ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Randolph The King Of Wolf (Old)

    ลำดับตอนที่ #2 : ชะตาที่แปรผัน (Re-Write)

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 48






        รถเก๋งสีดำเคลี่อนเข้าสู่ลานจอดรถของโรงเรียน   ผมจัดการหมุนตัวอย่างรวดเร็วแล้วตรงไปยังม้านั่งที่ผมตั้งกระเป๋าไว้  บนม้านั่งมีเด็กผู้หญิงผมสีทองตัวเล็ก ๆ นั่งอยู่    ทันทีที่ผมเดินไปถึงดวงตาสีฟ้าของเธอก็ละจากหนังสือเรื่อง ‘สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่’  แล้วจับจ้องมาที่ผมทันที  



        “แม่มาแล้วเหรอพี่แรนดอล์ฟ ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ  พลางเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าหนังสีดำขลับที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ เธอ  เธอคนนี้คือน้องสาวผมเอง   เราสองคนมีอายุต่างกัน 2 ปี  ผมอายุ 15 ปี ส่วนเธออายุ 13 ปี  เธอมีชื่อว่าอลิสเซีย  



        เราทั้งสองเดินไปยังรถของแม่ที่จอดเทียบอยู่ข้างกำแพง  ผมเข้าไปนั่งยังที่ว่างข้างคนขับ  ส่วนอลิสก็นั่งอยู่เบาะด้านหลังดังเช่นทุกวัน  แม่หันมายิ้มให้พวกเราก่อนที่จะจัดการเคลี่อนรถออกสู่ถนน    



        “ เป็นไงบ้างวันนี้เรียนกันสนุกไหมจ๊ะ ”แม่เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน  อลิสไม่รอช้าเธอเปล่งเสียงแหลม ๆ ของเธอขึ้นทันทีที่แม่พูดจบ   พร้อมกับร่ายยืดยาวเกี่ยวกับรายงานวิชาประวัติศาสตร์ที่เธอได้คะแนนเต็ม  การสอบเลขที่เธอสอบได้ท็อปของห้อง  และโครงงานวิชาวิทยาศาสตร์ที่อาจารย์ชมว่าเธอทำได้ยอดเยี่ยมมาก  นี่แหละน้องสาวคนเก่งของผม  เธอเป็นคนที่ฉลาดมากเลยทีเดียว  แต่ส่วนมากจะออกไปในแนว ‘ฉลาดแกมโกง’  ซะมากกว่า  ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะโดนความฉลาดทางด้านนี้ของเธอเล่นงานอยู่บ่อย ๆ (และซักวันผมจะแก้แค้น)



        “ แล้วลูกล่ะแรนดอล์ฟ ? ”แม่ถามผมโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนถนน   ดึงเอาสติที่เหม่อลอยของผมกลับคืนมา  



         “ ครับ  ก็ดี วันนี้อาจารย์แนะแนวเกี่ยวกับอาชีพในอนาคต   ผมสอบวิชาเลขผมสอบผ่าน   วิชาประวัติศาสตร์ผมก็สอบผ่านเหมือนเดิม  ส่วนวิชาพละยังคงเอาตัวเกือบไม่รอดเหมือนเดิม ” แม้สมองผมจะไม่อัจฉริยะเหมือนยายอลิส  แต่สมองของผมก็ไม่ย่ำแย่จนเรียกว่าโง่    แต่วิชาที่แย่จริง ๆ ก็คงจะเป็นพละเพราะผมมันไม่เอาไหนในเรื่องการออกกำลังเยอะ ๆ    



            “ แย่จัง...ทำไมลูกชายแม่ถึงได้ไม่เก่งพละเลยน้า ”แม่พูดบ่น ๆ แต่ปากยังคงอมยิ้มไว้    ผมกรอกตาอย่างเบื่อ ๆ   ส่วนยัยอลิสก็รีบเสริมทัพขยี้ผมทันที



        “ หนูยากจะให้แม่เห็นตอนที่พี่เขาเล่นฟุตบอลวันนี้จริง ๆ    แม่รู้ไหมว่าพี่เขาเก่งถึงขนาดประยุกต์ยิมนาสติกเข้ามาผสมกับฟุตบอลแน่ะ... ”ผมค้อนผู้เป็นน้องด้วยสายตาขุ่น ๆ   แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สะทกสะท้านเพราะปากของเธอยังคงพล่ามต่อไปได้อย่างยอดเยี่ยม



        “ แล้วตอนที่เขาส่งลูกกันน่ะ   พี่เค้าวิ่งตรงเข้ามารับลูกบอลเลยล่ะแม่   อิอิ   แบบว่าเอาหน้ารับนะค่ะ ”แขวะกันเข้าไป   แน่จริงแฉตอนที่ผมล้มลงไปในบ่อโคลนด้วยสิ



        “ แถมพี่เค้ายังล้มลงไปกลิ้งในบ่อโคลนอีกต่างหาก   หนู่น่ะอยากให้แม่เห็นจริง ๆ รับรองว่าแม่ต้องฮาแน่ ๆ ”จากนั้นสองสาวแม่ลูกก็หัวเราะคิกคักกันอย่างมีความสุขที่ได้แขวะลูกชายคนเดียวในบ้าน   นี่ล่ะน้าชีวิตของผม...แรนดอล์ฟ  วอริส...





    ..........................................................................





        ถ้าจะพูดถึงชีวิตของผม  แรนดอล์ฟ  วอริส   มันก็คงจะเป็นชีวิตธรรมดาทั่วไปเหมือนครอบครัวอื่น ๆ   เพียงแต่ครอบครัวของผมไม่มีพ่อเฉย ๆ    พ่อของผมตายไปตั้งแต่ผมอายุได้ 5 ขวบ   ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าผมไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับพ่อหลงเหลือในสมองอยู่เลย    แม้แต่ภาพของพ่อที่ไว้ดูต่างหน้าผมยังไม่มีเลย   ถึงจะไม่มีพ่อ   แต่แม่ก็สามารถทำหน้าที่แม่ได้อย่างยอดเยี่ยม   จนผมแทบจะอยากยกรางวัลแม่ดีเด่นให้เลยด้วยซ้ำ  



        ก๊อก ๆ



        เสียงเคาะประตูห้องนอนทำให้ผมต้องละสายตาจากการบ้านวิชาคณิต   ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยอนุญาตอะไรเจ้าของเสียงเคาะก็จัดการเข้ามาในห้องทันที  



        “ ทำอะไรอยู่พี่แรน ”อลิสเอ่ยทักพลางกระโดดขึ้นนั่งบนเตียงผมอย่างถือสิทธิ์



        “ ทำการบ้านไง  ไม่เห็นเหรอ ”ผมตอบกวน ๆ  



        “ ช่างเหอะ   วันนี้ขี้เกียจเถียง ” อลิสพูดพลางยักไหล่ “ มีแขกมาบ้านเราด้วยล่ะพี่แรน   ใครไม่รู้หน้าตาน่ากลัวมาก ๆ เลย   เมื่อกี้หนูเดินลงไปยังสยองไม่หาย ”ผมเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เมื่อเห็นท่าทางอลิส      



        “ แล้วหน้าตายังไงล่ะ ”อลิสเบ้หน้าอย่างไม่พอใจก่อนที่จะตอบว่า



        “ พี่ไปดูเองเถอะ  หนูไม่อยากจะพูด ”ผมชักนึกสนุกเพราะไม่เคยเห็นอลิสทำท่าทางอย่างงี้มาก่อนเลย   ผมจัดการลุกแล้วเดินออกไปจากห้องเพื่อที่จะไปดูชายหน้าสยองที่อลิสพูดถึง   แต่ไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าไปในห้องรับแขกผมก็ต้องหยุดเดินทันทีเพราะเสียงร้องของแม่...



        “ ไม่จริง!   รูดอล์ฟ!   เค้าไม่ตายใช่ไหม ”ผมรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของผมเริ่มชาช้า ๆ    ผมหลบเข้าไปข้างประตูอย่างรวดเร็วพร้อมกับรอฟังบทสนทนาต่อไป



        “ ผมเสียใจจริง ๆ ท่านหญิงเมแกนเนีย   อย่างที่ผมบอก...ตระกูลมอร์ฟอลรัชของเราไม่เหลือทายาทอีกแล้ว   ยังไงซะคุณหนูใหญ่คงต้องโดยเลือดของท่ารูดอล์ฟกลืนกินอยู่ดี   ผมจึงขออนุญาติรับตัวคุณหนูไปนะขอรับ ”เสียงทุ้ม ๆ อีกเสียงดังขึ้น   คราวนี้ผมรู้สึกเย็นสันหลังวาบ   รูดอล์ฟน่ะชื่อพ่อผมนี่   ส่วนไอ้คุณหนูใหญ่นี่คงไม่ได้หมายถึงผมนะ!



        “ แต่แรนดอล์ฟเค้าไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาในแบบพวกคุณ   เค้าเป็นคนธรรมดา...เค้าไม่มีพลังอะไรทั้งนั้น! ”ผมแทบสำลักน้ำลายเมื่ออยู่ ๆ แม่ยกชื่อผมมาพูด   แหง่ะ!   ทำไมไอ้หมอนั่นมาเรียกผมว่าคุณหนูใหญ่อ่ะ   น่าขนลุกชะมัด



        “ ไม่...คุณหนูต้องมีพลัง   มันอยู่ในสายเลือด   สักวันเลือดของเขาก็ต้องเป็นเลือดของมอร์ฟอลรัชเต็มตัว ”ผมกลืนน้ำลายเอือก   ทำไมบทสนทนามันชักเริ่มทะแม่ง ๆ แล้วแฮะ   เลือดบ้าเลือดบออะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง  



        “ แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง ”เสียงของแม่ตอบไปอย่างอ่อนใจ      



        “ เอาเลือดนี้ให้เขาดื่ม   ถ้าเขาเป็นทายาทที่แท้จริงหลังจากที่เขาดื่มเลือดนี้แล้วเขาจะมีพลัง...”แว๊ก!   อะไรนะ...จะเอาเลือดมาให้ผมดื่มเนี่ยนะ  



        “ ฉันจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน ”เสียงของแม่นั้นดูเหนื่อยยังไงไม่รู้   แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา!   ปัญหามันอยู่ที่ว่าแม่ดันตอบรับว่าจะให้ผมดื่มเลือดนั่นไปแล้วน่ะสิ!  



        ผมวิ่งกลับห้องอย่างรวดเร็วเมื่อผู้ชายคนนั้นเริ่มบอกลาแม่   พยายามทำฝีเท้าให้เบาที่สุด   เมื่อกลับเข้าไปถึงห้องนอนก็เจออลิสนั่งยิ้มล้อเลียนผมอยู่



        “ เห็นไหม   หนูบอกแล้วไงว่าผู้ชายคนนั้นน่ากลัวจริง ๆ ”



        “ แปลก... ”ผมพึมพัม  อลิสทำตาโตใส่ผมก่อนจะพูดด้วยเสียงแหลมปรี๊ด



        “ ไม่ใช่แค่แปลกนะพี่แรน!   อันนั้นเค้าเรียกว่าสยดสยอง   เจสันยังชิดซ้ายเลยด้วยซ้ำ ”ผมพ่นลมอยากเซ็ง ๆ กับคำพูดของน้องตัวดี



        “ พี่ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น!   เมื่อกี้พี่แอบฟังแม่กับคน ๆ นั้นคุยกัน...แล้วเอ่อ...บทสนทนามันแปลก ๆ น่ะ   เออ...จริงสิ   พวกคนที่ชอบกินเลือดคนอื่นนะเค้าเรียกว่าอะไรเหรอ ”



        “ ห๋าาาา   ถามอะไรน่ะพี่แรน ”อลิสร้องหลง   ก่อนที่จะทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย “ พวกหมอผีหรือไม่ก็ผีดูดเลือดมั้ง  ถามทำไมเหรอ ”ผมส่ายหน้าเบา ๆ กับคำพูดของอลิส  ยังไงซะพ่อของผมคงไม่ใช้หมอผี  ยิ่งผีดูดเลือดแล้วยิ่งแล้วใหญ่



        “ โทษทีอลิส  สงสัยช่วงนี้พี่จะเครียดมากไปหน่อย ” อลิสจ้องหน้าผมแปลก ๆ ก่อนที่จะจะส่ายหัวเบา ๆ แล้วเดินออกจากห้องไป





    ...............................................................





        “ แม่ครับ ” แม่เงยหน้าขึ้นพลางจ้องผม  คิ้วเรียวได้รูปของแม่เลิกขึ้นนิด ๆ อย่างสงสัย   ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะพูดว่า



        “ ไม่มีอะไรครับ... ”แม่ขมวดคิ้วนิด ๆ   ก่อนที่จะก้มลงทำงานต่อ   ผมแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงเสียให้รู้แล้วรู้รอด   กะอีแค่คำถามแค่นี้ทำไมถึงไม่กล้าถาม  



        “ นี่แรนดี้   ถ้าลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ก็พูดมาสิ   อย่าอ้ำอึ้งได้ไหม ”แม่พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด   ท่าทางตอนนี้แม่จะอารมณ์ไม่ดี   ถ้าขืนผมไม่พูดออกมาตรง ๆ แม่ต้องโกรธผมแน่ ๆ



        “ เอ่อ...ผมอยากรู้ว่า...เย็นนี้แม่จะไปช็อปปิ้งไหมฮะ ”แม่ละสายตาจากแผนงานตรงหน้า   ก่อนที่จะเงยหน้ามองผมแบบงง ๆ



        “ เปล่า  ทำไมจ๊ะ   ถ้ามีอะไรที่ลูกอยากได้ก็โบกรถไปซื้อเองสิ ”



        “ ฮะ ”ผมยิ้มเจื่อน ๆ ให้แม่ก่อนที่จะเดินออกจากห้องทำงานไป   เป้าหมายของผมก็คือห้องสมุดประจำบ้าน...





        บ้านของผมไม่ใช่บ้านที่ใหญ่มากนักแต่ก็เป็นบ้านที่เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่าง   ชั้นล่างของบ้านมีห้องรับแขกที่ผมกับอลิสชอบแย่งกันดูทีวีบ่อย ๆ    ถัดจากห้องรับแขกก็เป็นห้องครัวซึ่งเป็นที่ ๆ เราใช้ทานอาหารกัน   มีห้องน้ำเล็ก ๆ กับห้องซักรีดอยู่ในชั้นล่างนี้ด้วย



        ส่วนบนชั้นสองนั้นจะมีห้องนอนทั้งหมดสามห้อง   ซึ่งมันก็เป็นของผม  อลิสและแม่   มีห้องน้ำอยู่สองห้องซึ่งก็เป็นห้องน้ำของแม่หนึ่งห้อง   ส่วนอลิสกับผมก็ใช้ห้องน้ำห้องเดียวกัน   มีห้องทำงานเล็ก ๆ เชื่อมต่อกับห้องแม่   ซึ่งมันเป็นห้องที่แม่มักจะอุดอู้อยู่ในนั้นทั้งวัน   และห้องสุดท้าย   นั่นก็คือห้องสมุด...



        ห้องสมุดเล็ก ๆ ที่มีหนังสือเป็นร้อย ๆ เล่มทำเอาผมแทบมึนหัว   ภายในห้องมีหมอนสองสามใบกองบนพื้น   ซึ่งถ้าให้ผมเดาคงเป็นของอลิส   เพราะน้องสาวของผมเป็นคนเดียวที่แวะเวียนเข้าห้องนี้ทุกวัน   ส่วนแม่นั้นจะเข้ามาซักครั้งเพื่อทำความสะอาด   ส่วนผมน่ะเหรอ...เหอะ ๆ ไม่เคยแม้แต่คิดจะย่างกรายเข้ามาซักนิด



        สาเหตุที่วันนี้ผมตัดสินใจเข้ามาน่ะหรือ   ก็เพราะจะมาหาคำตอบเกี่ยวกับเลือดน่ะสิ   เห็นยายอลิสชอบมาพูดให้ฟังบ่อย ๆ ว่าหนังสือในห้องนี้มีอะไรแปลก ๆ เยอะ    เลยกะจะลองมาดูว่ามันจะมีคำตอบที่เขาต้องการไหม



        ผมไล้นิ้วไปตามชั้นวางหนังสือ   ทุกอย่างในห้องนี้ดูคุ้นอย่างประหลาด   เหมือนผมเคยเข้ามาที่นี่แล้ว...



        รายชื่อของหนังสือแต่ละเล่มนั้นดูธรรมดามาก   ส่วนใหญ่หนังสือพวกนี้จะเป็นหนังสือจำพวกตำราอาหาร    หรือไม่ก็หนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาที่แม่ชอบอ่าน  หนังสือที่อยู่ในห้องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของแม่   แต่ก็ดูเหมือนจะมีบางเล่มที่ไม่ใช่ของแม่   ถ้าผมเดาไม่ผิดมันคงจะเป็นของพ่อแน่ ๆ



        แล้วสายตาของผมก็สะดุดเข้ากับหนังสือเล่ม ๆ หนึ่ง  ผมค่อย ๆ ดึงมันออกมาพลางปัดฝุ่นที่หน้าปกออก   ปกของมันเป็นสีน้ำเงินเข้มมันวาว   ตัวอักษรสีทองนูนขึ้นมาเป็นลวดลายสวยงาม



        “ ตำนานมนุษย์หมาป่า...ไร้สาระชะมัด ”ผมพึมพัมก่อนที่จะสอดหนังสือกลับที่เดิม  แล้วไล่รายชื่อหนังสือต่อไป...





    .................................................................





        และแล้วเวลาก็ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์กว่า ๆ   ความพยายามในการหาความจริงเกี่ยวกับบทสนทนาที่แม่พูดกับชายแปลกหน้าก็หมดไป   เพราะผมหาทั้งในห้องสมุดประจำบ้านก็แล้ว  ห้องสมุดประจำเมืองก็แล้ว   ยังไม่เห็นจะเจอคำตอบที่เข้าท่าเลยซักนิด   แถมผมก็ต้องเริ่มเคร่งเครียดกับการเรียนเพราะตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาสอบแล้ว...



        “ อาทิตย์หน้าฉันจะสอบเล่นทีม   เพราะฉะนั้นทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ”อาจารย์เชมัคพูดขึ้นพลางกวาดตามมองนักเรียนทุกคน   โดยที่ไม่ลืมที่จะจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างเอาเรื่องเช่นเคย   แน่ล่ะ...ในบรรดานักเรียนทั้งหมด   ผมออกจะเป็นที่เซ่อซ่าและซุ่มซ่ามที่สุดคนหนึ่งของห้องเลยก็ว่าได้



        “ น่าเบื่อจริงเลย   ทีมเราไม่น่ามีพวกตัวถ่วงเข้ามาเล้ย ”ร็อกกี้  เครปพูดขึ้นพลางเหล่ตามาที่ผม   ผมกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ   ถ้าไม่ติดว่าไอ้เข้าร็อกกี้ตัวใหญ่เท่ายักษ์ล่ะก็ผมคงจะตรงเข้าไปชกหน้ามันแล้ว



        ความเครียดทั้งหมดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจผม   อาจารย์เชมัคขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารยที่ชอบกดคะแนนนักเรียนมาก   ถ้าผมทำได้ไม่ดีผมอาจสอบตกก็ได้   จริง ๆ แล้วผมก็เล่นกีฬาได้ดีอยู่หรอก   แต่มันติดอยู่ที่ว่าผมดันเป็นคนซุ่มซ่าม   ชอบลืมหน้าลืมหลัง   บางทีก็วิ่งเลยลูกบอล   บางทีก็กะระยะรับฟุตบอลผิด  แถมยังชอบลืมตัวเอามือรับบอลอีก  ไปเป็นนายประตูก็ไม่ได้เพราะผมชอบเหม่อจนลืมหน้าที่ของตัวเอง   สุดท้ายผมก็ต้องไปเป็นกองหลังที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากวิ่งไปวิ่งมา   ซึ่งมักจะโดนไอ้ร็อกกี้ถากถางตอล 24 ชั่วโมง



        วันนี้แม่มารับผมกับอลิสเช่นเคย   ผมเงียบไปตลอดทางเพราะเหนื่อยมาก   ก็ไอ้ร็อกกี้ตัวแสบน่ะสิมันเล่นแกล้งชนผม   แล้วมาหาว่าผมไปดักขามัน   อาจารย์เชมัคเลยจัดการลงโทษผมโดยให้ผมวิ่งรอบสนามฟุตบอล 10 รอบ   เล่นเอาผมเกือบเป็นลมตายคาสนาม  



        “ วันนี้ลูกดูเหนื่อย ๆ นะแรน ”แม่ถามผมขณะที่ขับรถ   แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบน้องสาวตัวดีของผมก็ชิงตอบไปเสียก่อน



        “ วันนี้พี่แรนเค้าถูกทำโทษให้วิ่งรอบสนามค่ะ ”



        “ ตายจริง ”แม่ร้อง “ ลูกคงเหนื่อยแย่   คราวหลังก็ระวังตัวบางสิจ๊ะ ”แม่คร๊าบ   ผมน่ะระวังตัวอยู่แล้ว   แต่ไอ้ร๊อกกี้มันใส่ร้ายผมต่างหาก



        “ เอาน่าพี่แรน   แค่ไม่ได้เอฟวิชาพละก็พอแล้วล่ะ ”อลิสพูดปลอบใจผม  



        “ ก็ขอให้มันเป็นอย่างที่เธอพูดล่ะกัน ”ผมตอบพลางนวดขาตัวเองไปตลอดทาง...



        พอถึงบ้านผมก็จัดการคว้ากระเป๋าหนังสือแล้วลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว   จุดหมายปลายทางของผมคือตู้เย็น...เพราะตอนนี้ผมหิวน้ำมาก   ผมใช้นัยน์ตาทั้งสองข้างสอดส่องไปทั่วตู้เย็น   ก่อนจะหยิบน้ำแดงที่ถูกรินไว้อย่างเรียบร้อยขึ้นดื่มทันที



        ทันทีที่น้ำอึกแรกสัมผัสเข้ากับต่อมรับรู้รสของผม   ผมดึงแก้วออกจากปากอย่างงง ๆ พลางดูน้ำสีแดงในแก้วที่ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งเดียว



        “ ไม่ใช่น้ำแดงนี่หว่า ”ผมพูดเบา ๆ   เพราะรสชาติของน้ำสีแดงนี้มันแปลก ๆ   แม้จะมีความหวานหอมอยู่   แต่มันก็ไม่ให้ทำให้ชื่นใจขึ้นเลย   แถมยังออกจะมีรสชาติเค็ม ๆ เจือนอยู่ด้วย   ท่าทางคงเป็นหนึ่งในน้ำสมุนไพรของแม่ละมั้ง...



        ผมตัดความสงสัยออกไปก่อนที่จะยกแก้วขึ้นดื่มน้ำจนหมด   ผมเอาหลังมือเช็ดปากตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะชะงักกึกเมื่อคำพูด ๆ หนึ่งแว่บเข้ามาในหัว



        ‘ เอาเลือดนี้ให้เขาดื่ม   ถ้าเขาเป็นทายาทที่แท้จริงหลังจากที่เขาดื่มเลือดนี้แล้วเขาจะมีพลัง ’



        ง่ะ...ผมลืมไปได้ไงเนี่ย   อย่าบอกนะว่าผมดื่มไอ้เลือดที่ว่านั่นไปเรียบร้อยแล้ว   เท่านั่นแหละผมก็รู้สึกอยากจะอ้วก...



        “ แรนดี้ลูกทำอะไรน่ะ ”แม่พูดพลางเดิมเข้ามาในครัว   ก่อนที่จะชะงักไปเมื่อเห็นแก้วที่ผมถืออยู่  



        “ นั่นลูกกินอะไรเข้าไปน่ะ ”แม่ร้องอย่างตกใจก่อนที่จะตรงไปเปิดตู้เย็นแล้วหันมามองผม   หน้าของแม่ตอนนี้ซีดจนไม่มีสีเลือด   ไม่ทันที่แม่จะว่าอะไรผมก็รู้สึกกับว่าแขนขาของผมหมดแรงไปดื้อ ๆ   ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเมื่อไม่สามารถพยุงตัวยืนได้   แก้วที่ถืออยู่ตกแตก   ผมสึกว่าเปลือกตาของผมเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ  จนในที่สุดผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย...





    .....................................................................





        ผมกระพริบตาลืมขึ้นช้า ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งอย่างมึน ๆ    ผมมองไปรอบ ๆ ห้องก่อนที่จะงงเพราะว่าผมขึ้นมานอนบนห้องนี้ได้ยังไง   ไม่ทันที่ผมจะได้ลุกขึ้นไปไหน   ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง



        “ ตื่นแล้วเหรอพี่แรน ”อลิสร้องอย่างดีใจก่อนที่จะเดินมานั่งข้าง ๆ เตียง   ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะไปโรงเรียน   ผมหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง   ตอนนี้เวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว...เอ....เจ็ดโมงครึ่ง....ซวยแล้ว!



        “ ยัยอลิส!   ทำไมไม่ปลุกพี่ห๊ะ ”ผมโวยทันทีก่อนที่จะคว้าชุดนักเรียนในตู้เข้าไปในห้องน้ำ   อลิสขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนที่จะพูดว่า



        “ พี่ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ  เมื่อวานเป็นลม  แถมตอนกลางคืนยังตัวร้อนอีกต่าง ”



        “ ห๊ะ ”ผมร้องอย่างไม่เชื่อก่อนที่จะก้มลงสำรวจตัวเอง   ทุกอย่างก็ยังปกติดี   ความทรงจำก่อนที่ผมจะสลบไปเริ่มย้อนเข้ามาในสมองผม   ผมจำได้ว่าผมหิวน้ำมากเลยหยิบน้ำเสียงแดงมากิน   น้ำสีแดง...ง่ะ...ผมกินไอ้เลือดบ้านั่นไปแล้วอ่ะ



        “ แหวะ ”ผมทำท่าอยากจะอ้วกก่อนที่จะโก่งคอกับชักโครก   แต่ไม่มีอะไรไหลออกมาซักอย่างเพราะไม่มีอะไรอยู่ในกระเพาะผมเลย  



        “ ตกลงพี่จะไปโรงเรียนไหม   เดี๋ยวก็ไปสายหรอก ”อลิสพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมไม่เป็นไรแล้ว   ผมสะดุ้งตกใจก่อนที่จะหันไปมองนาฬิกาอีกรอบ   เจ็ดโมงสามสิบห้า...ต้องรีบแล้ววววว







        ผมวิ่งเข้าไปในห้องเรียนด้วยอาการหอบแฮ่ก   ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัวพอดิบพอดีกับเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นเป็นสัญญานเข้าเรียน   รู้สึกสงสัยตะหงิด ๆ กับแววตาของแม่ที่มองผมผ่านกระจกหน้าของรถตลอดเวลา   ราวกับว่าผมมีอะไรผิดปกติ   แต่ผมก็ทิ้งความสงสัยไปทันทีเมื่ออาจารย์ก้าวเข้ามาในห้อง



        การเรียนวันนี้ดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดีอย่างเช่นทุกวัน   แต่มันก็ต้องมาสะดุดลงกับวิชาที่ผมเกลียดที่สุด....วิชาพละ



        ผมนั่งใส่รองเท้าอย่างเหม่อลอยไม่ห่างจากกลุ่มไอ้เจ้าร็อกกี้ที่กำลังโม้อย่างเมามันส์เท่าไหร่นัก   ยิ่งฟังเรื่องที่พวกมันโม้แล้วก็ยิ่งน่าหมั่นไส้  



        “ แล้วแกรู้ไหม   แม่สาวนั้นแทบจะเป็นลมคาอกฉันแน่ะ  ตอนที่ฉันเปล่งเสียงพูด ”ร็อกกี้โม้อย่างหน้าด้านหน้าทน   ผมว่าท่าทางของแม่สาวนั่นจะเป็นลมเพราะกลิ่นปากที่เหม็นหึ่งของมัน   หรือไม่ก็หน้าตาที่ไร้ความหล่อของมัน   หรือไม่ก็ทั้งสองอย่างมากกว่า



        การสนทนาของร็อกกี้ก็ต้องหยุดลงเมื่ออาจารย์เชมัคเรียกให้ทุกคนไปรวมตัวกัน   เพื่อฝึกเล่นทีมเตรียมตัวที่จะสอบ   ผมกลืนน้ำลายเอื้อกอย่างหวาด ๆ   พลางเดินไปประจำต่ำแหน่งอย่างสั่น ๆ



        “ ตายแน่ ”ผมพึมพัมเสียงนกหวีดของอาจารย์เชมัคดังขึ้น   การปะทะการระหว่างทีมของผมกับทีมฝ่ายตรงข้ามเริ่มต้นอย่างดุเดือด   ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะเก่งกว่าเพราะตอนนี้เขาเริ่มเลี้ยงลูกฝ่ากองหลังมาแล้ว



        ผมยืนเอ๋อจนชายคนนั้นยิงลูกเข้าประตูอย่างสวยงาม   ร็อกกี้หันมามองผมอย่างดูถูกพลางพูดว่า



        “ ฉันไม่น่าจับฉลากได้แกมาร่วมทีมเลยไอ้ตัวถ่วง! ”หนอย!   ผมกัดฟันกรอดอย่างอดกลั้นอารมณ์   ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ร็อกกี้!



        การแข่งเริ่มต้นต่อ   กองหน้าทีมผมดูเหมือนจะเล่นได้ดีจนกระทั่งชายคนที่ยิงลูกเข้าประตูเมื่อกี้แย่งบอลได้อย่างสวยงาม   เขาเลี้ยงลูกตรงแด่วมาทางผม   ส่วนผมก็ได้แต่ยืนงงอย่างทำอะไรไม่ถูก  



        “ แรนดอล์ฟ!  สกัดไว้! ”เพื่อนร่วมที่ของผมตะโกนขึ้น   ชายที่เลี้ยงลูกเข้ากำลังจะเข้าใกล้ผมแล้ว   ผมตัดสินใจวิ่งเข้าไปสกัด   ชายคนนั้นหยุดดูท่าทีของผม   หัวใจของผมเริ่มเต้นเป็นจังหวะ   ขวา...ซ้าย...ขวา...ซ้าย  ไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรเขาก็เตะลูกบอลไปทางขวาเพื่อส่งต่อให้เพื่อนอีกคน   จังหวะนั้นผมตัดสินใจพุ่งตัวไปที่ลูกบอลอย่างรวดเร็ว   ทั้ง ๆ ที่ผมไม่น่าจะวิ่งทันลูกบอล   แต่ผมกลับวิ่งได้!   มันเป็นความเร็วที่เหลือเชื่อ   เท้าของผมโดนเข้าที่ลูกบอลเต็ม ๆ ก่อนที่มันจะพุ่งไปข้างหน้าแล้วเข้าสู่ประตูฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มแรงด้วยความเร็วที่ผมต้องตะลึง   มันเร็วราวกับว่าสิ่งที่ผมทำเมื่อกี้ใช้เวลาแค่เพียงวินาทีเดียว   ทั่วทั้งสนามเงียบกริบ   ขนาดอาจารย์เชมัคยังถือนกหวีดค้างไว้คาปาก...



        “ พระเจ้าช่วย ”คนที่ยินข้าง ๆ ผมพึมพัมอย่างไม่เชื่อสายตา   ผมหันไปมองเขาตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ



        “ อะไรเหรอ ”ผมหันไปถามเขา   แต่เขากลับถอยหลังอย่างกลัว ๆ พลางชี้นิ้วมาที่หน้าผม



        “ นะ....นายหายตัวได้! ”



        “ ห๊ะ ”ผมร้อง “ บ้าสิ   ฉันแค่วิ่งไปเตะลูกบอลเอง   ไม่ได้หายตัวสักหน่อย ”ผมเถียง   แต่ชายคนนั้นกลับก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ   ผมมองทั่วทั้งสนาม   ทุกคงที่อยู่ใกล้ผมในระยะ 5 เมตรถอยหลังไปอยู่ริมสนามกันหมด  



        ปี๊ดดดดดดด



        อาจารย์เชมัคเป่านกหวีดเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจ   ก่อนที่จะตบมือเพื่อเรียกสติของทุกคน   นัยน์ตาของเขามองผมอย่างสงสัยแว่บหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า



        “ เล่นกันต่อได้แล้ว   ส่วนเธอ...แรนดอล์ฟ   ไปพักได้ ”ผมเดินออกจากไปจากสนามอย่างงง ๆ   โดยไม่ลืมหันไปมองบรรดาเพื่อน ๆ ที่ยืนมองผมเหมือนตัวประหลาด...นี่ผมทำอะไรผิดนะ...







        ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ผมหายตัวได้ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงเรียน   บรรดานักเรียนกว่าครึ่งกลัวผมกันเป็นแถว   มีส่วนหนึ่งไม่เชื่อและอีกส่วนหนึ่งต่างเข้ามารุมถามผมยกใหญ่ว่าผมทำอย่างนั้นได้ยังไง   โดยเฉพาะไอ้พวกหนังสือพิมพ์โรงเรียน...



        “ แล้วนายทำยังไงถึงหายตัวได้ล่ะ ”ซาร่า...แม่เหยี่ยวสาวประจำโรงเรียนถามผมอย่างกระตือรือร้น   ซึ่งมันเป็นคำถามที่เธอถามผมเป็นรอบที่สิบกว่า ๆ แล้ว



        “ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันแค่วิ่งไปเตะลูกบอลเท่านั้น ”ผมตอบอย่างหงุดหงิด   จะไม่ใช้หงุดหงิดได้ไงเมื่อมีแต่คนถามแต่คถามนี้กับผม   ตอนนี้ผมใกล้จะฟิวส์ขาดเต็มทีแล้ว



        “ แล้วนายวิ่งหายตัวได้ไง ”ซาร่ายังคงถามคำถามเดิม   เท่านั้นแหละความเครียดที่ผมสะสมมาเป็นเวลานานก็ระเบิดทันที



        “ อ๋อ   ที่ฉันหายตัวได้เพราะฉันเป็นญาติกับซุปเปอร์แมน! ”ผมประชด  แต่ซาร่ากลับจดประโยคที่ผมพูดลงในสมุดโน้ตเล่มเล็กของเธออย่างขมักเขม้น   เท่านั้นแหละผมก็แทบอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตาย



        เวลาแห่งนรกของผมผ่านไปอย่างเชื่องช้า   จนในที่สุดมันก็จบลงเสียทีเมื่อกระดิ่งเลิกเรียนดังขึ้น   ทันทีที่ผมเจอหน้าอลิส  เธอก็ถามคำถามเดียวกับที่ทุกคนถามผมวันนี้ทั้งวัน



        “ สรุปว่าพี่หายตัวได้ไงอ่ะ ”



        “ พี่แค่วิ่งไปเตะลูกบอลเท่านั้นอลิส  ไม่ได้หายตัวอย่างที่เค้าว่าซักหน่อย  เราอย่าไปเชื่อไอ้ข่าวโคมลอยนั่นเลย ”ผมพูดอย่างเหนื่อย ๆ พลางทรุดตัวลงนั่งข้างเธอ   อลิสขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างอดไม่ได้



        “ ถ้าพี่ไม่บอกฉันมาตามตรง  ฉันจะไปฟ้องแม่...เชอะ... ”อลิสสะบัดหน้าอย่างงอน ๆ   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่   จะพูดยังไงให้ยัยนี่เชื่อดีเนี่ย!



        รถของแม่เลื่อนเข้ามาในโรงเรียนดังเช่นทุดวัน   ผมกับอลิสเดินไปขึ้นรถ  โดยที่ผมเลือกที่จะนั่งข้างหลัง   ส่วนอลิสก็ไปนั่งข้างแม่แทน  



        “ วันนี้ท่าทางเครียดกันจังเลยนะจ๊ะ ”แม่พูดขึ้นเมื่อเห็นผมกับอลิสเงียบกริบ   อลิสพองแก้มอย่างงอน ๆ ก่อนที่จะพูดว่า



        “ ก็พี่แรนสิค่ะแม่   วันนี้พี่เค้าหายตัวต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน  พอหนูถามพี่เค้าก็ไม่ยอมบอกว่าทำได้ยังไง ”จังหวะที่อลิสพูดจบคือจังหวะที่ผมจอดรถตรงไฟแดงพอดี   ผมหันกลับมามองผมด้วยใบหน้าซีด ๆ ก่อนจะพูดว่า



        “ จริงเหรอจ๊ะลูก ”ผมทำหน้าเบ้อย่างอดไม่ได้  ก็เล่นมีแต่คนถามคำถามนี้ผมทั้งวันจะไม่ให้ผมหงุดหงิดได้ไงล่ะ



        “ ผมแค่วิ่งไปเตะลูกบอลเท่านั้นเอง ”แม่หันไปสนใจกับการขับรถต่อเมื่อสัญญานไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว   อลิสหันมาแลบลิ้นใส่ผมทันทีที่แม่หันไปสนใจกับการขับรถ   หลังจากนั้นบรรยาดาศบนรถก็เริ่มคึกคักเมื่อผมกับอลิสเริ่มคุยกันถึงเรื่องละครที่พวกเราติดกันงอมแงม   จะผิดแปลกไปก็คือแม่ที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปตลอดทาง....







        เมแกนเนียมองลูกทั้งสองที่นั่งดูทีวีจนเผลอหลับไป   อลิสกำลังนอนพิงไหล่พี่ชายอย่างเป็นสุข   เช่นเดียวกับแรนดอล์ฟที่นอนพิงศีรษะผู้เป็นน้อง   คงจะดีกว่านี้มากถ้าหากที่ทั้งคู่จะได้อยู่ต่อด้วยกันอีกนิด...อีกแค่สักนิดก็ยังดี...



        นัยน์ตาสีดำขลับของเธอเริ่มเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา   เมื่อรู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอกำลังจะถูกพรากไป   เธอคิดถูกแล้วหรือที่จะให้ลูกชายเดินไปตามเส้นทางเดียวกับชายคนที่เธอรัก...ซึ่งเส้นทางนั้นได้พรากชีวิตเขาไปตลอดกาล



        เมแกนเนียทุดตัวลงนั่งคุกเข่าพลางลูบหัวแรนดอล์ฟเบา ๆ    ถ้าพิจารณาจากลูกทั้งสองแล้ว  แรนดอล์ฟนั้นถอดทั้งนัยน์ตาและสีผมมาจากเธอหมดนั้นก็คือสีดำสนิท   ส่วนอลิสนั้นถอดสีผมกับสีตามาจากผู้เป็นพ่อหมดนั่นก็คือเส้นผมสีทองกับนัยน์ตาสีฟ้า   หากแต่สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือแววตา   แววตาอบอุ่นอ่อนโยนและเข้มแข็งในบางครั้งเหมือนกับชายคนที่เธอรักไม่มีผิด   ทั้งสองเป็นพี่น้องที่รักกันกลมเกลียวมาก   ไม่เคยทะเลาะกันถึงขั้นร้ายแรงสักครั้ง  แม้จะมีการกัดกันบ้างเล็กน้อย   แต่นั่นก็แสดงถึงความของทั้งคู่เป็นอย่างดี



        เธอไม่อยากนึกเลยว่าวันพรุ่งนี้ถ้าอลิสตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นพี่ชายเธอจะเป็นยังไง...คงจะร้องไห้แล้วซึมไปแน่ๆ...  



        ถึงเวลาแล้วที่ใครสักคนจะต้องเดินทางไปบนเส้นทางที่มีแต่ขวากหนาม...เพื่อให้ใครอีกคนหนึ่งได้มีชีวิตอยู่อย่างปกติ...



        แรนดอล์ฟ...แม่ขอโทษ...แม่ขอโทษที่คน ๆ นั้นจะต้องเป็นลูก...







        ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงสะกิดเบา ๆ ที่ต้นแขน   ซึ่งมันทำให้อลิสที่นอนพิงไหล่ผมสะดุ้งตามไปด้วย   ผมหันไปมองเจ้าของมือที่สะกิดอย่างสะลึมสะลือ   ก่อนที่จะตกใจเมื่อเห็นคน ๆ นั้นชัด ๆ



        “ ทำไมแม่ตาช้ำน่ะ ”ผมร้อง  แม่ตกใจจนเผลอจับขอบตาตัวเอง   ก่อนที่จะยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน   แต่ในความรู้สึกผม...มันกลับดูฝืดฝืนอย่างน่าประหลาด



        “ ผงเข้าตาจ๊ะ  พรุ่งนี้ลูกต้องไปโรงเรียนนะจ๊ะ   เพราะงั้นไปนอนได้แล้ว ”ทันทีที่แม่พูดจบ  อลิสก็ทำท่าจะเดินขึ้นห้องทันที  แต่ดันมีเสียงแม่ขัดไว้ก่อน



        “ อลิส...ลูกมาจูบราตรีสวัสดิ์พี่ชายก่อนสิ ”เท่านั้นแหละทั้งอลิสและผมก็หน้าเหวอทันที   เพราะอลิสกับผมไม่ได้จูบราตรีสวัสดิ์เหมือนเด็ก ๆ มาตั้งห้าปีแล้ว



        “ อะไรกันค่ะคุณแม่ ”อลิสร้อง  แม่เพียงแค่เท้าใส่เอวแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่งให้อลิสเท่านั้น   อลิสยักไหล่น้อย ๆ ก่อนที่จะเดินมาหาผมพลางยิ้มกริ่ม



        “ เฮ้ย  อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาจริง ”ผมพูดพลางก้าวถอยหลัง   แต่อลิสกลับตรงเข้ามากอดผมหมับแล้วเขย่งขึ้นหอมผมอย่างรวดเร็ว   ผมจับแก้มอย่างอาย ๆ นึกไม่ถึงว่าน้องสาวตัวดีจะกล้ามาขโมยหอมแก้ม



        “ อิอิ  คราวนี้พี่หอมฉันบ้างสิ ”อลิสพูดพลางหัวเราะคิกคัก   ผมหันไปมองแม่เห็นว่าแม่เท้าสะเอวเลิกคิ้วมาทางผมบ้างแล้ว   ผมกลืนน้ำลายเอือกก่อนที่จะก้มลงไปหอมแก้มน้องสาวเบา ๆ



        “ แค่นี้ใช่ไหมค่ะแม่  งั้นหนูไปนอนก่อนนะ ”อลิสพูดก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปอย่างร่าเริง   ผมทำท่าจะเดินตามไปแต่ก็โดนแม่จับไหล่ไว้ก่อน



        “ ลูกตัวสูงขึ้นมากเลยนะจ๊ะ ”แม่พูดอย่างอ่อนโยนพลางลูบหัวผมเล่น   จริง ๆ แล้วกับเด็กผู้ชายในวัยเดียวกันผมก็ไม่ได้สูงอะไรมากมายหรอก   แต่แม่ต่างหากที่ตัวเล็กเกินไป   ผมเลยสูงกว่าแม่ประมาณเซ็นสองเซ็น



        “ แรนดอล์ฟ...แม่รักลูกมากเลยนะจ๊ะ...รักมาก ”แม่พูดด้วยท่าทีจริงจัง   ผมกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนที่จะตอบด้วยท่าทีเขิน ๆ ว่า



        “ ผมก็รักแม่ฮะ ”แม่รวบตัวผมเข้าไปกอดแน่น   ก่อนที่จะหอมแก้มผมอย่างแผ่วเบา   ผมถึงกับงงไปเลยเมื่อแม่ทำอย่างนี้



        “ ไปนอนได้แล้วจ๊ะ ”ผมลังเลอยู่นิดหนึ่งก่อนที่จะก้มไปหอมแก้มแม่เบา ๆ    แม่ยิ้มอย่างสดใสให้ผม  ผมยิ้มตอบแม่ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนห้อง   แต่ในใจรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของแม่เป็นครั้งสุดท้าย







        “ ไม่เป็นไรนะครับท่านหญิงเมแกนเนีย ”ชายที่แอบอยู่ในเงามือของบ้านเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเมแกนเนียยังคงยืนเหม่ออยู่ที่เดิมตั้งแต่ตอนที่แรนดอล์ฟขึ้นห้องไปแล้ว   หญิงสาวยิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะพูดว่า



        “ ไม่เป็นไรค่ะเมอร์  ฉันเข้มแข็งพอ ”



        “ ไม่ต้องห่วงนะครับ   ผมจะปกป้องดูแลคุณหนูเอง  แล้วเมื่อสะสางงานทางนู้นเมื่อไหร่  ผมจะกลับมารับคุณกับคุณหนูเล็กทันที ”ชายในเงามืดพูด



        “ ไม่ต้องหรอกค่ะ  ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดาก็ต้องอยู่ที่โลกมนุษย์สิค่ะ   เดสเซอร์เลสไม่ใช่ที่สำหรับฉัน ”



        “ แล้วคุณหนูอลิสเซียล่ะครับ ”เมอร์ถาม   เมแกนเนียหลับตาพริ้มอย่างเหนื่ออ่อน



        “ ฉันเชื่อว่าเมื่ออลิสโตขึ้น  เธอคงตัดสินใจได้ว่าจะเดินไปทางไหนดี   ตอนนี้ฉันคงได้แต่หวังว่าเลือดของหมาป่าคงไม่กลืนกินเลือดฝ่ายมนุษย์ของเธอจนหมดก่อน ”



        “ งั้นผมขอรับตัวคุณหนูแรนดอล์ฟไปก่อนนะครับ ”เมอร์พูด   เมแกนเนียพยักหน้าเบา ๆ   ทันทีที่ชายหนุ่มในเงามือหายไป   หยาดน้ำตาก็ไหลอาบแก้มเธอทันที...







        ผมนั่งมองภาพบรรยากาศหลังบานหน้าต่างข้างเตียงอย่างเหม่อลอย   พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่มอยู่บนฟากฟ้า  เคียงข้างดาวนับล้าน ๆ ดวง   ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน   แต่ผมชอบที่จะมองดูพระจันทร์   โดยเฉพาะในคืนพระจันทร์ดวง...



        ระหว่างที่ผมนั่งดูอยู่นั้น   ผมรู้สึกถึงเงาใครบางคนที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ   ผมรีบหันไปมองด้านหลังอย่างตกใจ   ชายร่างยักษ์คนหนึ่งกำลังยืนมองผม   ใบหน้าของเขาถูกปกปิดไว้ด้วยความมืด   ผมตัวแข็งค้าง   อยากจะร้องแต่ก็ร้องไม่ออก



        เขาหยิบผงบางอย่างโรยใส่ตัวผม   ฉับพลันนัยน์ตาของผมก็หนักอึ้งอย่างรวดเร็ว   ในที่สุดผมก็จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว...



       ...และนั้นคือจุดเริ่มต้น   ของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตผม...





    ..................................................................





        แหะ ๆ คนที่เข้ามาอ่านใหม่ถ้าอยากอ่านตอนต่อไปก็ได้ค่ะ  แต่มันอาจจะไม่ประติดประต่อเท่าไหร่นะค่ะ   ส่วนคนที่เป็นนักอ่านขาเก่าเซน่าก็ต้องขอโทษด้วยนะค่ะ   ที่รีไรท์บ่อยอ่ะค่ะ(จำได้ว่ารอบที่ 3 แย้วอ่ะ)   แหะ ๆ ส่วนตอนสามก็คงเร็ว ๆ นี้ล่ะมั้งค่ะ   แล้วค่อยเจอกันใหม่ค่ะ^^





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×