คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 นฤมิต 101 (1)
ชื่อเวหาเป็นชื่อที่พ่อแท้ ๆ ของผมตั้งให้ แต่ท่านเสียไปนานแล้ว ตอนนี้แม่ผมมีสามีใหม่ เขาเป็นพวกขี้เหล้าและบ้าการพนัน แค่สรรพคุณสองอย่างนี้ คุณก็คงเดาออกว่าชีวิตของผมกับแม่ไม่ได้สวยหรู ผมมีความใฝ่ฝันที่จะเรียนจบในระดับที่สูงที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะผมเชื่อว่าการศึกษาจะทำให้ผมสามารถหาเงินได้มาก …มากพอที่แม่ของผมจะได้อยู่อย่างสุขสบาย และก้าวแรกของผมเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ผมกำลังจะเข้าเรียนชั้นปีที่ 1
เมื่อเช้าชีวิตของผมยังดำเนินไปด้วยดี ผมมองออกไปยังทิวทัศน์สองข้างทาง พ่อเลี้ยงของผมกำลังขับรถพาผมไปส่งยังมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง แล้วอยู่ ๆ เขาก็เลี้ยวรถมาอีกทาง
“เอ๊ะ!” ผมอุทานออกมาเมื่ออ่านป้ายบอกทางบนถนน
“เว มีอะไรหรือลูก” แม่ของผมหันมาถามจากเบาะข้างหน้า สายตาสงสัยระคนเป็นห่วงฉายออกมา
“ทางนี้มันไม่ใช่...” ผมหยุดพูดทันทีเมื่อสบเข้ากับสายตาที่มองผมผ่านกระจกมองหลัง เป็นสายตาที่พ่อเลี้ยงของผมชอบใช้ในยามที่เขาไม่สบอารมณ์
หลังจากรถถูกจอดหน้าสถานที่ที่มีป้ายเขียนว่าหอนฤมิต พ่อเลี้ยงของผมก็เดินนำเข้าสู่ตัวอาคาร เราเดินผ่านโถงต้อนรับที่เหมือนกับโรงแรมห้าดาว แต่คงจะเป็นโรงแรมร้างเพราะไม่มีคนเลย เล่นเอาขนที่ต้นคอผมลุกชัน เราขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นสูงสุด พ่อเลี้ยงของผมหยุดกึกระหว่างทาง ผมเกือบล้มคะมำเพราะต้องหยุดอย่างกะทันหัน โชคดีที่แม่ของผมช่วยคว้าแขนผมเอาไว้
“กูจะไปหาเพื่อน มึงรออยู่ตรงนี้” พ่อเลี้ยงหันมาสั่งผม เขาจับแขนของแม่แล้วพาไปยังห้องตรงสุดทางเดิน
ผมมองทั้งคู่หายเข้าไปในห้องนั้น เฮ้อ! อยากจะไปให้ถึงที่หมายก่อนค่ำแท้ ๆ ไม่รู้ว่าเขาจะคุยกับเพื่อนนานหรือเปล่า แล้วไม่รู้จะลากแม่ของผมไปด้วยทำไม ผมหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อดูเวลา แต่มันกลับร้องเตือนว่าแบตของผมเหลือไม่มาก ผมหยิบสายชาร์จโทรศัพท์จากกระเป๋าออกมา ก็ไม่ได้อยากโดนด่าเรื่องแอบชาร์จแบตหรอกนะ ดังนั้นต้องมองซ้ายมองขวาดูว่ามีกล้องหรือใครไหม ปรากฏว่ามีครับ และเขากำลังก้าวมาตามทางเดิน ตรงมายังที่ที่ผมยืนอยู่
แล้วเหตุการณ์ก็เหมือนที่ทุกคนได้รู้ไปแล้วนั่นแหละครับ ...ว่าผมถูกขายให้ซ่อง
*****
หลังออกมาจากห้องที่ผมถูกพ่อเลี้ยงขายให้เจ้าของที่นี่ ผมและชายคนนั้นย้อนกลับมาตามทางเดิน เราลงลิฟต์มาสู่ห้องโถงต้อนรับขนาดใหญ่ ผมว่ามันขนาดเท่าครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอลได้ มีโซฟาและที่นั่งแบบต่าง ๆ เต็มไปหมด ผมเร่งฝีเท้าตามผู้ชายที่ชื่อคาธ ขาเขาก็ยาวกว่าผมตั้งขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเขาจะรีบเดินไปไหน
“นั่นของของนายหรือเปล่า” คนที่เดินนำหน้าถามและหยุดกะทันหันจนใบหน้าของผมไปชนเข้ากับแผ่นของเขาเต็ม ๆ ...เจ็บชะมัด นี่หลังหรือก้อนหิน ผมจับจมูกตัวเองแล้วถอยกลับออกมาหนึ่งก้าว เหมือนกลิ่นน้ำหอมของเขาจะลอยติดจมูกของผมมาด้วย หอมแบบเย็น ๆ และกลิ่นออกแนวควัน ๆ ใบหน้าที่เรียบเฉยของเขาหันกลับมามองผม โล่งใจที่เขาไม่ได้จะว่าอะไร เขาแค่ยกมือขึ้นไปชี้กระเป๋าของผมที่กองอยู่บริเวณทางเข้า ผมรีบพยักหน้าแล้ววิ่งไปหยิบสัมภาระทันที ไอ้พ่อเลี้ยงเฮงซวยมันทิ้งกระเป๋าของผมกองไว้ที่พื้น
ผมลากกระเป๋าใบใหญ่เดินตามเขาอีกครั้ง มันทั้งหนักแถมมีหลายชิ้น เขาน่าจะมีน้ำใจมาช่วยผมบ้างนะ เฮ้อ... ผมรีบไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง กระเป๋าพวกนี้ผมอุตส่าห์เตรียมไว้ดิบดีเพื่อเอาไปใช้ตอนอยู่หอที่มหาวิทยาลัย ในนี้มีชุดนักศึกษาปีหนึ่งของผมด้วย คอยดูผมจะแขวนไว้ข้างเตียงเพื่อเตือนตัวเองว่าจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้เลย เขาพาผมมาหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่งแล้วเขาก็ไขกุญแจเข้าไป
มันเป็นห้องที่มืดสนิท ผมก้าวเข้าไปในห้องนั้น มีเพียงแสงจากทางเดินที่ส่องเข้ามา ผมมองหาสวิตช์เปิดไฟไม่เจอ ในห้องนี้ไม่มีหน้าต่างเลยสักบาน เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ก็มีแค่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะ เตียง และเครื่องปรับอากาศ นี่ห้องพักหรือคุก
“เฮ้! เข้ามาทำไม” คนที่พามาห้องนี้ถามออกมาเสียอย่างนั้น ผมคงทำหน้าตาเด๋อด๋าออกไปจนเขาต้องพูดต่อ “นี่ห้องฉัน แค่เข้ามาเอาของ ออกไปได้แล้ว”
ผมรีบเดินออกมาจากห้องนั้นทันที ใครจะไปรู้ ถ้าเป็นคุณ คุณก็ต้องเดินเข้าไปเหมือนผมนั่นแหละ เจ้าของห้องเดินออกมาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือ เขาปิดห้องแล้วเดินต่อ ผมเลยจึงรีบลากกระเป๋าตาม
“ฮัลโหลบิ๊กบอย มีเด็กใหม่” เสียงของเขาพูดเหมือนคุยกับใคร ผมเงยหน้ามองแผ่นหลังของเขา เห็นคนชื่อคาธกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ “อืม พร้อมแล้วก็ไปตาม ห้องเก่าดาวพระศุกร์”
มีคนใช้ชื่อนี้จริง ๆ หรือ เขาพาผมขึ้นลิฟต์มาอีกสองชั้น ยิ่งดูที่นี่ก็ยิ่งเหมือนโรงแรมร้าง เพราะทางเดินที่มืดและผมยังไม่เจอมนุษย์คนอื่นเลย ผมรีบเดินไปชิดเขาและพยายามไม่หันกลับไปมองด้านหลัง บรรยากาศแบบนี้ผมก็ใจไม่ดีนะ เขาหยุดที่หน้าห้องอีกห้องหนึ่งแล้วส่งกุญแจให้ ผมรับมาและมั่นใจว่าคราวนี้เป็นห้องของผมจริง ๆ ผมไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ได้คาดหวังอะไร ขนาดห้องของนายคาธยังสภาพแบบนั้น ซึ่งดูแล้วตำแหน่งของเขาคงไม่ใช่ธรรมดา
แต่ผิดคาดเลยครับ ห้องนี้สว่างไสวด้วยแสงที่ส่องทะลุผ่านม่านสีขาวผืนบาง มีกลิ่นหอมจาง ๆ แบบดอกไม้ สงสัยจะกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม ผนังติดวอลล์เปเปอร์พื้นสีฟ้าเป็นลายดวงดาวสีเหลือง เฟอร์นิเจอร์ห้องนี้เป็นสีขาวทั้งหมด เตียงก็ใหญ่พอให้ผมนอนกลิ้งได้สบาย ผมหันไปหาคนที่พามาอีกที แต่เขากลับหายไปเสียแล้ว ผมออกมามองตามทางเดินก็ไม่พบ ดูลึกลับชะมัด ผมยังไม่ทันได้ถามเรื่องแม่เลย
ผมปิดประตูและล็อกห้อง จากนั้นก็เดินมาทิ้งตัวนอนบนเตียง คุณว่าผมควรทำอย่างไรต่อจากนี้ ผมคิดไม่ออก หัวมันตื้อไปหมด ลองตบหน้าตัวเองดูมันก็เจ็บ เจ็บทั้งแก้มเจ็บทั้งมือ นี่ไม่ใช่ความฝัน แม้ว่าคนชื่อคาธนั่นเหมือนจะหลุดออกมาจากฝันก็ตามที ผมมองที่กำแพงรอบ ๆ ห้องนอนสีฟ้าอย่างนั้นหรือ ทำให้นึกถึงชื่อใหม่ที่แม่เล้านั่นตั้งให้ คิดแล้วผมก็อยากจะไปดึงทึ้งวอลล์เปเปอร์ออกมาเสียให้หมด ใครเขาอยากได้ชื่อใหม่กัน
ผมได้แต่นอนจ้องมองเพดาน ภาพมันเริ่มพร่ามัวเพราะน้ำจากตาไหลเอ่อขึ้นมาบัง ‘อย่าอ่อนแอนะไอ้เว’ ต้องโทษไอ้คนชั่วช้านั่น แม่เพิ่งจะมารู้จักผู้ชายคนนี้สองสามปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นแม่ทำงานเป็นแม่บ้านในคฤหาสน์เศรษฐี ตอนเด็ก ๆ ผมเองก็เคยไปหาแม่ที่บ้านนั้น เจ้าของบ้านใจดีและเมตตาผม ทั้งคุณปู่ คุณผู้หญิง คุณผู้ชาย ลูกชายของพวกเขาก็ใจดีขนาดยอมโดนหมากัดเพื่อช่วยผม เสียดายที่บ้านนั้นไม่อยู่กันแล้ว หลังจากนั้นพอพ่อผมตาย แม่กับผมก็ไปอาศัยอยู่ที่นั่น แต่ตอนนั้นก็เหลือแค่คุณปู่คนเดียวแล้ว คุณปู่บ้านนั้นเอ็นดูผมเหมือนเป็นหลานท่านอีกคนหนึ่ง ท่านส่งผมเรียนจนจบมอสาม ก่อนท่านจะจากไป ท่านสั่งเสียกับผมไว้หลายเรื่อง และเรื่องหนึ่งคือให้ผมตั้งใจเรียน เรียนให้จบสูง ๆ จะได้ดูแลแม่
ผมลุกขึ้นมานั่งแล้วปาดน้ำตาออก ผมยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาบ้า ๆ นี่หรอก ผมลุกขึ้นเดินสำรวจห้องอีกครั้ง มองจากหน้าต่างห้องนี้ผมอยู่สูงจากพื้นมาก จะให้กระโดดหนีทางนี้คงไม่ได้ นี่มันชั้นห้า ต่อให้เอาผ้าปูเตียงมาผูกต่อกันผมก็ไม่มีทางถึงพื้นครบสามสิบสอง สูงขนาดนี้แค่มองผมยังใจหวิว ๆ เลย แล้วใช่ว่าพอถึงพื้นแล้วจะหนีออกไปได้เลย ข้างล่างนั่นก็ยังเป็นเขตหออยู่ ลงลิฟต์ไปง่ายกว่าและผลไม่ต่างกัน ผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเผื่อจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการหนีบ้าง แต่ผมพบเพียงตะเกียงรั้วสีเขียววางไว้อยู่ ใช้ไฟฉายมันจะไม่ง่ายกว่าหรือไงนะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกให้ผมเดินไปเปิด เป็นหนุ่มหน้ามนคนใหม่ที่ยืนอยู่ นึกว่าคนชื่อคาธเสียอีก อย่างนั้นก็คงเป็นคนที่โดนคาธโทรตาม เขาก้าวเข้ามาในห้องของผม และมองไปยังกระเป๋าสัมภาระที่วางไว้ที่พื้น เขาขมวดคิ้วจนชนกันแล้วหันมาถามผม
“ยังเก็บของไม่เสร็จอีกเหรอ”
ผมส่ายหน้าตอบ แต่อีกฝ่ายมองสำรวจไปรอบห้อง
“โชคดีนะเนี่ยได้ใช้ห้องของเจ้ดาวพระศุกร์ต่อ ตอนฉันมาที่นี่ได้ห้องอย่างโทรม กว่าจะเก็บเงินแต่งห้องได้เลือดตาแทบกระเด็น” เขาหันมาบอกผมแล้วยิ้ม พอเขาเดินมายืนแถวหน้าต่างทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้น หล่อแบบพิมพ์นิยม ใบหน้าดูทะเล้นนิด ๆ หวานหน่อย ๆ เข้ากับเส้นผมสีทอง เขาตัวสูง หุ่นดี เป็นนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสารไหนหรือเปล่านะ คนหล่อยิ้มให้ผมและเริ่มแนะนำตัว “ฉันบิ๊กบอย แต่นายต้องเรียกฉันว่ารุ่นพี่”
“สวัสดีครับ ผมเวครับ”
“เฮ้ย! พี่คาธไม่บอกหรือไง ที่นี่เขาใช้แต่ชื่อในวงการกัน ลืมชื่อจริงนั้นทิ้งไปได้เลย” เขาบอกก่อนจะเดินนำไปที่ประตูห้องแล้วหันกลับมาเรียก “ตามมาสิ นายต้องไปปฐมนิเทศนะ สีฟ้า”
ผมถอนหายใจออกมาเมื่อโดนเรียกด้วยชื่อใหม่ นี่ผมต้องใช้ชื่อนี้จริง ๆ หรือนี่ ผมออกมาจากห้อง แล้วรีบเดินตามบิ๊กบอย เขาพาลงมาชั้นล่างสุด ระหว่างทางเขาก็คอยแนะนำสถานที่ให้ผมฟัง
“นั่นโรงอาหาร ทางนั้นไปโรงละคร อยากทำเล็บทำผมที่นี่ก็มีนะอยู่ด้านหลัง สำหรับพนักงานโดยเฉพาะ”
ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องพวกนี้สักหน่อย ที่อยากรู้คือมีทางไหนให้หนีบ้าง วันนี้ผมโดนพาเดินไปเดินมาจนเมื่อยไปหมดแล้ว เรามาหยุดหน้าห้องที่ข้างหน้าติดป้าย Training Center ผมถามเขาออกไปทันทีเมื่อเห็นป้ายห้องนี้ “คือว่า... ต้องเทรนอะไรเหรอครับ”
“ทุกเรื่อง” เขาตอบและหัวเราะออกมาเพราะผมคงทำหน้าตาประหลาด ๆ ออกไป พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ามันเหมือนห้องเรียนทั่วไป มีโต๊ะ เก้าอี้ กระดาษไวท์บอร์ด และเครื่องฉายวีดิทัศน์ เขาเดินไปหน้าห้องแล้วกดเปิดคอมพิวเตอร์ ระหว่างรอเครื่องเขาก็ชี้ไปยังเก้าอี้แถวหน้า “ยืนให้รากงอกเหรอ ไปนั่งสิ”
สไลด์ฉายภาพขึ้นบนฉากสีขาว มีข้อความว่า
‘วิชา หอนฤมิต 101’
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
ความคิดเห็น