ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แม่กอบัวของพี่

    ลำดับตอนที่ #1 : 1 จุดเริ่มต้นของการมีน้องสาว-1

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 66


    “ขออนุญาตค่ะ” น้ำเสียงสดใสน่าฟังดังขึ้นจากประตูหน้าห้องชีววิทยา ซึ่งตอนนี้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6กำลังเรียนอยู่ ผมหันไปสนใจเสียงนั้นทันที ก็เห็นเด็กผู้หญิงยืนกอดเอกสารปึกหนึ่งอยู่หน้าห้อง โบหูกระต่ายที่ห้อยอยู่ตรงอกทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นแน่ๆ

    และดูเหมือนว่าน้องจะไม่กล้าเข้ามาเพราะคุณครูยังไม่อนุญาตให้เข้าบวกกับเป็นห้องของพี่ที่โตสุด แต่ผมคิดว่าครูน่าจะไม่ได้ยินเสียงของน้องมากกว่าเพราะตอนนี้เพื่อนๆ ในห้องต่างคุยเล่นกันเสียงดังมาก บางคนก็เล่นเกม บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็แกล้งกันจนวุ่นวายไปหมด คงจะมีผมแค่คนเดียวแหละมั้งที่ไม่วุ่นวายเหมือนเพื่อน

    เมื่อเห็นน้องยังยืนอยู่ที่เดิม ผมจึงตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะของตัวเองแล้วเดินไปยังหน้าห้องเพื่อถามไถ่น้อง เพราะถ้าไม่ถามวันนี้น้องคงจะยืนอยู่แบบนั้นไม่ได้มาทำธุระให้คุณครูจนเสร็จแน่ๆ

    “มาหาใครครับ” ผมเดินมาถามน้อง จริงๆ ผมก็ไม่ใช่คนสุภาพอะไรหรอกนะ ออกจะติดไปทางหยาบคายมากกว่าด้วยซ้ำ แต่เพราะว่าน้องเป็นผู้หญิงที่หน้าตาจิ้มลิ้ม แก้มน่าหยิกแบบนี้ให้พูดกระโชกโฮกฮากก็ไม่ใช่ปะ

    “หาครูผึ้งค่ะ ครูฝนให้เอาเอกสารมาให้เซ็น” น้องตอบผมพร้อมกับยื่นเอกสารชุดนั้นให้ผม ประมาณว่าให้ผมเอาเอกสารไปให้ครูผึ้งให้หน่อย

    “เข้าไปเลยครับ ครูนั่งอยู่ข้างใน” ผมเบี่ยงตัวหลีกทางให้น้องเข้าไปในห้อง ส่วนตัวเองก็เดินออกจากห้องลงไปยังชั้นล่างเพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำ

    “ไอ้เหนือ ไปไหนอ่ะ!” เสียงเพื่อนตะโกนเรียกจากด้านหลังเมื่อเห็นผมกำลังเดินลงบันไดไป

    “เข้าห้องน้ำ”

    “กูไปด้วย!!” แล้วเพื่อนก็ลงวิ่งลงบันไดตามผมมา มันเดินมากอดคอผมพร้อมกับเดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมกัน

    ที่โรงเรียนของผมมีห้องน้ำแค่สองที่เท่านั้น คือห้องน้ำของผู้ชายและห้องน้ำของผู้หญิงที่สร้างแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ห้องน้ำผู้หญิงจะอยู่หลังตึกวิทยาศาสตร์ ส่วนห้องน้ำผู้ชายจะอยู่หลังห้องอุตสาหกรรม แล้วตอนนี้ผมก็เรียนวิชาชีววิทยา ทำให้ระยะทางไปเข้าห้องน้ำนั้นค่อนข้างไกลพอสมควร จึงต้องใช้เวลาเดินประมาณ3นาที

    เมื่อมาถึงห้องน้ำ สิ่งแรกที่ผมทำก็คือการหยิบมวนบุหรี่และไฟแช็กออกจากกระเป๋ากางเกง ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าผมมาที่ห้องน้ำเพื่อทำอะไร นอกจากจะมาปัสสาวะแล้วก็มีเรื่องนี้นี่แหละที่นักเรียนชายส่วนใหญ่จะมาที่ห้องน้ำกัน

    “มีอีกมั้ย กูขอด้วยดิ” ไอ้ไม้เพื่อนสนิทที่สุดแบมือขอบุหรี่จากผม แต่บังเอิญว่าวันนี้ผมไม่ได้ซื้อมานี่สิ มวนนี้ก็เป็นอันที่เหลือจากเมื่อวาน

    “หมดแล้วว่ะ กูยังไม่ได้ไปซื้อเลย” ผมบอกไอ้ไม้ก่อนจะจุดไฟแช็กไปที่มวนบุหรี่ซึ่งมีอยู่เพียงอันเดียว จากนั้นก็เอามันเข้าปากสูดเอานิโคตินเข้าปอดไปฟืดหนึ่งก่อนจะพ่นควันออกมาทางจมูกและปาก

    “ขอกูมั่ง” ไอ้ไม้แย่งบุหรี่ไปจากมือของผมแล้วเอาไปสูบเองบ้าง ก่อนจะทำคล้ายๆ ผมก็คือพ่นควันออกมาจนตอนนี้หน้าห้องน้ำเต็มไปด้วยควันและกลิ่นจากบุหรี่

    ผมและไม้ผลัดกันสูบบุหรี่อยู่หน้าห้องน้ำจนหมดมวน จึงพากันเข้าไปล้างมือและเข้าห้องน้ำจากนั้นก็กลับไปที่ห้องเรียน และตอนที่จะกลับห้องก็มีนักเรียนจากห้องอื่นเดินมาเข้าห้องน้ำเช่นกัน ผมหันไปมองก็เห็นพวกนั้นพากันยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าห้องน้ำเหมือนผมกับไอ้ไม้สองคนเด๊ะ

    ถามว่าโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่นี่มันเถื่อนขนาดนี้เลยหรอ ผมขอตอบว่าไม่ขนาดนั้นออกจะเคร่งไปด้วยซ้ำ ทั้งการแต่งกาย ทรงผมและอีกมากมาย แต่ต่อให้เคร่งในกฎระเบียบมากแค่ไหนผมกับเพื่อนๆ ก็หาช่องโหว่นั้นได้หมดแหละ เพราะครูฝ่ายปกครองท่านจะเกษียณแล้ว ท่านจึงไม่ค่อยได้เดินตรวจดูตามห้องน้ำตามป่าบ่อยๆ เหมือนหลายปีก่อน นักเรียนชายส่วนใหญ่จึงมาสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำได้ แต่ถ้าครูมาเจอเมื่อไหร่ล่ะก็ตัวใครตัวมัน วิ่งหนีเข้าป่ากล้วยข้างๆ ได้เลย

    “มึงอย่าไปมองพวกมันดิ เดี๋ยวก็หาว่าเราไปหาเรื่องมันอีก” ไอ้ไม้บอกผมเมื่อเห็นว่าผมหันไปมองพวกนักเรียนชายที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าห้องน้ำ

    “มึงจะกลัวอะไรนักหนา กูแค่มองไม่ได้ท้าต่อยสักหน่อย”

    “มึงไม่ได้ท้า แต่สายตามึงอ่ะพร้อมบวกทุกครั้งแหละ” ไอ้ไม้ว่าก่อนจะดึงมือผมให้รีบเดินไปตึกวิทยาศาสตร์ ระหว่างทางผมก็หยิบเอาหมากฝรั่งที่มักจะพกไว้ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาเคี้ยวเพื่อดับกลิ่นบุหรี่โดยไม่ลืมแบ่งให้ไอ้ไม้

    “ขอบใจ” ไม้รับมาก่อนจะฉีกซองออกแล้วโยนมันเข้าปาก

    “พรุ่งนี้ซื้อมาคืนกูด้วย ทั้งหมากฝรั่งและบุหรี่” พูดจบผมก็ถอดรองเท้าแล้วถือไปวางไว้ที่ชั้นก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องเรียน แล้วก็สวนทางกับน้องคนนั้นที่เอาเอกสารมาให้ครูผึ้งพอดี พอน้องเห็นผมน้องก็ก้มหน้ามุดแล้วรีบสาวเท้าไปทันที ผมได้แต่มองตามด้วยความสงสัยว่าน้องกลัวอะไร ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ

    “ภาสกร!! ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นเข้าห้องได้แล้ว ครูจะได้สอนต่อ” เสียงคุณครูเรียกผมเมื่อออกมาแล้วเห็นผมยืนอยู่หน้าห้อง ผมจึงรีบเดินเข้าห้องไป หลังจากนั้นครูก็ทำการสอนต่อจนหมดคาบเรียนวิชานี้

    12.00 น.

    ผมเดินถือสมุดลงมาจากตึกเรียนแล้วตรงไปที่โรงจอดรถของนักเรียนเพื่อที่จะเอาสมุดไปเก็บไว้ที่เบาะรถ นี่คือชีวิตของม.6 มาโรงเรียนโดยไม่มีกระเป๋า พกแค่สมุดมาเรียนส่วนหนังสือเก็บไว้ให้พ่อแม่อ่านที่บ้าน หมดคาบเรียนหนึ่งวิชาก็มาเอาสมุดวิชาถัดไปที่รถแล้วเก็บวิชาที่เรียนแล้วใส่รถคืน

    “วันนี้โรงรถเปิดมั้ยวะ” ไม้ถามผมขณะเดินมาที่โรงจอดรถด้วยกัน

    “มึงก็ดูสิ เจอแม่กุญแจอยู่มั้ยล่ะ ถ้าเจอก็แปลว่าปิด” แล้วไม้ก็เดินไปดูประตูของโรงจอดรถ พบว่าวันนี้ประตูล็อกผมจึงต้องปืนรั้วเข้าไปเพื่อเอาสมุดไปเก็บ จากนั้นก็มาหาอะไรกินที่โรงอาหารซึ่งนานๆ ทีผมจะมา เพราะส่วนใหญ่จะขับรถออกไปกินข้างนอกมากกว่า แต่วันนี้โรงจอดรถล็อกจึงต้องกินข้าวที่โรงอาหารแทน

    “เดี๋ยวกูไปซื้อก๋วยเตี๋ยวก่อน มึงจองโต๊ะด้วยนะ” ผมบอกไม้ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านที่อยู่ริมสุด ซึ่งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่าที่ขายในโรงเรียนมาสิบกว่าปีและยังเป็นร้านโปรดของผมเวลาที่กินข้าวที่โรงเรียนอีกด้วย

     

    “เล็กน้ำตกพิเศษครับ” ผมสั่งเมนูป้า จากนั้นก็ยืนรออยู่สักพักจึงได้ชามก๋วยเตี๋ยวมา เมื่อปรุงรสจนได้รสชาติที่พอใจแล้วผมก็ถือชามก๋วยเตี๋ยวไปหาโต๊ะที่ให้ไม้จองไว้ทันที

    “กูไปซื้อมั่ง” ไม้บอกแล้วเดินไปยังร้านข้าวแกงทันที ผมก็คิดว่ามันจะซื้อเสร็จแล้วซะอีก

    “ไม่มีที่ว่างเลย” ขณะที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวของตัวเองอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงบ่นจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ทันทีที่กลืนก๋วยเตี๋ยวคำล่าสุดลงคอผมจึงหันไปหาต้นตอของเสียง จึงเห็นว่าเป็นน้องผู้หญิงสามคนยืนถือจานข้าวมองหาโต๊ะที่ว่างเพื่อจะได้กินข้าว

    “นั่งตรงนี้ได้นะครับ” ผมบอกน้องก่อนจะเขยิบแก้วน้ำของผมและของไม้เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอกับน้องทั้งสามคน

    “ขอบคุณนะคะ” น้องคนหนึ่งเอ่ยขอบคุณผมก่อนจะชวนเพื่อนอีกสองคนมานั่งด้วย ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าผมกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับน้องๆ สามคน ส่วนไม้นั้นยังไม่ได้ข้าวมากิน

    “อ้าว! ทำไมได้มานั่งนี่” ไม้ที่มาพร้อมกับจานข้าวในมือพูดขึ้นเมื่อเห็นผมนั่งกินข้าวกับน้องๆ ไม่รู้ว่าถามผมหรือถามน้องกันแน่

    “น้องไม่มีที่นั่งอ่ะ กูเลยให้มานั่งด้วย”

    “อ้อ...” ไม้ยืนพูดลากเสียงยาวเป็นเชิงล้อเลียน

    “จะยืนอ้ออีกนานมั้ย กูจะได้เอาจานไปเก็บก่อนมึง” ผมถามไม้แล้วทำท่าจะลุกออกไป แต่กลับถูกไม้รั้งไว้ซะก่อนจึงวางชามก๋วยเตี๋ยวลงแล้วนั่งรอเพื่อน

    “บัวเสร็จยัง” น้องที่นั่งข้างๆ ผมถามเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ซึ่งน้องคนนั้นกำลังตักข้าวกินอยู่เลย เป็นผมผมไม่ถามนะก็เห็นๆ อยู่ว่าเพื่อนกำลังกิน จะเร่งเพื่อ!! แต่เอ๊ะ ทำไมผมคุ้นหน้าน้องจังเหมือนเพิ่งจะเจอกันมาเมื่อเช้าเองนี่ ผมพยายามมองใบหน้าเล็กของน้องที่รีบกินข้าวอย่างเร่งรีบโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้

    “ช่วยทำอะไรให้มันเร็วๆ หน่อยสิ พวกเราจะได้มีเวลาพักนานๆ” น้องคนเดิมพูดขึ้นอีกครั้ง ผมจึงหันไปมองด้วยสายตำหนิ สาบานว่านี่คือเพื่อนกัน แค่รอเพื่อนกินข้าวทำไมต้องเร่งขนาดนี้เวลาพักมีตั้งชั่วโมงหนึ่งจะรีบไปไหน

    “เสร็จแล้วๆ” น้องบอกเพื่อนพร้อมกับรวบช้อนมาไว้รวมกันแล้วรีบดื่มน้ำเมื่อเห็นว่าเพื่อนสะพายกระเป๋ารอ ผมดูออกว่าน้องยังไม่อิ่ม แต่เพราะถูกเพื่อนเร่งน้องก็เลยต้องรีบกิน

    “ให้เพื่อนกินให้เสร็จก่อนมั้ยค่อยไป จะรีบพากันไปไหนหรอ” สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยแบบนั้นไป

    “ไปซื้อขนมที่สหกรณ์ค่ะ ถ้าไปช้าเดี๋ยวคนจะเยอะ” น้องคนที่นั่งข้างๆ ตอบผม

    “แต่เพื่อนเรากินข้าวยังไม่เสร็จเลยนะ รออีกหน่อยไม่ได้หรอ”

    “ได้ค่ะ” น้องตอบพร้อมกับวางกระเป๋าลงแล้วนั่งรอเพื่อนตามเดิม ผมจึงหันไปบอกน้องอีกคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าให้กินข้าวต่อ

    “น้องกินต่อให้เสร็จสิ เพื่อนรอแล้ว”

    “ไม่เป็นไรค่ะ หนูอิ่มแล้ว” น้องบอกผมจากนั้นก็ลุกเอาจานไปเก็บที่กะละมังหน้าร้าน ก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารไปพร้อมเพื่อนอีกสองคน

    เมื่อน้องลุกออกไปแล้ว ผมก็นั่งรอไม้กินข้าวต่อ แล้วทำไมมันถึงกินข้าวช้าขนาดนี้วะเนี่ย ข้าวไม่กี่ช้อนกินมาห้านาทีล่ะยังไม่เสร็จ จะกินละเลียดไปเพื่อ? แทนที่จะรีบกินจะได้ไปเตะตะกร้อต่อป่านนี้สนามคงไม่ว่างแล้วมั้ง

     

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×