ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ความปรารถนาที่แปรเปลี่ยน
บทที่หนึ่ง
ความปรารถนาที่แปรเปลี่ยน
ข้าต้องขอสารภาพตามตรงว่า ข้าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยสักนิดเดียว เมื่อเก็นโซเบียดริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากของข้า พร้อมกับโอบกอดข้าไว้ในอ้อมแขน ข้าจำได้เลือนรางว่าตอนนั้นร่างของข้าสั่นสะท้าน หัวใจเต้นระรัว มันอาจเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กสาวผู้ได้ลิ้มรสชาติของการจุมพิตเป็นครั้งแรก(ทั้งยังกะทันหันอีกด้วย) แต่ถึงกระนั้น ข้าก็รู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกิน
สีหน้าของเก็นโซบ่งบอกถึงความเสียใจ เมื่อเขาเห็นน้ำตาข้าไหลอาบแก้ม “ริเอะ...”
ข้าไม่รอให้เขาพูดจนจบประโยค “เปล่า...มันไม่ใช่แบบนั้นน่า” ข้ายิ้มให้เขาโดยไม่ได้เสแสร้ง “ข้า...ข้าก็แค่รู้สึกดีใจมาก...จริงๆ นะ ไม่มีใครกอดข้าแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ”
เขาพยักหน้าด้วยท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมกับลูบศีรษะข้าเบาๆ “ถ้าข้าเดาไม่ผิด...นี่คงเป็นจูบแรกของเจ้าใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” ข้ารับ ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้านุ่มๆ “แล้วเจ้าล่ะ เคยจูบครั้งแรกเมื่อไหร่”
เก็นโซยิ้มเจ้าเล่ห์ ถือโอกาสเอนนอนลงบนตักข้า “เจ้าเดาไม่ถูกหรอก”
“ก็คงอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าให้ข้าลองพยายาม...” ข้าใช้ชายเสื้อเช็ดหน้าตัวเองจนแห้ง “ข้าว่าซามูไรหนุ่มรูปงามเจ้าสำราญอย่างเจ้า คงจะเคยผ่านการจูบครั้งแรกตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่ได้ล่ะมั้ง” ข้ากระเซ้า
“เฮ้ เฮ้ พูดเป็นเล่นน่า ตอนนั้นข้ายังแก้ผ้าโดดน้ำเล่นเป็นเด็กๆ อยู่เลย” เขารีบปฏิเสธ
“แหม นี่ข้ามองเจ้าผิดไปหรอกเหรอ” ข้าเลิกคิ้ว
“ผิดไปเยอะเลยล่ะ” เก็นโซว่า ขยับตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิตัวตรง ดวงตาประสานกับข้าแน่วแน่ ท่าทางจริงจังเหมือนตอนที่คอยติดตามรับใช้ท่านฮอนดะ ไดเมียวผู้เฉลียวฉลาดแห่งปราสาท อาคายาม่า “เพราะข้าเพิ่งมีประสบการณ์การจุมพิตสตรีครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“จริงเหรอเนี่ย”
“แน่นอนที่สุด” เขาพูดขรึมๆ“เพราะเจ้านั่นแหละ ริเอะ...ที่เป็นคนขโมยจูบแรกไปจากข้า”
ข้านิ่งไปนิดหนึ่ง แน่นอนว่าความรู้สึกแว่บแรกที่เกิดขึ้นกับข้าคือความรู้สึกประทับใจและยินดี ใบหน้าของข้าร้อนผ่าวเมื่อคิดถึงสิ่งที่เราได้ทำร่วมกันเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม...ความสุขชั่วขณะนี้ก็ไม่ได้ทำให้ข้าหูหนวกแต่อย่างใด เพราะข้ายังคงได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของเขาชัดเจน...
“โอ๊ย...เจ็บนะ ริเอะ !” เก็นโซร้องเสียงหลงเมื่อข้าหยิกแก้มเขาอย่างแรง
“ตาบ้า !” ข้าแยกเขี้ยว “ใครกันแน่ยะที่ฉวยโอกาสขโมยจูบคนอื่นตอนเขาเผลอน่ะ ! ให้ตายสิ คนเสียประโยชน์น่ะมันข้าต่างหาก !” ข้าปล่อยมือก่อนหันหน้าเข้าหาต้นไม้ใหญ่...เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นเก็นโซก็โอบกอดข้าไว้จากด้านหลังพร้อมกับเอ่ยวาจางอนง้อขอคืนดีอย่างสุภาพ น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาทำให้ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ข้าจะแสร้งทำเป็นโกรธอยู่ได้นาน
“ริเอะ...ข้าขอโทษด้วย” เขากล่าวช้าๆ “ความจริงข้าไม่ควรทำลายบรรยากาศแห่งความทรงจำดีๆ แบบนี้ด้วยการล้อเล่นที่ไม่เข้าท่าเลย”
ข้ายังคงไม่พูดอะไร สายตาจับจ้องที่รอยแตกสีน้ำตาลบนเปลือกไม้
“ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะนะ” ร่างของเขาเบียดแนบชิดร่างข้า ความอบอุ่นยากจะบรรยายทำให้หัวใจของข้าเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง คืนนี้ช่างเป็นคืนที่แสนพิเศษจริงๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมา เราไม่เคยใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้เลย “ถึงอย่างไรสิ่งที่ข้าพูดก็เป็นความจริง ตลอดทั้งชีวิตข้าไม่เคยจูบใครมาก่อนเลยนอกจากเจ้า นั่นก็เพราะข้ารักเจ้านะ...ริเอะ”
ข้าหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเขา พูดเสียงแผ่ว “นั่นคือ...ความรู้สึกของเจ้าสินะ”
“ใช่” เขาเงียบไปนิดหนึ่ง “แล้วความรู้สึกของเจ้าล่ะ”
ข้าจูบเขาแทนคำตอบ ลิ้นของเราสัมผัสกัน รสชาติของการจูบครั้งนี้หอมหวานกว่าครั้งแรกมาก อาจเป็นเพราะว่าความรู้สึกของเราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ข้าหลับตาลง ตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อมือของเก็นโซสอดเข้ามาในชุดยูคาตะ สัมผัสกับทรวงอกที่เริ่มชูชัน เคล้นคลึงมันเบาๆ...ลมหายใจของข้าถี่กระชั้น ความปรารถนาเร่าร้อนรุนแรงเข้ามาแทนที่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี อย่างไรก็ตาม ข้าก็ได้ยินเสียงจากส่วนลึกในจิตใจกระซิบเตือนสติ แผ่วเบาทว่าชัดเจน ริเอะ แล้วผลที่ตามมาล่ะ เจ้าจะรับผิดชอบต่ออากิโนะซังอย่างไร...คิดถึงความรู้สึกของนางสิ ท่านแม่ จะผิดหวังแค่ไหนถ้ารู้ว่าเจ้า...
แต่ความรักความหลงใหลได้เข้าครอบงำจิตใจข้าเสียแล้ว มันทำให้เสียงกระซิบเล็กๆ นั้นแผ่วเบาจนจางหายไปในที่สุด...ก็ช่างมันสิ ตอนนี้ข้าไม่สนอะไรในโลกแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอากิโนะซัง หรือสำนักทสึกิของนาง ข้ารักเก็นโซ ข้าไว้วางใจเขา...ข้าบอกตัวเอง...ข้าไม่มีวันเสียใจในภายหลัง ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไรก็ตาม
ช่วงเวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่แล้วในที่สุดข้าก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนที่เก็นโซจะละมือของเขาจากทรวงอกข้า
“ข้าไม่ควรทำแบบนั้นเลย” เขาพูดพลางส่ายหน้า เสียงสั่นและแหบห้าว “ข้าเกือบ...เกือบทำลายเจ้าเสียแล้ว”
ข้ากุมมือเขา พยายามเค้นรอยยิ้ม เข้าใจความหมายในถ้อยคำนั้นดี “ถึงจะเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่เสียใจหรอกนะ...เก็นโซ” ข้าพูดออกไปจากใจจริง สติสัมปะชัญญะที่กลับคืนมาทำให้ข้ารู้สึกเจ็บแปลบ เมื่อนึกว่าตนเองได้ปล่อยให้อารมณ์เตลิดเปิดเปิงไปจนแทบฉุดรั้งไม่อยู่ ความรู้สึกยิ่งเลวร้ายลงเมื่อนึกถึงบุญคุณของอากิโนะซังที่ได้ฟูมฟักเลี้ยงดูมา นางจะรู้สึกอย่างไรนะถ้าได้รู้ว่า ไมโกะ ผู้กำลังจะก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นของสำนักและสามารถประมูลขาย มิซุอาเกะ ได้ด้วยราคาสูงลิบกลับด้อยค่าลงเสียแล้ว สำหรับเกอิชาผู้ผ่านโลกมามากอย่างอากิโนะซัง บางทีมันอาจจะถือเป็นการทรยศที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งในวิถีทางของอาชีพนี้ก็เป็นได้
เก็นโซเบนสายตาไปมองดวงจันทร์สีเงินที่ส่องสว่าง “ริเอะ อีกนานไหมกว่าที่อากิโนะจะเลื่อนชั้นให้เจ้าน่ะ” เขาถามด้วยท่าทีครุ่นคิด ข้ามองออกว่าเขาต้องใช้ความพยายามในการข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติ
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก...ถึงแม้อายุข้าจะเพิ่งสิบหกปี แต่ระยะหลังอากิโนะซังก็เปรยให้ฟังอยู่เสมอว่าจะผลักดันให้ข้าก้าวขึ้นเป็นเกอิชาที่อายุน้อยและดึงดูดใจบุรุษได้มากที่สุดในอาคายาม่า ข้านึกสังหรณ์ใจว่าในอีกไม่กี่เดือนนางคงจัดแจงเลื่อนชั้นข้าให้เป็นเกอิชาเต็มตัวแน่” ข้าตอบ
เก็นโซใช้นิ้วลูบไล้ไปตามฝักดาบที่คาดเอวอยู่ สีดำแวววาวของมันสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย “อากิโนะฉลาดมากในเรื่องนี้ ไม่ผิดที่นางประเมินความงามและความสามารถของเจ้าไว้สูงมาก ข้าเองก็คนหนึ่งล่ะที่เชื่อว่าการปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนของเจ้าสามารถสั่นคลอนบัลลังก์ของเหล่า 'นางพญา' ได้ และจะทำให้สำนักทสึกิกลายเป็น โอชายะ อันดับหนึ่งของย่าน ฮานะมาจิ โดยปราศจากข้อกังขา” เขาพูดเบาๆ “ริเอะ เสน่ห์ของเจ้าน่ะ สามารถสยบชายทุกผู้ให้ตกอยู่แทบเท้าได้อย่างง่ายดายเลย รู้ตัวหรือเปล่า”
ข้าก้มหน้านิ่ง พอจะทราบความจริงข้อนี้อยู่บ้าง สำหรับเกอิชาแล้ว ความมีเสน่ห์ดึงดูดใจนับว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญและพึงปรารถนายิ่ง ไมโกะหลายต่อหลายคนต้องพยายามฝึกฝนตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถนี้ แต่สำหรับข้า ผู้คนที่ข้ารู้จักกลับเห็นพ้องต้องกันว่า ความมีเสน่ห์เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวข้ามาและเริ่มฉายแววเด่นชัดตั้งแต่ข้าเริ่มแตกเนื้อสาว เมื่อประกอบกับรูปโฉมที่อากิโนะซังยกย่องว่าเลอโฉมยิ่งกว่าเกอิชาคนใดที่นางเคยพบเห็น ทำให้ข้าถูกตั้งความหวังไว้สูงลิบ
ในอดีตข้าเองก็พอใจกับสถานะไมโกะดาวรุ่งผู้จะกลายเป็นเสาหลักในอนาคตของสำนักทสึกิ ไม่ดีหรอกหรือที่จะได้เป็น นางพญาแห่งฮานะมาจิ ผู้มี โอฮิกิซุริ ทอจากผ้าไหมชั้นดีนับสิบตัวและสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยได้...อย่างไรก็ตามความรู้สึกนี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อข้าได้รู้จักกับเก็นโซ ความทะเยอทะยานในการเป็นเกอิชาสิ้นสุดลง ทุกวันนี้ข้าฝันถึงการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับคนที่รัก เฝ้าปรนนิบัติเขาในฐานะภรรยา คอยเลี้ยงดูลูกๆ ที่จะเติบโตขึ้นในฐานะแม่
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงยินดีเหลือเกินที่จะได้ก้าวขึ้นเป็นเกอิชาผู้เลื่องชื่อ เช่นเดียวกับโอซากิซัง แต่สำหรับตอนนี้แล้ว...” ข้าเม้มปาก รู้สึกปวดร้าวใจ “ข้าปรารถนาเพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าเท่านั้นนะ เก็นโซ ที่สำคัญ ข้าไม่อยากสูญเสีย มิซุอาเกะ ของข้าให้ใครคนอื่น...ที่ไม่ใช่เจ้า”
ความขมขื่นใจฉายชัดบนใบหน้าคนรักข้า เขายืนนิ่งโดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้ง ทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงร้องเป็นระยะๆ ของนกแมลงที่ออกหากินในเวลากลางคืน แต่แล้ว หลังจากเวลาผ่านไปได้สักพัก สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ราวกับนักรบที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่สมรภูมิ
เก็นโซวางมือทั้งสองข้างลงบนไหล่ข้า บีบเบาๆ แสดงอาการปลอบโยน “ข้าดีใจนะ ริเอะ” เขาพูด แววตาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “เจ้าเป็นเด็กสาวที่งดงามทั้งกายและใจ ข้าเองก็อยากจะใช้ชีวิตร่วมกันกับเจ้า อยากแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยากับเจ้า”
“แต่มันก็คงเป็นได้เพียงความฝันเท่านั้น...” ข้าพูดเศร้าๆ “ชะตาชีวิตของข้าถูกลิขิตเอาไว้แล้ว ข้าจำต้องเดินไปตามวิถีทางแห่งเกอิชา ตามความต้องการของ ท่านแม่ ข้าเป็นหนี้บุญคุณอากิโนะซัง และข้าจำเป็นต้องชดใช้...เก็นโซ อิสระเป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจเอื้อมถึง ถ้าเจ้าปรารถนาจะได้เป็นคู่ครองของข้าจริง ก็คงมีเพียงหนทางเดียว นั่นคือเจ้าต้องเข้ามาเป็น ดันนะ ของข้าเท่านั้น”
“เจ้าต้องการเพียงแค่ให้ข้าเป็น ดันนะ ของเจ้า เท่านั้นหรือ”
“ไม่ใช่แน่ !” ข้าตอบทันที “ข้าต้องการแต่งงานกับเจ้าตามประเพณี อันที่จริงข้าไม่ได้รังเกียจการเป็นเกอิชา...เพียงแต่ข้าคงทำใจได้ลำบากเหลือเกินหากต้องแสร้งยั่วยวนบุรุษนับไม่ถ้วนในทุกค่ำคืน ตอนนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ข้าเต็มใจจะปรนนิบัติรับใช้...มีแต่เจ้าเท่านั้นนะ เก็นโซ”
“ข้าเข้าใจล่ะ” เขาบอกเรียบๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าตัดสินใจได้แล้ว...ริเอะ ข้าจะไถ่สัญญาให้เจ้า”
ดวงตาของข้าเบิกกว้าง มันเป็นความคิดที่ข้าไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย “นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ! อากิโนะซังไม่มีทางปล่อยตัวข้าไปแน่ ไม่ว่าเจ้าจะเสนอราคาไปเท่าใดก็ตาม”
เก็นโซเชิดหน้า “ให้นางเป็นฝ่ายพูดออกมา ข้าพร้อมจะทุ่มหมดหน้าตักเพื่อจ่ายตามราคาที่นางเรียกร้อง”
“เจ้าไม่ใช่ไดเมียวนะ เก็นโซ เท่าที่เจ้าเคยบอกข้า ตระกูลของเจ้าก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย แล้วเจ้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้อเรียกร้องของอากิโนะซังอาจจะทำให้แม้แต่คลังสมบัติขององค์พระจักพรรดิว่างเปล่าได้เลยทีเดียว”
เก็นโซหัวเราะออกมา “เข้าใจเปรียบเทียบนี่ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ามีวิธีการของข้า” เขากล่าว “ว่าแต่เจ้ามองว่าความคิดนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ”
ข้าพยายามไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้อย่างรอบคอบที่สุด...แน่ล่ะ อากิโนะซังคงไม่อยากปล่อยตัวข้าไปแน่ แม้ว่าจะได้เงินจำนวนมากก็ตาม...แต่สมมติว่าถ้าหากเงินจำนวนนั้นเป็นจำนวน มหาศาล ชนิดที่ว่าจะทำให้นางร่ำรวยขึ้นกว่าเจ้าของโอชายะทุกคนในฮานะมาจิล่ะ สตรีผู้มองแต่เรื่องผลกำไรตอบแทนเช่นนางจะปฏิเสธหรือเปล่า ? ในกรณีที่นางยอมรับเงินจำนวนนั้น ก็เท่ากับว่าข้าได้ชดใช้บุญคุณทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ข้าจะไม่มีพันธะใดๆ กับอากิโนะซังอีก ข้าจะเป็นอิสระและสามารถใช้ชีวิตได้ตามใจปรารถนา ส่วนอากิโนะซังก็จะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าในส่วนที่นางสมควรจะได้รับ บางทีมันอาจจะเป็นวิธีการที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายก็เป็นได้
“อืม...ข้าคิดว่ามันก็ไม่เลวทีเดียว” ข้ายอมรับ หลังจากคิดทบทวนอยู่นานพอสมควร “แต่ปัญหาอยู่ที่จำนวนเงิน เจ้าจะจัดการเรื่องนี้...”
“ไม่ต้องห่วง ริเอะ อย่างที่บอกไป ข้ามีวิธีการของข้า” เก็นโซย้ำคำพูดเดิม “เพียงแต่ข้าอยากได้ยินคำตอบหนึ่งจากปากเจ้า”
“คำตอบอะไรงั้นเหรอ”
เขาเน้นเสียงในทุกถ้อยคำ “ถ้าเจ้าได้เป็นอิสระแล้ว ข้าจะขอเจ้าแต่งงานตามประเพณี ถึงตอนนั้นแล้ว เจ้าจะตอบข้าว่าอย่างไร”
ข้ายิ้มให้เขา ความรักที่มีต่อชายหนุ่มผู้นี้เอ่อล้นอยู่ในใจ “ข้าก็จะตอบอย่างสุภาพว่า ‘ข้ายินดีที่จะได้เป็นเจ้าสาวของท่านเจ้าค่ะ ท่านมิยาเกะ’”
เขาพยักหน้า ท่าทางพึงพอใจ “นี่เป็นสัญญาของเจ้าใช่ไหม”
“ใช่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ริเอะ ข้า มิยาเกะ เก็นโซ ขอสัญญาต่อเทพยดาทั้งปวงว่า ข้าจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อซื้อสัญญาไถ่ตัวเจ้าให้เป็นอิสระให้จงได้ ถ้าข้าทำไม่สำเร็จตามคำสัญญาที่ให้ไว้แล้วล่ะก็ ขอให้ข้าจงพบ...”
ข้ารีบยกมือขึ้นปิดปากเขา พูดด้วยน้ำเสียงดุๆ “แค่นั้นพอแล้วล่ะ เก็นโซ ไม่ต้องลำบากถึงเทพยดาหรอก แค่เจ้าสัญญากับข้าก็พอแล้วล่ะน่า” ข้าพูด รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้นมาก เมฆหมอกแห่งความกลัดกลุ้มค่อยบรรเทาเบาบางลงไป
“ตกลง...ตกลง” เขายอมตาม “ถ้าอย่างนั้น เรามาทำการหมั้นหมายกันก่อนดีไหม”
“ด้วยวิธีการไหนล่ะ”
“ก็ด้วยวิธีง่ายๆ ตามธรรมเนียมโบราณ” เก็นโซบอก ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบผ้าผืนเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห่อของบางอย่างไว้ออกมา “เราก็แค่แลกของสำคัญแทนตัวของกันและกันไว้ เท่านั้นเอง”
ข้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจ “แต่ข้า...เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีของมีค่าติดตัวเลยสักชิ้นเดียว”
เขายิ้มเมื่อได้ฟังคำพูดนี้ “ริเอะ...ของสำคัญน่ะ ไม่จำเป็นต้องมีค่าเสมอไปหรอกนะ” เก็นโซว่า ชูห่อผ้าในมือขึ้น “ยกตัวอย่างเช่นของชิ้นนี้ แม้มันอาจจะไม่มีราคาค่างวดอะไร แต่สำหรับข้าแล้ว มันมีความสำคัญทางจิตใจยิ่งกว่าดาบทั้งสองเล่มที่ข้าคาดเอวไว้เสียอีก” เขายื่นมันมาให้ข้า “เจ้าลองเปิดดูสิ”
ข้ารับห่อผ้ามาถือไว้ มันเรียบและแทบจะปราศจากน้ำหนัก เมื่อลองลูบคลำดู ข้าก็รู้สึกได้ว่าสัมผัสของวัตถุที่อยู่ภายในคุ้นเคยกับนิ้วมือข้าเป็นอย่างดี
ใช่อย่างที่คิด...สิ่งที่อยู่ในนั้นคือหวีรูปจันทร์เสี้ยวอันเล็กๆ สีเขียวเย็นตา ประดับด้วยลายเส้นหมึกเป็นรูปแมวสองตัวนั่งเคียงกันอยู่ใต้ดวงจันทร์เหลืองอร่าม ข้าบอกได้เลยว่าของชิ้นนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยฝีมืออันปราณีต ความงามของมันประทับใจข้ายิ่งนัก
“สวยใช่ไหม” น้ำเสียงของเก็นโซแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจ
ข้าพยักหน้าทันที “แม้แต่หวีของโอซากิซังก็ไม่มีอันไหนที่เทียบได้เลย แต่ว่านะ...” ข้าย่นคิ้ว “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหวีเล่มนี้จะไม่แพงน่ะ”
“นั่นเป็นความจริง” เก็นโซยืนยัน ก่อนที่จะเริ่มต้นอธิบาย “เจ้ามองเช่นนั้นก็เพราะว่าความสวยงามของมันถูกตาต้องใจเจ้า อันที่จริงแล้วมันก็แค่หวีธรรมดาๆ เล่มหนึ่งที่ไม่ได้มีราคาสูงไปกว่าหวีของช่างในเมืองทั่วๆ ไป...แต่ความสำคัญของมันอยู่ตรงที่ปู่ของข้าเป็นคนทำมันขึ้นเองกับมือ เพื่อมอบให้แก่เจ้าสาวของท่าน หรือก็คือย่าของข้าในวันแต่งงาน...หวีเล่มนี้แม่ของข้าได้รับเป็นของขวัญมาจากพ่อ และท่านก็ได้ส่งต่อให้ข้าอีกที...ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าพกมันติดตัวเหมือนเป็นเครื่องรางมาโดยตลอด จนมาถึงตอนนี้ ริเอะ...ข้าอยากจะขอมอบมันให้แก่เจ้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาหมั้น”
ความเป็นเด็กไม่รู้จักคิดทำให้ข้าขยับปากจะปฏิเสธการรับมอบของสำคัญประจำตระกูลชิ้นนี้มาจากคนรัก แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว...ถ้าข้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับปฏิเสธความตั้งใจจริงและเจตนาอันบริสุทธิ์ของเก็นโซ จงเคารพการตัดสินใจของเขาสิ...ข้าบอกตัวเอง
ราวกับจะอ่านความคิดของข้าออก เก็นโซจึงพูดขึ้น “แม่ของข้าได้บอกเอาไว้ว่า ‘เมื่อใดก็ตามที่ลูกได้พบกับสตรีที่คู่ควรต่อการมอบความรักความไว้วางใจทั้งหมดให้ จงอย่าลังเลที่จะมอบของชิ้นนี้ให้แก่นาง’” เขาบีบมือข้าเป็นการให้กำลังใจ “ช่วยรับมันไว้เถอะนะ...ริเอะ”
ข้ายิ้มให้เขา ยากเหลือเกินที่จะเรียบเรียงถ้อยคำให้ตรงกับความรู้สึกที่โลดแล่นอยู่ในใจได้ “ข้า...ซาบซึ้งใจมากจริงๆ” ข้าพูดได้แค่นั้น
หลังจากเก็บหวีเล่มนั้นไว้ในโอบิเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่ต้องเสียเวลาคิดนานเลย สำหรับการมองหาของสำคัญที่จะมอบให้แก่เก็นโซ ข้าหยิบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าครามที่ปักตราประจำตระกูลออกมาจากชายเสื้อ เขารับมันไว้ด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“เก็นโซ...ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของดูต่างหน้าชิ้นเดียวของครอบครัวที่ข้ามี ขอให้เจ้าช่วยเก็บรักษามันไว้ให้ดีด้วยนะ”
“ขอบใจนะ...ริเอะ”
หลังจากนั้นเพลงจูบได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เนิ่นนานและอ่อนหวาน...ก่อนที่เราจะเดินเคียงคู่กันออกจากหมู่ไม้ ลมหนาวยามค่ำคืนพัดโชยมาปะทะใบหน้า ทำให้เราตัวสั่นสะท้าน ถนนแคบๆ ในอาคายาม่าสว่างไสวจากโคมไฟในงานเทศกาลที่ถูกประดับประดาตลอดทางไปจนถึงวัด คิคุจิ ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ เฮฮารื่นเริงกันไปตามประสา
ข้ากับเก็นโซไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก จนกระทั่งเราเดินข้ามสะพานมิคาว่า ที่นำไปสู่ย่านเริงรมย์ฮานะมาจิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเกอิชาทสึกิ ที่อยู่ของข้า ข้าจึงเป็นฝ่ายถามขึ้น
“จากนี้ไปจะให้ข้าทำอย่างไรดี เก็นโซ”
“ดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ ตั้งใจฝึกฝนศิลปะวิชาต่างๆ จากอากิโนะเหมือนที่ผ่านมา แล้วก็คอยฟังข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับการเลื่อนชั้นของตัวเจ้าให้ดี ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากรู้ระยะเวลาที่แน่นอนว่าอีกกี่วันกี่เดือน เพื่อที่ข้าจะได้กะเวลาในจัดแจงเรื่องต่างๆ ได้”
ข้าเข้าใจว่าเขาคงหมายถึงเรื่องเงินทอง รวมไปถึงวิธีการแสวงหามัน “แล้วเจ้าจะเข้าไปคุยเรื่องสัญญากับอากิโนะซังเมื่อไหร่ล่ะ”
เก็นโซตีสีหน้าครุ่นคิด “อืม...ข้าคิดว่าคงภายในเร็วๆ นี้แหละ ทันทีที่ข้าหาตัวแทนผู้ใหญ่ที่จะช่วยเจรจาให้ได้ คนที่อากิโนะจะต้องเกรงใจ” เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะเน้นเสียงหนักแน่นในประโยคต่อมา “เจ้าไม่ต้องกังวลไปนะ ริเอะ ข้าต้องทำสำเร็จ ขอเพียงแค่เจ้าเชื่อใจข้า”
“รู้ไหม ข้าไม่เคยเชื่อใจใครในโลกนี้มากกว่าเจ้าอีกแล้ว” ข้าพูดอย่างร่าเริง
ห่างออกไปไม่ไกล แสงไฟสลัวๆ ในสวนของสำนักทสึกิลอดรั้วมาออกให้เห็น เราทั้งสองหยุดอยู่ห่างจากประตูใหญ่ราวเจ็ดแปดหลา แขกหลายคนเริ่มทยอยเดินออกมาแล้ว อากิโนะซังคงจะต้องมาคอยยืนส่งพวกเขาอยู่ จึงนับว่าเป็นเวลาอันเหมาะเจาะสำหรับข้าที่จะลอบเข้าไปโดยไม่ให้นางเห็น
“นี่ ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ” ข้าหันไปมองเก็นโซ
เขาพยักหน้ารับ “ดูแลตัวเองด้วยนะ”
ข้านับคืนวันในใจอย่างรวดเร็ว “ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เจอกันหลังจากนี้อีกสามคืน ตกลงไหม”
“ไม่มีปัญหา” เก็นโซตบไหล่ข้าเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปตามทางที่มา “แล้วข้าจะตั้งตารอคืนนั้นนะ” เขาทิ้งท้าย แล้วเราก็จากกันตรงนั้นเอง
----------------------------------
โชคดีที่ทางเดินในเรือนพักเกอิชาด้านหลังสำนักทสึกิว่างเปล่าไร้ผู้คน ข้าเหลียวซ้ายแลขวา ค่อยๆ เดินโขยกเขยกไปบนพื้นไม้กระดานเรียบลื่น รู้สึกปวดหนึบๆ บริเวณเข่าขวาที่กระแทกพื้นตอนโดดลงจากต้นไม้เพื่อข้ามรั้วเข้ามาในสวน มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดก็จริง แต่ก็เสี่ยงกับการได้แผลฟกช้ำดำเขียวไม่น้อย
ข้าจุดโคมไฟในห้องพักเสร็จแล้ว และกำลังจะพับชายยูคาตะขึ้นเพื่อตรวจดูรอยช้ำที่เข่า เมื่อประตูโชจิถูกเปิดออก ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือโอซากิซัง นางเหลือบมองข้าแว่บ
หนึ่งก่อนเลื่อนประตูปิดอย่างรวดเร็ว
“โอซากิซัง” ข้าค้อมศีรษะให้ พี่สาว ด้วยความเคารพเต็มเปี่ยม นางได้รับมอบหมายจากอากิโนะซังให้เป็นผู้ดูแลข้าโดยตรง นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ท่านแม่ คาดหวังในตัวข้าไว้สูงเพียงใด เนื่องจากโอซากิซังผู้นี้มีศักดิ์เป็นถึง นางพญา ...หนึ่งในห้าเกอิชาผู้เลื่องชื่อแห่งย่านเริงรมย์ฮานะมาจิ
โอซากิซังหัวเราะเบาๆ พลางเยื้องย่างลงมานั่งคุกเข่าตรงหน้าข้า ความอ่อนช้อยงดงามเป็นธรรมชาติในทุกการเคลื่อนไหวของนางสะกดข้าให้ตกอยู่ในภวังค์เช่นทุกครั้ง ดังนั้น ก่อนที่ข้าจะทันรู้ตัว นิ้วอันเรียวยาวของโอซากิซังก็มาแตะที่ริมฝีปากเสียแล้ว
“แม่แมวป่าสาว ออกไปเที่ยวกลางคืนคราวนี้ไม่เสียเที่ยวแฮะ” นางพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ข้าได้กลิ่นหอมหวานของสาเกจากลมหายใจนาง “ในที่สุดเจ้าก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่ข้าไม่อาจสอนได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างนึง”
ข้ารีบหยิบกระจกขึ้นมาส่องหน้าตัวเอง ใช่อย่างที่คิด สีแดงตรงริมฝีปากข้าลบเลือนไปมาก “ขอโทษด้วยค่ะ...พอดีข้าเพิ่งกลับมาถึงห้อง เลยยังไม่ทันได้...” ข้าก้มหน้าด้วยความละอายใจ
โอซากิซังโบกไม้โบกมือ ท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “ไม่เป็นไรน่า ข้าเข้าใจดีว่าจุมพิตครั้งแรกของสตรีอย่างเราก็ย่อมทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นธรรมดา” นางกล่าว “ฝีมือเจ้าหนุ่มเก็นโซที่เจ้าเคยเล่าให้ฟังหรือไง”
ข้าพยักหน้ารับ...ข้ารักโอซากิซังเหมือนพี่สาวแท้ๆ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นจะต้องปิดบัง นอกจากนี้ข้ายังรู้ด้วยว่า นางจะเก็บทุกสิ่งที่ข้าบอกออกไปเป็นความลับ
“ก็ไม่เลว” นางโคลงศีรษะ “เจ้าหนุ่มคนนี้ก็ดูดีมีอนาคตอยู่ อายุยังน้อยแต่ได้เป็นถึงซามูไรใกล้ชิดท่านไดเมียว มีแววว่าอนาคตจะไปได้ไกล ข้าไม่ว่าอะไรหรอกนะ ริเอะ ถ้าเจ้าจะคบหากับเขาน่ะ ในวัยเช่นเจ้า การมีความรักครั้งแรกเป็นเรื่องธรรมชาติ เช่นเดียวกับหิมะที่ตกในฤดูหนาว...” โอซากิซังวางมือบนไหล่ข้า ความจริงจังแผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง น้ำเสียงชัดเจนขึ้น
“...แต่สำหรับไมโกะที่ยังไม่ได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นเกอิชาอย่างเจ้า ข้าต้องขอแนะนำในฐานะ 'พี่สาว' ว่า เจ้าจงอย่าได้เผลอตัวเผลอใจให้เตลิดเปิดเปิงไปไกลเกินกว่าการจุมพิตเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นเท่ากับเจ้าได้ทำลายศักดิ์ศรีของตัวเจ้าเอง ที่สำคัญ เจ้าไม่ควรลืมบุญคุณของ ท่านแม่ ที่ได้ส่งเสียมา เจ้าเป็นหนี้นางมากมายเหลือเกิน ข้าเองก็เช่นกัน...
จงอดทนไว้ ริเอะ อย่างน้อยก็จนกว่าเจ้าจะได้เป็นเกอิชา...จนกว่า มิซุอาเกะ ของเจ้าจะพร้อม...จนกว่าจะถึงเวลาเลือก ดันนะ ของเจ้า ถึงตอนนั้น หากเจ้าหนุ่มเก็นโซของเจ้าพร้อมทั้งในเรื่องฐานะและเงินทอง ข้าก็ยินดีจะสนับสนุนให้เขาเข้ามามีสิทธิในตัวเจ้าอย่างเต็มที่...ข้ารับรองได้เลย อนาคตอันแจ่มใสกำลังรอคอยเจ้าอยู่นะ ริเอะ ขอเพียงเจ้าลืม ความปรารถนาอันร้อนรุ่ม นั้นไว้ชั่วคราวก่อนเท่านั้น”
ข้านิ่งฟังโอซากิซังเงียบๆ นางช่างมองความรู้สึกนึกคิดของข้าได้ทะลุปรุโปร่ง นางรับรู้ถึง ความปรารถนาอันร้อนรุ่ม ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ภายในใจข้า นอกจากนี้ คำพูดของโอซากิซังยังแสดงให้เห็นด้วยว่า นางเองก็คาดหวังในตัวข้าไว้สูงไม่แพ้ ท่านแม่ ...ข้าหวนนึกถึงสัญญาที่เก็นโซได้ให้ไว้ รู้สึกลังเลเป็นครั้งแรกที่จะพูดความจริงกับนาง ข้าควรจะบอกเรื่องนี้กับนางดีไหมนะ ? ...แต่ถึงอย่างไรนางก็จะต้องรู้ในไม่ช้า...ข้านึก...ทันทีที่เก็นโซเริ่มต้นการเจรจากับอากิโนะซัง
ข้าขยับตัวด้วยความกระสับกระส่าย นึกอยากจะสารภาพความรู้สึกกับโอซากิซังขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าตอนนี้เป้าหมายของข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่ปรารถนาจะเป็นทายาทของนางในการก้าวขึ้นเป็น นางพญาแห่งฮานะมาจิ อีก ข้ารู้ว่าโอซากิซังรักและเอ็นดูข้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ ต่างจากอากิโนะซังที่มองเรื่องผลประโยชน์เป็นหลัก ข้าไม่ต้องการทำให้โอซากิซังผิดหวังในตัวข้า แม้จะเสียใจกับนาง แต่ถึงอย่างไรข้าก็ได้ตัดสินใจเลือกทางเดินที่จะก้าวไปแล้ว...
(โปรดติดตาม)
ความปรารถนาที่แปรเปลี่ยน
ข้าต้องขอสารภาพตามตรงว่า ข้าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยสักนิดเดียว เมื่อเก็นโซเบียดริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากของข้า พร้อมกับโอบกอดข้าไว้ในอ้อมแขน ข้าจำได้เลือนรางว่าตอนนั้นร่างของข้าสั่นสะท้าน หัวใจเต้นระรัว มันอาจเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กสาวผู้ได้ลิ้มรสชาติของการจุมพิตเป็นครั้งแรก(ทั้งยังกะทันหันอีกด้วย) แต่ถึงกระนั้น ข้าก็รู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกิน
สีหน้าของเก็นโซบ่งบอกถึงความเสียใจ เมื่อเขาเห็นน้ำตาข้าไหลอาบแก้ม “ริเอะ...”
ข้าไม่รอให้เขาพูดจนจบประโยค “เปล่า...มันไม่ใช่แบบนั้นน่า” ข้ายิ้มให้เขาโดยไม่ได้เสแสร้ง “ข้า...ข้าก็แค่รู้สึกดีใจมาก...จริงๆ นะ ไม่มีใครกอดข้าแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ”
เขาพยักหน้าด้วยท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมกับลูบศีรษะข้าเบาๆ “ถ้าข้าเดาไม่ผิด...นี่คงเป็นจูบแรกของเจ้าใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” ข้ารับ ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้านุ่มๆ “แล้วเจ้าล่ะ เคยจูบครั้งแรกเมื่อไหร่”
เก็นโซยิ้มเจ้าเล่ห์ ถือโอกาสเอนนอนลงบนตักข้า “เจ้าเดาไม่ถูกหรอก”
“ก็คงอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าให้ข้าลองพยายาม...” ข้าใช้ชายเสื้อเช็ดหน้าตัวเองจนแห้ง “ข้าว่าซามูไรหนุ่มรูปงามเจ้าสำราญอย่างเจ้า คงจะเคยผ่านการจูบครั้งแรกตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่ได้ล่ะมั้ง” ข้ากระเซ้า
“เฮ้ เฮ้ พูดเป็นเล่นน่า ตอนนั้นข้ายังแก้ผ้าโดดน้ำเล่นเป็นเด็กๆ อยู่เลย” เขารีบปฏิเสธ
“แหม นี่ข้ามองเจ้าผิดไปหรอกเหรอ” ข้าเลิกคิ้ว
“ผิดไปเยอะเลยล่ะ” เก็นโซว่า ขยับตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิตัวตรง ดวงตาประสานกับข้าแน่วแน่ ท่าทางจริงจังเหมือนตอนที่คอยติดตามรับใช้ท่านฮอนดะ ไดเมียวผู้เฉลียวฉลาดแห่งปราสาท อาคายาม่า “เพราะข้าเพิ่งมีประสบการณ์การจุมพิตสตรีครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“จริงเหรอเนี่ย”
“แน่นอนที่สุด” เขาพูดขรึมๆ“เพราะเจ้านั่นแหละ ริเอะ...ที่เป็นคนขโมยจูบแรกไปจากข้า”
ข้านิ่งไปนิดหนึ่ง แน่นอนว่าความรู้สึกแว่บแรกที่เกิดขึ้นกับข้าคือความรู้สึกประทับใจและยินดี ใบหน้าของข้าร้อนผ่าวเมื่อคิดถึงสิ่งที่เราได้ทำร่วมกันเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม...ความสุขชั่วขณะนี้ก็ไม่ได้ทำให้ข้าหูหนวกแต่อย่างใด เพราะข้ายังคงได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของเขาชัดเจน...
“โอ๊ย...เจ็บนะ ริเอะ !” เก็นโซร้องเสียงหลงเมื่อข้าหยิกแก้มเขาอย่างแรง
“ตาบ้า !” ข้าแยกเขี้ยว “ใครกันแน่ยะที่ฉวยโอกาสขโมยจูบคนอื่นตอนเขาเผลอน่ะ ! ให้ตายสิ คนเสียประโยชน์น่ะมันข้าต่างหาก !” ข้าปล่อยมือก่อนหันหน้าเข้าหาต้นไม้ใหญ่...เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นเก็นโซก็โอบกอดข้าไว้จากด้านหลังพร้อมกับเอ่ยวาจางอนง้อขอคืนดีอย่างสุภาพ น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาทำให้ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ข้าจะแสร้งทำเป็นโกรธอยู่ได้นาน
“ริเอะ...ข้าขอโทษด้วย” เขากล่าวช้าๆ “ความจริงข้าไม่ควรทำลายบรรยากาศแห่งความทรงจำดีๆ แบบนี้ด้วยการล้อเล่นที่ไม่เข้าท่าเลย”
ข้ายังคงไม่พูดอะไร สายตาจับจ้องที่รอยแตกสีน้ำตาลบนเปลือกไม้
“ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะนะ” ร่างของเขาเบียดแนบชิดร่างข้า ความอบอุ่นยากจะบรรยายทำให้หัวใจของข้าเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง คืนนี้ช่างเป็นคืนที่แสนพิเศษจริงๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมา เราไม่เคยใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้เลย “ถึงอย่างไรสิ่งที่ข้าพูดก็เป็นความจริง ตลอดทั้งชีวิตข้าไม่เคยจูบใครมาก่อนเลยนอกจากเจ้า นั่นก็เพราะข้ารักเจ้านะ...ริเอะ”
ข้าหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเขา พูดเสียงแผ่ว “นั่นคือ...ความรู้สึกของเจ้าสินะ”
“ใช่” เขาเงียบไปนิดหนึ่ง “แล้วความรู้สึกของเจ้าล่ะ”
ข้าจูบเขาแทนคำตอบ ลิ้นของเราสัมผัสกัน รสชาติของการจูบครั้งนี้หอมหวานกว่าครั้งแรกมาก อาจเป็นเพราะว่าความรู้สึกของเราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ข้าหลับตาลง ตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อมือของเก็นโซสอดเข้ามาในชุดยูคาตะ สัมผัสกับทรวงอกที่เริ่มชูชัน เคล้นคลึงมันเบาๆ...ลมหายใจของข้าถี่กระชั้น ความปรารถนาเร่าร้อนรุนแรงเข้ามาแทนที่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี อย่างไรก็ตาม ข้าก็ได้ยินเสียงจากส่วนลึกในจิตใจกระซิบเตือนสติ แผ่วเบาทว่าชัดเจน ริเอะ แล้วผลที่ตามมาล่ะ เจ้าจะรับผิดชอบต่ออากิโนะซังอย่างไร...คิดถึงความรู้สึกของนางสิ ท่านแม่ จะผิดหวังแค่ไหนถ้ารู้ว่าเจ้า...
แต่ความรักความหลงใหลได้เข้าครอบงำจิตใจข้าเสียแล้ว มันทำให้เสียงกระซิบเล็กๆ นั้นแผ่วเบาจนจางหายไปในที่สุด...ก็ช่างมันสิ ตอนนี้ข้าไม่สนอะไรในโลกแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอากิโนะซัง หรือสำนักทสึกิของนาง ข้ารักเก็นโซ ข้าไว้วางใจเขา...ข้าบอกตัวเอง...ข้าไม่มีวันเสียใจในภายหลัง ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไรก็ตาม
ช่วงเวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่แล้วในที่สุดข้าก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนที่เก็นโซจะละมือของเขาจากทรวงอกข้า
“ข้าไม่ควรทำแบบนั้นเลย” เขาพูดพลางส่ายหน้า เสียงสั่นและแหบห้าว “ข้าเกือบ...เกือบทำลายเจ้าเสียแล้ว”
ข้ากุมมือเขา พยายามเค้นรอยยิ้ม เข้าใจความหมายในถ้อยคำนั้นดี “ถึงจะเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่เสียใจหรอกนะ...เก็นโซ” ข้าพูดออกไปจากใจจริง สติสัมปะชัญญะที่กลับคืนมาทำให้ข้ารู้สึกเจ็บแปลบ เมื่อนึกว่าตนเองได้ปล่อยให้อารมณ์เตลิดเปิดเปิงไปจนแทบฉุดรั้งไม่อยู่ ความรู้สึกยิ่งเลวร้ายลงเมื่อนึกถึงบุญคุณของอากิโนะซังที่ได้ฟูมฟักเลี้ยงดูมา นางจะรู้สึกอย่างไรนะถ้าได้รู้ว่า ไมโกะ ผู้กำลังจะก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นของสำนักและสามารถประมูลขาย มิซุอาเกะ ได้ด้วยราคาสูงลิบกลับด้อยค่าลงเสียแล้ว สำหรับเกอิชาผู้ผ่านโลกมามากอย่างอากิโนะซัง บางทีมันอาจจะถือเป็นการทรยศที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งในวิถีทางของอาชีพนี้ก็เป็นได้
เก็นโซเบนสายตาไปมองดวงจันทร์สีเงินที่ส่องสว่าง “ริเอะ อีกนานไหมกว่าที่อากิโนะจะเลื่อนชั้นให้เจ้าน่ะ” เขาถามด้วยท่าทีครุ่นคิด ข้ามองออกว่าเขาต้องใช้ความพยายามในการข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติ
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก...ถึงแม้อายุข้าจะเพิ่งสิบหกปี แต่ระยะหลังอากิโนะซังก็เปรยให้ฟังอยู่เสมอว่าจะผลักดันให้ข้าก้าวขึ้นเป็นเกอิชาที่อายุน้อยและดึงดูดใจบุรุษได้มากที่สุดในอาคายาม่า ข้านึกสังหรณ์ใจว่าในอีกไม่กี่เดือนนางคงจัดแจงเลื่อนชั้นข้าให้เป็นเกอิชาเต็มตัวแน่” ข้าตอบ
เก็นโซใช้นิ้วลูบไล้ไปตามฝักดาบที่คาดเอวอยู่ สีดำแวววาวของมันสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย “อากิโนะฉลาดมากในเรื่องนี้ ไม่ผิดที่นางประเมินความงามและความสามารถของเจ้าไว้สูงมาก ข้าเองก็คนหนึ่งล่ะที่เชื่อว่าการปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนของเจ้าสามารถสั่นคลอนบัลลังก์ของเหล่า 'นางพญา' ได้ และจะทำให้สำนักทสึกิกลายเป็น โอชายะ อันดับหนึ่งของย่าน ฮานะมาจิ โดยปราศจากข้อกังขา” เขาพูดเบาๆ “ริเอะ เสน่ห์ของเจ้าน่ะ สามารถสยบชายทุกผู้ให้ตกอยู่แทบเท้าได้อย่างง่ายดายเลย รู้ตัวหรือเปล่า”
ข้าก้มหน้านิ่ง พอจะทราบความจริงข้อนี้อยู่บ้าง สำหรับเกอิชาแล้ว ความมีเสน่ห์ดึงดูดใจนับว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญและพึงปรารถนายิ่ง ไมโกะหลายต่อหลายคนต้องพยายามฝึกฝนตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถนี้ แต่สำหรับข้า ผู้คนที่ข้ารู้จักกลับเห็นพ้องต้องกันว่า ความมีเสน่ห์เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวข้ามาและเริ่มฉายแววเด่นชัดตั้งแต่ข้าเริ่มแตกเนื้อสาว เมื่อประกอบกับรูปโฉมที่อากิโนะซังยกย่องว่าเลอโฉมยิ่งกว่าเกอิชาคนใดที่นางเคยพบเห็น ทำให้ข้าถูกตั้งความหวังไว้สูงลิบ
ในอดีตข้าเองก็พอใจกับสถานะไมโกะดาวรุ่งผู้จะกลายเป็นเสาหลักในอนาคตของสำนักทสึกิ ไม่ดีหรอกหรือที่จะได้เป็น นางพญาแห่งฮานะมาจิ ผู้มี โอฮิกิซุริ ทอจากผ้าไหมชั้นดีนับสิบตัวและสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยได้...อย่างไรก็ตามความรู้สึกนี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อข้าได้รู้จักกับเก็นโซ ความทะเยอทะยานในการเป็นเกอิชาสิ้นสุดลง ทุกวันนี้ข้าฝันถึงการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับคนที่รัก เฝ้าปรนนิบัติเขาในฐานะภรรยา คอยเลี้ยงดูลูกๆ ที่จะเติบโตขึ้นในฐานะแม่
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงยินดีเหลือเกินที่จะได้ก้าวขึ้นเป็นเกอิชาผู้เลื่องชื่อ เช่นเดียวกับโอซากิซัง แต่สำหรับตอนนี้แล้ว...” ข้าเม้มปาก รู้สึกปวดร้าวใจ “ข้าปรารถนาเพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าเท่านั้นนะ เก็นโซ ที่สำคัญ ข้าไม่อยากสูญเสีย มิซุอาเกะ ของข้าให้ใครคนอื่น...ที่ไม่ใช่เจ้า”
ความขมขื่นใจฉายชัดบนใบหน้าคนรักข้า เขายืนนิ่งโดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้ง ทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงร้องเป็นระยะๆ ของนกแมลงที่ออกหากินในเวลากลางคืน แต่แล้ว หลังจากเวลาผ่านไปได้สักพัก สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ราวกับนักรบที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่สมรภูมิ
เก็นโซวางมือทั้งสองข้างลงบนไหล่ข้า บีบเบาๆ แสดงอาการปลอบโยน “ข้าดีใจนะ ริเอะ” เขาพูด แววตาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “เจ้าเป็นเด็กสาวที่งดงามทั้งกายและใจ ข้าเองก็อยากจะใช้ชีวิตร่วมกันกับเจ้า อยากแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยากับเจ้า”
“แต่มันก็คงเป็นได้เพียงความฝันเท่านั้น...” ข้าพูดเศร้าๆ “ชะตาชีวิตของข้าถูกลิขิตเอาไว้แล้ว ข้าจำต้องเดินไปตามวิถีทางแห่งเกอิชา ตามความต้องการของ ท่านแม่ ข้าเป็นหนี้บุญคุณอากิโนะซัง และข้าจำเป็นต้องชดใช้...เก็นโซ อิสระเป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจเอื้อมถึง ถ้าเจ้าปรารถนาจะได้เป็นคู่ครองของข้าจริง ก็คงมีเพียงหนทางเดียว นั่นคือเจ้าต้องเข้ามาเป็น ดันนะ ของข้าเท่านั้น”
“เจ้าต้องการเพียงแค่ให้ข้าเป็น ดันนะ ของเจ้า เท่านั้นหรือ”
“ไม่ใช่แน่ !” ข้าตอบทันที “ข้าต้องการแต่งงานกับเจ้าตามประเพณี อันที่จริงข้าไม่ได้รังเกียจการเป็นเกอิชา...เพียงแต่ข้าคงทำใจได้ลำบากเหลือเกินหากต้องแสร้งยั่วยวนบุรุษนับไม่ถ้วนในทุกค่ำคืน ตอนนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ข้าเต็มใจจะปรนนิบัติรับใช้...มีแต่เจ้าเท่านั้นนะ เก็นโซ”
“ข้าเข้าใจล่ะ” เขาบอกเรียบๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าตัดสินใจได้แล้ว...ริเอะ ข้าจะไถ่สัญญาให้เจ้า”
ดวงตาของข้าเบิกกว้าง มันเป็นความคิดที่ข้าไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย “นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ! อากิโนะซังไม่มีทางปล่อยตัวข้าไปแน่ ไม่ว่าเจ้าจะเสนอราคาไปเท่าใดก็ตาม”
เก็นโซเชิดหน้า “ให้นางเป็นฝ่ายพูดออกมา ข้าพร้อมจะทุ่มหมดหน้าตักเพื่อจ่ายตามราคาที่นางเรียกร้อง”
“เจ้าไม่ใช่ไดเมียวนะ เก็นโซ เท่าที่เจ้าเคยบอกข้า ตระกูลของเจ้าก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย แล้วเจ้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้อเรียกร้องของอากิโนะซังอาจจะทำให้แม้แต่คลังสมบัติขององค์พระจักพรรดิว่างเปล่าได้เลยทีเดียว”
เก็นโซหัวเราะออกมา “เข้าใจเปรียบเทียบนี่ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ามีวิธีการของข้า” เขากล่าว “ว่าแต่เจ้ามองว่าความคิดนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ”
ข้าพยายามไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้อย่างรอบคอบที่สุด...แน่ล่ะ อากิโนะซังคงไม่อยากปล่อยตัวข้าไปแน่ แม้ว่าจะได้เงินจำนวนมากก็ตาม...แต่สมมติว่าถ้าหากเงินจำนวนนั้นเป็นจำนวน มหาศาล ชนิดที่ว่าจะทำให้นางร่ำรวยขึ้นกว่าเจ้าของโอชายะทุกคนในฮานะมาจิล่ะ สตรีผู้มองแต่เรื่องผลกำไรตอบแทนเช่นนางจะปฏิเสธหรือเปล่า ? ในกรณีที่นางยอมรับเงินจำนวนนั้น ก็เท่ากับว่าข้าได้ชดใช้บุญคุณทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ข้าจะไม่มีพันธะใดๆ กับอากิโนะซังอีก ข้าจะเป็นอิสระและสามารถใช้ชีวิตได้ตามใจปรารถนา ส่วนอากิโนะซังก็จะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าในส่วนที่นางสมควรจะได้รับ บางทีมันอาจจะเป็นวิธีการที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายก็เป็นได้
“อืม...ข้าคิดว่ามันก็ไม่เลวทีเดียว” ข้ายอมรับ หลังจากคิดทบทวนอยู่นานพอสมควร “แต่ปัญหาอยู่ที่จำนวนเงิน เจ้าจะจัดการเรื่องนี้...”
“ไม่ต้องห่วง ริเอะ อย่างที่บอกไป ข้ามีวิธีการของข้า” เก็นโซย้ำคำพูดเดิม “เพียงแต่ข้าอยากได้ยินคำตอบหนึ่งจากปากเจ้า”
“คำตอบอะไรงั้นเหรอ”
เขาเน้นเสียงในทุกถ้อยคำ “ถ้าเจ้าได้เป็นอิสระแล้ว ข้าจะขอเจ้าแต่งงานตามประเพณี ถึงตอนนั้นแล้ว เจ้าจะตอบข้าว่าอย่างไร”
ข้ายิ้มให้เขา ความรักที่มีต่อชายหนุ่มผู้นี้เอ่อล้นอยู่ในใจ “ข้าก็จะตอบอย่างสุภาพว่า ‘ข้ายินดีที่จะได้เป็นเจ้าสาวของท่านเจ้าค่ะ ท่านมิยาเกะ’”
เขาพยักหน้า ท่าทางพึงพอใจ “นี่เป็นสัญญาของเจ้าใช่ไหม”
“ใช่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ริเอะ ข้า มิยาเกะ เก็นโซ ขอสัญญาต่อเทพยดาทั้งปวงว่า ข้าจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อซื้อสัญญาไถ่ตัวเจ้าให้เป็นอิสระให้จงได้ ถ้าข้าทำไม่สำเร็จตามคำสัญญาที่ให้ไว้แล้วล่ะก็ ขอให้ข้าจงพบ...”
ข้ารีบยกมือขึ้นปิดปากเขา พูดด้วยน้ำเสียงดุๆ “แค่นั้นพอแล้วล่ะ เก็นโซ ไม่ต้องลำบากถึงเทพยดาหรอก แค่เจ้าสัญญากับข้าก็พอแล้วล่ะน่า” ข้าพูด รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้นมาก เมฆหมอกแห่งความกลัดกลุ้มค่อยบรรเทาเบาบางลงไป
“ตกลง...ตกลง” เขายอมตาม “ถ้าอย่างนั้น เรามาทำการหมั้นหมายกันก่อนดีไหม”
“ด้วยวิธีการไหนล่ะ”
“ก็ด้วยวิธีง่ายๆ ตามธรรมเนียมโบราณ” เก็นโซบอก ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบผ้าผืนเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห่อของบางอย่างไว้ออกมา “เราก็แค่แลกของสำคัญแทนตัวของกันและกันไว้ เท่านั้นเอง”
ข้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจ “แต่ข้า...เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีของมีค่าติดตัวเลยสักชิ้นเดียว”
เขายิ้มเมื่อได้ฟังคำพูดนี้ “ริเอะ...ของสำคัญน่ะ ไม่จำเป็นต้องมีค่าเสมอไปหรอกนะ” เก็นโซว่า ชูห่อผ้าในมือขึ้น “ยกตัวอย่างเช่นของชิ้นนี้ แม้มันอาจจะไม่มีราคาค่างวดอะไร แต่สำหรับข้าแล้ว มันมีความสำคัญทางจิตใจยิ่งกว่าดาบทั้งสองเล่มที่ข้าคาดเอวไว้เสียอีก” เขายื่นมันมาให้ข้า “เจ้าลองเปิดดูสิ”
ข้ารับห่อผ้ามาถือไว้ มันเรียบและแทบจะปราศจากน้ำหนัก เมื่อลองลูบคลำดู ข้าก็รู้สึกได้ว่าสัมผัสของวัตถุที่อยู่ภายในคุ้นเคยกับนิ้วมือข้าเป็นอย่างดี
ใช่อย่างที่คิด...สิ่งที่อยู่ในนั้นคือหวีรูปจันทร์เสี้ยวอันเล็กๆ สีเขียวเย็นตา ประดับด้วยลายเส้นหมึกเป็นรูปแมวสองตัวนั่งเคียงกันอยู่ใต้ดวงจันทร์เหลืองอร่าม ข้าบอกได้เลยว่าของชิ้นนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยฝีมืออันปราณีต ความงามของมันประทับใจข้ายิ่งนัก
“สวยใช่ไหม” น้ำเสียงของเก็นโซแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจ
ข้าพยักหน้าทันที “แม้แต่หวีของโอซากิซังก็ไม่มีอันไหนที่เทียบได้เลย แต่ว่านะ...” ข้าย่นคิ้ว “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหวีเล่มนี้จะไม่แพงน่ะ”
“นั่นเป็นความจริง” เก็นโซยืนยัน ก่อนที่จะเริ่มต้นอธิบาย “เจ้ามองเช่นนั้นก็เพราะว่าความสวยงามของมันถูกตาต้องใจเจ้า อันที่จริงแล้วมันก็แค่หวีธรรมดาๆ เล่มหนึ่งที่ไม่ได้มีราคาสูงไปกว่าหวีของช่างในเมืองทั่วๆ ไป...แต่ความสำคัญของมันอยู่ตรงที่ปู่ของข้าเป็นคนทำมันขึ้นเองกับมือ เพื่อมอบให้แก่เจ้าสาวของท่าน หรือก็คือย่าของข้าในวันแต่งงาน...หวีเล่มนี้แม่ของข้าได้รับเป็นของขวัญมาจากพ่อ และท่านก็ได้ส่งต่อให้ข้าอีกที...ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าพกมันติดตัวเหมือนเป็นเครื่องรางมาโดยตลอด จนมาถึงตอนนี้ ริเอะ...ข้าอยากจะขอมอบมันให้แก่เจ้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาหมั้น”
ความเป็นเด็กไม่รู้จักคิดทำให้ข้าขยับปากจะปฏิเสธการรับมอบของสำคัญประจำตระกูลชิ้นนี้มาจากคนรัก แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว...ถ้าข้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับปฏิเสธความตั้งใจจริงและเจตนาอันบริสุทธิ์ของเก็นโซ จงเคารพการตัดสินใจของเขาสิ...ข้าบอกตัวเอง
ราวกับจะอ่านความคิดของข้าออก เก็นโซจึงพูดขึ้น “แม่ของข้าได้บอกเอาไว้ว่า ‘เมื่อใดก็ตามที่ลูกได้พบกับสตรีที่คู่ควรต่อการมอบความรักความไว้วางใจทั้งหมดให้ จงอย่าลังเลที่จะมอบของชิ้นนี้ให้แก่นาง’” เขาบีบมือข้าเป็นการให้กำลังใจ “ช่วยรับมันไว้เถอะนะ...ริเอะ”
ข้ายิ้มให้เขา ยากเหลือเกินที่จะเรียบเรียงถ้อยคำให้ตรงกับความรู้สึกที่โลดแล่นอยู่ในใจได้ “ข้า...ซาบซึ้งใจมากจริงๆ” ข้าพูดได้แค่นั้น
หลังจากเก็บหวีเล่มนั้นไว้ในโอบิเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่ต้องเสียเวลาคิดนานเลย สำหรับการมองหาของสำคัญที่จะมอบให้แก่เก็นโซ ข้าหยิบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าครามที่ปักตราประจำตระกูลออกมาจากชายเสื้อ เขารับมันไว้ด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“เก็นโซ...ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของดูต่างหน้าชิ้นเดียวของครอบครัวที่ข้ามี ขอให้เจ้าช่วยเก็บรักษามันไว้ให้ดีด้วยนะ”
“ขอบใจนะ...ริเอะ”
หลังจากนั้นเพลงจูบได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เนิ่นนานและอ่อนหวาน...ก่อนที่เราจะเดินเคียงคู่กันออกจากหมู่ไม้ ลมหนาวยามค่ำคืนพัดโชยมาปะทะใบหน้า ทำให้เราตัวสั่นสะท้าน ถนนแคบๆ ในอาคายาม่าสว่างไสวจากโคมไฟในงานเทศกาลที่ถูกประดับประดาตลอดทางไปจนถึงวัด คิคุจิ ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ เฮฮารื่นเริงกันไปตามประสา
ข้ากับเก็นโซไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก จนกระทั่งเราเดินข้ามสะพานมิคาว่า ที่นำไปสู่ย่านเริงรมย์ฮานะมาจิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเกอิชาทสึกิ ที่อยู่ของข้า ข้าจึงเป็นฝ่ายถามขึ้น
“จากนี้ไปจะให้ข้าทำอย่างไรดี เก็นโซ”
“ดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ ตั้งใจฝึกฝนศิลปะวิชาต่างๆ จากอากิโนะเหมือนที่ผ่านมา แล้วก็คอยฟังข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับการเลื่อนชั้นของตัวเจ้าให้ดี ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากรู้ระยะเวลาที่แน่นอนว่าอีกกี่วันกี่เดือน เพื่อที่ข้าจะได้กะเวลาในจัดแจงเรื่องต่างๆ ได้”
ข้าเข้าใจว่าเขาคงหมายถึงเรื่องเงินทอง รวมไปถึงวิธีการแสวงหามัน “แล้วเจ้าจะเข้าไปคุยเรื่องสัญญากับอากิโนะซังเมื่อไหร่ล่ะ”
เก็นโซตีสีหน้าครุ่นคิด “อืม...ข้าคิดว่าคงภายในเร็วๆ นี้แหละ ทันทีที่ข้าหาตัวแทนผู้ใหญ่ที่จะช่วยเจรจาให้ได้ คนที่อากิโนะจะต้องเกรงใจ” เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะเน้นเสียงหนักแน่นในประโยคต่อมา “เจ้าไม่ต้องกังวลไปนะ ริเอะ ข้าต้องทำสำเร็จ ขอเพียงแค่เจ้าเชื่อใจข้า”
“รู้ไหม ข้าไม่เคยเชื่อใจใครในโลกนี้มากกว่าเจ้าอีกแล้ว” ข้าพูดอย่างร่าเริง
ห่างออกไปไม่ไกล แสงไฟสลัวๆ ในสวนของสำนักทสึกิลอดรั้วมาออกให้เห็น เราทั้งสองหยุดอยู่ห่างจากประตูใหญ่ราวเจ็ดแปดหลา แขกหลายคนเริ่มทยอยเดินออกมาแล้ว อากิโนะซังคงจะต้องมาคอยยืนส่งพวกเขาอยู่ จึงนับว่าเป็นเวลาอันเหมาะเจาะสำหรับข้าที่จะลอบเข้าไปโดยไม่ให้นางเห็น
“นี่ ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ” ข้าหันไปมองเก็นโซ
เขาพยักหน้ารับ “ดูแลตัวเองด้วยนะ”
ข้านับคืนวันในใจอย่างรวดเร็ว “ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เจอกันหลังจากนี้อีกสามคืน ตกลงไหม”
“ไม่มีปัญหา” เก็นโซตบไหล่ข้าเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปตามทางที่มา “แล้วข้าจะตั้งตารอคืนนั้นนะ” เขาทิ้งท้าย แล้วเราก็จากกันตรงนั้นเอง
----------------------------------
โชคดีที่ทางเดินในเรือนพักเกอิชาด้านหลังสำนักทสึกิว่างเปล่าไร้ผู้คน ข้าเหลียวซ้ายแลขวา ค่อยๆ เดินโขยกเขยกไปบนพื้นไม้กระดานเรียบลื่น รู้สึกปวดหนึบๆ บริเวณเข่าขวาที่กระแทกพื้นตอนโดดลงจากต้นไม้เพื่อข้ามรั้วเข้ามาในสวน มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดก็จริง แต่ก็เสี่ยงกับการได้แผลฟกช้ำดำเขียวไม่น้อย
ข้าจุดโคมไฟในห้องพักเสร็จแล้ว และกำลังจะพับชายยูคาตะขึ้นเพื่อตรวจดูรอยช้ำที่เข่า เมื่อประตูโชจิถูกเปิดออก ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือโอซากิซัง นางเหลือบมองข้าแว่บ
หนึ่งก่อนเลื่อนประตูปิดอย่างรวดเร็ว
“โอซากิซัง” ข้าค้อมศีรษะให้ พี่สาว ด้วยความเคารพเต็มเปี่ยม นางได้รับมอบหมายจากอากิโนะซังให้เป็นผู้ดูแลข้าโดยตรง นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ท่านแม่ คาดหวังในตัวข้าไว้สูงเพียงใด เนื่องจากโอซากิซังผู้นี้มีศักดิ์เป็นถึง นางพญา ...หนึ่งในห้าเกอิชาผู้เลื่องชื่อแห่งย่านเริงรมย์ฮานะมาจิ
โอซากิซังหัวเราะเบาๆ พลางเยื้องย่างลงมานั่งคุกเข่าตรงหน้าข้า ความอ่อนช้อยงดงามเป็นธรรมชาติในทุกการเคลื่อนไหวของนางสะกดข้าให้ตกอยู่ในภวังค์เช่นทุกครั้ง ดังนั้น ก่อนที่ข้าจะทันรู้ตัว นิ้วอันเรียวยาวของโอซากิซังก็มาแตะที่ริมฝีปากเสียแล้ว
“แม่แมวป่าสาว ออกไปเที่ยวกลางคืนคราวนี้ไม่เสียเที่ยวแฮะ” นางพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ข้าได้กลิ่นหอมหวานของสาเกจากลมหายใจนาง “ในที่สุดเจ้าก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่ข้าไม่อาจสอนได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างนึง”
ข้ารีบหยิบกระจกขึ้นมาส่องหน้าตัวเอง ใช่อย่างที่คิด สีแดงตรงริมฝีปากข้าลบเลือนไปมาก “ขอโทษด้วยค่ะ...พอดีข้าเพิ่งกลับมาถึงห้อง เลยยังไม่ทันได้...” ข้าก้มหน้าด้วยความละอายใจ
โอซากิซังโบกไม้โบกมือ ท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “ไม่เป็นไรน่า ข้าเข้าใจดีว่าจุมพิตครั้งแรกของสตรีอย่างเราก็ย่อมทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นธรรมดา” นางกล่าว “ฝีมือเจ้าหนุ่มเก็นโซที่เจ้าเคยเล่าให้ฟังหรือไง”
ข้าพยักหน้ารับ...ข้ารักโอซากิซังเหมือนพี่สาวแท้ๆ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นจะต้องปิดบัง นอกจากนี้ข้ายังรู้ด้วยว่า นางจะเก็บทุกสิ่งที่ข้าบอกออกไปเป็นความลับ
“ก็ไม่เลว” นางโคลงศีรษะ “เจ้าหนุ่มคนนี้ก็ดูดีมีอนาคตอยู่ อายุยังน้อยแต่ได้เป็นถึงซามูไรใกล้ชิดท่านไดเมียว มีแววว่าอนาคตจะไปได้ไกล ข้าไม่ว่าอะไรหรอกนะ ริเอะ ถ้าเจ้าจะคบหากับเขาน่ะ ในวัยเช่นเจ้า การมีความรักครั้งแรกเป็นเรื่องธรรมชาติ เช่นเดียวกับหิมะที่ตกในฤดูหนาว...” โอซากิซังวางมือบนไหล่ข้า ความจริงจังแผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง น้ำเสียงชัดเจนขึ้น
“...แต่สำหรับไมโกะที่ยังไม่ได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นเกอิชาอย่างเจ้า ข้าต้องขอแนะนำในฐานะ 'พี่สาว' ว่า เจ้าจงอย่าได้เผลอตัวเผลอใจให้เตลิดเปิดเปิงไปไกลเกินกว่าการจุมพิตเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นเท่ากับเจ้าได้ทำลายศักดิ์ศรีของตัวเจ้าเอง ที่สำคัญ เจ้าไม่ควรลืมบุญคุณของ ท่านแม่ ที่ได้ส่งเสียมา เจ้าเป็นหนี้นางมากมายเหลือเกิน ข้าเองก็เช่นกัน...
จงอดทนไว้ ริเอะ อย่างน้อยก็จนกว่าเจ้าจะได้เป็นเกอิชา...จนกว่า มิซุอาเกะ ของเจ้าจะพร้อม...จนกว่าจะถึงเวลาเลือก ดันนะ ของเจ้า ถึงตอนนั้น หากเจ้าหนุ่มเก็นโซของเจ้าพร้อมทั้งในเรื่องฐานะและเงินทอง ข้าก็ยินดีจะสนับสนุนให้เขาเข้ามามีสิทธิในตัวเจ้าอย่างเต็มที่...ข้ารับรองได้เลย อนาคตอันแจ่มใสกำลังรอคอยเจ้าอยู่นะ ริเอะ ขอเพียงเจ้าลืม ความปรารถนาอันร้อนรุ่ม นั้นไว้ชั่วคราวก่อนเท่านั้น”
ข้านิ่งฟังโอซากิซังเงียบๆ นางช่างมองความรู้สึกนึกคิดของข้าได้ทะลุปรุโปร่ง นางรับรู้ถึง ความปรารถนาอันร้อนรุ่ม ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ภายในใจข้า นอกจากนี้ คำพูดของโอซากิซังยังแสดงให้เห็นด้วยว่า นางเองก็คาดหวังในตัวข้าไว้สูงไม่แพ้ ท่านแม่ ...ข้าหวนนึกถึงสัญญาที่เก็นโซได้ให้ไว้ รู้สึกลังเลเป็นครั้งแรกที่จะพูดความจริงกับนาง ข้าควรจะบอกเรื่องนี้กับนางดีไหมนะ ? ...แต่ถึงอย่างไรนางก็จะต้องรู้ในไม่ช้า...ข้านึก...ทันทีที่เก็นโซเริ่มต้นการเจรจากับอากิโนะซัง
ข้าขยับตัวด้วยความกระสับกระส่าย นึกอยากจะสารภาพความรู้สึกกับโอซากิซังขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าตอนนี้เป้าหมายของข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่ปรารถนาจะเป็นทายาทของนางในการก้าวขึ้นเป็น นางพญาแห่งฮานะมาจิ อีก ข้ารู้ว่าโอซากิซังรักและเอ็นดูข้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ ต่างจากอากิโนะซังที่มองเรื่องผลประโยชน์เป็นหลัก ข้าไม่ต้องการทำให้โอซากิซังผิดหวังในตัวข้า แม้จะเสียใจกับนาง แต่ถึงอย่างไรข้าก็ได้ตัดสินใจเลือกทางเดินที่จะก้าวไปแล้ว...
(โปรดติดตาม)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น