ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แม่กอบัวของพี่

    ลำดับตอนที่ #5 : 3 ไปส่งน้องที่บ้าน-1

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 66



    ตั้งแต่วันที่ครูต้นเรียกนัดพบเพื่อบอกให้เริ่มทำการซักซ้อมในวันนั้น ตอนนี้ผมและเพื่อนๆ ก็ซ้อมกันมาได้ประมาณ4วันแล้ว แต่เป็นการซ้อมแบบเรื่อยๆ ไปก่อนก็คือจะซ้อมหลังจากเลิกเรียนในตอนเย็นไปจนถึงเวลาประมาณหกโมงเย็น ฟังดูก็เป็นเรื่องปกติเพราะผมมักจะอยู่เตะกับเพื่อนเป็นประจำอยู่แล้ว

    วันนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังจากคุณครูวิชาคณิตศาสตร์ปล่อยกลับบ้าน ผมก็รีบเดินไปที่โรงจอดรถทันที เพื่อเอาสมุดไปเก็บจากนั้นก็เอาเสื้อกีฬากับกางเกงกีฬาเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำแล้วขี่รถมาที่สนามตะกร้อเพื่อซักซ้อมต่อกับเพื่อนๆ

    แต่ก่อนที่ผมจะเข้าไปซ้อมก่อนอื่นก็ต้องรายงานให้ใครบางคนได้รู้ก่อน เธอจะได้ไม่ต้องรอผมเพราะสามชั่วโมงต่อจากนี้ผมจะไม่ได้จับโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย

    “จ๊ะเอ๋ เลิกเรียนหรือยังเอ่ย…” ผมส่งข้อความไปหาฝน หลังจากขับรถมาถึงสนามตะกร้อเป็นที่เรียบร้อย รอไม่นานหน้าจอโทรศัพท์ก็ขึ้นไอค่อนรูปโปรไฟล์วงกลมแสดงว่าเธอเห็นข้อความของผมแล้ว

    “เลิกแล้ว กำลังรอรถรับส่ง”

    “วันนี้เราซ้อมตะกร้อตอนเย็น อาจจะไม่ได้ตอบแชทนะ” ผมบอกเธอเอาไว้ก่อน เพราะสามวันที่ผ่านมาผมมักจะส่งข้อความไปหาฝนเป็นประจำทุกวัน อ้อ…ขออัปเดตผลงานหน่อย ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับฝนเริ่มไปในทางที่ดีขึ้นแล้วนะ เราเริ่มโทรคุยกันแล้ว คืนนี้ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะขอเธอคาสายเอาไว้ เพราะอยากนอนหลับและตื่นมาพร้อมกับเธอในทุกๆ วัน มันคงจะมีความสุขน่าดู

    “หรอ…งี้เราก็เหงาอ่ะดิ ไม่มีใครคุยด้วยระหว่างรอรถ” หื้ม…พิมพ์มาแบบนี้ผมล่ะอยากหนีซ้อมแล้วไปนั่งตอบแชทเธอทั้งวันจริงๆ

    “โอ๋ๆ น้าาา เดี๋ยวตอนเย็นจะชวนคุยทั้งคืนเลย”

    “ให้มันจริงเหอะ”

    “สัญญาเลยครับ” ผมพิมพ์ข้อความส่งหาฝนก่อนจะยิ้มออกมา ไม่รู้สิตอนนี้หัวใจมันกระชุ่มกระชวยไปหมด มันเป็นนุ้บนิ้บในหัวใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    “บักเหนือ!!! มัวนั่งยิ้มคนเดียวอยู่นั่นแหละ เพื่อนเขาซ้อมกันหมดแล้วเนี่ย” เสียงครูต้นดังแทรกขึ้น เมื่อผมเงยมองไปที่สนามก็เห็นว่าเพื่อนคนอื่นๆ พากันอยู่กลางสนามกันหมดแล้ว มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังนั่งเอ้อระเหยอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์อยู่

    “สักครู่นะครับครู!” ผมตะโกนบอกครูก่อนจะพิมพ์ข้อความไปบอกฝนว่าต้องไปซ้อมแล้ว ไว้คุยกันอีกทีตอนหนึ่งทุ่ม หลังจากนั้นผมก็เก็บโทรศัพท์ไว้ที่ตะกร้าหน้ารถแล้วลงจากรถไปซ้อมตะกร้อต่อกับเพื่อนๆ

    “มัวทำอะไรอยู่ เพื่อนเขาซ้อมไปนานล่ะ” ทันทีที่ผมเดินมาที่สนามครูต้นก็ถามผมทันที ให้ตอบว่าไงอ่ะคุยกับสาวอยู่งี้หรอ มันคงจะดูไม่ดีมั้ง ผมจึงทำเพียงแค่ส่งยิ้มไปให้ครูก่อนจะเดินลงสนาม

    “มันจีบสาวอยู่ครับครู” ไอ้ไม้ตะโกนบอกครูแทนผม ไอเชี่ยนี่!! ความลับไม่เคยเป็นความลับเมื่อมันรู้

    “สาวคนไหนล่ะ ผู้หญิงชอบมันเยอะจะตาย” หืม…ครูต้นนี่ชักจะรู้เยอะเกินไปล่ะ ผมมันฮอตอ่ะครับ ผู้หญิงส่วนใหญ่ในโรงเรียนต่างก็ชอบผมทั้งนั้นแหละ แต่สำหรับผมแล้วไม่มีใครในโรงเรียนที่ตรงสเปคผมเลยสักคน

    “เด็กต่างโรงเรียนครับครู มันจีบเด็กประจำอำเภอ” ผมได้แต่หันไปมองไม้ตาขวาง บางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นต้องบอกรายละเอียดขนาดนั้นก็ได้ นี่มันเรื่องส่วนตัวกู!!

    “งั้นก็เป็นโรงเรียนที่เราจะไปแข่งนะสิ ใช่มั้ยเหนือ”

    “พอเถอะครับครู ผมอยากซ้อมแล้ว” ผมยกมือไหว้ขอร้องครู เพราะอยากซ้อมตะกร้อมากกว่า ตอนนี้ทุกคนจะหันมาสนใจผมแทนตะกร้อกันหมดแล้วเนี่ย

    “อ่ะๆ พอๆ พากันไปซ้อมต่อไป เดี๋ยวครูจะไปทำงานต่อล่ะ” หลังจากนั้นครูต้นก็กลับไปทำงานของครูต่อ ส่วนพวกเราก็อยู่ซ้อมตะกร้อด้วยกันจนถึงเวลาพัก

    ผมเป็นฝ่ายที่เดินออกจากสนามก่อนแล้วฟุบนั่งที่พื้นสนามข้างๆ ด้วยอาการเหนื่อยหอบ ไม้และดีมก็ตามมานั่งสมทบด้วย ตอนนี้ทุกคนพากันนั่งเหยียดเท้าไปข้างหน้า สองมือก็วางค้ำไว้ที่ด้านหลัง สภาพตอนนี้ก็คือเนื้อตัวและใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่พากันหลั่งไหลออกมาผ่านรูขุมขน

    “นี่ไอ้เหนือ”

    “ว่า…” ผมหันไปหาไอ้ดีมเมื่อมันเรียกผม

    “มึงจีบใครอยู่วะ ที่ไอ้ไม้บอกว่าเป็นเด็กในอำเภออ่ะ” ก็คิดว่าจะถามเรื่องอะไร นี่วกกลับมาที่เรื่องของผมได้ยังไงเนี่ย

    “ฝน มึงรู้จักมั้ยล่ะ” ผมบอกดีมไปตามตรง เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเพื่อนอยู่แล้ว

    “ฝนไหนล่ะ กูจะไปรู้กับมึงมั้ย”

    “แล้วมึงจะถามกูทำไม บอกไปมึงก็ไม่รู้จักอ่ะ” ผมถามไอ้ดีมกลับ บางทีเพื่อนผมมันก็น่ารำคาญเหมือนกันนะ ไม่รู้คบไปได้ยังไง

    ผมนั่งพักอยู่ประมาณ10นาทีเพื่อนที่อาสาไปซื้อน้ำและของกินที่คลองถมหน้าโรงเรียนก็ขับรถเข้ามาพอดี ผมมองไปที่ตะกร้าหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยถุงของกินมากมายหลายชนิด ซื้อมาขนาดนี้นี่กะจะมาอยู่ซ้อมทั้งคืนเลยหรือไงกัน

    “นี่มึงกินหรือมึงแดกเนี่ย” ดีมหันไปเห็นเข้าก็ถามขึ้น สภาพของเพื่อนที่ตอนนี้สองมือเต็มไปด้วยถุงของกินที่เหล่าเพื่อนๆ พากันฝากซื้อรวมถึงผมด้วย แต่ผมฝากแค่น้ำโค้กแก้วใหญ่แก้วเดียวเท่านั้น

    “เมื่อกี้ตอนกูขับรถเข้ามาในโรงเรียน กูเจอน้าตี๋ด้วยว่ะ ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าโรงเรียน” เพื่อนที่ออกไปซื้อของพูดขึ้น

    น้าตี๋ที่เพื่อนพูดถึง แกเป็นคนในละแวกหมู่บ้านนี่แหละ เท่าที่ผมทราบดูเหมือนว่าแกจะมีอาการป่วยทางจิตต้องกินยารักษาตลอด ถ้าวันไหนที่แกไม่ได้กินยาแกก็จะมีอาการเหม่อลอย เดินเพ่นพ่านไปตามถนนแล้วก็พูดคนเดียว บางทีเจอเด็กนักเรียนหญิงน่าตาน่ารักแกก็จะเดินไปหา ไปกอดจนทุกคนหวาดกลัวกันหมด

    “ช่างแกเถอะ ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่โรงเรียนนอกจากพวกเราแล้วแหละ” ผมพูดขึ้นเพราะตอนนี้เวลาก็ปาไปประมาณห้าโมงเย็นแล้ว คงไม่มีนักเรียนคนไหนเหลืออยู่ภายในโรงเรียนนอกพวกผม

    “แกจะทำอะไรพวกเรามั้ยวะ” จู่ๆ ไม้ก็ถามขึ้น ผมได้แต่กลอกตาใส่ให้คำถามแต่ละคำถามของมัน

    “มึงดูจำนวนคนก่อนดิ เรามีตั้งหกคนแต่น้าตี๋มีคนเดียว มึงคิดว่าแกจะทำอะไรเราได้ปะ”

    “เออ ไอโง่!!” ดีมด่าไม้ทันทีที่ผมพูดจบ หลังจากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้าตี๋ ตอนนี้ทุกคนกำลังล้อมวงกันเป็นวงกลมเพื่อนั่งกินขนมและอาหารต่างๆ ที่เพื่อนไปซื้อมา

    เมื่อพากันกินและนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้วทุกคนก็กลับมาซ้อมต่อจนถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน เหมือนเดิมผมมีหน้าที่เอาลูกตะกร้อไปเก็บ ส่วนเพื่อนคนอื่นก็ทยอยขับรถกลับบ้านไปจนหมดมีเพียงผมคนเดียวที่ตอนนี้กำลังเดินกลับไปที่รถ

    แต่ก่อนที่จะสตาร์ทรถกลับบ้านผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูแชทของฝนก่อน เผื่อว่าเธอจะส่งข้อความอะไรมาไว้

    “ซ้อมเสร็จแล้วบอกนะ” ผมอ่านข้อความล่าสุดที่ฝนส่งมาก่อนจะยิ้ม บางทีการรายงานกิจวัตรในแต่ละวันให้ใครบางคนได้รู้มันก็มีความสุขเหมือนกันนะ

    “ซ้อมเสร็จแล้วครับ กำลังขับรถกลับบ้าน” ผมพิมพ์ข้อความส่งกลับไปก่อนจะปิดโทรศัพท์แล้ววางมันที่ตะกร้าหน้ารถตามเดิม จากนั้นก็ขับรถออกจากโรงเรียน

    ผมขับรถมาใกล้จะถึงบริเวณประตูหน้าโรงเรียนแล้ว แสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์ของผมที่สาดส่องไปตามทางข้างหน้าตอนนี้มันไปตกกระทบกับวัตถุบางอย่างที่อยู่ไม่ไกลจากรถของผมมากนัก เมื่อเพ่งสายตามองดีๆ ก็พบว่าเป็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ค่อยๆ เดินถอยหลังออกมาอย่างช้าๆ มองเลยไปข้างหน้าก็เห็นน้าตี๋ที่กำลังเดินเข้ามาภายในโรงเรียนเช่นกัน

    เหตุการณ์ตรงหน้าทำผมคิดในแง่ดีไม่ได้เลย แค่เห็นท่าทางของน้าตี๋ที่เดินเข้ามาอย่างคุกคามก็พอให้รู้ว่าน้องคนนั้นกำลังจะเกิดอันตรายแน่ๆ อาจจะไม่ถึงขั้นเสียชีวิตแต่มันก็ต้องส่งผลกระทบต่อจิตใจไม่ใช่น้อย คิดได้ดังนั้นจึงรีบบึ่งรถด้วยความเร็วเพื่อให้ไปถึงตัวน้องให้ได้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้น้าตี๋กำลังเดินเข้ามาหาน้องทุกฝีก้าวอย่างไม่ลดละ

    ปี๊ดๆ!! ผมบีบแตรเรียกน้องก่อนจะขับเข้าไปจอดใกล้ๆ

     ‘กอบัว!!’

    เด็กผู้หญิงที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแต่เป็นยัยนักเรียนของผมนี่เอง ทันทีที่กอบัวได้ยินเสียงแตรรถ น้องก็หันขวับมาทางผมทันที

    “พี่เหนือ! ช่วยบัวด้วย น้าตี๋เค้าตามบัวมา” กอบัวรีบเดินมาใกล้แล้วเกาะแขนขอความช่วยเหลือจากผมทันที สายตาของน้องมองไปที่น้าตี๋อย่างไม่วางตา ผมเห็นแววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวนั้นก็รู้สึกสงสารขึ้นมาทันที ไม่อยากจะคิดว่าถ้าผมไม่ได้มาเจอน้อง มันจะเป็นยังไงต่อไป

    “ฮือ…น้าตี๋แกเดินมาแล้วพี่เหนือ ช่วยบัวด้วย บัวกลัว” กอบัวรีบขยับเข้ามาประชิดตัวผมมากขึ้นเมื่อเห็นว่าน้าตี๋ยังคงเดินมาทางนี้

    “ขึ้นรถ” ผมบอกน้องผ่านหมวกกันน็อค กอบัวได้ยินดังนั้นก็รีบกระโดดซ้อนท้ายผมทันที มือเล็กกำเสื้อกีฬาของผมเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะถูกผมทิ้ง

    “พี่เหนือรีบไป เค้าเริ่มมาใกล้แล้ว” กอบัวตีหลังผมไวๆ เพื่อบอกให้ผมรีบออกรถไปสักที ผมเองก็ไม่รอช้า ทันทีที่เห็นว่าน้องขึ้นรถมาเรียบร้อยแล้วผมก็ออกรถไป โดยขับปาดไปทางเลนด้านขวาเพื่อหลีกทางน้าตี๋ด้วยความเร็วที่มากพอสมควร กะว่าไม่ให้น้าตี๋มาคว้าหรือเตะต้องคนที่ซ้อนด้านหลังได้แม้แต่น้อย ในที่สุดนาทีระทึกนี้ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีเมื่อผมพาน้องออกจากรั้วโรงเรียนได้สำเร็จ

    จังหวะนั้นภารโรงขอโรงเรียนก็ขับรถมาพอดี ผมจึงแจ้งข่าวให้ท่านทราบ ซึ่งท่านก็มีอาการตกใจอยู่เหมือนกันไม่คิดว่าน้าตี๋จะเริ่มกลับมาป่วยอีกครั้ง ภารโรงจึงรีบขับรถเข้าไปข้างในโรงเรียนทันที

    “ทำไมถึงได้กลับบ้านเอาป่านนี้ มัวทำอะไรอยู่” ผมหันไปถามคนข้างหลังที่ตอนนี้หันไปมองตามภารโรงที่ขับเข้าไปในโรงเรียน แต่พอได้ยินคำถามจากผมน้องก็หันมาตอบ

    “บัวรอเวลาจะไปซื้อของที่คลองถมน่ะ พอดีร้านเขาจะมาขายช่วงหกโมง” น้องตอบผมพร้อมกับกระโดดลงจากรถ ผมจึงมองตามด้วยความสงสัย

    “ขอบคุณนะพี่เหนือ ถ้าไม่ได้พี่ บัวต้องซวยแน่ๆ " น้องกล่าวขอบคุณผมก่อนจะเดินอ้อมรถผมไปอีกฝั่งแล้วเดินต่อไป

    “แล้วนั่นจะไปไหน”

    “ไปซื้อของไง ที่บัวบอกอ่ะ” น้องหันมาบอกผมเสร็จก็หันหลังเดินต่อ นี่ยังกล้าไปซื้ออยู่อีกหรอ เหตุการณ์เมื่อกี้ไม่ได้ทำให้กลัวเลยใช่ไหม

    “ไม่กลัวน้าตี๋แล้วหรือไง”

    “ก็ลุงภารโรงไปจัดการแล้วนี่ ไม่น่าจะมีอะไรให้กลัวแล้วแหละ” ได้ยินดังนั้นผมก็ถอนหายใจออกมา ภารโรงไปจัดการแล้วก็จริงแต่นั่นท่านจัดการได้แค่ในโรงเรียนเท่านั้น สุดท้ายน้าตี๋ก็ต้องออกมาจากโรงเรียนเดินเพ่นพ่านข้างนอกอยู่ดี

    “ขึ้นรถ เดี๋ยวพี่พาไปซื้อ” สุดท้ายผมก็ตัดสินใจพาน้องไปซื้อ ผมไม่สามารถปล่อยให้น้องเดินไปคนเดียวท่ามกลางบรรยากาศโพล้เพล้แบบนี้แน่นอน

    “ไม่เป็นไร คลองถมตรงนี้เองเดี๋ยวหนูเดินไปซื้อเองก็ได้ พี่กลับบ้านเถอะมันเย็นแล้ว” ทำไมดื้อจังวะ ผมได้แต่สบถอยู่ในใจ ก็เพราะว่ามันเย็นนี่แหละผมถึงต้องพาน้องไป นอกจากจะมีอันตรายจากน้าตี๋แล้ว เวลาประมาณนี้ก็ยังมีวัยรุ่นเล่นยาที่ชอบขับรถตระเวนไปทั่วหมู่บ้านอีกด้วย แล้วน้องก็เป็นผู้หญิงยังไงก็อันตรายอยู่ดี

    “ขึ้นรถเดี๋ยวนี้!!!” ผมกดเสียงต่ำเป็นการบังคับให้น้องขึ้นรถ สายตาที่เอาจริงเอาจังของผมทำให้น้องยอมขึ้นมาซ้อนท้ายผมในที่สุด จากนั้นผมก็ขับรถพาน้องไปยังคลองถมซึ่งอยู่เยื้องๆ กับโรงเรียน ทันที่ที่จอดสนิทกอบัวก็กระโดดลงจากรถแล้วเดินตรงไปยังร้านที่น้องพูดถึงทันที ผมดับรถและถอดกุญแจมาถือไว้ก่อนจะเดินตามน้องเข้าไป

    “ลุงคะ เอาไส้กรอก4ไม้ค่ะ” ผมยืนมองกอบัวที่สั่งไส้กรอกตรงหน้า จำนวนไม้ที่ได้ยินทำเอาผมตกใจอยู่เหมือนกัน ตัวก็แค่นี้กินตั้ง4ไม้เลยหรอวะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×