!!! ผู้คนก็เป็นคนธรรมดาเหมือนคนในโลกที่ผมเคยอยู่ เพียงแต่ว่าจะมีคนที่มีลักษณะแปลกประหลาดนิดหน่อย เพราะคนพวกนี้สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ คุณไม่ต้องแปลกใจถ้าคนพวกนี้เดินไปเดินมาโดยมีกระเป๋าและข้าวของต่าง ๆ ลอยตามหลัง!!! ผมตื่นตาตื่นใจมาก โดยเฉพาะเจ้ามังกรที่เมอร์ขี่อยู่...มันชื่อว่าฟีนี่ มันน่ารักมากเลยทีเดียวล่ะ แต่คงจะดีไม่น้อยถ้ามันไม่เลียหน้าผมพร้อมกับพ่นควันดำ ๆ ออกมา
เราบินผ่านเมืองต่าง ๆ (เมืองเชฟรา เมืองอูดอร์ เมืองแรสเตอร์และเมืองต่าง ๆ อีกมากมายที่ผมจำไม่ได้) สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้รู้ว่าการจัดระบบของโลกนี้จัดเป็นทวีปต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ทวีปกลางซึ่งเป็นทวีปที่มีคนอยู่เยอะที่สุด มีเมือง ๆ ต่าง ๆ แบ่งแยกไปทั้งหมด 27 เมือง แต่ละเมืองก็จะมีโรงเรียนประจำเมือง ส่วนโรงเรียนฟิแลนเดอร์ก็คือโรงเรียนประจำเมืองฟิแลนเดอร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังและเป็นโรงเรียนเดียวที่รับนักเรียนทุกประเภท ซึ่งปกติโรงเรียนจะมีแบ่งแยกไปคือโรงเรียนสำหรับผีดูดเลือด โรงเรียนสำหรับชาวเงือก โรงเรียนสำหรับผู้ใช้เวทย์ แต่ฟิแลนเดอร์เป็นแห่งเดียวที่ให้นักเรียนทุกประเภทเข้าสอบคัดเลือก
“ นั่นคือเมืองฟิแลนเดอร์ขอรับ ” เมอร์บอก ผมรีบมองดูทันที เมืองฟิแลนเดอร์ก็ดูธรรมดาเหมือนหมู่บ้านที่ผ่าน ๆ นั่นแหละ เพียงแต่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีปราสาทที่ใหญมาก!!! ย้ำ!!! ใหญ่จริง ๆ ผมสัมผัสได้ถึงความสง่าของกำแพงหินสีหม่น ๆ หอคอยต่าง ๆ ที่สูงโดดเด่น ความสูงของปราสาทนั้นเทียมฟ้าเลยก็ว่าได้!!! ผมยอมรับเลยว่าไม่เคยเห็นสิ่งก่อสร้างที่ไหนใหญ่เท่านี้มาก่อน!!! แถมด้านหลังปราสาทยังมีป่าขนาดใหญ่ที่ดูค่อนข้างน่ากลัวอีกด้วย
ผมก้มลงดูเมืองฟิแลนเดอร์ ร้านค้า โรงแรม บาร์ ตั้งอยู่เบียดเสียดกันมากมาย ผู้คนต่างเดินไปเดินมาอย่างรีบเร่ง มีพ่อค้าคอยตระโกนบอกชื่อสินค้าลดราคา ผมว่าที่นี่ต้องเป็นเมืองสำหรับการค้าขายแห่งใหญ่เลยทีเดียว
เมอร์บังคับให้ฟีนี่ลงจอดตรงดาดฟ้าของปราสาท ที่ดาดฟ้านั้นไร้ผู้คน ไม่มีใครอยู่เลย ผมเริ่มงงเล็กน้อยจึงหันไปหาเมอร์แล้วถามว่า
“ เอ่อ ไม่มีคนอยู่เลยเหรอ ”
“ คนที่เข้ารับการทดสอบคงมากันก่อนหน้านี้ขอรับ ส่วนคนที่มีสิทธิพิเศษคงทยอยกันมาเรื่อย ๆ นับว่าพวกเรามาเร็วนะขอรับ ”
“ เหรอ ” ผมมองไปรอบ ๆ มองเห็นบานประตูที่ถูกเชื่อมต่อไปตัวปราสาท อีกด้านนึงก็สามารถมองเห็นวิวของหมู่บ้านฟิแลนเดอร์
“ นี่ขอรับ ”เมอร์ยื่นของให้ผมซึ่งประกอบด้วยผ้าคาดหัว เสื้อคลุมสีดำและถุงอีกใบ
“ ที่คาดหัวนี้ไว้ป้องกันไม่ให้ดวงตาหมาป่าโผล่มาขอรับ ”เมอร์อธิบาย ผมเลยต้องรับไปผูกอย่างช่วยไม่ได้
“ นี่เป็นเสื้อคลุมประจำกลุ่มของคุณหนูขอรับ คุณหนูได้อยู่กลุ่ม ‘แบล็ค’ ”
“ แบล็ค หึหึ คงไม่ได้มีกลุ่มพิงค์ด้วยน๊ะ ” ผมพูดพลางหยิบเสื้อคลุมมาใส่
“ มีกลุ่มพิงค์ด้วยขอรับ ” เฮ้ย! เมื่อกี้ผมพูดเล่นน๊ะ!
“ แล้วก็ในถุงนี้มีเงินอยู่ขอรับ นายท่านบอกว่าเอาไว้ให้คุณหนูใช้ แล้วคุณท่านจะคอยส่งมาให้ทุกเดือนขอรับ มีหน่วยเงินคือบาเรดขอรับเหรียญสีทอง 10 บาเรด สีเงิน 5 บาเรด และทองแดง 1 บาเรดขอรับ ” เมอร์อธิบายพร้อมกับยกเหรียญให้ผมดู ผมพยักหน้าก่อนจะยัดถุงเงินไว้ในกระเป๋า
“ เดี๋ยวกระผมจะพาไปส่งนะขอรับ ” เมอร์พูดก่อนจะเดินนำผมเข้าสู่ปราสาท ผมสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ โอ้ ชีวิตในโรงเรียนของผมจะเป็นยังไงนะ
ความคิดเห็น