ตอนที่ 2 : บันทึกหน้าที่02
บันทึกหน้าที่02
ใครจะไปคิดว่าผ่านมาอาทิตย์กว่าๆพี่คนนั้นจะมาขอเราเป็นเพื่อนในเฟซบุ้ก เราเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมากและด้วยตอนนั้นที่เด็กมากๆ ความคิดที่ว่าใครขอเพื่อนมาเราก็รับหมดเพราะจะได้มีเพื่อนในเฟซบุ้กเยอะๆ
พอเรารับปุ๊บเขาก็ทักมาปั๊บ ทำตัวไม่ถูกเลย คุยไปแรกๆไม่คิดอะไรหรอกแต่พอนานเข้าก็ตะหงิดใจว่าเรากำลังโดนจีบแน่ๆ
ให้ตายเถอะ เราจะปฏิเสธพี่เขายังไงดี เราไม่ชอบเขาเลย
ถ้าเป็นพี่ชายอะไรเทือกนั้นเราก็ยังโอเคหรอก
ถึงเราจะไม่ชอบเขาแต่เวลาเขาทักมาเราก็ตอบตลอดนะ ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าถ้าเราไม่ตอบเขาจะเสียใจ
อ้อ...ลืมบอกไปเลยว่าเรากับเพื่อนได้เข้าไปอยู่ในวงโยธวาทิตแล้ว
เราถูกชะตากับคุณครูที่คุมวงโยฯมากเลย เขาดูใจดีมาก วันนั้นพวกเราไปส่งใบสมัครไว้และคุณครูก็นัดให้มาเลือกเครื่องดนตรีในวัดถัดมา
เราไม่รู้จักอะไรเลยนอกจากแซ็กโซโฟน ก็มันเป็นอะไรที่เห็นบ่อยที่สุดแล้วไหมล่ะ
แล้วอีกอย่างนะเวลาที่ใครเล่นเครื่องนี้ก็จะดูดีและโคตรเท่เลย
แต่สิ่งที่เราชอบมักจะไม่ตกมาเป็นของเราเสมอเพราะเราถูกเลือกให้เล่นยูโฟเนียมซึ่งรูปปากเราเหมาะกับเครื่องดนตรีชนิดนั้น
มันเป็นอะไรที่หนักมาก ตอนจับคือจะล้มอ่ะเอาจริง
แรกๆเขาไม่ให้เราเป่าเครื่องหรอก เด็กมอหนึ่งหรือเด็กที่เพิ่งเข้าใหม่ทุกคนต่างก็ต้องฝึกเป่าเมาท์พีชให้คล่องก่อน
มีการวอร์มและฝึกลมหายใจ ถ้าปกติคนเราจะหายใจเข้าท้องแฟ่บหายใจออกท้องป่องใช่ไหมล่ะแต่สำหรับดนตรีที่เราฝึกมันไม่ใช่ เราต้องทำตรงข้ามเลยคือหายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟ่บ
ลักไก่ไปประมาณห้าร้อยสิบแปดล้านครั้งได้มั้ง คือไม่ชินเลยอ่ะแหละ
เป่าเมาท์ทุกวันจนปากแทบเปื่อย แต่ดีอย่างนะเราไม่ต้องไปเข้าแถวเลยเพราะต้องฝึกเป่าเจ้าเมาท์นี่แหละ
ส่วนรุ่นพี่ที่เล่นเพลงได้ก็ออกไปเป่าเพลงชาติ เพลงโรงเรียนหน้าแถว
โหย ช่วงนั้นนี่มันสวรรค์ชัดๆกับการที่ไม่ต้องเข้าแถวตากแดด ลักไก่ไม่ตรวจผมได้ตั้งหลายรอบแน่ะ
ดูเอาเหอะเด็กวงโยผมยาวกันทั้งนั้น
ทุกครั้งหลังเลิกซ้อมจะมีการพูดคุยของรุ่นพี่และบางครั้งก็จะเป็นคุณครูมาพูดบ้าง เราชอบช่วงนี้ที่สุดเพราะไม่ต้องทำอะไร นั่งฟังอย่างเดียว
อยู่วงโยฯมากี่วันก็ไม่ค่อยแน่ใจ มันมีวันหนึ่งที่คุณครูเรียกมาประชุมทั้งหมดและต้องครบ นับเลขเรียงคนเลย ใครขาดใครหายก็ต้องตามมาให้ครบเพราะจะแจ้งเรื่องสำคัญ
สรุปวันนั้นเรื่องสำคัญคือการไปแข่งวงโยธวาทิตระดับประเทศ
มันแบบเกินคาดไปไหม นี่ยังเป่าแค่เมาท์พีชอยู่เลย
ตอนนั้นยังถามเพื่อนอยู่เลยว่า
“ลาออกทันไหมอ่ะ”
“ไม่ทันแล้ว”
“เราทำสัญญาไว้ตอนแรกแล้วว่าต้องอยู่ให้ครบสามปี”
ใช่ ทุกคนที่เข้าวงโยธวาทิตมาต้องทำสัญญาอยู่ให้ครบสามปี ตอนนั้นกลัวมากกับการที่จะออกจากวงก่อนครบกำหนดแต่พอมองย้อนดูกลับไปเราก็ออกได้นี่หว่าเพราะสัญญามันไม่ได้ระบุสักหน่อยว่าถ้าออกแล้วจะโดนอะไร
ก็ดีแล้วแหละถ้าตอนนั้นตัดสินใจออกไปเราคงไม่ได้ประสบการณ์มากมายจากที่นี่หรอก
หลังจากได้ฟังข่าวนั้นมาเราก็จำไม่ได้แล้วว่าการอยู่บ้านคืออะไร
ช่วงแรกที่ฝึกขั้นพื้นฐานเราก็ไปกลับตลอดแต่พอถึงช่วงที่เล่นเครื่องจริงและเพลงแข่งเขียนเสร็จบวกกับวิทยากรมาเตรียมสอนแล้วทำให้เราต้องนอนและกินที่โรงเรียน เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ดีๆเลยทีเดียว
การตื่นนอนตั้งแต่หกโมงมาวิ่งรอบสนามฟุตบอลนี่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้ทำแต่ก็ได้ทำจริงๆ เป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายมาก มาได้ออกก็ตอนนี้แหละ
เราได้พักอยู่กันที่หอในโรงเรียนที่อยู่ชั้นบนสุดซึ่งจะไม่มีเด็กอยู่เลย
หลอนไหมล่ะ
พวกเราต้องใช้เวลาอาบน้ำอย่างรวดเร็วเพราะต้องมาวอร์มลมวอร์มเสียงเครื่องดนตรีให้ตรงอีก
ถึงเราจะได้เล่นเครื่องจริงแล้วแต่เรายังไม่ได้เดินออกไปหน้าแถวหรอก
เด็กที่เป่าได้แค่โน้ตพื้นฐานแถมบางโน้ตที่สูงอย่างซอล ลา ที ก็เป่ายังไม่ค่อยจะถึงเลย ลมมักจะหมดตั้งแต่ตัวฟาแล้ว
ถึงเราจะยังไม่ได้ออกไปแต่เพื่อนเราทั้งสองคนได้ออกไปแล้วนะ คงเพราะพาร์ทของเขามีคนน้อยล่ะมั้ง
***(พาร์ทเอาไว้เรียกกลุ่มของคนที่เล่นเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆ เช่น พาร์ททรัมเป็ต)
ตอนนั้นนะน้อยใจจะเป็นบ้า ถามตัวเองว่าทำไมยังไม่ได้ออกหน้าแถวสักทีแต่ก็ไม่ได้คำตอบเลยเลิกคิดเพราะขี้เกียจคิด
ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ สนุกๆก็คงพอแล้วมั้ง
เราเพิ่งรู้ว่าเพื่อนในห้องคนหนึ่งก็อยู่วงโยฯด้วย เขาเล่นเครื่องตีหรือเรียกว่าPitched percussion เล่นอันนี้สบายอย่างคือซ้อมในห้องแอร์เกือบตลอดเพราะเครื่องเคลื่อนย้ายยากด้วยแหละ
เราได้เป็นเพื่อนกับเขาและสนิทกันอย่างรวดเร็ว นั่นจึงทำให้เราตัดสินใจให้เพื่อนคนนี้ไปคุยกับรุ่นพี่คนที่จีบเราอยู่
-----
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
