ตอนที่ 12 : Chapter12
Chapter12
ใครๆต่างก็บอกว่าผมทำตัวติดกับพีมากจนเกินไป เพื่อนกลุ่มที่ผมมักจะไปเล่นฟุตบอลด้วยมันก็เคยถามผมบ่อยๆว่า
“มึงทำตัวติดเขาแจขนาดนี้เขาไม่อึดอัดเหรอวะ”
มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมได้คิด เป็นความจริงที่การทำตัวติดกับพี่เกินไปอาจจะทำให้เขาอึดอัด
พีอาจจะต้องการพื้นที่หายใจของตัวเองแต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมต้องเว้นระยะห่างไปมากแค่ไหน ในเมื่อตั้งแต่แรกผมก็ใกล้เขาขนาดนี้แล้วมันจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ผมวิตก พีเป็นคนไม่พูดและเมื่อเขารู้สึกอะไรเขามักจะเก็บอาการได้แม้บางครั้งเขาจะหลุดมาให้ผมเห็นบ้างก็ตาม
หรือผมจะทำให้เขาอึดอัดอย่างที่เพื่อนมันว่า ผมไม่กล้าถามเขาตรงๆ
ผมรู้..รู้ว่ากำลังกลัวในคำตอบ แม้ความรู้สึกเราจะตรงกันแต่ไม่ได้หมายความว่าน้องจะไม่อึดอัดที่ผมทำตัวติดกับน้องตลอดเวลา
เขาขี้เกรง เขาเป็นคนที่ใจดีและรักษาน้ำใจคนอื่น เขาจะไม่พูดอะไรก็ตามที่เป็นการทำร้ายจิตใจ มันเป็นนิสัยของพีที่บางทีผมก็อยากให้เขาแก้ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้ถ้าหากเขากล้าที่จะพูดกล้าที่จะบอกกับผมตรงๆ
แต่ผมก็คงจะไปคิดและไปปรับเปลี่ยนอะไรที่เป็นพีไม่ได้ทุกเรื่อง ในเมื่อทุกอย่างที่รวมเป็นพีก็เป็นสิ่งที่ผมรักทั้งนั้น
ผมไม่อยากเอาคำพูดของใครก็ตามมาทำให้มันเกิดปัญหาแต่ว่าเรื่องนี้มันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องเอากลับมาคิดเพราะมันก็เป็นสิ่งสำคัญในการที่ผมกับพีต้องอยู่ด้วยกัน
ผมคงจะปล่อยเรื่องนี้ไปให้เหมือนหลายๆเรื่องที่เคยปล่อยไปไม่ได้ แม้บางครั้งผมจะทำตัวขี้ขลาดแต่กับเรื่องนี้ผมตัดสินใจที่จะพูดกับน้องเพื่อทำความเข้าใจกันใหม่
“หนูครับ”
“ว่าไงกร”
พี่กำลังนอนกลิ้งไปมาอยู่บนที่นอน ภายในห้องของเขามีเพียงแสงสลัวของโคมไฟหัวเตียงที่น้องเปิดทิ้งเอาไว้
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”
ผมเดินเข้าไปหาน้อง ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆก่อนจะขยับตัวไปนั่งพิงตรงหัวเตียง ดึงพีเขามานั่งใกล้กันและจับน้องให้พิงอกของผมเอง
“เรื่องอะไรครับ” น้องเงยหน้าขึ้นมอง หน้าตาเขาดูสงสัย คงเพราะเดาไม่ได้ว่าคำถามที่ผมจะถามมันคือเรื่องอะไร
ผมสูดหายใจก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบผมนิ่มของเขาเล่น
“หนูอึดอัดไหมที่พี่ทำตัวติดกับหนูตลอดเวลา” ผมตัดสินใจที่จะพูดออกไป
แม้ท่าทางของผมยังปกติเหมือนกำลังถามน้องเรื่องทั่วไปแต่ข้างในผมก็ยังคงลุ้นคำตอบ
เป็นอีกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมอง พีองหน้าผมนิ่ง คิ้วของน้องขมวดเข้าหากัน เขายกมือขึ้นมาลูบแก้มผมก่อนที่ผมจะเอียงแก้มของตัวเองเพื่อซบลงบนฝ่ามือของน้อง
“คิดมากอะไรครับ เราไม่อึดอัดนะ” น้องตอบพร้อมรอยยิ้ม นิ้วโป้งของเขาคอยเกลี่ยเบาๆที่ข้างแก้มของผมที่กำลังซบมือเขาอยู่
“จริงนะ หนูตอบพี่ตรงๆเลย พี่อยากให้เราพูดกัน อะไรที่อึดอัดหรือไม่สบายใจพี่อยากให้หนูพูดกับพี่ตรงๆเพราะบางที่สิ่งที่พี่ทำให้หนูมันอาจจะมากไปจนทำให้หนูอึดอัด”
น้องส่ายหน้าให้ผมอีกครั้ง
“ทำไมวันนี้กรงอแง”
“พี่แค่กังวล กลัวหนูอึดอัดเวลาที่พี่อยู่ด้วย พี่ยอมรับว่าพี่ทำตัวติดหนูมากไปจริงๆ”
ผมสารภาพเพราะผมรู้ตัวว่าทุกวันนี้เวลาพีไปไหนผมก็มักจะไปกับเขา ตามเขาไปเกือบทุกที่
“กรไม่ได้ติดเราและเราก็ไม่ได้อึดอัดเวลาที่มีกรไปด้วยทุกที่”
ผมนิ่งฟังน้องอย่างตั้งใจ ถ้าเกิดมีอะไรให้ผมต้องปรับปรุงผมก็พร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขตัวเองเพราะน้อง ผมอยากให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ผมไม่อยากที่จะต้องมาทะเลาะกันเพราะเรื่องที่เก็บไว้ในใจและสะสมมันไว้จนกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น ผมยอมรับว่าความสัมพันธ์ของเรามันเปราะบาง มันเป็นสถานะที่ไม่มีชื่อเรียกและมันก็อันตรายกับการที่จะแตกหักลงอย่างง่ายดาย
ไม่มีใครับประกันว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต วันนึงอาจจะเป็นผมหรือน้องที่ทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์รูปแบบโนเนมนี้ก็ได้
ผมอยากให้เราพูดทความเข้าใจกันดีกว่าที่จะต้องจบความสัมพันธ์ทั้งๆที่ไม่เข้าใจกันเลย
“กรอย่าคิดมากนะ จริงๆแล้วคนที่ติดอาจจะเป็นเรามากกว่า เราติดกร เราอยากมีกรไปด้วยทุกที เวลาที่เราไม่มีกรเราไม่มั่นใจ เราไม่มีความสุข เราอึดอัดไปหมดที่ต้องอยู่แบบไม่มีกร”
ผมยิ้มให้กับคำตอบของน้อง สิ่งที่ผมกังวลมาตลอดค่อยๆเลือนหายไปกลายเป็นความดีใจที่น้องก็อยกามีผมอยู่กับเขา
“ขอบคุณครับ พี่ดีใจที่หนูไม่อึดอัดและก็ดีใจที่หนูติดพี่ขนาดนี้”
“อือ กรไม่งอแงแล้วนะ”
น้องไม่ควรใช้คำว่างอแงกับผมเลยจริงๆแต่จะยอมให้วันนึงแล้วกันเพราะน้องทำตัวน่ารักกับผม
“อือ พี่ไม่งอแงแล้วครับ”
พีเงียบไปอึดใจก่อนเขาจะถามผมกลับบ้าง
“แล้วกรล่ะ อึดอัดไหมที่เราติดกร?”
ผมส่ายหน้าและระบายยิ้มให้น้องก่อนจะก้มลงไปหอมปลายจมูกของน้องแผ่วเบา ผละออกเพียงนิดแล้วตอบเขา
“พี่ไม่อึดอัดครับ พี่อยากให้หนูติดพี่เยอะ ทำตัวน่ารักกับพี่เยอะเลย”
“อื้อ เราจะทำตัวน่ารักกับกรเยอะๆเลย”
น้องรับคำอย่างน่ารักแล้วเป็นผมเองที่ทนความน่ารักของน้องไม่ไหว จับน้องนอนบนเตียงก่อนผมจะขึ้นคร่อมจากนั้นก็จัดการฟัดเด็กน่าให้ร้องประท้วงอยู่ใต้ร่างของผม
ผมอยากให้น้องหยุดความน่ารักไว้สักวันสองวันแต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะแค่น้องนั่งนิ่งๆ ผมก็มองว่าน้องน่ารักได้แล้ว
ไม่เคยคิดเลยว่าผมจะเกิดมาเพื่อได้ความน่ารักของพีมาครอบครองไว้กับตัวเอง ความน่ารักของน้องก็คือความสุขของผม
อะไรที่เป็นพีมันก็คือสิ่งที่ผมรักทั้งหมดนั่นแหละ
วันนี้พีชวนผมไปทานอาหารที่ร้านของแม่ผม น้องบอกผมว่าไม่ได้กินอาหารฝีมือแม่ผมนานแล้ว ทุกครั้งที่ไปกินข้าวข้างนอกก็มักจะไปกันแต่ร้านของคุณลุงเขา
พีกลัวไปบ่อยแล้วคุณลุงจะเบื่อหน้าเอาก็เลยเปลี่ยนบรรยากาศไปกินที่ร้านแม่ผมบ้าง
เชื่อเถอะไม่เคยมีใครเบื่อหน้าพีหรอก มีแต่คนเขาเอ็นดู เด็กดีของผมก็ชอบคิดเยอะคิดแยะจนบางทีผมก็คิดตามน้องไม่ทันถึงอย่างนั้นก็พยายามเข้าใจ
ตอนแรกๆมันก็จะมีปรับตัวกันอยู่แล้ว น้องงอนผมออกจะบ่อยเพราะความที่ผมไม่เข้าใจน้องนี่แหละ ผมก็ไม่รู้ว่าต้องคิดตามเขายังไงทว่าไปๆมาๆผมก็ค่อยๆซึมซับความเป็นน้องเข้าไป
ความเป็นน้องมองเผินๆอาจจะดูน่าเบื่อเพราะน้องใช้ชีวิตซ้ำๆเรียบง่ายและบางทีมันก็วนอยู่ลูบเดิมแบบนั้นตลอดแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงกลับชอบที่จะใช้ชีวิตแบบนี้
คงเพราะผมมีแต่คนอยากรู้จัก อยากมีแต่คนเข้ามารายล้อม ชีวิตผมเต็มไปด้วยคนมากมายแต่มันก็น้อยคนที่จะทำให้ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ
หนึ่งในนั้นก็คือพีที่เป็นความสบายใจของผม จากความสบายใจที่ค่อยๆขยับสถานะมาเรื่อยๆจนกระทั่งไปตกหลุมรักความน่ารักของน้องตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นมาจากหลุมนั้นไม่ได้แล้ว
ผมเคยเห็นสายตาของน้องเวลามองมาที่ผม มองตอนที่ผมมีเพื่อนมากมายเข้ามาทักทายและพูดคุย บางทีมันก็น่าหงุดหงิดที่คนหลายๆคนพยายามกันน้องออกจากผม
ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร น้องอาจจะไม่ใช่ที่รักของทุกคนผมรู้แต่เขาก็ไม่ควรจะได้รับการกระทำแบบนี้ น้องเสียใจและน้องก็รู้สึกไม่ดีที่โดนกระทำเหมือนไม่ได้อยู่ตรงนั้น
และเป็นผมเองต้องที่ปกป้องน้องจากความรู้สึกไม่ดีพวกนั้น น้องไม่ต้องมีใครแต่มีแค่ผมมันก็มากพอแล้ว
การมีเพื่อนหลายคนหรือรู้จักคนหลายคนก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นคนที่ดี ผมไม่อินกับการที่ต้องมีเพื่อนมากมาย จริงอยู่ที่ผมดูเข้ากับคนง่ายและค่อนข้างจะเป็นมิตรแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะให้ความจริงใจและความเป็นมิตรกับทุกคน
ให้พูดกันตามความจริงคนที่เข้าหาผมก็เข้าหาเพียงเพราะผลประโยชน์ที่เขาจะได้จากผม ผมก็ไม่ต่างจากคนพวกนั้น ผมก็เข้าหาเพียงเพราะผลประโยชน์เช่นกัน
ใครมาดีผมก็ดีด้วยและอาจจะสนิทกันถึงภายภาคหน้าแต่กับบางคนคุยกันครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ยิ่งถ้าแสดงออกว่าอยากกันพีให้ห่างจากผม ไม่มีทางที่ผมจะเป็นมิตรด้วยแน่
“กรๆตรงนี้เราไม่เข้าใจ” พียื่นชีตสรุปวิชาหนึ่งมาให้ผมดู
ผมมองตามนิ้วที่น้องชี้ก่อนที่จะเริ่มอธิบาย
สอบปลายภาคของเทอมแรกใกล้เข้ามาเรื่อยๆและเราก็ยังคงติวกันอย่างต่อเนื่อง บางวิชาก็ปิดคอร์สไปแล้วและบางวิชาก็ยังคงมีการเรียนการสอนอยู่
พีเขาเป็นคนขี้กังวล พอช่วงใกล้สอบขนาดมากินข้าวเขายังพกชีตเรียนมาอ่านระหว่างรออาหาร ผมเคยดุเขาไปแล้วเพราะมันไม่ใช่เวลาที่จะอ่าน พีควรออกให้ห่างหนังสือบ้างแต่เขาก็งอแงใส่ผม บอกว่าผมเข้าใจแล้วก็พูดได้สิ ผมไม่รู้จะดุหรือจะเอ็นดูเขาดี และก็เป็นผมเองที่ต้องยอมให้เขาตลอด
“เก็บก่อนครับ ค่อยกลับไปอ่านที่ห้อง” ผมเตือนเขาเป็นรอบที่สองและได้คำตอบแบบเดิมกลับมาอีกครั้ง
“ขออ่านอีกนิดนึง”
นิดนึงของพีคงไม่เท่าคนอื่น ตั้งแต่สั่งอาหารเสร็จเขาก็บอกว่านิดนึงจนตอนนี้อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟแล้ว
“พี” ผมเอ่ยเสียงดุและจริงจังกว่าปกติ เป็นน้ำเสียงที่ทำให้พีสามารถเงยหน้าขึ้นมามองผมได้ทันที
น้องเม้มปากก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบะทำท่างอแงจะให้ผมยอมเขาแต่ผมก็ยังเงียบเพราะผมจะไม่ยอมแล้ว นี่มันเป็นเวลาทานอาหาร หนังสือหรือกระดาษสักแผ่นไม่ควรมีบนโต๊ะอาหารที่ใช้ทานข้าวกันด้วยซ้ำ
“อย่าดุ” เขาว่าเสียงเบา ค่อยๆเก็ยชีตลงในกระเป๋าของเขาเอง
“พี่ไม่ได้ดุแต่หนูก็ดื้อ พี่พากินข้าวข้างนอกอย่างให้คลายเครียด อยากให้หนูอยู่ห่างจากหนังสือสักชั่วโมงก็ยังดีแต่นี่หนูก็ยังเอามาอ่านในเวลาอาหาร มันสมควรไหมครับหืม?”
พีดื้อจนผมอดที่จะปรามไม่ได้ ถ้าไม่ดุเขาจริงจังพีก็คงจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาผมปรามแล้วเขาก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างแต่เพราะครั้งนี้น้องดื้อเกินไปผมก็จำเป็นต้องดุ
“ขอโทษ” น้องก้มหน้างุด มือเล็กๆนั่นก็เล่นผ้าปูโต๊ะอย่างคนที่ไม่รู้จะวางมือตัวเองไว้ตรงไหน อีกนัยหนึ่งคือน้องทำตัวไม่ถูก
ผมไม่ได้ดุเขาบ่อยส่วนมากจะเป็นฝ่ายยอมเขามากกว่า น้องก็เลยเหลิงเกินไปอย่างที่แม่น้องเคยบอกผม หลังจากนี้ถ้าอะไรดุได้ผมก็คงต้องดุเขาบ้าง
“พี่ไมได้โกรธแค่อยากให้หนูรู้ว่าเวลาไหนเป็นเวลาไหน”
“รู้แล้วครับ ขอโทษ”
ผมถอนหายใจ ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง ผมไม่เคยชอบกับการที่ต้องเห็นใบหน้าหงอยๆหรือน้ำเสียงหงอยๆของน้องเท่าไหร่หรอก
“อืม เงยหน้าครับไม่ต้องมาเบะใส่พี่เลย หนูดื้อเอง ที่พี่ดุก็แค่อยากให้หนูรู้ว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควร”
“ครับ”
“เข้าใจพี่ใช่ไหม?” ดุน้องเสร็จผมก็ยังกลัวน้องโกรธ
“เข้าใจ เราดื้อเอง”
ผมยิ้มเมื่อน้องยอมรับแต่โดยดี
“งั้นคนดื้อยิ้มให้พี่หน่อยครับ”
น้องเงยหน้ามองผมก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วฉีกยิ้มที่ค่อนข้างจะแปลกอยู่นิดหน่อยส่งมาให้ตามคำเรียกร้องของผม
“ยิ้มหรือร้องไห้กันแน่เนี่ยหืม?”
“ก็ทั้งอยากยิ้มแล้วก็อยากร้องไห้”
นี่อาจจะเป็นข้อดีกับการที่ผมไม่ค่อยดุน้องจริงจัง น้องก็เลยค่อนข้างเชื่อฟังเพราะเขารู้ว่าตอนไหนที่ผมจริงจังเขาจะงอแงใส่ผมให้ผมยอมเขาต่อไปไม่ได้
“ไม่ต้องร้องครับคนดี กินข้าวเสร็จแล้วก็ค่อยกลับไปอ่านที่ห้องพี่จะไม่ว่าอะไรหนูแล้ว ถ้าหนูอ่านอย่างรู้เวลา”
“อื้อ”
น้องพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเอื้อมมือไปตักอาหารบนโต๊ะมาใส่จานของผม เสมือนกับการง้อแต้น้องไม่มีทางยอมรับหรอกว่าเขากำลังง้อผม ผมก็ไม่อยากทักเดี๋ยวเด็กดื้อจะรู้ตัวแล้วไม่ยอมทำตัวน่ารักใส่
วันนี้น่าเสียดายที่แม่ผมไม่อยู่ เห็นว่าแม่ไปออกงานอะไรกับพ่อสักอย่างผมก็จำไม่ได้ ตอนโทรไปบอกว่าจะมากินข้าวที่ร้านก็โดนแม่โวยวายใหญ่ แม่ถามว่าทำไมไม่บอกก่อนล่วงหน้าจะได้อยู่เจอ ไม่รู้ว่าอยากจะเจอผมหรืออยากจะเจอพีกันแน่ รายนี้น่ะเป็นลูกรักของแม่ผมเลยก็ว่าได้
หลังกินข้าวกันเสร็จผมก็ขับรถกลับคอนโด ระหว่างทางพีก็พูดเจื้อยแจ้วถึงชีตที่เขาอ่านว่ามันมีเนื้อหายังไงบ้าง อันไหนที่เขาเข้าใจไม่ถูกผมก็ช่วงแก้ให้จนสักพักเสียงเจื้อยแจ้วของน้องก็เงียบลงไป
ผมหันไปมองตอนติดไฟแดงอีกทีก็พบว่าเขาหลับคอพับลงไปกับเบาะแล้ว คิดเอาไว้ว่าถ้าถึงคอนโดก็คงไม่ปลุกน้องเพราะเขาตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่ออ่านหนังสือจนตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มแล้วผมอยากให้น้องได้พักผ่อนก่อน
ดีที่ก่อนออกมาผมบังคับให้น้องอาบน้ำแล้วเลยไม่ต้องจัดการอะไรเขามากมาย คงจะช่วยเช็ดตัวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าเขาให้เป็นชุดนอนแค่นั้น
ตื่นมาตอนเช้าผมเดาว่าผมคงโดนงอแงใส่แน่ๆที่ผมไม่ยอมปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือ แต่ผมยอมแหละดีกว่าที่น้องจะไม่ได้นอนพักผ่อนเลย
*******
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เหมือนเขาเข้าใจกันมากขึ้นนะคะ ฮือ เหมือนแบบใกล้แต่งกันแล้วอะ 55555555 นี่นะคะ เราว่าคือตอนจบแต่งกันเลยไหมคะ ไต้หวันเขาจดทะเบียนสมรสกันได้แบ้วนะคะ แง้
ปล.ยังมีคำผิดอยู่จ๊ะไรท์ซัง ฝากด้วยน้าาา ขอบคุณค่ะ
ปล.รอน้าาาา
ปลล.เป็นกำลังใจให้ทั้งนิยายและการสอบ